คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #229 : อีกครั้งกับ Katte ni Kaizou ตอนจบความจริง=ความฝัน
เนื่องจากเทนตาเคิลถูกแจ้งเตือนว่าเนื้อหาไม่เหมาะสมครับ เลยทำการลบออก สำหรับบทสรุปทิ้งท้ายอ่านในกระทู้ http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2688584 น่ะครับ
ปล. บทความนี้ผมจะพูดตอนจบของการ์ตูน (และเกม) หลายเรื่อง ดังนั้นมีสปอยแน่นอนครับ เตือนเอาไว้ก่อน
เวลาที่เราอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง เรามักมีเรื่องกังวลใจเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องนั้นๆ ยิ่งเป็นเรื่องที่เราชอบมาก ก็ยิ่งกังวลทวีคูณ กลัวอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับการ์ตูนที่เราชอบ โดยเฉพาะกลัวคนเขียนการ์ตูนเรื่องนั้นเขียนไม่ถูกใจเรา ดำเนินเรื่องแย่ ไม่ว่าจะเป็น ออกทะเล ตัวละครที่ชอบตาย แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่เรากังวลมากที่สุดไม่ใช่เรื่องดำเนินเรื่อง
ไม่รู้เพราะอะไรการ์ตูนญี่ปุ่นหลายเรื่องชอบจบค่อนไปทางผิดหวัง โดยเฉพาะตัดจบ ที่ทำได้สอบตก โดยเฉพาะแนวแอ็คชั่นแฟนตาซีดำเนินเรื่องอยู่ดีๆ มาตัดจบตอนท้าย ประเด็นมากมายค้างคาไม่มีการกระจ่างเป็นที่เสียอารมณ์แก่คนดู
แน่นอนว่าตอนจบของการ์ตูนญี่ปุ่นมีมากมาย ที่ทำให้เราผิดหวังแตกต่างไป จากน้อยไปถึงมาก นอกเหนือจากตัดจบ ส่วนใหญ่คือจบไม่ตรงใจกับแฟนผลงานที่สมควรจะจบแบบนี้ แต่การ์ตูนดันจบพลิกล็อก ที่ค่อนไปทางแย่ บางเรื่องจบได้ทีตราตรึงแก่ใจคนดู (ชนิดฝันร้ายไม่หาย) เช่นจบเข้าวินตัวละครไม่ใช่นางเอกตัวหลักสมหวังในความรักกับพระเอก, ฉากจบนางเอกตายพระเอกด้วนตาบอด, ฉากจบปาหมอนชนิดคนดูไม่ให้อภัยแก่คนเขียนแบบไม่เผาผี
การที่การ์ตูนเรื่องหนึ่งนั้นจะจบดีหรือไม่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับว่าฉากจบนั้นสอดคล้องกับการดำเนินเรื่องแบบด้วยว่าเข้ากับสิ่งที่คนอ่านคาดหวังจากการ์ตูนเรื่องนั้นได้หรือไม่ ประเด็นต่างๆ ต้องคลี่คลายกระจ่างให้หมด อย่าหมกเม็ดหรือหักหลังคนอ่าน
แต่ไม่รู้ว่าคนเขียนการ์ตูนเรื่องนี้จะคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ที่ผ่านมาการ์ตูนดังที่คนไทยชอบดูล้วนจบน่าผิดหวัง ยกตัวอย่างเช่นเนกิเมะที่ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจบแบบประเด็นค้างคา หรือ Cage of Eden หรือบ้านเราเรียกการ์ตูนนี้ว่าฮาเร็มล้านปี (ซึ่งไม่เห็นฮาเร็มแมวตรงไหน นิยามฮาเร็มได้ไม่ถูกหลักสากลเสียเลย) ที่เริ่มด้วยปริศนาน่าสนใจ แต่ตกม้าตายตอนเฉลยปม บางทีอาจเป็นเพราะคนเขียนที่ไม่ถนัดการเล่าเรื่องแบบยาวๆ และไม่สามารถทำให้จบแบบสมบูรณ์ก็เป็นได้
โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบฉากจบประเภท “หวานอมขมกลืน” เท่าใดนัก คือมันรู้สึกก่ำกึ่ง อารมณ์มันไม่รู้จะรู้สึกยังไงดีระหว่างสมหวังหรือผิดหวัง อย่างเรื่อง Mawaru PenguinDrum ผมไม่ถูกใจตอนจบอย่างบอกไม่ถูก ในขณะที่หลายคนเกลียดฉากจบปาหมอน เกลียดมากจนไม่เผาผีคนเขียนเลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม มีฉากจบแบบหนึ่ง ที่หลายคนบอกว่าจบแย่และเลวร้ายยิ่งกว่าฉากจบปาหมอน แย่ยิ่งกว่าตัดจบ ค้างคาอีก นั้นคือฉากจบ “ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงความฝัน”
ตอนจบ Lucu Lucu ตอนที่ 90
สุดท้ายโลกที่พระเอกอยู่เป็นเพียงสิ่งที่นางเอกที่เป็นปีศาจสร้างขึ้นมา
ตอนจบ “มันเป็นเพียงแค่ความฝัน” หมายถึงการเล่าเรื่องตอนจบที่ปรากฏว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด การดำเนินเรื่องทั้งหมด สุดท้ายมันก็ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงความคิดของตัวละครตัวหลักเท่านั้น ซึ่งตัวละครหลัก (ตัวเอก) ได้ฝันไป หรือมีอาการทางจิตสร้างเรื่องขึ้นมาเอง (บางเรื่องก็สร้างโลกขึ้นมาเอง อย่างริคุ ริคุ ซึ่งสุดท้ายโลกที่พระเอกอยู่เป็นเพียงโลกที่ปีศาจสร้างขึ้นมา) และเมื่อถึงตอนจบตัวเอกก็จะกลับสู่โลกแห่งความจริง ก่อนที่จะนำไปสูบทสรุปที่ส่วนใหญ่หักมุมอย่างเหลือเชื่อ
ครั้งหนึ่งเคยมีข่าวลือถึงฉากจบโดเรมอน ที่เขาว่ากันว่า "ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ" ได้ร่างไว้ก่อนที่จะจากไป โดยฉากจบที่ว่าคือในตอนจบโนบิตะได้ลืมตาตื่นขึ้นมา เมื่อมองไปรอบๆ พบว่าเขาไม่ได้อยู่ที่บ้าน เขาอยู่ที่โรงพยาบาล ข้างๆ ของเขามีพ่อแม่และเพื่อนๆ ครบทุกคน และเมื่อโนบิตะถามถึงโดเรมอนว่าอยู่ที่ไหน ทุกคนกลับปฏิเสธว่าไม่รู้จักโดเรมอนคืออะไร พร้อมบอกโนบิตะว่าโนบิตะนั้นนอนหลับมานานหลายปีแล้ว ซึ่งโนบิตะก็นึกย้อนได้ว่าเรื่องราวเกี่ยวกับโดเรมอน ของวิเศษต่างๆ การผจญภัยมากมายเป็นเพียงความฝันของเขาเท่านั้น โดเรมอนไม่มีอยู่จริงเป็นเพียงจิตนาการของเขาเท่านั้น และสุดท้ายโนบิตะก็จากไปด้วยโรคร้าย โดยที่ความฝันของเขาที่เป็นเด็กแข็งแรงและเป็นที่รักของเพื่อนๆ ไม่ได้เป็นจริงในที่สุด
นี่คือตอนจบคร่าวๆ ของเรื่องโดเรมอน ที่ได้รับความนิยมทางอินเทอร์เน็ตในช่วงหนึ่ง หลายคนได้ให้ความเห็นต่างกันออกไป บางคนรับได้ ในขณะที่บางคนรับไม่ได้กับฉากจบดังกล่าว คนที่รับได้บอกว่าของวิเศษโดเรอมนมันโอเวอร์มากเกินไปทฤษฏีมากมายล้วนมีขัดแย้งกัน การทำให้เป็นความฝันของโนบิตะนั้นมันก็ดีอยู่แล้ว เพราะน่าจะเป็นการอธิบายเรื่องราวทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ตอนจบโดเรมอนดังกล่าวนั้นมีหลายคนรับไม่ได้มากกว่า เพราะเป็นการทำลายความฝันของใครหลายคน อยากให้โดเรมอนอยู่ในใจของเรามากกว่า ม่มีตอนจบก็ช่างหัวมัน(ตอนจบโดเรมอนเป็นเพียงความฝันนี้เป็นไม่ใช่เรื่องจริง เพราะ "ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ" เสียชีวิตลง โดยไม่ได้คิดตอนจบอะไรเอาไว้ อย่างมากตอนจบโดเรมอนก็มีแค่โดจินและข่าวลือ)
นี่คือตอนจบ “มันเป็นเพียงแค่ความฝัน” ซึ่งเป็นตอนจบที่หลายคนกลัวและเกลียดมากที่สุด เป็นฉากจบเลวร้ายที่หลายคนไม่อยากจะจดจำและไม่อยากให้เกิด
หากสมมุติว่า Boku wa Tomodachi ga Suku nai ชมรมไร้เพื่อน จบโดย “มันเป็นเพียงแค่ความฝัน” หลายคนจะรับได้ไหม ประมาณว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่จิตนาการของโยโซระ ความจริงแล้วโยโซระมีอาการทางจิตอยู่แต่ในโรงพยาบาลคนเดียว เธอเลยสร้างโลกของเธอขึ้นมา โดยคิดว่าเพื่อนในจินตนาการมีตัวตนอยู่จริงๆ หากแต่ความจริงแล้วเธอไม่มีเพื่อนหรือคนรู้จักเลย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสมัยเด็กโคดากะ, โคบาตะ, ยูคิมูระ, เซนะ, ริกะ ทั้งหมดเป็นเพียงจินตนาการของเธอเท่านั้น นี้แหละคือความเลวร้ายของตอนจบ “มันเพียงแค่ความฝัน”
ส่วนใหญ่หลายคนไม่ชอบฉากจบ “มันเป็นเพียงแค่ความฝัน” เพราะมันโครตหักหลังคนดูยิ่งกว่าปาหมอน สิ้นคิด มันเหมือนทำอะไรขึ้นมาสักอย่าง เป็นเรื่องเป็นราว แต่สุดท้ายสิ่งที่พยายามไม่เหลือกลับมาเลย ที่ผ่านมาไม่มีความหมายอะไร แน่นอนว่ามันต้องรู้สึกผิดหวังเสียเปล่า เสียเวลาดูอยู่แล้ว
ความจริงแล้ว ฉากจบ “มันเป็นเพียงแค่ความฝัน” นั้นมีมานานแล้ว ในอนิเมะเก่าๆ เช่นพวกแม่มดน้อยจอมเวทย์ พวกหุ่นยนต์สายผู้กล้า บางเรื่องก็ไม่สร้างสรรค์และสร้างสรรค์ ซึ่งแบบสร้างสรรค์นั้น การ์ตูนหลายเรื่องจะมีเหตุผลมารองรับ หรือเล่นแบบกำกวม (สรุปคือสิ่งที่เราเห็นอันไหนเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง) แถมหลายเรื่องที่เป็นแนวการ์ตูนแก๊กจะเล่นมุกแบบจบในตอน ประมาณว่าตอนแรกดำเนินเรื่องเหมือนเป็นเรื่องเป็นราว แต่ตอนจบเป็นเพียงแค่ความฝันของตัวละครหลักเท่านั้น แต่แทนที่จะ เซ็งแต่กลับกลายเป็นตลกชวนหัวไป (แต่บางคนอาจไม่ขำ) เช่น ตอนจบของซีรีย์คำสาปตามใจฉันของโซอิจิ (Souichi's Diary of Curses) ตอน bake Yashiki no Nazo ปริศนาในบ้านผีสิง (ตอนจบ) ซึ่งตอนจบที่หลายคนพูดเสียงเดียวกันว่า “กวนดีเนอะ”
เมื่อไม่นานมานี้ มีการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่จบ “มันเป็นเพียงแค่ความฝัน” นั้นคือ Sayonara, Zetsubou-Sensei หรือหลายคนรู้จักกันในชื่อเรื่อง “คุณครูผู้สิ้นหวัง” ซึ่งไม่ใช่ที่ญี่ปุ่นเท่านั้นที่ตกตะลึงกับตอนจบของการ์ตูนเรื่องนี้ หากแม้แต่คนไทยหรือต่างประเทศเองยังคงอึ้งไม่หายกับตอนจบสุดแสนจะหักมุมและหลอน
อย่างไรก็ตาม นั้นไม่ใช่ครั้งแรกที่คนเขียน Sayonara, Zetsubou-Sensei ทำฉากจบนี้ครั้งแรก หากย้อนกลับไปอดีตก็จะพบการ์ตูนหลายเรื่องของคนเขียนที่จบในลักษณะดังกล่าวมาแล้ว จนกลายเป็นเครื่องหมายการค้าก็ว่าได้ และหนึ่งในนั้นมีการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ผมชอบมาก และผมยกให้เป็นหนึ่งในการ์ตูนที่ผมชอบตอนจบตั้งแต่ดูการ์ตูนมาก็ว่าได้
Kate ni Kaizou เล่ม 1 และเล่ม 26 (เล่มจบ)
Katte ni Kaizo แปลเป็นไทย "ตามใจนายไคไซ" (แต่ลิขสิทธิ์บ้านเราตั้งชื่อว่า "พระเจ้าจอร์ดมันยอดมาก") มีเรื่องราวของพระเอกของเราที่ชื่อ คัตสึ ไคโซ ที่อดีตนั้นโดนนางเอกที่ชื่ออุมิแกล้งจนทำให้สติไม่สมประกอบ กลายเป็นคนบ้าๆ บอๆ จนบัดนี้ก็ไม่หายต๊อง จนกระทั้งมีอยู่วันหนึ่งระหว่างที่เดินเล่นสนามโรงเรียนอยู่ดีๆ เกิดมีหุ่นจำลองของชมรมวิทยาศาสตร์หล่นมาใส่หัว(ขนาดเท่าตัวคน) ทำให้ไคโซหมดสติไป ทำให้สมาชิกชมรมต้องพาเขาไปห้องชมรมและปฐมพยาบาล และเนื่องด้วยคนในชมรมวิทย์ไม่รู้จะปฐมพยาบาลคนสลบ เลยเอาเครื่องกระตุ้นหัวใจช็อตหน้าอกของไคโซ และเมื่อไคโซสติกลับคืนมา เขามองไปรอบๆ ห้อง เห็นอุปกรณ์ในห้องชมรม ที่มีทั้ง โหลดอง, ประธานชมรมในชุดเสื้อกาวน์ ด้วยความคิดหลุดโลกทำให้เขาคิดไปเองว่าตัวเองนั้นถูกจับมาดัดแปลงเป็นมนุษย์แปลงไปเสียแล้ว แถมประธานชมรมก็อำอีก ยิ่งทำให้ไคโซ เชื่อไปกันใหญ่ ทำให้เกิดเรื่องราววุ่นๆ ตามมา
Katte ni Kaizo เป็นการ์ตูนแก๊กตลกจบในแปลกๆ (ส่วนใหญ่จะมุกตลกแปลกๆ เหนือธรรมชาติ) เพราะดำเนินเนื้อเรื่องที่ไม่มีจุดมุ่งหมายแน่ชัด หรือพูดง่ายๆ คือออกทะเล แต่เป็นการออกทะเลแบบจงใจ เสื่อมเพ้อออกไปไกลตั้งแต่ต้นแล้ว กล่าวคือตอนแรกเหมือนเป็นเรื่องเป็นราวแต่หลังๆ เริ่มไม่สนใจเนื้อเรื่อง ประเด็นลึกลับต่างๆ ที่เหมือนเป็นเรื่องเป็นราวกลับละเลยราวกับไม่มีตัวตน แต่เนื้อหาหลักๆ ก็ยังคงเป็นเรื่องเจ้าพระเอกไคโซคนติ๊งต๊องที่ต้องรับมือกับคนเพี้ยนๆ ค่อนไปทางหลุดโลกในเรื่อง รวมไปถึงเพื่อนรอบตัวของเขาที่หลุดโลก (ยิ่งกว่าตัวประกอบในเรื่องเสียอีก) โดยแต่ละตอนหยิบยกประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับจิตวิทยามนุษย์มาตีความในลักษณะแปลกประหลาด
Katte ni Kaizo โดดเด่นที่ตัวละครที่เล่นมุกได้อย่างมีระบบ น่าติดตาม ไม่ว่าเป็นนายไคโซที่คิดหลุดโลก นางเอกอุมิเพื่อนสมัยเด็กของพระเอกเป็นพวกยันเดเระ บ้าโรคจิต ไม่รู้จักอ่านบรรยากาศทำให้ไม่มีเพื่อน จิตันเพื่อนพระเอกที่นิสัยกวนทีนรับบทลูกกระจอก ซุสุประธานที่นิสัยแอบร้ายที่ชอบหาผลประโยชน์เพื่อนตนเองเสมอ
แม้เนื้อหาการ์ตูนจะจบแต่ละตอนแบบไร้สาระ แต่กระนั้นจะสอดแทรกชีวิตตัวละครในเรื่องเหมือนกัน เป็นต้นว่าอุมิบ้านแตกสาแหรกขาดพ่อแม่และน้องชายกระจัดกระจาย ทำให้เธอต้องมาอยู่ในบ้านของไคโซ (และปรากฏว่าเธอไม่เห็นครอบครัวอีกเลยหลังจากอุมิมาอยู่บ้านไคโซ แม้ว่าอุมิจะเป็นเพื่อนสมัยเด็กของไคโซ แต่ทั้งสองก็ไม่ได้รู้สึกรักใคร่แบบชายหญิงใดๆ ทั้งสิ้น อย่างมากทั้งคู่ต่างตบมุกหรือคอยห้ามอะไรมากกว่าหากมีใครคนหนึ่งจิตหลุดไป
นอกเหนือจากพระเอกนายไคโซและนางเอกอุมิแล้ว ยังมีตัวละครหนึ่งที่โดดเด่นไม่แพ้กัน นั้นคือจิตัน เจ้าแว่น ที่จริงชีวิตของนายแว่นนั้นรันทดมาก ไม่ว่าจะเป็น โดนกลั่นแกล้งในโรงเรียน โดนทำร้ายร่างกาย โดนเอาเปรียบ ตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า (คืนชีพขึ้นมาใหม่) แม่มีชู้ แต่ด้วยพฤติกรรมของจิตันที่ นิสัยเห็นแก่ตัว ชอบด่าครอบครัว (แม่และน้องสาว) ทำให้รู้สึกไม่สงสารแม้แต่น้อย
ที่น่าสังเกตคือการ์ตูนเรื่องนี้ชอบทิ้งประเด็นสำคัญอย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นประตูลับปริศนาในห้องชมรมที่ปรากฏในเล่มต้นๆ ที่เหมือนจะสำคัญมาก แต่เนื้อหาการ์ตูนกลับไม่สนใจ จนกระทั่งละเลยไปในที่สุด, องค์กรจากโรงเรียนอัจฉริยะที่เหมือนจะแค้นกับไคโซแต่ตอนหลังบทหายไปดื้อๆ รวมไปถึงตัวละครหลายตัวที่ดูเหมือนสำคัญแต่ก็หายไปดื้อๆ เช่นกัน ไม่นับชีวิตของตัวละครที่ทิ้งประเด็นไปมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทำไมครอบครัวอุมิถึงหายไป ทำไมไม่ปรากฏพ่อแท้ๆ ของจิตันออกมาอีก ซึ่งประเด็นเหล่านี้มีแอบเอาไปเล่นมุกประชดในการ์ตูนบางตอนด้วยซ้ำ ประมาณว่า “ทำไมพวกเอ็งถึงลืมข้อย” หรือไม่ก็ “พวกนายลืมอะไรไปหรือเปล่า”
Katte ni Kaizo นายไคโซกับตัวละครในเรื่อง
การ์ตูนนายไคโซเล่นมุกไร้สาระบ้าบอ อย่างยาวนาน จนกระทั่งถึงเล่ม 26 ซึ่งเป็นเล่มจบ จนไม่น่าเชื่อเลยว่ามีถึงเล่มที่ 26 ซึ่งสาเหตุที่ยาวนานผมว่าตัวละครมีเสน่ห์ มุกตลกก็แปลกใหม่ผสมกันระหว่างเรื่องจิตวิทยาได้อย่างน่าสนใจ แม้บางมุกจะเข้าใจยากเพราะเป็นมุกเฉพาะทางก็ตาม ซึ่งด้วยเนื้อหาแปลกประหลาด หลุดโลก ทำให้คนอ่านคาดเดาไม่ถูกเลยว่ามันจะจบยังไง จะจบแบบการ์ตูนแก๊กธรรมดาทั่วไปหรือเปล่า
แต่แล้วเมื่อหลายคนดูตอนจบของการ์ตูนเรื่องนี้ ต่างร้องเสียงหลง อึ้งในสิ่งที่เห็น เพราะสิ่งที่หลายคนคิด คาดเดาตอนจบนั้นผิดจากที่คาดไว้สิ้นเชิง
ในช่วงสุดท้ายของการ์ตูน พูดตามตรงว่าดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่ามันเป็นตอนจบของการ์ตูน เพราะดำเนินเรื่องเหมือนตอนอื่นๆ ผ่านมา คือเล่นมุกไป เล่นมุกมา อุมิบ้าเลือดทำร้ายไคโซเหมือนเคย แต่คราวนี้แตกต่างจากที่ผ่านมาเล็กน้อยตรงที่สุซุได้ลงความเห็นว่าถึงเวลาที่แล้วที่ทั้งสองจะต้องรู้รับความจริงอย่างหนึ่ง.....
และแล้วเจ้าประตูห้องลับชมรมวิทย์ฯ ก็ปรากฏตัวขึ้น ซุสุบอกให้ทั้งสองเข้าไปในประตู สิ่งที่อยี่อีกฟากของประตูบานนี้พวกเธอสมควรจะได้มัน
และเมื่อทั้งสองเข้าไปประตูก็พบว่าสิ่งที่อยู่อีกฟากของประตูนี้ก็คือสู่โลกภายนอก มันคือโลกแห่งความจริง ซึ่งไคโซและอุมิก็ได้รับรู้ความจริงแท้ที่จริงแล้วทั้งสองคือผู้ป่วยทางจิต ที่ได้รับการบำบัดรักษาทางจิตอยู่แต่ในโรงพยาบาลบ้าเป็นระยะเวลานาน ซึ่งการที่จะเข้าประตูนี้ได้ก็คือพวกเขาสามารถใช้ชีวิตในโลกข้างนอกได้เหมือนคนปกติธรรมดา (แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาอาการทางจิตหายแล้ว)
เรื่องราวทั้งหมดที่แล้วมา ทั้งบ้าทั้งบอ ไม่ว่าจะเป็น เหนือธรรมชาติ การย้อนอดีต (อุมิและไคโซตอนเด็ก) ไคโซพาพวกเพื่อนๆ ไปสถานที่แปลกๆ ทั้งหมดเป็นโลกของคนทั้งสาม (ไคโซ, อุมิ และจิตัน) ร่วมกันสร้างขึ้น เมืองโทระอุมะที่ทั้งสามอาศัยอยู่ก็คือแบบจำลองโมเดล ที่ทั้งสามสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน บ้าน หรือสถานที่ต่าง เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นรวมเป็นจินตนาการของพวกเขา โดยซุสุรับบทเป็นหมอจิตแพทย์หัวหน้าพยาบาลที่ร่วมเล่นกับพวกเขา
บุคคลต่างๆ ที่ทั้งสามได้เจอในเรื่อง ทุกตัวละครเป็นคนจริง หากแต่สถานภาพของตัวละครนั้นถูกสมมุติขึ้น โรงเรียนกวดวิชาอัจฉริยะที่ปรากฏมาตอนต้นเรื่องแท้จริงแล้วก็คือคนไข้โรคจิตเหมือนกันที่ตอนแรกมาร่วมเล่นกับไคโซ (และพวก) แต่ตอนหลังไคโซนึกเบื่อไม่เล่นด้วยทำให้ทั้งหมดไม่มีบทในช่วงหลัง ส่วนคนรอบตัวไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นของไคโซและครอบครัวทุกคนเป็นหมอและนางพยาบาลที่มาร่วมเล่นกับพวกไคโซ
“ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความฝัน สิ่งที่เห็นไม่เป็นอย่างที่คิด”
สาเหตุที่อุมิและไคโซสามารถออกไปสู่โลกภายนอกได้ เนื่องจากซุสุเห็นว่าหากทั้งคู่อยู่ด้วยกัน ทั้งคู่ก็จะคอยเบรกอาการทางจิตได้อย่างเข้าขา เมื่อทั้งคู่ก้าวสู่โลกภายนอก (โลกแห่งความจริง) ซุสุได้ให้เงินแก่พวกเขา ซึ่งเงินพวกนี้ก็คือเงินที่ซุสุได้แต่ละตอนที่ผ่านมา (ตีความได้ว่าซุสุใช้ประโยชน์พวกไคโซเพื่อหาเงิน) ซึ่งเงินจำนวนนี้เธอสะสมไว้เพื่อทั้งคู่นั้นเอง
สังเกตอีกว่าระหว่างที่ทั้งคู่ออกจากโรงพยาบาล ที่ด่านฟ้าของโรงพยาบาลมีชายวัยกลางคนหนึ่ง แต่ตัวเหมือนหมอ (ผู้อำนวยการ?) ยิ้มส่งแก่พวกเขาทั้งสอง ซึ่งผมสันนิษฐานว่าชายวัยกลางคนนั้นน่าจะเป็นคนเขียนการ์ตูนเรื่องนี้ที่พอใจกับตอนจบดังกล่าวนั้นเอง (และในตอนถัดมาคนเขียนคนนั้นดันเป็นคนบ้าในโรงพยาบาลเหมือนกัน!!)
ฉากใกล้จบเรื่องที่แสนน่าตกตะลึง
(อารมณ์มันเหมือนตัวละครจากเรื่องเอวานเกเลี่ยนตบมือในตอนจบไม่มีผิด)
หลังออกสู่โลกภายนอกอุมิและไคโซก็เช่าห้องอพาร์ตเมนต์ และอาศัยอยู่ด้วยกัน เสมือนคู่รักธรรมดา ซุสุยังคงเฝ้าดูทั้งคู่อยู่ห่าง ๆ พร้อมกับอวยพรให้ทั้งคู่มีความสุขตลอดไป
ผมเชื่อเลยว่าอารมณ์ของคนอ่านการ์ตูนเวลานั้น หลังจากรู้ความจริง คงอ้าปากค้าง ไม่ก็สับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า ไม่แพ้กับไคโซ และอุมิแน่นอน ซึ่งตลอดการดำเนินเรื่องที่ทั้งสองรู้ความจริง (ออกจากประตู) ทั้งคู่แทบไม่มีบทพูดอะไรแม้แต่น้อย แต่อย่างไรก็ตามสีหน้าและการกระทำของทั้งคู่คงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะทำใจได้เมื่อสู่โลกภายนอก
ที่น่าสนใจคือตัวละครนางเอกอุมิที่เธอทั้งบ้าและโรคจิต แต่เมื่อเธอรู้ความจริง ที่เหล่าเพื่อนๆ ในห้องที่เธอ ที่เธอเอาแต่สร้างความเดือดร้อนและเธอคิดว่าเพื่อไม่รับเธอเป็นเพื่อน แท้จริงแล้วทั้งหมดเป็นนางพยาบาลที่ช่วยดูแลอุมิ พวกเธอนั้นรักอุมิและเล่นกับอุมิอยู่บ่อยๆ ถึงขนาดช่วยกันออกเงินซื้อชุดที่เธอออกแบบสเก็ตภาพมาให้เธอใส่ (สังเกตหลายๆ ตอนอุมิชอบเปลี่ยนชุดบ่อยๆ บางชุดนี้น่ารักราวกับแฟชั่นเลยก็ว่าได้)
ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างไคโซกับอุมิ แม้ตลอดทั้งเรื่องไม่มีฉากเลิฟซีนระหว่างอุมิและไคโซ แม้ทั้งสองจะเป็นเพื่อนสมัยเด็ก แต่ก็เป็นแค่เพื่อน ไม่ใช่แอฟน ไม่มีวี่แววแม้แต่อุมิแสดงอาการรักกับไคโซ ไม่มีแม้แต่ฉากจูบ หรือจับมือถือแขนด้วยกัน แม้กระทั่งอุมิมาอยู่บ้านเดียวกับไคโซ (แถมนอนห้องเดียวกันอีก) ก็ไม่มีเรื่องรักๆ มาเกี่ยวข้องกับทั้งคู่เลยแม้แต่น้อย
ตลอดเกือบทั้งเรื่องอุมิเป็นเพียงตัวตบมุก ไม่ก็แสดงมุกโรคจิตเลือดสาด จนไคโซกลัวอุมิมาก (แต่ก็คบอุมิเป็นเพื่อนเพราะไม่กล้าแหยมเธอ) ส่วนมากอุมิมั้งทำร้ายไคโซบ่อยๆ แต่กระนั้นเธอก็หึ่งไคโซที่ไป แม้คบผู้หญิงคนอื่นๆ (ซึ่งตัวจริงก็คือนางพยาบาลนั้นเอง)
อย่างไรก็ตามตอนใกล้จบเรื่อง แม้ว่าอุมิและไคโซจะไม่พูดเลยสักคำหลังจากที่ได้รู้ความจริง แต่สิ่งที่สื่อออกมาก็ทำให้ผู้อ่านผู้ดูรู้แล้วว่าทั้งคู่เป็นคู่ที่เหมาะสมขนาดไหน ทั้งสองนั้นผูกพันกันมากขนาดไหน ตอนเด็กไปไหนมาด้วยกัน ต่างคนต่างเบรกกันและกันเวลาจิตหลุด ชนิดรู้ไส้รู้พุงอีกฝ่ายเป็นอย่างดี เพียงแค่นี้ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความแล้วครับว่าทั้งสองคงอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขหรือเปล่า
ตลอดทั้งเรื่องเต็มไปด้วยภาพประทับใจมากมาย ไม่ว่าภาพไคโซกับอุมิออกจากห้อง, ภาพซุสุส่งยิ้มและพูดว่า “ขอให้มีความสุขกันมากๆ น่ะ” แต่ฉากที่ประทับใจเป็นพิเศษก็คือฉากที่ไคโซอุมิจับมือด้วยกันที่ชายหาดตอนกลางคืน สายตาทั้งคู่จ้องมองท้องทะเลอันกว้างใหญ่
ผมเชื่อว่านี่คือฉากจบที่แท้จริง
ครั้งหนึ่งปรมาจารย์เท็ตซึกะ โอซามุ เคยบอกเอาไว้ว่า “การ์ตูนตอนจบที่เฉลยว่าตัวเอกฝันไปนั้น เป็นการดูถูกคนอ่าน” เพราะการ์ตูนเป็นสิ่งที่ขายฝัน ไม่ใช่ทำลายความฝัน
แม้แต่สำนักพิมพ์เองก็แนะนำแก่นักเขียนการ์ตูนมือใหม่ว่า ไม่ควรเขียนเรื่องที่ตอนจบ “มันเป็นเพียงแค่ความฝัน” แบบนี้ในผลงานของคุณครั้งแรก เพราะจะทำให้เส้นทางอาชีพดับง่ายๆ (ปกติ บก. เองก็ไม่เห็นชอบฉากจบแบบนี้อยู่แล้ว) ซึ่งหากอยากเขียนตอนจบแบบนี้จริงคนเขียนจะต้องเจ๋งและเก๋งพอที่จะทำแบบนี้ได้
คำถามต่อมาคือแล้วคนเขียน Katte ni Kaizou เก๋าพอเลยเหรอถึงจบแบบนี้?
คนเขียนการ์ตูน Katte ni Kaizou เรื่องนี้คือ Koji Kumeta (หน้าละม้ายคล้ายโน๊ต อุดม) หากดูประวัติผลงาน ก็พบว่าคนเขียนคนนี้อายุมากพอสมควร (หากนับจากปีเกิดจนถึงปัจจุบันอายุ 46 ปี) ผลงานแรกๆ คือ Yuke Nangoku Ice Hockey Bu ที่เขียนขึ้นในปี 1991 ซึ่งเวลานั้นบ้านเราไม่ค่อยได้ยินชื่อเสียงบ้านเรานัก มุกตลกช่วงแรกๆ ก็เล่นมุกใต้สะดือ (เหมือน Katte ni Kaizo ในช่วงแรก และตัวละครหญิงในเรื่องเคยปรากฏตัวเรื่องในฐานะตัวละครรับเชิญมาแล้ว) มาดังเป็นที่รู้จักก็เป็นเรื่อง Sayonara Zetsubou-Sensei ซาโยนาเระคุณครูผู้สิ้นหวัง ที่เขียนขึ้นเมื่อปี 2005 ซึ่งกลายเป็นวลีโด่งดังในบ้านเรานั้นเอง
หากดูการ์ตูนของ Koji Kumeta จะเห็นว่าตัวละครและเนื้อหาบางส่วนของการ์ตูนที่ผ่านมา (ก่อนจะมีตามใจนายไคโซ) คนเขียนได้นำสิ่งเหล่านั้นนำมารวมจนกลายเป็น Katte ni Kaizou
แน่นอนว่านี้ไม่ใช่เรื่องแรกที่คนเขียนจบแนว “มันเพียงเป็นแค่ความฝัน" มีการ์ตูนผลงานของคนเขียนเรื่องหนึ่ง คือเรื่อง Kong (บ้านเราตีพิมพ์แบบไม่มีลิขสิทธิ์ ในชื่อแก๊งกวนสุดขอบโลก และหากคุณไปหาข้อมูลเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องในในเว็บไหนก็จะไม่เจอข้อมูลของเรื่องนี้เลย ) ซึ่งเนื้อหาตอนจบคล้ายๆ กับ Katte ni Kaizou กล่าวคือเป็นเรื่องของพระเอก “เก็ตตะ” นิสัยเหมือนไคโซคือบ้าๆ บอๆ เหมือนกัน และเธอก็มีนางเอกอย่าง “โซอาระ” ที่เคยเบรกนิสัยของพระเอก เนื้อหาดำเนินเรื่องบ้าบอ และจบไม่มีปี่มีขลุ่ยเหมือนกัน กล่าวคือตอนหลังเก็ตตะหายไป นางเอกก็พยายามตามหา แต่ทุกคนต่างพูดเสียงเดียวว่าเก็ตตะนั้นเป็นคนไม่มีตัวตนอยู่จริง เป็นเหตุทำให้โซอาระสับสนเป็นอย่างมาก แต่ต่อมาเขาก็ได้พบเก็ตตะ และเก็ตตะบอกว่าทุกคนนั้นถูกเขาลบความทรงจำ และความจริงเขาเป็นมนุษย์ต่างดาวซึ่งจำเป็นต้องกลับดาวของตน ก่อนที่เขาจะลบความทรงจำนางเอกเป็นคนสุดท้าย หลายปีต่อมานางเอกได้กลายเป็นครูบ้านนอกและเธอก็พบเก็ตตะ (??) อีกครั้งในสภาพเป็นเด็กมัธยมปลายอีกครั้ง และทั้งคู่กลับมาอยู่ด้วยกัน
ที่น่าสังเกตคือหน้าจบสุดท้ายของการ์ตูน เก็ตตะและโซอาระอยู่ที่ชายหาดทะเล เหมือนกับเรื่อง Katte ni Kaizou และ Sayonara Zetsubou-Sensei ที่ตอนจบทั้งนางเอกและพระเอกอยู่ที่ชายหาดทะเลเหมือนกัน (แต่ของซาโยนาระนั้นอยู่ที่หินผาหาดทะเล) ซึ่งมีความคิดเห็นหนึ่งที่น่าสนใจ สังเกตไหมว่าการ์ตูนหลายเรื่องที่จบแบบตัดจบหรือตอนจบมักอยู่ที่หาดทะเล ไม่ก็หน้าผาทะเล โดยความหมายรวมแล้วทะเลนั้นสื่อถึงจุดเริ่มต้นของมนุษย์ชาติ สิ่งมีชีวิตชั้นสูงนั้นถือกำเนิดจากทะเล ก่อนที่มันจะมาอาศัยอยู่บนบก ดังนั้นทะเลในตอนจบของการ์ตูนนั้นหมายถึง "เรื่องราวต่อไปนี้พึ่งเริ่มต้น", "การเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง" , "สักวันเราจะพบกันอีก" หรือ "มันพึ่งเริ่มต้น" ไม่ได้หมายถึงจบแล้วจบเลย
Iigakari Neesan
เรื่องสั้นที่กลิ่นอายของ Katte ni Kaizou ชัดๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวละครที่เหมือนอุมิ (แถมโหดกว่าเดิมด้วย) และจิตัน (หัวเกือบล้านแล้ว)
สามารถหาอ่านได้ที่ http://www.mangapark.com/author/kumeta+kouji
หากได้อ่านข้อมูลจากแหล่งข่าวต่างๆ แม้ว่าการ์ตูน Katte ni Kaizou เรื่องนี้จะเขียนมายาวนานแล้ว (ตั้งแต่ปี 1998-2004) ก่อนที่จะโดนตัดจบด้วยเหตุผลต่างๆ และการ์ตูนเรื่องนี้ถือว่าเป็นชีวิตของคนเขียนจริงๆ เพราะเราได้เห็นคนเขียนการ์ตูนเรื่องนี้ปรากฏตัวออกมาแจมบ่อยมาก ซึ่งส่วนมากมักบ่นเรื่องอยากให้การ์ตูนเรื่องนี้เป็นอนิเมะแต่ก็ได้รับการปฏิเสธทุกที (จนกระทั่งสตูดิโอ Shaft ได้ให้เรื่องนี้เป็น OVA จำนวนกว่า 7 ตอน)
Umi-chan no Otomodachi
นิทานของอุมิ (โหด)
อย่างไรก็ตาม การ์ตูนเรื่องถัดมาคนเขียนก็ได้ใช้กลิ่นอายจาก Katte ni Kaizou นำไปใส่ผลงานใหม่ของตนไม่ว่าจะเป็นมาเป็นให้ตัวละครแจมบ้าง คาแร็คเตอร์เหมือนบ้าง อย่างเรื่องสั้น Iigakari Neesan ตก็ได้กลิ่นอายอย่างตัวละครที่นิสัยเหมือนอุมิ (แถมมีน้องชายด้วย) ไปจนถึงจิตันที่เหมือนกันอย่างกับแกะไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือนิสัย นอกเหนือจากนั้นคนเขียนได้วาดเรื่องสั้นพิเศษเรื่อง Umi-chan no Otomodachi ซึ่งเป็นนิทานเรื่องของอุมิในวัยเด็ก (แนวตลกสยองขวัญ) แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่าคนเขียนรัก Katte ni Kaizo มากขนาดไหน
ดังนั้นผมจึงมีข้อสันนิษฐานส่วนตัวหนึ่งคือตอนต่อ Katte ni Kaizou ผมเชื่อว่าอุมิและไคโซคงต้องถูกส่งตัวกลับไปโรงพยาบาลบ้าอีกครั้ง สาเหตุเพราะจิตันยังอยู่ที่นั้น (จิตันยังไม่หายบ้า) เพราะทั้งไคโซ, อุมิ และจิตันนั้นได้กลายเป็นสิ่งที่ขาดคนใดคนหนึ่งไปไม่ได้แล้ว ทั้งสามคนต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป.... (ก็เหมือนกับวงสาระเน ขาดเปิ้ล นาคร หรือสามซ่าขาดหม่ำ ม๊กจ๊กไปก็เหมือนกับขาดอะไรไปสักอย่าง)
คำถามต่อมาคือเหตุใดถึงรับได้ ในเมื่อการ์ตูนเรื่องนี้จบ “สุดท้ายมันเป็นเพียงแค่ความฝัน” ซึ่งเป็นฉากจบที่หลายคนบอกว่าเลวร้ายยิ่งกว่าปาหมอนอีก คำตอบก็ง่ายๆ เพราะการ์ตูนเรื่องนี้จบลงอย่างมีความสุข แอปปี้กันทุกฝ่าย
ปกติการ์ตูนที่จบ “สุดท้ายมันเป็นเพียงแค่ความฝัน” มักออกมาแนวบทสรุปที่เลวร้าย หักหลังคนดู แต่ Katte ni Kaizou นั้นใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง “สุดท้ายมันเป็นเพียงแค่ความฝัน” ได้อย่างถูกวิธี ทำให้คนอ่านสามารถรับกับบทสรุปของเนื้อเรื่องได้ คือการดึงการ์ตูนที่มีเนื้อหาหลุดโลก ดำเนินเรื่องแบบหาทิศทางไม่เจอ ไม่มีจุดมุ่งหมายชัดเจน กลับมาสู่โลกแห่งความจริง กลับเข้าสู่ประเด็นของเรื่อง นั้นคือความสัมพันธ์ระหว่างอุมิและไคโซ ที่เปิดตอนตนว่าไคโซเป็นคนเพี้ยนๆ โดยอุมิ ทั้งๆ ที่ความจริงและอุมินั้นก็บ้าและเพี้ยนพอๆ กับไคโซ อีกทั้งการทำให้ตัวละครอย่างอุมิและไคโซที่ดูเหมือนไม่ใช่คู่รักกันตั้งแต่แรก ทำให้กลายเป็นคู่รักธรรมดา ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาในตอนท้าย
นอกเหนือจากนี้การ์ตูนยังเพิ่มฉากประทับใจหลายต่อหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นจิตันคนบ้าที่เสื่อมตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังมีคนที่ยังรักและห่วงใยแม้จะไม่ใช่ครอบครัวก็ตาม (แม่ของจิตันจริงๆ และเป็นนางพยาบาล) ซุสุก็ไม่ใช่ตัวละครที่เห็นแก่ตัวเอารัดเอาเปรียบคนเหมือนตอนที่ผ่านๆ มาความจริงแล้วเธอเป็นทั้งเพื่อนและผู้ปกครอง มากกว่าหน้าที่หัวหน้าพยาบาลที่ยังคงใส่ใจแก่อุมิ ไคโซและจิตันตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ขนาดอุมิและไคโซจากออกสู่โลกภายนอกแล้วซุสุยังคงเป็นห่วงเป็นใยทั้งสองอย่างน่าประทับใจ
ดังนั้น ผมจึงกล่าวชมคนเขียนที่สามารถทำลายความนิยามของตอนจบ “สุดท้ายมันเป็นเพียงแค่ความฝัน” ว่าไม่ใช่ตอนจบเลวร้ายไปเสียหมด หากรู้จักวางเนื้อหา วางเนื้อเรื่อง ที่จากออกทะเลมาดึงเข้าสู่ประเด็นหลักของเรื่องได้
หลังจาก Katte ni Kaizou จบไป คนเขียนก็ได้ให้คนดูอึ้งกัน เมื่อพระเอกใช้หลักตอนจบ “สุดท้ายมันเป็นเพียงแค่ความฝัน” มาใช้กับการ์ตูนเรื่อง Sayonara Zetsubou-Sensei หรือซาโยนาระคุณครูผู้สิ้นหวังตอนจบ ซึ่งเป็นการ์ตูนดังเรื่องหนึ่งของคนเขียน ซึ่งเป็นเรื่องที่คนเขียนสามารถเขียนปลดปล่อยสิ่งที่ต้องการนำเสนอได้เต็มที่ จนเกลายเป็นการ์ตูนที่จบได้ดีหรือหักมุมดีเยี่ยมเรื่องหนึ่ง
Tokyo Magnitude 8.0 หนึ่งในฉากจบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมเลยทีเดียว
ก่อนจะจบบทความ ก็มีตัวอย่างเล็กๆ น้อย ทั้งหมดมันแค่เป็นเพียงความฝัน นั้นหากเขียนเป็นภาษาอังกฤษคือ“All Just A Dream” ที่ตัวละครในเรื่องตกอยู่ในอาการที่ไม่สามารถแยกออกว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ ปกติแล้วมุกนี้มักใช้แบบจบในตอนอยู่แล้ว เช่น ตอนแรกตัวเอกอยู่บนโลกบ้าๆ และตอนท้ายก็จบลงว่าฝันไป จบหนึ่งตอน หรือการที่ตัวละครเกิดมโนภาพเจอบุคคลที่ไม่อยู่บนโลก (ตาย, หรือไม่มีทางเป็นไปได้, บุคลิกที่สอง ) เป็นต้น อย่างไรก็ตามในการใช้ “มันเป็นเพียงความฝัน” บางครั้งก็ถูกนำมาใช้เป็นมุกหรือตอนจบได้หลากหลาย ซึ่งก็มีทั้งสร้างสรรค์ และไม่สร้างสรรค์
Zettai Muteki Raijin-Oh หุ่นผู้กล้าไรจินโอ ตอนจบ จะว่าไปการ์ตูนหลายเรื่องชอบเล่นมุก ประมาณว่าพระเอกเป็นผู้กล้า (ที่มาจากโลกแห่งความจริง) กำลังจะปราาบจอมมารอยู่ดีๆ จอมมารก็ใช้คาถาอะไรสักอย่างที่ดึงตัวเอกสู่โลกแห่งความจริง (ที่แน่ๆ ก็เช่น Wingman วิงแมน ว่าแต่มีใครรู้จักเรื่องนี้บ้างนี้ หรือไม่ก็ฮารุฮิ) และพบว่าโลกแห่งความจริงนั้นเขาเป็นแค่คนธรรมดา ไม่มีเวทมนต์ ไม่มีการปกป้องโลก และเริ่มไม่มีความฝัน ก่อนที่พระเอกจะสูญเสียกำลังใจและเริ่มที่จะปลง จู่ๆ ก็มีเสียงเตือนสติ
Tokyo Magnitude 8.0 จะว่าไปการ์ตูนอนิเมะเรื่องนี้ใช้หลัก “มันเป็นเพียงความฝัน” ค่อนข้างเยอะ แต่ที่น่าจดจำที่สุดก็คือฉากที่ตัวเอกที่ประสบเหตุการณ์แยกความฝันและความจริงไม่ออกว่าน้องชายของตนตายไปแล้วหรือมีชีวิตอยู่ ตัวเอกได้สร้างตัวตนจินตนาการของน้องชายออกมาโลดเล่นในสองตอนที่เหลือ ก่อนที่ตัวเอกจะรู้สึกตัวว่าน้องชายตายนานแล้ว
Pan's Labyrinth ภาพยนตร์สัญชาติสเปนที่ทั้งเรื่องผู้ชมไม่สามารถตีความโลกแฟนตาซีที่ตัวเอกเห็นนั้นแท้จริงแล้วมีอยู่จริงและความฝัน ตอนจบที่แสนตกตะลึง เมื่อตัวเอกตายอย่างเห็นได้ชัด หากแต่อีกภาพยนต์กลับปรากฏภาพอีกโลกหนึ่งที่เป็นโลกที่ตัวเอกมีความสุขอยู่กับครอบครัว
Spec Ops: The Line วีดีโอเกมที่เรารับบทเป็นนายทหารที่พาพรรคพวกไปช่วยเหลือบุคคลที่เขาเคารพที่ติดอยู่ใจกลางเมืองดูไบที่ถูกกลุ่มก่อการร้ายยึดครอง แต่กลายเป็นว่าตอนจบปรากฏว่าทั้งหมดนั้นเป็นการคิดไปเองของตัวเอก ซึ่งตัวเอกเป็นคนจิตหลอนสร้างภาพว่าคนที่เขาไปช่วยมีชีวิตอยู่ทั้งที่ตายไปนานแล้ว และกลุ่มก่อการร้ายที่ว่าไม่มีอยู่จริงแต่เป็นชาวบ้านที่ออกมาต่อสู้ป้องกันตัว เพราะตัวเอกเป็นคนบ้า
ความคิดเห็น