คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : The Bridge
The Bridge : แอบดูเป็น แอบดูตาย(2006)
สะพานโกลเด้น เกต ออกแบบโดย โจเซฟ สเตราส์ เปิดใช้งานในปีค.ศ. 1937 ณ เวลานั้น ด้วยความยาวช่วงกลางสะพานถึง
แม้ทุกวันนี้ โกลเด้น เกตจะถูกเขี่ยกระเด็นจากตำแหน่งดังกล่าวจนร่วงลงมาอยู่ที่ลำดับ 7 (ปัจจุบันสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก คือสะพานอากาชิ ไคโก ที่ประเทศญี่ปุ่น มีความยาวถึง
สถิติตัวเลขโดยคร่าวระบุว่า ในแต่ละปีมีผู้เดินทางมาเที่ยวชมสะพานแห่งนี้ถึง 9 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม โกลเด้น เกตก็ไม่ได้มีเพียงแง่มุมงดงามสดใสเช่นนั้นแต่เพียงอย่างเดียว
เพราะในอีกฟากหนึ่ง ปรากฏข้อเท็จจริงที่ชวนตระหนกตกใจว่า โกลเด้น เกตถือเป็นสถานที่ที่คนนิยมใช้เป็นที่ฆ่าตัวตายอันดับต้นๆ ของโลก ด้วยจำนวนเฉลี่ยสูงถึงเดือนละ 2 คนเลยทีเดียว
อะไรทำให้คนนิยมฆ่าตัวตายที่โกลเด้น เกต? ไม่รู้สิ แต่ที่แน่ๆ คือสะพานอยู่สูงกว่าผิวน้ำถึง
แล้วด้วยความแปลกใหม่ ความประหลาดของการฆ่าตัวตายนี้เอง ที่ทำให้กำเนิดหนัง กึ่งสารคดีนี้ขึ้นมา
The Bridge
The Bridge เป็นหนังสารคดีที่เล่าเรื่องจริงของคนกลุ่มหนึ่งซึ่งตัดสินใจจบชีวิตตนเองด้วยการกระโดดสะพานโกลเด้น เกต
เอริก สตีล ผู้กำกับ บอกว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจในเรื่องดังกล่าวหลังจากอ่านบทความชื่อ Jumpers The Fatal Grandeur of the
วิธีการทำงานของสตีลก็คือ เขารวบรวมทีมงานราว 4-5 ชีวิต แล้วยกกองกันไปปักหลักตั้งกล้องตามจุดต่างๆ บนชายฝั่งเพื่อสามารถสอดส่องความเป็นไปบนสะพานได้อย่างครอบคลุมที่สุด สตีลใช้เวลาสะสมฟุตเตจทั้งหมดถึง 1 ปีเต็มๆ ระยะเวลาการทำงานในแต่ละวันจะสั้นหรือยาวสุดแท้แต่แสงอาทิตย์จะกำหนด
ผลก็คือ ปีนั้นทั้งปี สตีลกับทีมงานสามารถบันทึกภาพคนที่กระโดดลงจากสะพานโกลเด้น เกต ได้ถึง 19 ราย จากจำนวนทั้งสิ้น 24 ราย
นอกจากนั้น สตีลยังเดินทางไปพบคนใกล้ชิดของนักโดดหลายคน บ้างเป็นญาติ บ้างเป็นเพื่อน บ้างเป็นพ่อแม่พี่น้อง แล้วขอให้พวกเขาเล่าเรื่องราวของผู้คนเหล่านั้นขณะยังมีชีวิตอยู่ และความรู้สึกภายหลังทราบว่าผู้เป็นที่รักของตนตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลงอย่างนั้น
เมื่อนำทั้งหมดมาเรียงร้อยเข้าด้วยกัน ทำให้กลายเป็นหนังชื่อ The Bridge ขึ้นมา
ในเนื้อหาของหนังทำให้เรารู้สึกสยองลึกล้ำทุกครั้งที่หนังเผยให้เห็นภาพผู้คนบนสะพาน เพราะไม่อาจรู้ได้เลยว่า ใครกำลังคิดอะไร รู้สึกเช่นไร และจะทำอะไรต่อไป (เหตุการณ์ตอนหนึ่งซึ่งระทึกใจอย่างยิ่งก็คือ ช่างภาพคนหนึ่งซึ่งกำลังเก็บภาพทิวทัศน์อยู่บนสะพาน พบว่าหญิงสาวที่อยู่ใกล้ๆ กัน ปีนออกไปยืนที่ขอบสะพาน เตรียมพร้อมจะกระโดด และได้บันทึกภาพนิ่งของเธอเก็บไว้)
แน่นอนหนังเรื่อง The Bridge ก็โดนด่าสิ เพราะรู้กันอยู่ที่เอริก สตีล กับทีมงานไปตั้งกล้องจับภาพบนสะพานอย่างนั้น หมายความว่าพวกเขาจะต้องเห็นความผิดปรกติก่อนแล้วล่วงหน้า แต่ทำไมถึงมีการฆ่าตัวตายเกิดขึ้น ทำไมไม่ช่วยเหลือพวกเขา
จากคำบอกเล่าของสตีล หลายครั้งพวกเขาโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีที่เห็นคนบนสะพานตั้งท่าจะกระโดด (ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นอย่างปุบปับ เช่น เห็นใครสักคนยืนนิ่งอยู่ตามลำพัง แต่เพียงชั่วกระพริบตา ใครคนนั้นก็พาร่างของตนปีนออกมาอยู่อีกฝั่งของสะพาน แล้วดิ่งลงสู่เบื้องล่างอย่างไม่รอช้า นอกจากนั้นยังมี ‘เด็กเวร’ หลายคนที่เล่นพิเรนทร์ด้วยการปีนขึ้นไปยืนบนราวสะพาน แล้วเต๊ะท่าให้เพื่อนถ่ายรูป) มีบางครั้งที่พวกเขาหยุดยั้งมันได้ทัน แต่โดยมากแล้วมักจะสายเกินไป และนอกจากนั้นยังมีข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่อาจเป็นข้อแก้ต่างให้เอริก สตีล และทีมงานได้ นั่นก็คือ ญาติมิตรของผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่งพูดตรงกันว่า นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาหรือเธอคนนั้นพยายามที่จะจบชีวิตตนเอง
คุณแม่ชราคนหนึ่งพูดถึงลูกสาวว่า เธอเห็นลูกมีปัญหาใหญ่น้อยทั้งทางร่างกายและจิตใจรุมเร้ามาอย่างยาวนาน เธอรู้ว่าลูกไม่มีวันหายเป็นปรกติ และตัวลูกเองก็รู้ดีเสียยิ่งกว่า เธอพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างยอมรับและเข้าใจ “ลูกคงโล่งใจที่ทุกอย่างจบลงเสียได้ เธอทนอยู่กับมันมานานจนไม่อยากทนอีกต่อไป แต่นับจากนี้ ฉันเชื่อว่าเธอจะอยู่ในที่ที่ดีกว่า ฉันเชื่อว่าลูกจะได้พบกับความสงบเสียที”
พ่อของชายหนุ่มอีกคนเล่าว่า วันที่รู้ว่าลูกหายจากบ้านไป เขารู้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น “เขาเคยฆ่าตัวตายมาหลายครั้ง แต่เราช่วยเขาไว้ได้ ในครั้งที่ 2 หลังจากฟื้นขึ้นมาเขาบอกผมว่า ‘คราวหน้าผมจะไม่พลาดอีก’”
ผู้เป็นพ่อเล่าว่า หากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน ลูกชายของตนไม่น่ามีเหตุให้ต้องตัดสินใจทำอย่างนั้น “เขารู้ว่าตัวเองมีพร้อมทุกอย่าง รู้ว่ามีคนรักเขา รู้ว่าตัวเองมีความสามารถ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังรู้สึกอึดอัดและไร้สุขกับชีวิต
บางคนอาจบอกว่า ‘ร่างกายคือวิหาร’ แต่สำหรับลูก มันคือคุก ผมไม่อยากให้เขาต้องทนอยู่กับความรู้สึกนั้นโดยไร้ทางออก
ที่สุดแล้ว หากนั่นเป็นหนทางเดียวที่เขาจะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ หากเขาปรารถนาที่จะตายถึงเพียงนั้น ผมคงต้องปล่อยเขาไป... ”
http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?
+ +
ความคิดเห็น