คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #38 : 5 บุคคลที่คุณไม่เคยได้ยินว่าเคยช่วยโลกมาก่อน
5 People You've Never Heard Of Who Saved the World
คุณเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพวกเขาเหล่านี้หรือเปล่า? นั้นสิหลายคนต้องไม่รู้จักแน่ๆ ขนาดประวัติศาสตร์นั้นแทบจะไม่เขียนเรื่องราวของพวกเขาไว้เลย จนแทบจะมีข้อมูลของเขา-เธออยู่น้อยมากๆทั้ง ๆ ที่พวกเขานั้นครั้งหนึ่งเป็นคนช่วยโลกไว้ ดุจฮีโร่ไม่ปาน(แม้จะบังเอิญก็เถอะ) โลกของเรานั้นจะเป็นยังไงไม่รู้ถ้าขาดพวกเขาเหล่านี้
อันดับ 5.พนักงานรักษาความปลอดภัยผู้นำตัวประธานาธิบดีลงมา (The Security Guard Who Brought Down a President)
"ไม่น่าเชื่อเลยว่าผมจะกลายเป็นคนที่ทำให้ท่านประธานาธิบดีลงจากตำแหน่ง"
ไม่น่าเชื่อว่าพนักงานความปลอดภัยที่เงินค่าจ้างเพียง 80 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ ที่ไม่รู้ถึงสัญญาเตือนอันตรายอะไรล่วงหน้า จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของอเมริกาได้ เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน 1972 ขณะที่พนักงานความปลอดภัยคนหนึ่งกำลังลาดตระเวนสำนักงาน ที่ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของพรรคเดโมแครต (Democraticg) ได้สังเกตเห็นสิงผิดปกติในที่ทำการ(ประตูเปิด) จึงโทรเรียกตำรวจ ส่งผลสามารถจับกุมผู้ต้องหา 5 คนได้พร้อมของกลาง
จากการสอบสวนเป็นเรื่องเป็นราว ส่งผลให้ผู้ร้ายย่องเบาถูกการจับกุม และมีการสอบสวนเพิ่มเดิมก็ปรากฏว่าตัวนิกสันที่เป็นประธานาธิบดีอเมริกามีพฤติกรรมทุจริตในการเลือกตั้งโดยการใช้อำนาจรัฐในทางมิชอบ ต่อมานิกสันต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ทั้งหมดต้องลาออกในตอนท้ายในปี 1974 ก่อนที่อเมริกาจะถูกเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์
ภายหลังมีการตั้งชื่อคดีนี้ว่า คดีวอร์เตอร์เกต(Watergate) ที่หลายคนรู้จักกันดีนั้นเอง
ส่วนชีวิตพนักงานรักษาความปลอดภัยแสนซื่อสัตย์คนนั้นนะเหรอ เราก็ไม่รู้เกี่ยวกับตัวเขามากนัก (ขนาดชื่อเขาผมยังหาไม่เจอเลย ใครรู้ช่วยบอกที) แต่แหล่งข่าวออกมาบอกว่ารัฐบาลตอบแทนเขาอย่างแสบสันต์เลยแหละ คือ เขาโดนตัดเครดิตทุกอย่าง เช่นไม่สามารถซื้อตั๋วรถไฟฟ้า ไม่มีที่ฝังศพแม่ของเขา เขาต้องใส่เสื้อจรจัดพร้อมถังน้ำเดินขอเงินตามข้างถนน และโดนจำคุกในปี 1983 ข้อหาขโมยเงินร้านร้องเท้า 13 ดอลลาร์ และตายในปี 2000
ถ้าปราศจากบุคคลนี้ โลกของเราคง จริงอยู่คนที่ให้เครดิตคดี "วอร์เตอร์เกต" คือ "ดีพโธรต" และสื่อมวลชน แต่ถ้าไม่มีพนักงานความปลอดภัยคนนั้นก็ไม่มีจุดเริ่มต้นของ "คดีวอเตอร์เกต
ไม่รู้ว่าถ้าไม่มีคดีวอร์เตอร์เกต อเมริกาจะเป็นยังไงหนอ นิกสันอาจอยู่ตำแหน่งต่อไป และจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป บางทีนิกสันอาจติดใจที่เขาสามารถใช้อำนาจรัฐเพื่อผลประโยชน์ตนเองได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีใครรู้เห็น อเมริกาอาจสูญเสียอย่างใหญ่หลวงมากกว่าที่คิดก็ได้ โดยไม่มีใครกล้าออกมาต่อต้านกับรัฐบาล ประชาชนไม่มีสิทธิมีเสียง อเมริกาอาจล่มสลายก็เป็นได้
นอกจากนี้คดีวอเตอร์เกต เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รัฐสภาออกกฎหมายเพื่อให้หน่วยข้อมูลข่าวสารแข็งแกร่ง และเป็นแบบอย่างแก่นักข่าวอิสระที่กล้าเผชิญหน้า กับอำนาจชั่วร้ายของนักการเมืองชั่วร้ายบางคน
อ่านรายละเอียดของคดีวอเตอร์เก็ตได้ที่
(http://my.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=467856&chapter=5)
อันดับ 4.เด็กที่ฆ่า พระเจ้าริชาร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ ( และเปลี่ยนประวัติศาสตร์) (The Kid Who Killed Richard the Lionheart (and Changed History))
พระเจ้าริชาร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ (8 กันยายน ค.ศ.1157 6 เมษายน ค.ศ.1199) ครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษระหว่างปี ค.ศ.1189 ถึง พ.ศ. 1199 เรียกพระนามว่า ริชาร์ดใจสิงห์ (Richard the Lionheart) ทรงเป็นขุนศึกที่แสนฉลาด ทำศึกกับคนนอกศาสนา ชาวยิว ประเทศศัตรู ในสงครามคูเสตโดยมีกองกำลังทหารที่แสนร้ายกาจเป็นทีมสนับสนุน และพระองค์ยังทรงเก่งในการใช้ดาบต่อสู้ข้าศึกอีกด้วย จริงอยู่ในประวัติศาสตร์จารึกว่าพระองค์แพ้สงครามครูเสตเพราะทหารไม่ชินต่อสภาพภูมิอากาศ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าสาเหตุหนึ่งในนั้น ยังมีบุคคลหนึ่งได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ที่เป็นสาเหตุให้อังกฤษพ่ายแพ้สงครามครั้งนี้
แต่เอย.....น่าเหลือเชื่อคือคนที่ชนะพระองค์ในสงครามครูเสดนั้น เป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่มีอาวุธเพียงหน้าไม้และกระทะเท่านั้น!!
นักฆ่าคนนั้นเป็นปริศนาเสียจริง ขนาดเพศชายหญิงก็ไม่มีใครทราบ ไม่มีใครรู้แม้แต่ชื่อของเขา มีบันทึกเดาชื่อของเขามากมาย เช่น ปีเตอร์(Peter),ดูโด(Dudo), จอห์น(John) หรือ เบอร์ตัน(Bertran)(ขอเรียกย่อเด็กชายคนนี้เป็น PDJBละกัน) โดยเรื่องของเรื่องคือขณะที่พระเจ้าริชาร์ดที่ 1 แห่งอังกฤษ ทำศึกสงครามครูเสดเพื่อมุ่งสู่นครเยรูซาเล็ม(ครั้งที่ 3) จนถึงเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งของ PDJB ทหารของริชาร์ดจัดการเมืองเล็กๆ นี้โดยการฆ่าคนและเผาเมือง รวมไปถึง การฆ่าพ่อ และพี่ชาย,น้องชายของเด็กคนนั้นด้วย มันช่างง่ายต่อพระเจ้าริชาร์ดที่ 1 เสียยิ่งกระไร
และแล้วพระเจ้าริชาร์ดที่ 1 ก็อวดบารมีหน่อย พระองค์ทรงขึ้นไปจุดสูงสุดของกำแพงเมืองอวดให้ชาวเมืองที่กำลังจะตายและทหารของพระองค์ได้ดู และแล้วทันใดนั้นก็มีลูกศรพุ่งตรงมาปักบริเวณปอดของพระเจ้าริชาร์ด ทหารของพระองค์หันไปมองเห็นเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งกำลังง้าวลูกศรเพลิงออกไป และลูกที่สองก็ปล่อยออกมาไปปักที่ไหล่ของพระองค์ ทำให้พระองค์บาดเจ็บสาหัสและรักษาไม่ได้จนเกิดเนื้อเน่า การบุกรุกแดนตะวันออกกลางจึงหยุดแต่เพียงเท่านั้น(ก่อนที่พระองค์จะตายใน ค.ศ.1199) ส่วนชีวิตของเด็กชายนั้นไม่รู้ว่าเขาเป็นไงต่อหลังจากนั้น ว่ากันว่า ทหารฆ่าเด็กอย่างโหดร้าย หรือบางตำนานบอกว่าพระองค์ทรงให้อภัยเด็กเพราะเขามีความกล้าท้าทายพระองค์ ซึ่งสุดท้ายทำให้ชาวเมืองของPDJB เกือบล้านชีวิตรอดตายมาได้
ถ้าปราศจากบุคคลนี้ โลกของเราคง บางทีสงครามครูเสดจะไม่มีทางสิ้นสุดหรอกถ้าพระเจ้าริชาร์ดที่ 1ไม่บาดเจ็บและขอเจรจาสงบสุข และถ้าพระเจ้าริชาร์ดที่ 1ไม่บาดเจ็บและทรงนำทหารแสนยิ่งใหญ่ของพระองค์บุกต่อไป เราก็คาดเดาไม่ได้ว่าเยรูซาเล็มจะเป็นยังไงต่อไป บางทีอังกฤษอาจยึดครองนครเยรูซาเล็มได้อย่างง่ายดายและเปลี่ยนชื่อ "อังกฤษใหม่" และอาจจัดการสังหารชาวยิวให้หมดไปจากแผ่นดินจนล้างเผ่าพันธุ์เลยก็ว่าได้ และถ้าไม่มีนครเยรูซาเล็มเมืองศักดิ์สิทธิ ก็ไม่มีอิสราเอลอีกต่อไป
อันดับ3.ทาสหญิงผู้ช่วยโลกใหม่ (The Slave Girl Who Helped Conquer The
ชาวสเปนชื่อ เฮอร์นาน คอร์เตส (Hernan Cortes) อาจได้รับเครดิตที่สามารถพิชิตอาณาจักรอาซเทกที่แสนดุร้ายในอเมริกาใต้ได้ แต่หลายคนจะรู้ไหมหนอว่าเบื่องหลังของความสำเร็จนั้นมาจากทาสหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งคอยช่วยอาณาจักรสเปนอยู่
หญิงสาวผู้นั้นมีนามว่า "ลา มาลินเช่" (La Malinche)
ไม่มีบันทึกไว้ชัดเจนว่าพื้นเพของเธอนั้นเป็นใครมาจากไหน อายุเท่าไหร่ แม้แต่ชื่อจริงของอยู่เธอก็ยังเป็นปริศนา กระทั่งวันเกิดวันตายของเธอก็ไม่มีผู้ใดรู้ รู้แต่ว่าเธอเป็นทาสสาวของชาวมายาที่แสนต่ำต้อยที่ยกให้สเปน
อย่างที่รู้ๆ กันอาณาจักรอาซเทก ไม่มีความรู้เรื่องภาษาหรือวัฒนธรรมของสเปน ซึ่งทำให้สเปนไม่มีล่ามที่จะสื่อสารชนเผ่าต่างๆในอาณาจักรอาซเทก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องฝึกเด็กสาวนั้นได้เรียนรู้ภาษาสเปนเพื่อช่วยให้เธอเป็นล่ามสานความสัมพันธ์เจรจากันทั้งสองฝ่าย และแต่งตั้งให้เธอเป็นทูตในที่สุด และตลอดที่ลา มาลินเช่เป็นทูตนั้น เธอทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยม สามารถเจรจากับต่างๆ ในอาณาจักรแอสเท็ค โดยปราศจากการต่อสู้ จนสามารถรวบรวมอาณาจักรเม็กซิโกและพิชิตอาณาจักรนี้สำเร็จ จนทำให้ดินแดนแถบนั้นกลายเป็นเมืองขึ้นของสเปนอยู่ถึง 300 ปี และเมื่อเสร็จงานในปีค.ศ. 1524 คอร์เตสพาลา มาลินเช่ไปช่วยราชการในการยึดดินแดนทางใต้ (ปัจจุบันคือประเทศฮอนดูรัส)และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผู้คนมีโอกาสได้ยินชื่อเธอบนหน้าประวัติศาสตร์ เพราะหลังจากนั้นเธอก็หายตัวสาบสูญไปเลย
ถ้าปราศจากบุคคลนี้ โลกของเราคง ถ้าเกิดอาณาจักรอาซเทกเปิดศึกกับสเปนโดยไม่มีคนเจรจาอย่าง"ลา มาลินเช่" มีหวังเราคงไม่เห็นประเทศเม็กซิโกหรือซากโบราณสถานสำคัญของชาวเผ่ามายาที่แสนยิ่งใหญ่ในแผนที่โลกแน่ เพราะอาวุธที่แสนประสิทธิภาพของสเปนจะถล่มอาณาจักรแห่งนี้ย่อยยับ ฆ่าปล้นทุกสิ่งที่ขวางหน้าในดินแดนแห่งนั้นจนหมดสิ้น จนดูเหมือนสงครามวันล้างโลกยังไงยังงั้น และชนเผ่านั้นอาจต้องบูชายันคนบริสุทธิ์กว่า 84,400 คนแก่พระเจ้าดวงอาทิตย์เพื่อขอพรให้พวกเขาชนะศึกก็เป็นได้
ต้องขอบคุณทาสเด็กผู้หญิงที่ฉลาดหลักแหลมที่ช่วยให้อาณาจักรนี้รอดจากหายนะ แม้มีหลายเสียงประณามด่าเธออย่างสาดเสียเทเสียว่าเป็น "คนทรยศ" ขายชาติของตนเองให้แก่สเปน จนอารยธรรมที่ถือได้ว่ารุ่งเรืองที่สุดอารยธรรมหนึ่ง ของโลกอย่างแอสเท็คต้องล่มสลายก็ตาม แต่เอาเถอะอย่างน้อยเธอก็ช่วยคนนับล้านคนก็ถือว่าดีแล้วละนะ
อันดับ 2. ใครกันที่เป็นคนสร้างความหวังเมื่อไปเจอทะเลทองคำเข้า (The Prospector Who Stumbled Across An
(ขอบคุณคุณป้าครับที่ช่วยแปลให้หมดเลย)
ปี1886 ซึ่งเป็นปีที่ชาวแอฟริกาใต้กำลังตื่นทอง และนักสำรวจแร่ต่างได้เข้ามายื้อแย่งกัน นายซอรส์ แฮรี่สัน(Sors Hariezon )ได้เดินทางไปทั่วแอฟริกาใต้ และในที่สุดเขาก็ได้พบกับแร่ทองคำ เขาได้ปักเขตพื้นดินให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาและก็ตั้งต้นค้นหาทองต่อไป และไม่นานนักพวกล่าทองคำ ล่าผืนดิน ได้เข้ามาในบริเวณนี้เป็นบริเวณกว้างหลายร้อยไมล์
จากนั้น ซอรส์ได้ขายกรรมสิทธิ์ของเขาไปในราคาเพียง 20 เซ็นต์แล้วแยกตัวออกมา หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้ข่าวเขาอีกเลยบ้างก็ว่าเขาไม่ได้ออกไปไหน แต่ชื่อของเขาถูกออกเสียงผิดๆว่า จอร์จ แฮรี่สัน บนใบกรรมสิทธิ์ทองคำ ซึ่งบางประวัติศาสตร์บอกว่า เขาได้ขายไปและออกเดินทางแต่โดนสิงโตกินไปแล้ว (แถมคำว่าซอรส์ไม่ใช้ชื่อจริงเขาอีก เนื่องจากคำว่าซอรส์นั้นเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งความโชคดีของชาวโรมัน)
และที่แห่งนั้นอยู่ใกล้กับที่ซึ่งต่อมาได้แบ่งออกเป็นเมืองโจฮันเนสเบอร์ก ยังคงผลิตทองคำออกมาเรื่อยๆในแต่ละปี ซึ่งสามารถผลิตทองได้ปีละหนึ่งพันตันเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว
ถ้าปราศจากบุคคลนี้ โลกของเราคง โจฮันเนสเบอร์ก เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาใต้ ผู้ส่งออกหลักทองแห่งโลกตะวันออกและเพชร (เลือด) แน่นอนว่า มันอาจจะไม่ใช่ที่มาของวัฒนธรรม แต่มันก็บ่งบอกได้ถึงสิ่งดีๆที่เกิดมาจากแอฟริกาใต้ ถ้าเกิดมีใครที่มีจิตใจที่ชั่วช้าได้พบแหล่งทองคำ พวกเขาคงจะเก็บเอาไว้เองแทนที่จะให้แก่บ้านเมือง ถ้าไม่มีโจฮานเนสเบิคแหล่งทองคำแห่งใหญ่ เซาธแอฟริกา ก็มีแค่เรื่องเลวๆแล้วก็เป็นประเทศที่แร้น มีดีแค่เมืองที่เป็นแหล่งขุดทองแต่จิตใจของผู้คนกลับย่ำแย่ ไม่อยากเชื่อว่าคนอย่าง แมนสัน เมเดอร่า ได้เติบโตที่นั่น
แตกต่างจาก แมนสัน(มันควรจะไปได้ดีกว่านี้ ถ้าคนมันซื่อสัตย์) มันเข้ากับสถานการณ์บ้านเมืองเราตอนนี้เลยนะเนี่ย
ถ้ามันยังฟังดูไม่แย่พอ "ทองทั้งหมดจะเป็นของคนคนเดียว" ทองในจำนวนที่พอเพียงที่จะสร้างเมืองทั้งเมืองได้เป็นของนักเสี่ยงโชคทองชาวแอฟริกาใต้ผิวขาว
อันดับ1.พ่อค้าถ่านที่ช่วยชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (และเปลี่ยนประวัติศาสตร์อีกครั้ง) (The Coal Merchant Who Saved King Louis the Fourteenth (And Changed History Again))
ในปี 1640 คนขายถ่านคนหนึ่ง กำลังเดินกลับบ้าน และเมื่อถึงบ้าน ครอบครัวของเขาต่างแปลกใจพบเด็กชายคนหนึ่งในอ้อมแขนของคนขายถ่าน ซึ่งเขาอธิบายว่าเขาเห็นเด็กชายคนนั้นกำลังจมน้ำที่แอ่งข้างหลังราชวังสุดหรูของฝรั่งเศส(มี 2 กรณีคือเล่นซนหรือไม่ก็ลอบสังหาร) ซึ่งในบริเวณนั้นไม่มีคนอื่นๆ นอกจากเขา เขาเลยช่วยเด็กชายคนนี้ไว้ขึ้นน้ำและปฐมพยาบาลเขาทั้งคืน จนเด็กชายคนนั้นได้สติ
หารู้ไม่ว่าอนาคตคนนี้เด็กคนนี้จะเป็นกษัตริย์ในนามข้างหน้า ซึ่งพระนามว่า พระเจ้าหลุยส์ที่ 14!!
หลังจาก คนขายถ่านได้ช่วยเหลือกษัตริย์เด็กผู้ชายหลุยส์ที่ 14!! ฟื้นจากความตาย เพื่อเป็นการขอบคุณคนขายถ่าน หลุยส์ที่ 14!ได้สัญญาเขาว่าจะตอบแทนเงิน และหลังจากนั้นเราก็ไม่ทราบข่าวของ คนขายถ่านคนนี้อีกเลยว่าเขามีชีวิตอย่างไรหลังจากนั้น
ถ้าปราศจากบุคคลนี้ โลกของเราคง ถ้าสมมุติว่าพระเจ้าหลุยส์ตายไปตั้งแต่เล็กๆ นี้ฝรั่งเศสจะเป็นอย่างไรหนอ บางทีอาจจะไม่เกิดฝรั่งเศสสมัยใหม่ ไม่มีเจ็ดสิบปีของปกครองโดยระบอบกษัตริย์ที่แสนกดขี่ไม่มีจุดหักเหในประวัติศาสตร์การปกครองของยุโรป นอกจากนั้นคุณ
+ +
ความคิดเห็น