คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #45 : 10 การ์ตูนที่ได้อะไรมากกว่าการ์ตูน (ภาค 2)
และนี้คือการ์ตูนที่ผมจะไม่เอามาพูดคุยในบทความนี้เด็ดขาด
- การ์ตูนที่เป็นแนวเด็กเลว นักเลง ยากูซ่า (เนื่องจากผมมั่นใจว่า เด็กเลวไทยกว่าครับ เพราะเล่นปืนเหอๆ)
- การ์ตูนที่ไร้สมองจำพวกแอ็คชั่น มิตรภาพ จตุเทพ ถ้าจะเอามาเล่าจะต้องเป็นการ์ตูนแอ็คชั่นที่ได้ความข้อคิดจริงๆ ไม่น้ำเน่าด้วย จำพวกมิตรภาพนี้เห็นจนเอียน
- การ์ตูนฟุตบอล (เนื่องจากผมรักบอลไทย บอลญี่ปุ่นไม่สน)
- การ์ตูนดัง ถ้าหลายคนรู้จักนี้ผมจะไม่พูดถึงโดยเด็ดขาด(นอกเหนือว่ามันจะน่าสนใจจริงๆ)
ในที่สุดก็ใกล้จะถึงสิ้นปีแล้วครับ ขอบคุณที่อ่านๆ กันมา
บทความนี้พึ่งตั้งปีนี้เองครับ ตอนตั้งครั้งแรกผมก็กังวลว่าจะมีคนดูหรือเปล่า เพราะผมได้เปลี่ยนเนื้อหาแขนกลคนแปรธาตุมาเป็นบ่นการ์ตูนที่ผมชอบแทน
ผมอยากเรียกว่าบ่นมากกว่าวิเคราะห์ครับ เนื่องจากผมเขียนไปเรื่อย เขียนเท่าที่คิดออก ข้ามบ้าง ไม่ข้ามบ้าง ออกทะเลบ้าง พูดเรื่องการ์ตูนอยู่ดีๆ พูดถึงฆาตกรเฉยเลยก็มี นั้นเป็นเพราะเขียนสดจริงๆ ไม่มากลับไปเขียนแก้ไขใหม่เด็ดขาด ซึ่งผมก็คิดหนักเลยแหละว่าเนื้อหานี้จะได้รับการตอบรับดีหรือเปล่า แต่พอนานๆ เข้า ผลตอบรับก็ออกมาดูดีครับ คนติดตามพอสมควรเลย อาจเป็นเพราะกินบุญเก่าก็ได้นะเนี้ย
จุดประสงค์ที่ผมตั้งบทความนี้มีอยู่ 4 อย่างด้วยกัน คืออย่างแรกอยากให้คนอื่นได้รู้ว่าการอ่านการ์ตูนไม่ไร้สาระอย่างที่คิด คุณเคยมีประสบการณ์ไหมเวลาผู้ปกครองมาเห็นคุณกำลังอ่านการ์ตูนแล้วบอกว่าไร้สาระ ทำไมไม่เอาเวลาไปอ่านหนังสือหนังหา นี้เองคือสิ่งที่ผมอยากจะสื่อถึงทุกคนเหล่านั้น อย่างน้อยบทความนี้อาจทำให้หลายคนมีความคิดเปลี่ยนไปโดยหันอ่านการ์ตูนแบบสร้างสรรค์ดู ถึงแม้จะเป็นการ์ตูนโป๊ก็อ่านแล้วได้ความรู้เช่นกัน(เช่นรักในวัยเรียนเป็นต้น) สมัยก่อนการ์ตูนที่ทำส่วนใหญ่จะเน้นสถาบันครอบครัวเป็นหลัก แต่สมัยนี้การ์ตูนก็เริ่มหลากหลายขึ้น มีการสอดแทรกอะไรใหม่ๆ ลงไป ไม่ว่าจะเป็น ชีวิตในโรงเรียน ทฤษฏีต่างๆ หรือแม้แต่เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ที่คนไทยอาจไม่รู้ เช่น ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น คดีญี่ปุ่น
อย่างที่ 2 จุดประสงค์อีกอย่างคืออยากให้คนอื่นๆ รู้จักการ์ตูนที่นอกสายตาอยู่บ้าง ทุกวันนี้ผมเห็นพวกเด็กดูแต่การ์ตูนจำพวกนารูโตะ รีบอร์น บลิซ หรือการ์ตูนช่องเก้า ซึ่งเป็นการ์ตูนเด็ก ไม่ใช้ว่าการ์ตูนพวกนี้ไม่ดีนะครับ แต่อยากให้ดูการ์ตูนจำพวก + 15 หรือ + 18 บ้าง หรือการ์ตูนที่ไม่สามารถเข้าไทยได้ อาจเป็นเพราะอะไรก็ตามแต่ เช่น พิมพ์แล้วอาจเจ๊ง หรือเนื้อหาไม่ดี แต่กระนั้นการ์ตูนเหล่านี้ได้ใส่สิ่งที่เราไม่รู้ลงไป อย่างเช่นมุมมืดสังคมญี่ปุ่น, การใช้ความรุนแรง, ปัญหาเยาวชน, สังคมพิกลพิการ ผมงี้ชอบจริงๆ เวลาแนะนำการ์ตูนพวกนี้ในบทความนี้ให้หลายๆ คนได้ทึ้งว่ามีการ์ตูนเรื่องนี้ด้วยหรือเงี้ย ดังนั้นใครที่มาแนะนำการ์ตูนที่ผมรู้จักนะ ผมจะไม่ค่อยสนหรอกครับ ผมจะสนใจแต่การ์ตูนที่ผมไม่รู้จักเท่านั้น
อย่างที่ 3 เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนการ์ตูน สมัยที่ผมเรียนมหาลัยผมไม่มีโอกาสพูดแลกเปลี่ยนเรื่องการ์ตูนเลยครับ เพราะว่าไม่มีใครอ่านการ์ตูนเลย จะมีบ้างคนหนึ่งแต่มันดันชอบแสลมดังค์ สรุปคือตั้งแต่ประถมมาจนจบมหาลัยไม่เคยเจอคนที่เป็นคอการ์ตูนสักคน พอมาเขียนบทความในนี้ก็เจอหลายๆ คนที่เป็นคอการ์ตูนมาแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ผมไม่รู้ ได้เห็น ผมงี้มีความสุขครับ เวลามีเม้นไหนเพิ่มเข้ามา
หลังๆ นี้เม้นส่วนใหญ่จะแนะนำให้ผมดูซับไทย ความจริงผมพึ่งมาจริงจังกับพวกซับไทยเมื่อปีนี้เองครับ เนื่องจากผมไม่ชอบดูซับมากนักเพราะว่าเวลาผมดูซับทีไรเหมือนผมดูการ์ตูนโป๊ทุกที (เสียงตัวละครโทนเดียวกัน) และมักคิดฟุ้งซ่านถึงเรื่องนั้นเสมอ แต่ช่วงนี้ก็ปรับตัวได้แล้ว(เพราะดูควบคู่ไปด้วย) ดังนั้นตอนนี้ผมสะสมพวกซับนี้หลายเรื่องมากครับ ไว้หลังๆ จะเขียนทีละเรื่องให้ฟัง
อย่างที่ 4 ผมมีความสุขครับ เวลาเขียนเรื่องในบทความนี้ เพราะว่ามันมาจากความคิดเห็นส่วนตัวจริงๆ ปกตินี้ผมมักจะเขียนโดยอ้างอิงจากหนังสือ ไม่ก็ลอกเนื้อหาเขามาใส่ เลยหวั่นๆ ว่ะเราจะโดนด่าหรือเปล่า แต่บทความนี้ผมไม่ต้องกังวลเลย ผมไม่ได้ด่าการ์ตูนเรื่องไหนทั้งสิ้น (เพราะเน้นแต่การ์ตูนที่ชอบ) ดังนั้นเลยมีความสุขครับ เขียนแบบไม่ต้องกังวลใจ อยากเขียนอะไรก็อยากเขียน
สำหรับบทความนี้ผมจะยกตัวอย่างการ์ตูนสัก 10 เรื่องที่ดูในช่วงนี้นะครับ ที่ยกมาก็ไม่มีอะไรหรอก เนื่องจากมันเขียนยาวไม่ได้อ่ะ อย่างสุดเขียนได้แค่หนึ่งหน้ากระดาษ A4 ครึ่ง ถ้าลงตอนเดียวจะไม่สวยนะครับ ผมชอบอะไรที่เขียนยาวๆ
1. Hetalia Axis Powers ประวัติศาสตร์โลกที่ดูแล้วอมยิ้ม
คลิป http://video.mthai.com/player.php?id=18M1234275018M0
Hetalia Axis Powers เป็นการ์ตูน Y (หรือเปล่า) และล้อประวัติศาสตร์ ที่เกิดขึ้นครั้งแรกในรูปแบบการ์ตูนออนไลน์ที่อ่านฟรีในอินเตอร์เน็ต เป็นผลงานของอิมารุยะ อิเดคาสึ (Hidekaz Himaruya) ก่อนที่จะถูกทำเป็นการ์ตูนคอมมิค(2003) ยอดขายเฉียดสามแสนเล่ม ก่อนที่จะเป็นอมิเนชั่นตามระเบียบ
การ์ตูนนี้เป็นการ์ตูนตลกประมาณว่าล้อสงครามโลกครั้งที่ 2 และประวัติศาสตร์ของชาติต่างๆ โดยเอาลักษณะนิสัยที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของชาตินั้นๆ มาถ่ายทอดเป็นตัวละครแบบฮ่าๆ คือตัวละครในเรื่องจะใช้ชื่อประเทศนั้นๆ เป็นชื่อ เช่นตัวเอกชื่อ อิตาลี(เหนือ) ที่มีเอกลักษณ์นิสัยของอิตาลีในสมัยสงครามโลกครั้งที่และประวัติศาสตร์มาทำเป็นตัวละครจนกลายเป็นหนุ่มน้อยที่มีนิสัยขี้อ้อน อ่อนแอ ร่าเริงติดคนง่าย รักศิลปะ ชอบพาสต้ามากๆ(จากประวัติศาสตร์นี้อิตาลีชอบพาลต้าถึงขนาดเวลารบอียิปต์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 สถานการณ์ไม่ค่อยมีน้ำ ทหารอิตาลียังจะต้องต้มพาสต้าให้ได้ เลยเกือบตายเพราะขาดน้ำ ดีที่เยอรมันช่วยไว้) ชอบเยอรมัน(เพราะเป็นพันธมิตรกับคนเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2) ส่วนตัวรองก็เยอรมันคุง(เหล่าแฟนๆ เรียกว่ามันฝรั่ง) เป็นคนจริงจัง เจ้าระเบียบ ไม่ยอมแพ้ และไม่ค่อยสนิทกับใครเป็นพิเศษ แต่โดนอิตาลีเกาะอยู่บ่อยๆ ทำให้ต้องเป็นเพื่อนแบบช่วยไม่ได้
การ์ตูนเรื่องนี้ไม่มีอะไรมากครับ ดำเนินเรื่องแบบสบายๆ ไม่มีอะไรมาก นอกจากนี้ยังมีตัวละครหลายประเทศ เช่นญี่ปุ่น เป็นคนเงียบๆ ที่ดูลึกลับ(เพราะญี่ปุ่นปิดประเทศหลายร้อยปี) ขยัน จริงจัง รักสงบ และยึดมั่น วัฒนธรรมและประเพณี, อเมริกันรักอิสระและอยากเด่นเป็นฮีโร่, คนอังกฤษทำอาหารห่วย เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติและชอบสอดรู้สอดเห็น(หน่วยข่าวกรองอังกฤษขึ้นชื่อมาก), ฝรั่งเศสชอบศิลปะแต่ขี้ขลาด เป็นต้น
นอกจากนี้การ์ตูนยังนำเสนอเกร็ดประวัติศาสตร์มาเป็นการดำเนินเรื่องแบบน่ารักด้วย เช่น พี่สวิสเซอร์แลนด์มีน้องสาวชื่อลิกเตนสไตน์ แต่ลิกเตนสไตน์อ่อนแอ(เพราะไม่มีกำลังทหาร) พี่สวิสเซอร์แลนด์จึงต้องปกป้องน้อง ลิกเตนสไตน์จน(เศรษฐกิจไม่ดี) พี่สวิสเซอร์แลนด์จะออกเงินให้ เพราะรักน้องสาวสุดขาดใจ!!, หรือปู่จักรพรรดิโรมันเอ็นดูหนูอิตาลี ไปไหนก็ไปด้วยกัน, อิตาลีมีพี่ชายอิตาลีใต้(เหนือ-ใต้) และน้องชายคนนี้ไม่ชอบเยอรมัน เป็นต้น
ตัวละครในเรื่องนี้มีหลากหลายมากครับ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เรื่องนี้จืดแต่อย่างใด เพราะว่าเราได้เกร็ดความรู้และประวัติศาสตร์ในแต่ละประเทศผ่านตัวละครเหล่านี้อย่างอมยิ้ม แน่นอนครับในนี้มีไทยคุงด้วยครับ เป็นคนใส่แว่น และมีเอกลักษณ์ของไทยจริงๆ คือ เข้ากับคนง่าย ไม่ใจร้อน(อันนี้ผิดนะเนี้ยเดี๋ยวนี้คนไทยใจร้อนแล้ว) ไม่เคยขาดรอยยิ้ม(แต่เป็นยิ้มแบบข้างหลังถือมีด) และเป็นเพื่อนกับญี่ปุ่น(ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น)
แต่น่าเสียดายอมิเนชั่นไม่มีไทยปรากฏอยู่เนื่องจากการ์ตูนโดนงดฉายแล้วครับ(ในหนังสือก็ไม่เห็นด้วย) เนื่องจากเนื้อหาล่อแหลมต่อการเมืองซึ่งน่าเสียดายมาก แต่ก็นะถ้าคนอิตาลีมาดูการ์ตูนเรื่องนี้คงโมโหพิลึกล่ะ
2. Monster House บ้านนี้มีผีสิง
http://video.mthai.com/player.php?id=23M1197712187M0
ถ้าคุณเบื่อการ์ตูนของดีย์นีย์ หรือเบื่อจำพวกการ์ตูนญี่ปุ่น Monster House(2006) คือคำตอบที่อยากให้คุณได้ลิ้มลองบ้าง
ความเชื่อผีของฝรั่งนั้น เชื่อว่า ณ ที่ใด ที่หนึ่งของอเมริกามีคฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่ง ในพื้นที่ร้างผู้คน คฤหาสน์หลังนั้นมีชีวิต มันรักเจ้าของบ้านมาก และใครก็ตามที่เป็นคนแปลกหน้าที่เข้ามาโดยไม่รับอนุญาต บ้านหลังนั้นจะคิดว่าคนเหล่านั้นเป็นศัตรู และมันจะกลายเป็นสัตว์ร้ายและเขมือบคนเหล่านั้นเป็นอาหารของมันทันที
ความเชื่อผีเหล่านี้ เด็กอเมริกาชอบมากๆ ตอนค่ำกลางคืนเด็กมักไปจินตนาการเหล่านี้ไปรวมกลุ่มกันสำรวจบ้านร้างตามที่ต่างๆ ที่มีข่าวลื่อว่าผีดุ จนเกิดมุกหลายมุกสอดแทรกในการ์ตูนและหนังสยองขวัญของอเมริกัน และหนึ่งในนั้นก็คือการ์ตูนเรื่อง Monster House
Monster House เป็นผลงานกำกับของกิล ดีแนน เรื่องราวของหนังเกิดขึ้นในวันฮัลโลวีน ในวันนั้นเด็กๆ ทั้งหลายสนุกสนานในการปลอมตัวเป็นผีขอขนมจากผู้ใหญ่ในบ้านใกล้เรือนเคียง หากมีเด็กชายคนหนึ่งอายุ 12 ปี ชื่อ “ดีเจ” ที่เขาไม่สนุกวันนี้เลย เนื่องด้วยเขาคิดว่าเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่สมควรไปขอขนมแบบแด็กๆ อีก สิ่งที่เขาสนใจคือบ้านหลังใหญ่ในฝั่งตรงข้ามต่างหาก ว่าทำไมหนอที่เจ้าของบ้านหลังนี้ที่ชื่อ “ลุงเน็บเบอร์ แครกเกอร์” ที่มีพฤติกรรมประหลาด เนื่องจากเขาจะโมโหมากหากมีสิ่งของและคนอื่นมาเหยืยบพื้นที่บ้านของเขา ทั้งๆ ที่สภาพบ้านหลังนั้นไม่น่าไปเหยียบเลย บ้านหลังใหญ่ที่มืดทึบ ชวนดูสยอง ราวกับบ้านผีสิง เมื่อใดที่มีวัตถุแปลกปลอมใดเข้ามาพื้นที่บ้านของลุงเน็บเบอร์ ลุงจะริบของนี้ทันทีอย่างเลือดเย็น และวันนั้นเด็กน้อยก็รู้ความจริง เมื่อมีลูกบอลเข้ามาในพื้นที่บ้านหลังนั้น จากนั้นบ้านก็มีชีวิตมันใช้ลิ้นของมันวัดสิ่งของที่เข้ามาพื้นที่ของมันเข้าไปในบ้านทันที มันมีชีวิตแม้แต่กลางวันและกลางคืน มสิ่งที่ตวัดก็ไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็น จักรยาน ของเล่น สัตว์เลี้ยง ไม่เว้นแม้กระทั้งมนุษย์!!
และแล้วการผจญภัยของเหล่าเด็กๆ ก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อเด็กน้อยล่วงรู้ความจริงนี้และต้องหาทางหยุดบ้านหลังนี้ก่อนเกิดเหตุร้าย และนี้คือการต่อสู้ของเหล่าเด็กๆ และผี ที่สุดสนุกในวันฮัลโลวีน
ต้องชมการ์ตูนเรื่องนี้จริงๆ ครับ และต้องชมผู้อยู่เบื้องหลังการ์ตูนเรื่องนี้ด้วย ก็ป๋าสตีเว่น สปีลเบิร์กนั้นเอง ที่ตอนนั้นแกกำลังทำหนัง มหาสงครามวันดับโลกอยู่(War of The World) ป๋าเลยหาคนมาทำ แทนและป๋าก็ตัดสินใจเลือกคนทำถูกจริงๆ หนังการ์ตูนเรื่องนี้ดีมากๆ กราฟิกก็สวยงามใช้ระบบบันทึกจังหวะการเคลื่อนไหว 3 มิติ โดยจับภาพนักแสดงจริงๆ ไปสร้างรูปร่างเป็นอมิเนชั่นตัวละครในเรื่องทำให้สมจริง ฉากบ้านผีสิงก็น่ากลัวมากๆ ดูแล้วไม่อยากเข้าไปเดินเลย แถมการดำเนินเรื่องไม่น่าเบื่อด้วย ทั้งๆ ที่ทั้งเรื่องมีฉากแค่หมู่บ้านดีเจเท่านั้น เนื่องจากหนังเรื่องนี้ได้มีส่วนผสมของพล็อตแนวสยองลงไป ประมาณว่า ตัวละครเอกต้องมาติดในสถานการณ์เหนือธรรมชาติ และพยายามหนีตายและหาความจริงกับเรื่องเหล่านี้ เพียงแต่การ์ตูนเรื่องนี้ลดความเลือดสาด ลดความโหดลงไป ตัวละครในเรื่องไม่ตายสักคน(ยกเว้นผีร้าย) แม้กระทั้งฉากจบยังมีมุกฮ่าๆ มาเสริมด้วย หยองจริงๆ
การ์ตูนเรื่องนี้เป็นการ์ตูนที่ดูได้ทุกเพศทุกวัย พร้อมสอดแทรกข้อคิดไว้หลายเรื่อง ที่สำคัญที่สุดคือสอนให้เหล่าเด็กๆ เวลาเราเห็นคนแก่ห้ามโน้นห้ามนี้ก็อย่าได้โกรธเคือง เพราะบางทีคนแก่เหล่านี้อาจมีเหตุผลของเขา เช่นอย่าลงเล่นว่ายน้ำเพราะน้ำลึก อย่าวิ่งเล่นในบ้านเพราะจะไปรบกวนผู้อื่น อย่าไปจับหมาไม่งั้นมันจะกัด เป็นต้น
นอกจากนี้จุดสำคัญคืออย่าตัดสินคนจากภายนอก อย่าเอาปมด้อยคนอื่นมาล้อเล่น ผมงี้สงสารลุงเน็บเบอร์กับภรรยาในการ์ตูนเรื่องนี้จริงๆ ครับ จนกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ ลุงเน็บเบอร์อุตส่าห์ทำดีแต่ไม่มีใครเห็นใจแกซ้ำยังด่าว่าแกจนเสียหาย ส่วนภรรยาของแกก็น่าสงสารจริงๆ เป็นตัวประหลาดของละครสัตว์ ให้คนอื่นๆ มาเหยียดหยามดูถูกปมด้อยของเธอ แต่ลุงแกก็รักภรรยาจริงๆ รักแม้เวลาจะผ่านเลยไป แม้ภรรยาแกจะเป็นผีแกก็ไม่ไปหาผู้หญิงคนใหม่เลย ลุงก็ยังรักบูชาภรรยาอย่างไม่เสื่อมคาย และฉากที่ลุงแกตัดสินใจเอายุติการอาละวาดภรรยาของแกก็เศร้าๆ นะครับ(ฉากที่ทั้งสองอยู่ต่อหน้าโดยมือของลุงมีระเบิดไดนาไมต์)
อีกจุดก็สำคัญไม่แพ้กัน ก็เป็นเรื่องของเด็กที่กำลังโตเป็นผู้ใหญ่ การเติบโตของเด็กนี้เร็วเหลือเชื่อมาก ไม่ทันไรก็เป็นวัยรุ่นแล้ว ดังนั้นเราควรทำสิ่งที่ควรทำสำหรับเด็กก่อน หากเราไม่ทำ ไม่ใช้ชีวิตสนุกแบบเด็กๆ ละก็ เมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้วอย่าเสียใจทีหลังละกัน
3. The World God Only Knows เซียนเกมรักขอเป็นเทพนักจีบ
อ่านได้ที่ http://www.onemanga.com/The_World_God_Only_Knows/
ชื่อไทย เซียนเกมรัก ขอเป็น เทพนักจีบ ลิขสิทธิ์โดย TKO และเป็นนิยายที่ปัจจุบันออกมาได้ 1 เล่ม เป็นการ์ตูนแนวตลก,คอมมาตี้และโรแมนติค โดยนักเขียนชื่อวากากิ ทามิกิ (Wakaki Tamiki) ที่ผมเปิดอ่านตอนแรก ผมอุทานเลยว่าการ์ตูนเรื่องนี้วาดตัวละครน่ารักมากๆ ทั้งตัวละครชายและผู้หญิง ตอนแรกก็คุ้นๆ ว่าเคยเห็นลายเส้นนี้ที่ไหน จำไม่ถนัด(คิดแบบนี้ประมาณครึ่งชั่วโมง มานั่งคิดว่าเคยเห็นลายเส้นที่ไหน) จนกระทั้งพิมพ์ชื่อนักเขียนลงกูเกิ้ลถึงได้รู้ว่าคนเขียนเรื่องนี้เคยมีผลงานเรื่อง Seikesshou Albatross Holy Crystal Albatross ซึ่งเป็นการ์ตูน แนวต่อสู้, แฟนตาซีและสงคราม ที่ผมได้อ่านแล้ว เรื่องนี้ก็สนุก แต่พล็อตอาจซ้ำซากไปหน่อย เลยจบเพียง 5 เล่มเท่านั้น
ช่างเถอะ เพราะตอนนี้นักเขียนคนนี้ได้มีผลงานใหม่ในเรื่อง The World God Only Knows ที่น่ารักและเนื้อหาไม่ซ้ำซากแน่นอน
เนื้อเรื่องกล่าวถึง คุซึรากิ เคย์มะ เด็กหนุ่มที่หล่อเท่น่ารักเอาเรื่อง แต่มีนิสัยเสียระดับ MAX คือเป็นโอตากุคลั่งไคล้เกมติดสาวชนิดที่เรียกว่ายาเสพย์ติด คลั่งจนหลงรักสาวในโลกแห่งเกมส์ มากกว่าจะคบสาวในโลกแห่งความจริง จนทำให้คนรอบๆ ข้างไม่อยากคบเป็นเพื่อน อีกทั้งครอบครัวและบรรดาอาจารย์ต่างเบื่อระอาที่จะสั่งสอน
แต่ในโลกแห่งเกมส์ คุซึรากิเป็นถึงเซียนเกมส์ติดหญิงในตำนาน มีหลายคนตั้งฉายาว่าเทพตกหญิง(ความจริงควรแปล เทพจีบหญิงมากกว่า) เพราะว่าไม่มีผู้หญิงในเกมส์คนไหนที่เขาจีบแล้วไม่เคยพลาด ว่าและกันว่าไม่มีเกมส์จีบหญิงเกมส์ไหนหลุดลอดสายตาเขาได้
นอกจากชื่อเสียงของเขาจะโด่งดังในโลกแห่งเกมส์(อินเตอร์เน็ต)แล้ว มันยังโด่งดังไปถึงนรกด้วย ซึ่งทางการนรกได้ส่งปีศาจสาว อิลูซี่ เพื่อให้เธอจับคู่กับทำเทพตกหญิงคนนั้นให้จงได้ และเมื่อเธอพบเคย์มะ อิลูซี่ก็ทำสัญญาแบบมัดมือชกพร้อมกับอธิบายว่าเธอต้องการให้เขาช่วยเหลือโดยให้จีบสาวที่มีตัวตนจริงๆ เพื่อล่า "วิญญาณที่หนีจากนรก" และมาสิงในหญิงสาวคนนั้นๆ ที่มีช่องว่างหรือปัญหาในใจที่เป็นช่องทางในการสถิตย์ของวิญญาณร้าย ซึ่งถ้าเคย์มะไม่ทำ เขากับเอลิเซีย จะหัวหลุดจากบ่าทันที
แรกๆ เคย์มะ ก็ไม่ยอมท่าเดียว เพราะเขาเก่งจีบสาวในเกมส์ ส่วนสาวในชีวิตจริงนะเหรอแค่จับมือแทบไม่เคยเลย เขาชอบสาวสองมิติมากกว่า อีกทั้งในสายตาคนรอบข้างมองเขาเป็นแค่โอตากุติดเกมส์จีบสาวเท่านั้น แต่กระนั้นเมื่อเคย์มะเริ่มภารกิจจีบสาวในโลกแห่งความจริงคนแรก เคย์มะก็พบว่ามันช่างเหมือนประสบการณ์ในเกมส์อย่างเหลือเชื่อ ทั้งท่าทางของหญิง รวมทั้งประโยคโต้ตอบต่างๆ ช่างเหมือนกับเกมส์ที่เขาเล่นเหลือเกิน แบบนี้ก็สบายละ เพราะเขาจะเอาความรู้ที่ศึกษานี้จีบหญิงในโลกแห่งความจริงให้จงได้!!
“ผมเห็นฉากจบแล้ว!!” เป็นประโยคติดปากของเคย์มะ แต่ประโยคนี้ไม่ได้เอ่ยขึ้นง่ายๆ เนื่องจากการ์ตูนนี้ไม่เหมือนการ์ตูนคอมมาดี้ธรรมดา ที่ไม่ได้สร้างความสัมพันธ์ตัวละคร แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่พระเอกต้องทำตัวเป็นนักสืบ ต้องสืบว่าผู้หญิงที่จีบคนนั้นเป็นอย่างไร บ้านอยู่ไหน (เอ้ยนี้มันพวกแอบจิตแล้วมั้ง) รวมไปถึงปัญหาส่วนลึกของจิตใจ ที่ผู้หญิงคนนั้นมีคืออะไร และเมื่อรู้เขาก็จะเปิดประตูหัวใจของเธอพร้อมประโยคหวานๆ ให้เธอหลงรัก เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจ และเมื่อผีวิญญาณร้ายออกจากร่าง อิลูซี่จะจับขังลงในขวด พร้อมลบความทรงจำของเหล่าสาวๆ ที่มีต่อเคย์มะทั้งหมด(แต่จิตใจส่วนลึกก็แอบชอบเคย์มะอยู่ดี)
ส่วนเนื้อเรื่องไม่ยาวแบบมหาซีรีย์นะครับ แบบจีบสาวอยู่ดีๆ กลายเป็นบ้าพลัง มาเฟียครองโลกแบบนี้ไม่มีนะครับ การ์ตูนนี้จบเป็นตอนๆ แบบเนื้อเรื่องของแต่ละสาวๆ แถมสาวที่เคย์มะจีบนี้น่ารักสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณครูที่แสนจะใจดี, รุ่นพี่ที่น่านับถือ, คุณหนูไฮโซที่ถือตัว, ไอด้อลสาว, เจ้าหน้าที่ห้องสมุด ฯลฯ เรียกได้ว่าตั้งฮาเร็มได้เลยนะเนี้ยเคย์มะ
แต่ถ้าจะเปรียบเคย์มะเป็นพวกชอบสาวสองมิติในโลกแห่งความจริงของเรานั้นไม่สวยหรูเหมือนการ์ตูนแน่ๆ ในโลกแห่งความจริงนั้นสังคมญี่ปุ่นเรียกพวกนี้ว่า "2-D lovers" หรือรักสาวสองมิติแบบไม่ลืมหูลืมตา นอกจากนั้นยังมีคำดูถูกพวกโอตากุเหล่านี้อีกว่า “Loser” แปลว่า “ขี้แพ้” เนื่องจากส่วนมากหลายคนมองว่าคนที่หันมารักสองมิติเคยจีบหญิงที่มีตัวตนจริงๆ มาก่อน แล้วโดนทิ้งเพียงครั้งเดียว โอตากุเหล่านั้นก็หันมารักตัวการ์ตูนแทน เสมือนกับหนีปัญหาของพวกขี้แพ้ แต่อย่าพูดคำเหล่านี้ต่อหน้าโอตากุแบบนี้นะครับ นับลองโดนต่อยชัวร์ หรือว่าพูดเตือนสติว่า ทำไมเอ็งไม่มาปรับปรุงให้สาวๆ หันมามองบ้างละ ก็ไม่ได้ครับ อย่าลืมว่ามนุษย์เราเป็นสัตว์ที่ขี้น้อยใจเหมือนกัน เวลาที่อกหักเขาก็อยากมีทางเลือกที่เลือกง่ายๆ หน่อย เช่นเดียวกับการรักสาวสองดีที่สาวๆ เหล่านั้นไม่ทรยศเขา ไม่เสียความบริสุทธิ์แก่ใครๆ(การ์ตูน H รวมไหมหว่า) อีกทั้งการรักใครก็ไม่จำเป็นต้องมีตัวตนให้เราเห็น เสมือนกับสาวๆ ในเด็กดีที่ชอบไอด้อลเกาหลีที่แทบไม่เคยมาบ้านของเราตัวเป็นๆ เลย
แต่ในการ์ตูนเคย์มะนั้น เขาคิดว่าตนเป็นโอตากุที่ใครๆ ต่างรังเกียจ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมีสาวที่เป็นตัวตนจริงๆ แอบชอบเขาหลายๆ คน เรียกได้ว่า เป็นชายที่น่าอิจฉาคนหนึ่งทีเดียว แต่มีหลายครั้งที่เคย์มะหักความรู้สึกสาวหลายๆ คนที่บอกรักจากใจจริง จนเกิดเรื่องวุ่นวายตามมาผมหวังว่าภารกิจนี้เขาจะเปลี่ยนตัวตนของเขาให้ดีขึ้นนะครับ(รู้จักแยกกับโลกแห่งความจริงและโลกสมมุติให้ออก)
4. Akikan!
http://video.mthai.com/player.php?id=18M1231512560M0
มีคนแนะนำการ์ตูนเรื่องนี้มาให้ผม เขาบอกว่าเป็นการ์ตูน R เสริมด้วยว่าพระเอกหื่นดี แต่ตอนนั้นผมก็ไม่ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก จนกระทั้งตอนที่ผมสั่งซื้อการ์ตูนทางไปรษณีย์ในเว็บนั้นก็มี v2d การ์ตูนเรื่องนี้ขายด้วย ผมเลยสั่งซื้อมาพร้อมๆ กับหูแมวโหด และผมได้เปิดการ์ตูนเรื่องนี้ก่อนใครเพื่อน
หลังดูจบ ผมตัดสินใจบล็อคนที่แนะนำการ์ตูนเรื่องนี้ทันที!!!
เหอๆ มาถึงก็เล่าประวัติการเล่นเอ็มโหดผมเลยนะครับนี้ เหอๆ สาเหตุบล็อกไม่มีอะไรเพราะว่าการ์ตูนไม่สนุกหรอกนะครับ แค่เขาโกหกเท่านั้นแหละ มันไม่ R สักหน่อย เป็นเลิฟคอมมาดี้รัก 3 เศร้าที่แสนวุ่นวายต่างหาก ฉากทะลึ่งมีไม่กี่ฉาก(หรือแทบไม่มีเลยก็ว่าได้) หนักสุดคือฉากพระเอกแกล้งอาจารย์เท่านั้นเองครับ
ผมดูการ์ตูนเรื่องนี้รวดเดียวจบ 12 ตอนเลยนะครับ ผลคือสนุกมาก แต่ประเด็นที่จะเขียนถึงมันไม่ค่อยมีเท่าไหร่ แต่ไหนๆ ก็ซื้อมาแล้วก็ลองเขียนถึงละกัน
การ์ตูนเรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนัก แต่กระนั้นก็มีการให้พูดถึงในเน็ตพอสมควร ส่วนมากเป็นการบ่น เนื่องจากเป็นอมิเนชั่นที่เผาที่สุดเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่ได้บอกถึงความสำคัญของการ์ตูนเรื่องนี้มากนัก และนี้คือเสียงส่วนหนึ่งที่เขาพูดถึงการ์ตูนเรื่องนี้กันในเน็ต
วิธีการเล่าเรื่องธรรมดา ตัดไปหาคนโน้นคนนี้บ้าง ไม่มีลูกเล่นอะไร การดำเนินเรื่อง จะเครียดก็ไม่เครียด จะสบายก็ไม่สบาย เหตุผลการต่อสู้ก็ไม่ค่อยสมจริงเท่าไหร่หาวัสดุทำกระป๋องเนี่ย ทำไมต้องทำสงครามกันด้วย เลือกๆ ไปซะก็จบ เผาตั้งแต่ต้นยันจบ โดยสตูดิโอ Brains Base สร้างความประทับใจอะไรให้ไม่ค่อยได้ ยังแปลกใจว่าทำไมเห็นคนดูกันเยอะ
แน่นอนความคิดเห็นผมแตกต่างจากเขาคนนั้นมาก มันเผาก็จริงแต่กระนั้นมันก็นำเสนออะไรดีๆ เหมือนกัน ผมว่าไม่จำเป็นต้องดูการ์ตูนอีกแหละครับ เพราะอเมนิชั่นได้นำเสนอประเด็นที่เขาต้องการนำเสนอเรียบร้อยแล้ว (ผมไปอ่านการ์ตูนมาแล้วละ)
Akikan! เป็นไลท์โนเวลของ Ran Jouriku และวาดภาพประกอบโดย Suzuhira Hiro (Shuffle!) นอกเหนือจากการทำเป็นก็อนิเนชั่น และถูกตีพิมพ์เป็นมังงะลงในนิตยสาร Ultra Jump ตั้งแต่ฉบับพฤศจิกายนอีกด้วย
ก่อนจะพูดถึงการ์ตูนเรื่องนี้ เล่าเรื่องก่อน เนื้อเรื่องประมาณว่าพระเอกชื่อคาเครุ ไดจิ Kakeru Daichi) พระเอก ม. 4 สุดหื่น ชอบปล่อยมุกทะลึ่งพอประมาณ(หลังๆ ก็ไม่หื่น แต่เลือดร้อนแทน) ซึ่งเป็นคาแร็คเตอร์ที่ผมไม่ชอบเลยเพราะผมชอบพระเอกที่อ่อนแออ่ะ วันหนึ่งอากาศร้อนตับแตก เขาเลยเปิดน้ำดื่มกระป๋องรสเมลอนออกมาดื่มหวังแก้ร้อน แต่ทว่าทันทีที่เขาดื่มน้ำจากกระป๋องนั้น กระป๋องกลับเป็นสาวน้อยแสนสวยผมทอง(แต่ขี้งอน) เธอบอกว่าตัวเองคือ “อาคิคัน” และคาเครุก็กลายเป็น “Owner” ของเธอโดยปริยาย โดนเขาและเธอต้องเข้าพัวพันกับ ศึก Akikan Elect ศึกระหว่างสาวๆ ระหว่างอาคิคันกระป๋องเหล็กและอลูมิเนียม เพื่อคัดเลือกว่าวัตถุดิบชนิดไหนจะชนะเพื่อจะได้ทำกระป๋องเพียงหนึ่งเดียว(สู้ไปทำไมว่ะเนี้ย)
ตัวสำคัญที่ไม่แพ้กับพระเอกกับเมลอนก็คงจะเป็นเพื่อนพระเอกคือนาจิมิที่หลงรักพระเอกมากๆ กับอาคิคันที่ชื่อเยลที่ยินดีทำตามคำสั่งนาจิมิทุกคำสั่ง และเป็นศัตรูกับเมล่อน
แต่ทั้งคาเครุและนาจิมิไม่ยอมให้อาคิคันทั้งสองเข้าร่วมสงคราม เนื่องจากอดีตทั้งสองเคยมีประสบการณ์ความรุนแรงมาก่อน และอยากใช้วิธีที่สงบดีกว่า แต่จนแล้วรอดอาคิคันทั้งสองก็สู้จนได้ เพราะความหึ่งไม่เข้าท่าของนาจิมิ
ผมชอบประโยคที่เมล่อนพูดเยลจริงๆ
“รู้ไหมว่าฉันเกลียดกระป๋องอลูมิเนียม”
“แต่เราก็ไม่แตกต่างกันเลย ทั้งเธอและฉัน”
ฟังประโยคนี้แล้วนึกถึงความหมายของคำว่าสงคราม ปัจจัยที่นำไปสู่สงครามมักจะเกิดจาก สิทธิ์ในการปกครอง อาณาเขต ทรัพยากรธรรมชาติ ศาสนา และความคิดที่แตกต่างกัน เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่สามารถที่จะเจรจาเพื่อหาข้อยุติจากความขัดแย้งได้ ก็จะนำไปสู่การแก้ปัญหาด้วยการใช้ความรุนแรง ในกรณีของเมล่อนกับเยลนั้นเป็นเพราะความแตกต่างกันของวัตถุการผลิต ซึ่งเหตุผลนั้นเบาบางเกินกว่าจะเป็นการขัดแย้งทำให้เกิดสงครามได้(ในหนังสือจะซับซ้อนกว่านี้ แต่อมิเนชั่นมีแค่นี้แหละ) แต่บางครั้งความเบาบางก็ทำให้เกิดสงครามเช่นกัน สงครามไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ขอเพียงมีประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง สงครามก็เกิดขึ้นเมี่อไหร่ก็ได้
5. Otaku no Musume-san ป๊ะป๋าโอตาคุ
แนวครอบครัว เป็นการ์ตูนที่ไม่มีลิขสิทธิ์ในประเทศไทย แต่สามารถหาได้จากสำนักพิมพ์มด(ANT) ปัจจุบันออกมาแล้ว 5 เล่ม เป็นเรื่องราวของโมริซากิ โคตะ ชายหนุ่มวัย 26 ที่เขาคิดว่าโสดสนิท สาวๆ ไม่แลเหลียว แต่แล้ววันหนึ่ง อยู่ดีๆ มีลูกสาวอายุ 9 ขวบ มาหาเขาที่บ้านและพูดว่า “ป๊ะป๋า” โคตะรู้ทันทีเลยว่า ลูกสาวคนนี้เป็นผลผลิตจากสมัย ม.ปลาย ที่ไม่เคยรู้มาก่อน และเขาจำเป็นต้องเลี้ยงลูกสาวคนนี้เพื่อรับผิดชอบเป็นพ่อคน แต่คงต้องลำบากหน่อยละเพราะว่าเขาโอตากุซะด้วยสิ(สะสมแต่การ์ตูนโป๊) และแล้วเรื่องวุ่นๆ ระหว่างลูกสาวที่ไม่เข้าใจโลกของโอตากุก็เลยตามมา
ผลงานของ Stu-Hiro (คุ้นๆ ลายเส้นแต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน) แม้ลายเส้นไม่สวยงามมาก แต่สนุกอย่างคาดไม่ถึง คำว่า โอตากุ(หรือโอตาคุขึ้นอยู่กับความถนัดการออกเสียง) เป็นคำภาษาญี่ปุ่น เป็นคำเรียกบุคคลอีกประเภทที่สนใจในสิ่งที่ตนชอบเกินปกติและมีความรู้ในการเข้าสังคมไม่สูง ไม่จำเป็นต้องใช่กับคนที่คลั่งไคล้การ์ตูนสุดๆ เพราะทั้งนี้ยังรวมถึง สิ่งที่ตนรัก ไม่ว่าจะเป็นดารา ของสะสม ซีดีเพลง ฯลฯ
จุดเด่นการ์ตูนเรื่องนี้คือการใช้ชีวิตครอบครัวระหว่างคุณพ่อโอตากุที่ไม่เคยเลี้ยงลูกมาก่อน กับลูกสาวที่ไม่เข้าใจโลกของโอตากุและมองโอตากุในด้านลบ โคตะเปรียบเสมือนโอตากุทั่วๆ ไปที่ห่างเหินจากเพศตรงข้าม ขาดความมั่นใจตนเอง และไม่มีจุดหมายของชีวิต และเมื่อมีลูกสาวที่เป็นเด็กธรรมดามาอยู่ห้องพักเดียวกัน โคตะแทบลมจับ เพราะเขาไม่เคยมีประสบการณ์ที่เป็นพ่อคนกับเขามาก่อน และเขาไม่สามารถหนีพ้นจากการเป็นโอตากุได้ และพยายามใช้ชีวิตโอตากุกับดูแลลูกสาวไปพร้อมๆ กัน จนทำให้หลายฉากที่คนดูต่างเอือมระอาโคตะเหลือเกินไม่ว่าจะเป็นฉากพ่อโคตะเล่นเกมส์ H ในขณะที่ลูกสาวนอนหลับอยู่ข้างหลัง หรือจะเป็นฉากที่พ่อพาลูกสาวไปซื้อเสื้อหาแต่เงินไม่ค่อยมี เลยบ่นว่าเสื้อผ้าทำไมแพงจังว่ะราคาต้อง 40,000 เยน แต่เจ้าพ่อโคตะดันมีเงินซื้อตุ๊กตาดอลล์ตัว 40,000 เย็นซะนี้ หรือจะเป็นฉากโคตะต่อแถวคิวยาวเหยียดรอซื้อสินค้าการ์ตูนออกใหม่โดยไม่รู้ว่าลูกสาวป่วยอยู่ที่บ้านเป็นต้น
แต่กระนั้นโคตะพยายามที่จะไม่ให้ลูกสาวเห็น H การ์ตูนทั้งหลายที่เขาสะสมไว้ เขาไม่อยากให้ลูกสาวเป็นโอตากุ และพยายามทำตัวเป็นพ่อที่ดีที่สุดเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกสาว ส่วนตัวลูกสาวเองทีแรกก็ไม่เข้าใจว่าโอตากุคืออะไร และมองด้านลบเกี่ยวกับโอตากุ เนื่องจาก คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักมองโอตากุว่าเป็นพวกชายหนุ่มที่ไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและโลกแห่งความจริง จมปลักอยู่กับความคิดฟุ้งซ่านจากหนังสือการ์ตูนและอนิเมชั่นแนวลามกอนาจาร และมีแนวโน้มที่จะหมกมุ่นในเรื่องเซ็กส์ ในความหมายหนึ่งก็คือ บุคคลที่มีปัญหาทางจิตและเป็นภัยคุกคามต่อสังคม
แต่เมื่อนานๆ เข้าลูกสาวก็เริ่มเข้าใจโลกของโอตากุ และพบว่ามีคนโอตากุหลายคนมีครอบครัวที่มีชีวิตเป็นสุข บางคนทำเป็นธุรกิจ บางคนเป็นนักศึกษา ทำให้ลูกสาวของโคตะเริ่มรู้ว่าโอตากุก็เป็นคนดีเหมือนกัน
(เอาเป็นว่าจะเขียนยาวที่หลัง เรื่องนี้มีอะไรน่าพูดถึง อีกเยอะ)
6. Kiseiju
การ์ตูนคลาสสิกผลงานของ ฮิโตชิ อิวากิ ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Afternoon 1990-1995 ที่ไทยเรารู้จักกันดีในชื่อ “ปรสิตเดรัจฉาน” ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สยาม(รีแม็กซ์ใหม่เถอะคนเขาอยากจะอ่าน) 10 เล่มจบ เป็นการ์ตูนไซไฟสยองดิบเถื่อน เรื่องราวของสิ่งมีชีวิตปรสิตลึกลับชนิดหนึ่งจากนอกโลกที่ตกลงมายังโลก แต่การที่มันจะอยู่อาศัยในโลกได้มันต้องเข้าไปอาศัยร่างสิ่งมีชีวิต และถ้ามันไปถึงสมองมันจะควบคุมยึดครองร่างเจ้าของร่างให้ทำตามนึกคิดของมันเอง และสิ่งที่น่ากลัวของสิ่งมีชีวิตนี้คือ ถ้ามันสิงอาศัยในร่างสิ่งมีชีวิตใดๆ ละก็ มันจะกินสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับตัวที่สิ่งนั้นๆ เช่น สิงหมากินหมา แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือ มันสิงมนุษย์!!
ปรสิตเหล่านั้นกระจายตัวไปอยู่ทั่วโลก ในตอนค่ำเงียบๆ ตอนที่มนุษย์กำลังหลับใหล และที่มุมหนึ่งของโลก ณ ประเทศญี่ปุ่น ปรสิตลึกลับตัวหนึ่งได้เข้าไปสิงอาศัยร่างของเด็กหนุ่มวัย 17 ปี ธรรมดาคนหนึ่งชื่อ อิคุมิ ชินอิจิ แต่ปรสิตตัวนั้นไม่สามารถเข้าไปในร่างสมองของเจ้าของร่างได้ มันหยุดฟักตัวอยู่ที่แขนของชินอิจิแทน ทำให้ชินอิจิยังดำรงชีวิตเป็นมนุษย์ไม่ได้
และเมื่อตื่นขึ้นมาชินอิจิก็ตกใจเมื่อพบว่าแขนกลายเป็นที่สิงสถิตของปรสิตประหลาดและมีความนึกคิดเป็นของตัวเอง ชินอิจิตั้งชื่อมันว่ามิกกี้ และพยายามใช้ชีวิตร่วมกับมัน หากแต่ว่านั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความสยอง เมื่อเขาพบว่าทั่วทุกที่ที่เขาไป พบว่ามีปรสิตที่ยึดร่างมนุษย์หลายสิบตัว พวกมันปะปมกับคนเหล่านั้นในสังคมญี่ปุ่น เพื่อหาทางกินคนเป็นอาหาร อีกทั้งมันก็เห็นชินอิจิเป็นศัตรูเพราะมันแตกต่างจากพวกมัน และแล้วการต่อสู้เหนือมนุษย์จึงเกิดขึ้น ชินอิจิและปรสิตที่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายจำเป็นต้องร่วมมือกันต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเอง, คนรัก, ครอบครัว และมวลมนุษย์ชาติ
การ์ตูนเรื่องนี้แปลกอยู่อย่าง คือลายเส้นไม่สวยงามเสียเลย อีกทั้งตัวละครที่แสดงออกจะแข็งๆ และบางช่องก็ไร้สีหน้า ที่สำคัญพระเอกไม่น่ารัก(จะโดนแฟนการ์ตูนเรื่องนี้ตบไหมนี้) และไม่น่าเชื่อว่ามันขึ้นทำเนียบการ์ตูนญี่ปุ่นดีตลอดกาล และได้รับรางวัล Kodansha Manga Award ในปี 1993 ถ้าถามว่าเป็นเพราะอะไร แน่นอนผมก็ได้อ่านการ์ตูนเรื่องนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การ์ตูนเรื่องนี้มีพล็อตที่สนุกมากๆ การดำเนินเรื่องหักมุมตื่นเต้นตลอดเวลา อีกทั้งฉากโหด ดิบเถื่อน เลือดสาด ถูกใส่จนเรียกว่าจะให้อ้วกไปข้าง ฉากที่ปรสิตกินเนื้อคนเสมือนเผ่าคนกินคนในปากัวนิกีนี ฉากปรสิตที่แม่ของพระเอกถูกฆ่า ฉากปรสิตที่เป็นแม่ปกป้องลูกน้อยจากการระดมยิงของตำรวจ ฉากสังหารหมู่ในโรงเรียนที่ปรสิตบ้าคลั่งฆ่าคนไม่เลือกหน้า หรือฉากนักการเมืองในคราบปรสิตที่พูดเรื่องอาณาเขตล่ามนุษย์อย่างหน้าตาเฉย
นอกเหนือชินอิจิ ตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องที่เด่นไม่แพ้กันคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกปรสิตสิง ที่เธอมีความรู้และความรู้สึกนึกคิดที่ไม่เหมือนปรสิตตัวอื่นๆ เธอมักถามตัวเธอเองและคนอื่นว่า “เราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร ทำไมต้องกินมนุษย์ ทั้งๆ ที่ตนลองหยุดกินมนุษย์แล้ว มันก็ไม่ได้ทำให้มันตายสักหน่อย กินหมู หมา กา ไก่ แทน ก็ได้นี้” มันพยายามหาคำตอบทุกอย่าง ไม่ว่าจะฆ่าพวกเดียวกัน ไปตามมหาลัยต่างๆ เพื่อไปดูอาจารย์สอนทฤษฏียากๆ หรือไปมีเพศสัมพันธ์จนกระทั้งมีเด็ก และแล้วมันก็ได้คำตอบแล้วว่ามันเกิดมาทำไม หากแต่คำตอบนั้นไม่ได้เฉลยให้คนอื่นทราบ เพราะฉากสุดท้ายของปรสิตตัวนั้นคือมันเอาตัวเข้าไปปกป้องลูกจากห่ากระสุนปืนที่ระดมยิงใส่ตัวมัน
ประเด็นต่อมาคือฉากปรสิตตัวอื่นนึกรังเกลียดปรสิตของชินอิจิ และมันรวมกลุ่มเพื่อไล่ล่า สิ่งเหล่านั้นไม่แตกต่างอะไรคือกับมนุษย์ที่ ทั้งๆ ก็เป็นคนเหมือนกันแท้ๆ แต่มันกลับคิดว่าตนแตกต่างจากคนอื่น คนว่าตนเก่งเลิศประเสริฐศรี และความแตกต่างก็กลายเป็นความแตกแยก คนฉลาดได้รับการยอมรับและรวมกลุ่มกัน ส่วนคนโง่สมองทึบ อ่อนแอถึงผลักออกจากกลุ่ม เพราะคิดว่าคนโง่และอ่อนแอเหล่านั้นคือภาระ ตัวถ่วงสมควรที่กำจัดออก คนฉลาดก็รวมกลุ่มกับคนฉลาด ไม่ยอมรับความคิดเห็นของคนโง่ ยอมรับแต่ความคิดเห็นของพวกพ้องเท่านั้น
ประเด็นอีกประเด็นคือ ปรสิตในคราบนักการเมือง ที่ปรสิตตัวหนึ่งมีความฉลาด มันจัดการระบบสังคมของโลกปรสิตเสียใหม่ โดยเรียกว่า “ระบบสังคมอุปถัมภ์” ให้พวกมันกินคนสะดวกสบายไร้กังวลขึ้น มันใช้อำนาจ อิทธิพล และเงินตรา เล่นพรรคเล่นพวก ให้ผลประโยชน์แก่พรรคพวกเท่านั้น โดยไม่สนใจคนธรรมดาที่ช่วยออกเสียงให้ และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นใดๆ ก็ตาม ปรสิตในคราบนักการเมืองเหล่านั้นก็หาทางเอาตัวรอดเพียงฝ่ายเดียว สิ่งเหล่านี้ไม่แตกต่างอะไรเลยกับสังคมในโลกแห่งความจริง ที่มีนักการเมืองที่ทำตัวเป็นปรสิตอยู่มากหลายคน
7. Hanako To Guuwano
ชื่อไทย ฮานาโกะกับเรื่องขนหัวลุก เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น วาดและแต่งเรื่องโดย ซาคาเอะ เอสุโนะ และได้รับการตีพิมพ์เป็นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์สยาม 4 เล่มจบแล้วจบเลย เป็นเรื่องราวของนักสืบคนหนึ่งกับผู้ช่วยฮานาโกะที่ออกมาสืบคดีและแก้ไขคดีที่เกิดจากสิ่งลึกลับ
เป็นการ์ตูนที่ผมชอบเรื่องหนึ่งและอยู่ในคอลเล็กชั่นของผมเรียบร้อย จริงอยู่มันอาจไม่ใช้การ์ตูนที่ยอมเยี่ยมที่สุดในหลายๆ คน แต่มีองค์ประกอบที่ผมชอบ เช่น ฮานาโกะน่ารัก(เหอๆ )อีกทั้งยังฉลาดและพูดแต่ละประโยคนี้ผมชอบมากเลย
สองก็วลี “ครึ่งหนึ่งของโลกเกิดจากความลามก” ซึ่งเป็นประโยคที่พระเอกพูดกับนางเอกซึ่งมันโดนใจผมเต็มๆ
สามก็เนื้อเรื่องครับ ผมชอบตอน “ปลาหน้าคน” “ทาเคทาเค” และฮานาโกะมากเลย ผมดูหลายรอบดูทุกคำพูดของตัวละครเลยนะครับ ซึ่ง ตอน “ปลาหน้าคน(ผมว่าหน้าตั้งชื่อว่าครึ่งคนครึ่งปลามากกว่า)” ผมชอบประเด็นรักในวัยเรียน และประเด็นการกลั่นแกล้งในโรงเรียน ซึ่งผมค่อนข้างชอบจริงๆ กับเด็กที่ถูกแกล้งในตอนนี้ครับที่บทของเขานั้นทำให้ผมเกลียดและเศร้าในเวลาเดียวกัน(อยากรู้ลองไปอ่านเอง) ส่วนทาเคทาเคเป็นตอนที่พระเอกของเราตามหาผี แต่ผลสุดท้ายแล้ว ผีที่ว่านั้นคือคนเรานี้เอง มันช่วยให้ข้อคิดเราที่ว่า “ผีนั้นร้ายกว่าคน” มันไม่ใช้ฝีมือของพวกภูตผีปีศาจหรอกครับฝีมืดคนล้วนๆ และสุดท้ายก็ตอนฮานาโกะซึ่งเป็นตอนจบของเรื่องที่เล่าถึงประวัติของเธอว่าทำไมเธอถึงกลายเป็นคู่หูพระเอกซึ่งผมชอบมากเลยครับ มันอารมณ์เหมือนเพื่อนในจินตนาการประมาณนี้แหละ
สี่ ผมชอบวิธีการแก้ปัญหาครับ การ์ตูนแอ็คชั่นผีหลายๆ เรื่องค่อนข้างจะเน้นผีออกมาก็ฆ่าๆๆ จบ แต่ของฮานาโกะนั้นเน้นแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของปัญหานั้นๆ อย่างวลีที่ว่า “ปัญญาต้องแก้ที่ต้นเหตุ ไม่ใช้ที่ปลายเหตุ” พูดๆ ไปก็นึกถึงประเทศหนึ่งที่ประชาชนไม่ต้องมีอันทำอะไรแหละ วันๆ เอาแต่จับกลุ่มประท้วงรัฐบาลของประเทศ โดยไม่คิดว่านั้นคือต้นเหตุของปัญหาหรือเปล่า หรือไม่ก็วิธีการแก้ปัญหานั้นคุณต้องเสียอะไรบ้าง คุ้มเหลือเปล่า ต้องแลกอะไรมา และผลที่ได้นั้นมันคุ้มค่าหรือเปล่า ทำไมเราไม่ร่วมมือกันพัฒนาประเทศละ หรือพัฒนาบ้านเกิด นี้สิคือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
ห้า เสียดายที่จบเร็ว และบางตอนน่าจะเพิ่มอะไรหน่อย อย่างเช่นตอนพระเอกเป็นนักสืบหน้าใหม่, หรือสาเหตุที่ลาออกจากการเป็นตำรวจมาเป็นนักสืบเรื่องสยองขวัญ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผู้เขียนไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก เพราะโดนบีบให้จบหรือคนเขียนกำลังจะเขียน “ไดอารี่” ก็ไม่รู้ แต่ถ้าหากตัดเหล่านี้ออก ผมว่าฮานาโกะก็ถือว่าเป็นการ์ตูนที่ดีอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่มีฉากเซ็กต์รุนแรง เหมาะสำหรับเยาวชนไทยครับ
8. Manabi Straight!
http://video.mthai.com/player.php?id=18M1192983603M0
การ์ตูนอมิเนชั่น 12 ตอนจบ(บวกตอนพิเศษอีก 1 ตอน) เป็นเรื่องราวอนาคตในปี 2035 โลกในตอนนี้ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรสักเท่าไหร่ หากแต่อัตราการเกิดของประชากรโลกได้ลดน้อยลง(สวนทางจากการ์ตูนหลายเรื่องเลยนะนี้ เห็นมีแต่ประชากรเพิ่มขึ้น) อีกทั้งความก้าวหน้าได้แปรเปลี่ยนค่านิยมไปหลายๆ อย่าง ทำให้เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเคร่งด้านการเรียน และออกไปทำงานก่อนวัยอันควร ทำให้โรงเรียนหลายแห่งประสบปัญหาเด็กเข้าเรียนจำนวนน้อยลงจนต้องปิดตัวลงในที่สุด และหนึ่งในนั้น ก็คือโรงเรียนสตรีเซโอะที่กำลังประสบปัญหานี้จนมีความคิดที่จะเปิดเรียนเทอมนี้เป็นเทอมสุดท้ายก่อนที่จะปิดตัวลง
นอกเหนือปัญหาด้านตัวโรงเรียน ชีวิตนักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ก็มีปัญหาเช่นกัน เด็กนักเรียนทุกคนเรียนหนังสืออย่างเซ็งกะตาย และไม่สนใจในกิจกรรมของโรงเรียนมากนัก แม้กระทั้งสภานักเรียน ก็มีเพียงสมาชิกเพียงคนเดียวที่ชื่อ อินาโมริ ริกะ" เด็กขี้อายผู้เป็นเลขานุการและรองประธาน (ตอนแรกมีสองคน คือประธานโรงเรียนและริกะ แต่ประธานคนก่อนย้ายโรงเรียน) ที่ต้องจัดการงานต่างๆ เพียงคนเดียว จนกระทั้งรับงานไม่ไหว ริกะเลยจัดงานประชุมขึ้นเพื่อหาประธานนักเรียนคนใหม่ แต่ไม่มีใครอยากจะเป็นสักคน ในขณะที่ริกะกำลังสิ้นหวังนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเด็กใหม่ประหลาดคนหนึ่ง โผล่ขึ้นมางานประชุม เด็กผู้หญิงนามว่า อามามิยะ มานามิ หรือ "มานาบิ" (ชื่อที่เจ้าตัวตั้งให้ตัวเอง) เธอเสนอตัวเองเป็นประธานนักเรียนคนใหม่ และเมื่อเธอได้เป็นประธาน เธอได้เปลี่ยนโรงเรียนแห่งนี้ให้มีสีสัน, ความสนุกสนาน และสร้างความรู้สึกประทับใจให้แก่นักเรียนต่อโรงเรียนแห่งนี้ทีละน้อย
Manabi Straight! เป็นการ์ตูนที่น่าประทับใจจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินเรื่อง ตัวละครที่น่ารักสุดใจ ถูกใจเฒ่าหัวงูทั้งหลาย มีเรื่องปมดราม่าของตัวละครนี้เล็กน้อย แต่ไม่ถึงขนาดเครียดแต่อย่างใด เช่นในกรณีของริกะที่เคยถามตนเองว่าสมควรเรียนต่อหรือไม่หรือจบแล้วไปหางานทำเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ดีหรือเปล่า?? เป็นต้น
การ์ตูนเรื่องนี้มีความประทับใจในหลายๆ อย่าง เหมาะสมต่อเยาวชน อีกทั้งยังสอดแทรกอะไรหลายๆ อย่าง ที่การ์ตูนได้นำเสนอไป ไม่ว่าความสำคัญของการเล่าเรียน, การเป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยอันควร, มิตรภาพระหว่างเพื่อน, ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับโรงเรียน และการเป็นผู้นำที่ดี ซึ่งจากการสังเกตพบว่า การ์ตูนหลายๆ เรื่องคนที่เป็นประธานนักเรียนมักใช้อำนาจในทางที่ผิด แต่สำหรับมินาบิแล้วกลับใช้ไม้อ่อนในการบริหารโรงเรียนแทน เธอชักชวนสมาชิกในชมรมแต่ละคนร่วมแรงร่วมใจในการจัดกิจกรรรม เพื่อเพิ่มมิตรภาพ หรือการใช้สื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวีดีโอ หรือเว็บไซต์ เพื่อจูงใจคนอื่นๆ ในการดำเนินงานอย่างสนุกสนานและน่าสนใจขึ้น
จะสังเกตว่าโลกอนาคตของการ์ตูนไม่มีอะไรแปลกไปจากโลกแห่งความจริงของเราเลย แม้กระทั้งแนวคิดของสังคมการ์ตูนเรื่องนี้ก็ยังมีให้เห็นในโลกยุคปัจจุบันเด็กสมัยนี้เริ่มไม่สนใจในการเรียน โดดเรียนเพื่อไปเดินห้าง หลงใหลวัตถุนิยมมากกว่าด้านจิตใจ ที่ญี่ปุ่นก็เช่นกันเด็กส่วนมักทำงานในขณะที่เรียนจบ ม.ปลาย สิ่งเหล่าๆ นี้เป็นเพราะนิสัยและทัศนคติของเด็กที่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย เด็กไม่ทราบว่าตนเรียนเพื่ออะไร ต้องการอนาคตแบบไหน ขาดเป้าหมาย ทำให้เรียนไปวันๆ ไม่มีชีวิตชีวา
ดังนั้นการ์ตูนเรื่อง Manabi Straight! จึงเป็นการ์ตูนที่ให้ทัศนคติที่ดีต่อชีวิตในโรงเรียน และมุมมองต่อการเล่าเรียนการศึกษาและความสนุกสนานในกิจกรรมของโรงเรียนแก่ผู้ดูไม่มากก็ไม่น้อย(เขียนซะอย่างกับคำนำในรายงานโรงเรียนเลย ฮ่าๆ ตรู)
9. Kyouran Kazoku Nikki
http://video.mthai.com/player.php?id=18M1239504636M0
อมิเนชั่น 26 ตอนจบ(ไลท์โนเวล 16 เล่ม หนังสืออีก 1 เล่ม) เป็นการ์ตูนลายเส้นน่ารักและสดใส แต่เนื้อหานี้เครียดดราม่าเป็นบ้า(ในหลายๆ ความหมาย)
เนื้อหาค่อนข้างประหลาดสักหน่อย ประมาณว่าโลกในการ์ตูนเรื่องนี้เป็นโลกที่เวทมนต์และสิ่งเหนือธรรมชาติอยู่คู่กับสังคมอย่างควบคู่กันจนเป็นเรื่องปกติธรรมดา พระเอกชื่อ โอกะ มิดาเระซากิ เป็นสมาชิกองค์กรปกป้องสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติบนโลก ได้รู้จักสาวน้อย(ไม่ทราบอายุ)นาม เคียวกะ มิดาเระซากิ และถูกบังคับให้รับบทเป็นคุณพ่อ โดยสาเหตุเนื่องมาจาก เมื่อพันปีก่อน “เอ็นกะ” เทพแห่งการทำลายล้างได้ถูกมนุษย์ฆ่า ก่อนตายมันได้ทิ้งคำพูดก่อนที่จะเสียชีวิตว่า "ลูกของข้าจะเป็นผู้ทำลายล้างโลก" พันปีหลังจากนั้น มีการตรวจสอบค้นพบ กลุ่มคน(ส่วนมากไม่ใช่มนุษย์) ซึ่ง DNA มีแนวโน้มว่าจะเป็น "ลูกของเอ็นกะ"(โดยใช้ค้นหา) และหนึ่งในนั้นคือเคียวกะ มิดาเระซากิ นั้นเอง
เคียวกะ มิดาเระซากิคิดว่าเธอคือลูกของเอ็นกะที่แท้จริง ตอนแรกเธอคิดว่าจะกำจัดลูกที่คิดว่าเป็นของเอ็นกะให้หมด หากแต่ว่าเปลี่ยนใจที่หลัง เพราะเธอปิ๊งไอเดียแผนการสร้าง "ครอบครัวแสนสุข" โดยมีจุดประสงค์เพื่อค้นหาว่า ลูกของเอ็นกะคือใครกันแน่ และสอนให้เขาหรือเธอรู้ถึงความรักของครอบครัวเพื่อหยุดยั้งมิให้เขาหรือเธอทำลายล้างโลกใบนี้ โดยโอกะรับบทเป็นคุณพ่อ ส่วนรัฐบาล(คนใหญ่โต)รับบทพี่เลี้ยงออกเงินค่าเลี้ยงลูกให้(งบประมาทพอๆ กับเลี้ยงดูคนทั้งประเทศ) แถมลูกๆ ที่มาอยู่เป็นครอบครัวนี้สิ ส่วนใหญ่ไม่ใช้คนทั้งนั้น มีทั้ง สาวน้อย, หุ่นยนต์นักฆ่า, สิงโต, แมงกะพรุน, กระเทย และครอบครัวปลอมๆ นี้จะไปได้ตลอดรอดฝังไหม ก็คอยดูกันต่อไป
ดูเหมือนเป็นการ์ตูนแนวครอบครัวหรรษา แต่ไม่ใช่เลยครับ เป็นการ์ตูนดราม่ามากๆ มีหลายฉากนี้ทำให้ผมรู้สึกสงสารอย่างจับใจ เพราะว่าเหล่าลูกๆ เอ็นกะต่างมีปมปัญหาชีวิตทุกคน แค่คนแรกผมดูแล้วอยากร้องไห้แล้ว คือยูกะ มิดาเระซากิ สาวน้อยที่ถูกครอบครัวทารุณกรรม อีกทั้งยังมีปัญหาการกลั่นแกล้งในโรงเรียนอีก
การกลั่นแกล้งในโรงเรียนในการ์ตูนเรื่องนี้ รู้สึกจะรุนแรงกว่าเรื่องอื่นๆ เนื่องจากไม่ได้แกล้งธรรมดา หากใช้กำลังและความรุนแรงด้วย โครตแมนเลยผู้ชายต่อยผู้หญิง ดูกี่ทีสงสารหนูยูกะจับใจ
อย่างที่ว่าแหละประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ค่อนข้างมีระเบียบสูง และค่อนข้างเครียด ที่โรงเรียนก็ไม่เว้น เด็กนักเรียนทั้งหลายต่างเรียนๆๆๆๆ เพื่อให้สอบได้มหาลัยที่ดีที่สุดเพื่อเข้าทำงานบริษัทที่ดีที่สุด ดังนั้นหลายคนมักเครียด เก็บกด อยากระบาย แต่ไม่รู้จะระบายยังไงดี ด่าหมาหมาก็ไม่รู้เรื่อง ปรึกษาพ่อแม่ก็ไม่มีเวลา ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาระบายออกก็คนที่อ่อนแอไงละ คนที่สู้เราไม่ได้
ดังนั้นเหยื่อของเด็กวัยรุ่นนี้คือ เพื่อนในวัยเดียวกันที่อ่อนแอ ..............
อิจิเมะรุ หรือ เรียกสั้นๆว่า อิจิเมะ แปลตรงตัวเลยก็คือ รังแก.. นี้ที่เป็นที่รู้จักดี โดยเฉพาะในโรงรัยน และคุณ คงเคยได้ยินถึงกิตติศัพท์การกลั่นแกล้งของเด็กๆในโรงเรียนกันบ้างใช่ไหมล่ะทำไม ใครที่ผิดแผกแปลกแยกไปจากกลุ่ม นั้นแหละคือเป้าหมายในการรังแก
สำหรับประเทศไทยนี้ก็มีปัญหานี้อยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่แรงเท่าญี่ปุ่น ส่วนมากจะเป็นระดับประถมมัธยมมากกว่า พอขึ้นมหาลัยก็ไม่มีแล้ว อีกทั้งพอมีปัญหาอะไรก็สามารถปรึกษาพ่อแม่หรือคุณครูในโรงเรียนได้ปัญหานี้ก็หมดไปลันลา
ปัญหาการกลั่นแกล้งในโรงเรียนก็เกิดปัญหาอีกปัญหาหนึ่งตามมานั้นคือปัญหาการฆ่าตัวตายให้หนีพ้นจากเรื่องนี้ซะ ซึ่งจากสถิตพบว่าเด็กชั้นม.ต้น ที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุด รองมาเป็นเด็กประถมและม.ปลายตามลำดับ และนอกจากนี้ก็ทำให้เกิดปัญหาเด็กไม่ยอมไปโรงเรียน
ในการ์ตูนยูกะแทบทนการกลั่นแกล้งในโรงเรียนแบบนี้ไม่ไหว เธอมีปัญหา แต่ไม่ปรึกษาครอบครัวปลอมๆ ของเคียวกะ เนื่องจากเธอเกรงใจว่าจะทำให้ครอบครัวนี้เดือดร้อน และไม่มั่นใจในครอบครัวนี้สักเท่าไหร่ จนนานๆ วันเข้าก็กลับกลายเป็นความเก็บกด จนถึงขั้นคิดจะฆ่าตัวตาย ซึ่งตอนนั้นเหล่าพ่อแม่ของครอบครัวปลอมนี้ยังไม่ทราบเรื่อง เพราะตอนนั้นยังไม่เข้าใจเรื่องลูกๆ ของตนเอง หากตอนหลังครอบครัวปลอมๆ ที่ว่านั้นก็ได้ทำให้ยูกะเปิดใจในที่สุด และได้กำจัดปัญหาเหล่านี้ของยูกะไป จนเรียกว่ายูกะลืมครอบครัวเก่าของเธอไปเลย
การ์ตูนเรื่องนี้สอนในแง่คิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การเป็นครอบครัวที่ดี การเป็นพ่อแม่ที่ดี เช่นหน้าที่ของพ่อแม่ควรหมั่นสังเกตลูกๆ ของตนด้วยว่าลูกมีปัญหาอะไรไหม หากลูกปิดบังเราก็ควรใช้วิธีต่างๆ ในการให้ลูกเปิดใจให้แก่เรา เพื่อการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ให้ดีที่สุด สิ่งเหล่านี้ได้สอดแทรกในการ์ตูนเรื่องนี้อย่างลงตัว แม้ครอบครัวนี้จะมีความแตกต่างกันในสรีระ เชื้อชาติ ความคิด และความแตกต่างระหว่างวัย หากแต่ในที่สุดก็สามารถผ่านพ้นไปได้ เพราะไม่ว่าเราจะแตกต่างกันขนาดไหนยังไงเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน
10. Yokoyama Mitsuteru Sangokushi
และก็มาถึงการ์ตูนสุดท้าย แน่นอนครับว่าการ์ตูนเรื่องนี้ได้ความรู้แน่ๆ เพราะมันคือ “สามก๊ก” นั้นเอง
เวลาเราไปร้านหนังสือเรามักจะเห็นการ์ตูนสามก๊กออกมาหลายเล่มมาก บ้างก็จับบางตอนมาทำ บ้างก็ดัดแปลงเอาพล็อตมาทำเป็นการ์ตูนใหม่ บ้างก็เน้นกลยุทธ์ บ้างก็เน้นกำลังภายใน บ้างก็เน้นตลกหกฮ่า ก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคนว่าจะเอาอย่างไร
แต่สำหรับใครบางคนที่อยากอ่านการ์ตูนสามก๊กที่ดำเนินเรื่องเหมือนวรรณคดีฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน)ละก็ ก็มีการ์ตูนสามก๊กที่เป็นแนวอย่างว่าหลายสำนักพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นแบบฉบับของเกาหลี ของไทยก็มหาสนุก ญี่ปุ่นก็มี
แต่ถ้าอยากให้ผมแนะนำการ์ตูนสามก๊กที่ดำเนินตรงกับวรรณกรรมฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน)ที่มีเนื้อหา(เกือบ)ครบถ้วนละก็ ผมเลือก Yokoyama Mitsuteru Sangokushi
Yokoyama Mitsuteru Sangokushi เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องยาว(มากๆ) ที่แปลมาจาก วรรณกรรรมจีน เรื่องสามก๊ก ผลงานของ มิตสึเทรุ โยโกยามะ ซึ่งคนนี้นี้เคยมีผลงานอมตะเรื่อง เทตสึจิน หุ่นเหล็กหมายเลข 28 ที่กวาดรางวัลจนเป็นการ์ตูนคลาสสิกมาแล้ว และเรื่องสามก๊กก็ได้รับรางวัลการ์ตูนยอดเยี่ยม จากสมาคมนักการ์ตูนญี่ปุ่นในปี 1991 ต่อมาก็สร้างเป็นอมิเนชั่น และสร้างเป็นเกม
ที่เนื้อหายาวก็เนื้อจากการ์ตูนนั้นแปลมาจาก หนังสือสามก๊กฉบับภาษาญี่ปุ่น ของเออิจิ โยชิคาวะ ที่เล่าให้ละเอียดมากที่สุด โดยไล่เป็นภาคๆ ไม่ว่าจะเป็น กองทัพอาสาของเล่าปี่ตอนเกิดโจรกบฏผ้าเหลือง, เรื่องวุ่นๆ ของราชสำนักฮั่น, ปราบกบฏตั๋งโต๊ะ, ความยิ่งใหญ่ของตระกูลซุน, เจอขงเบ้ง ไปจนถึงตอนที่ผมชอบที่สุดคือศึกบังเฮ็กที่สนุกอร่อยเต็มไปด้วยกลยุทธ์และความพิสดารระหว่างขงเบ้งกับชาวม่าน
ที่ผมชอบการ์ตูนเรื่องนี้คือดำเนินเรื่องจนเกือบครบถ้วนของวรรณกรรม และที่น่ายินดีคือการ์ตูนได้ดำเนินมาถึงตอนที่จกก๊กล่มสลายด้วย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วการ์ตูนสามก๊กโดยทั่วไปมักจบลงตอนขงเบ้งตายและตัดจบไปเลย แม้ว่าจะรวบรัดไปสักหน่อยก็เถอะ แต่ก็น่ายินดีแล้วที่ได้เห็นสามก๊กดีๆ แบบนี้
แต่กระนั้นใช่ว่าการ์ตูนเรื่องนี้จะดีที่สุด เพราะการออกแบบตัวละครนั้นไม่ค่อยให้ความสำคัญมากนัก บางตัวก็หน้าเหมือนกันหมด บางตัวก็ออกแบบไม่ถูกใจโก๋ เช่น ลิโป้ที่ปกติเราจะเห็นเป็นหนุ่มหน้าดุแต่ในการ์ตูนนี้กลายเป็นหนุ่มมีหนวดรกรุงรังไป หรือตั๋งโต๊ะก็น่าจะออกแบบให้มันอ้วนและตัวโกงกว่านี้เป็นต้น บางเนื้อหาก็ถูกตัดออก เช่นศึกโจโฉกับอ้วนเสี้ยว ที่เป็นศึกที่ยิ่งใหญ่ของสามก๊กแท้ๆ แต่ออกมาเพียง 3 หน้าจบ ทำให้เราไม่ได้ดูความเก่งกาจของกุยแก หรือจะเป็นอยากหลังขงเบ้งตายที่มีศึกที่สนุกไม่แพ้กันคือ เกียงอุยสู้กับเต๋งงาย, เต๋งงายสู้กับลูกขงเบ้ง, ความล้มเหลวของจูกัดเก๊ก และความบ้าอำนาจของซุนโฮ เป็นต้น ซึ่งตอนนี้ผมก็โหยหาว่าจะมีการ์ตูนเรื่องไหนเอาเรื่องเหล่านี้มาทำบ้างหรือเปล่า
และเนื้อจากการ์ตูนดัดแบบจากวรรณกรรมจีนที่แปลด้วยคนญี่ปุ่นอีกที ทำให้ Yokoyama Mitsuteru Sangokushi มีเนื้อเรื่องต่างจาก สามก๊กฉบับ หรือ สามก๊กฉบับวณิพกของยาขอบเล็กน้อย ดังนั้นเราก็ได้เห็นฉากที่ไม่เคยเห็นในวรรณกรรม เช่นตอนต้นเรื่องเล่าปี่ถูกโจรชื่อเบ๊ง้วนหงีจับได้และต้องผจญภัยต่างๆ ก่อนที่จะมาพบเตียวหุยกับกวนอู เป็นต้น
+ +
ความคิดเห็น