คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ก่อนตามรอย
ก่อนตามรอย
อย่างที่ว่าการตามหาสัตว์เร้นลับจะไปล่าโดยไม่มีความรู้ไม่ได้นะครับ ไปมีแต่ตายกับตาย เพราะแต่ละที่ที่สัตว์เร้นลับปรากฏตัวอยู่ ล้วนอยู่พื้นที่อันตรายทั้งสิ้น ที่นั้นมีทั้ง เชื้อโรค สัตว์ร้าย และพวกเปรตเดินดิน.......ถ้าไปทื่อๆ มีแต่ เสียเวลา เสียเงิน เสียทอง และเสียชีวิตก็ได้
แล้วจะทำอย่างไรละ ก่อนที่ก็ต้องรวบรวมหลักฐานก่อนสิ วิเคราะห์ว่ามันของจริงหรือเท็จ และเอาไปวางแผนว่าเราจะสำรวจหาตัวมันอย่างไร ใช้งบประมาณเท่าไร เพื่อให้ผลงานที่ออกมาประสบผลสำเร็จสูง
โดยหลักฐานพวกนี้คร่าวๆ ประกอบด้วย
คำบอกเล่า
ในกรณีที่เห็นได้ชัดที่สุดคงเป็นเรื่องเนสสีแห่งสก็อตแลนด์ละน่ะ
ตั้งแต่ปีคริสต์สตวรรษที่ 6 ที่ทะเลสาบ ลอคเนส ประเทศสก็อตแลนด์ จู่ๆ เจ้าสัตว์ประหลาดนี้ก็โผล่มาแบบผลุบๆ หายๆ มีคนเห็นตัวมันจนถึงปัจจุบันกว่า 3000 รายได้แล้วมั้ง
รายล่าสุดเห็นจะเป็นรอย จอห์นสตัน อดีตคนถ่ายภาพราชสำนัก เขาเห็นตัวมันบังเอิญ ในเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2545 และถ่ายภาพซะด้วยสิ
วันนั้นเขาออกไปเดินเล่นกับภรรยา เขาแวะไปที่ริมทะเลสาบแห่งนั้น กะว่าจะลุยไปถึงชายน้ำ ไปถ่ายรูปนกกำลังกินบนผิวทะเลสาบสักหน่อย
ทว่าเมื่อไปถึง เขาก็ไม่ได้เห็นนักตามที่ปรารถนาหรอน่ะ กลับเจออะไรที่แปลกกว่า เขาเจอสัตว์ประหลาดน่ะ กำลังโผล่คอยาวๆ ขึ้นมาเหนือทะเลสาบ ต้องเป็นงวงช้าง ใช่ๆ ช่วงช้างแน่ๆ เลย แต่เอ......ช้างบ้านไหนอยู่อังกฤษฟ่ะ แถมอยู่น้ำลึกขนาดนี้อีก พลันนั้นเขาก็นึกถึง “เนสสี” สัตว์ลึกลับชื่อดังแห่งทะเลสาบลอสเนส
วินาทีเขาถึงกับอึ้ง ......เสียว.... เขาซุ่มดูอยู่เงียบๆ และเขาก็ถ่ายรูปด้วย จากนั้นเขาก็ไปหาภรรยาที่นั่งคอยอยู่ ภรรยาบอกด่าเช็ดเลยว่าแก่แล้วยังตาฝาดอีก จนกระทั้งเอารูปที่จากการล้างเสร็จแล้วละ เธอถึงจะเชื่อ...
ซาก
หลักฐานชิ้นต่อไป ส่วนมากมากจากทะเลน่ะ มันเป็นซากของสิ่งมีชีวิตที่เกยตื้นบนชายหาด ที่ใครต่างไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นสัตว์อะไร
อันที่จริงมีคนพบสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลมากมายตลอดห้าศตวรรษแล้วนะ โดยเฉพาะพวกคนเรือ แต่ส่วนใหญ่มักปิดเงียบ เพราะพวกเขาเชื่อว่าใครพูดเรื่องนี้จะประสบหายนะ
ที่ดังๆ ก็มี 2 เรื่อง เรื่องแรกก็ ปี พ.ศ. 2468 ที่หาดมัวร์ ในอ่าวมอนทาเรย์ แคลิฟอร์เนีย มีหัวของสัตว์ตัวหนึ่งมาเกยหาด มันรูปร่างแปลกประหลาดมากปากมีโครงร่างมีรอยยิ้ม เบ้าตาขนาดใหญ่ มีตุ้มด้านข้างกะโหลกที่คล้ายจะเป็นที่ตั้งของหู และมีคอยืดยาวที่ทอดไปตาชายหาด มันดูคล้ายไดโนเสาร์ชนิดหนึ่ง ซึ่งต่อมานักวิทยาศาสตร์บอกว่ามันเป็นไดโนเสาร์(พันธุ์อะไรก็ไม่รู้) ที่สูญพันธุ์ไป 65 ล้านปีไปแล้ว แต่ไม่ทันตรวจสอบอย่างละเอียด หัวนี้ก็เน่าและถูกน้ำซัดกะโหลกลงทะเลหายไป....... ซึ่งภายหลังนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่มาดูรูปอีกครั้งต่างลงความเห็นว่ามันเป็นปลาวาฬงอยปากที่สูญพันธุ์ไปแล้วต่างหากละ
เรื่องที่สองในการค้นพบซาก เรื่องนี้หลายคนอาจรู้จัก ซากนี้หลายคนกล่าวว่ามันคือซากของพลิโอซอร์หรือมังกรทะเล ซากนี้มันติดอวนน้ำลึกของเรือประมงชาวญี่ปุ่นโดยบังเอิญเมื่อปี พ.ศ.2520
วันนั้นถ้าจำไม่ผิดพวกเขากำลังลากอวนอยู่ในระดับ 100 เมตรห่างชายฝั่งนิวซีแลนด์ เขาลากซากสัตว์นี้ติดขึ้นมา มันยาว 32 ฟิต(เฉพาะซาก) หนักราว
รูปถ่ายและวีดีโอ
รูปถ่ายภาพสัตว์เร้นลับนี้ที่จริงก็มากเนอะ มีทั้งเนสสี ทั้งมังกร บิ๊กฟุต
แต่กรณีที่กล่าวถึงมากที่สุดคงเป็นวิหคสายไฟนี้แหละ
วิหคสายฟ้าเป็นสัตว์เร้นลับชนิดหนึ่งในตำนานอินเดียนแดงครับ ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นนกอะไรหรือตัวอะไรกันแน่ มีหลายคนพบเห็นตัวมันในสมัยสงครามกลางเมืองสหรัฐและในอลาสก้า
รูปถ่ายของมันนี้เป็นรูปไดโนเสาร์มีปีก และมีพวกทหารทั้งหลายยืนเหยียบตัวมันอยู่ ดูแล้วมันสมจริงเกินไปซะด้วยสิ
เหยื่อ
คือเหยื่อที่สัตว์เร้นลับฆ่าหรือกินเหลือทิ้งไว้แหละครับ สามารถเอาซากนี้ไปตรวจหาดีเอ็นเอ หารอยฟันมันได้
ตั้งแต่ พ.ศ. 2538 มีเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่มาจากต่างดาวในนาม ชูปราคับบรา หรือ ตัวดูดเลือดแพะ มันเป็นที่เกรงกลัวทั่วเกาะเล็กเกาะน้อยของเปอเตอริโก้
เจ้าตัวดูดเลือดสูงประมาณ 3-
เริ่มตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2533 แต่สื่อมวลชนเพิ่งจะค้นพบ และเสนอข่าวในปี พ.ศ. 2539 มันเกิดที่เมือง พอนซ์ เมืองเออริซิโบ เมืองโดราโด และวกลงมาที่ฝนป่า เอล ยานเควเดิมสัตว์ดูดเลือดนี้รู้จักในนาม เอล แวมไพร่า โมกา ต่อมารู้จักกันในนาม เอล ซูปราคับบรา
การโจมตีมีอยู่ทุกรูปแบบ เหยื่อเสียเลือดไปมาก รวมทั้งอวัยวะในการหายไปด้วย ในบางสถานการณ์ เหยื่ออาจจะตายโดยไม่ทราบสาเหตุ คณะนักสำรวจ พยายามหาหลักฐานและเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่า มันอาจจะอยู่ในถ้ำ ต่าง ๆ ของ เปอร์ โต้ ริโก้ ซึ่งมีชื่อเสียงเกี่ยวกับถ้ำที่ลึกและยาวเป็นไมล์ ๆ ว่ากันว่า คุณสามารถเดินเข้าไปในถ้ำแล้วไปโผล่ยังส่วนต่าง ๆ ของโลกได้ หนึ่งนักสำรวจคือ บ๊อบ สช็อตต์ นักค้นคว้าชาวอเมริกันได้ค้นพบความจริงที่น่าสนใจ ที่ทุ่งเลี้ยงสัตว์ แห่งหนึ่งของ เมลวิน รีเยส ใน คาโนวานาส พวกนักสำรวจได้เรียนรู้ว่า เมื่อเดือน เมษายน พ.ศ. 2539 ได้มีแกะ 2 ตัว ในฝูงถูกดูดเลือดลูกทีมได้ยินว่าตัวหนึ่งในนั้น ถูกสัตว์กินเนื้อฆ่า ขณะที่อีกตัวเกือบจะรอดอยู่แล้ว แต่หางของมันถูกดึงจนหลุดไป คณะสำรวจชุดนี้ได้พบกับนักค้นคว้าท้องถิ่นชาว
เดือนตุลาคม พ.ศ. 2539 ใน แคมโปริโก จอร์จ มาร์ติน ได้พบตั้วอย่างเลือดที่รั่ว ซึ่งชูปราคับบรา ได้ไต่ออกมาก่อนที่จะหนีไป อีกรายงานหนึ่งแจ้งว่า ก่อนเหตุการณ์นี้ตำรวจท้องที่ยิงมันได้ตัวหนึ่ง ทำให้ได้ตัวเลือดที่หยดไปเป็นสาย ผลการตรวจเลือดแสดงให้เห็นว่าลักษณะเลือดของมันคล้ายเลือดมนุษย์ แต่การวิเคราะห์พันธุกรรมแสดงว่าเลือดของมันเข้ากับเลือดมนุษย์ไม่ได้ และไม่มีทางที่จะไปกันได้ด้วย
และอื่นๆ
เช่น มูล รอยเท้า ฯลฯ กรณีที่ดังที่สุดคงบิ๊กฟุตมั้งครับ
บิ๊กฟุต (Bigfoot) หรือชื่อที่แปลตรงตัวว่า " ไอ้ตีนโต " เป็นสัตว์ลึกลับที่เชื่อว่ามีรูปร่างคล้ายมนุษย์ พบในสหรัฐอเมริกา และทวีปอเมริกาเหนือ โดยชื่อที่เรียกมีที่จากรอยเท้าที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์แต่ใหญ่โตกว่ามาก โดยที่ในแคนาดาเรียก " ซาสควาทช์ " (Sasquatch) และมีสัตว์ลักษณะคล้ายเคียงกันพบที่เทือกเขาหิมาลัยในเนปาล เรียกเป็นภาษาพื้นเมืองว่า " เยติ " (Yeti) หรือ มนุษย์หิมะ ที่ออสเตรเลียก็มีสัตว์ลักษณะคล้ายคลึงกันนี้ เรียกว่า " โยวี่ " (Yowie) เป็นต้น
สัตว์ชนิดนี้มีผู้กล่าวอ้างว่าพบเห็นมากมาย ทั่วทุกมุมโลกดังที่ได้กล่าวมา มีลักษณะรูปร่างใหญ่โต ขนสีน้ำตาล มีรูปร่างและการเคลื่อนไหวคล้ายมนุษย์ มีน้ำหนักมาก แต่มีความว่องไวรวดเร็ว เมื่อพบปะกับมนุษย์ก็จะหลบหนีไปอย่างว่องไว เรื่องราวของบิ๊กฟุต นี้ มีทั้งผู้ที่เชื่อและผู้ที่ไม่เชื่อ ผู้ที่เชื่อ สันนิษฐานว่า บิ๊กฟุตเป็นมนุษย์โบราณที่เรียกว่า นีแอนเทอร์ดัล ที่ยังหลงเหลือมาจนปัจจุบัน สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ ก็เชื่อว่าเป็นการสร้างเรื่องขึ้นมานั่นเอง
คงมีแค่นี้ละมั้ง แต่อย่างไรก็ตามตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หลักฐานที่ว่าเมื่อทำการพิสูจน์ส่วนมากจะเป็นของปลอมมากกว่า อย่าลืมสิใครๆ ก็อยากดังทั้งนั้น แถมบางหลักฐานกว่าพิสูจน์ได้ว่าเป็นของปลอมน่ะเวลามันผ่านกว่าทศวรรษเลยที่เดียวล่ะ เก่งๆ จริงๆ เนอะคนเรา
สำหรับตอนนี้ก็มีแค่นี้แหละครับท่าน
+ +
ความคิดเห็น