ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    100 อันดับ โลกต้องจารึก

    ลำดับตอนที่ #135 : ระเบิดปริศนาที่ทังกัสก้า ( Tunguska )

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ค. 50




    ระเบิดปริศนาที่ทังกัสก้า

    การระเบิดครั้งนี้เป็นการระเบิดครั้งใหญ่ ที่สามารถจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ได้อย่างเต็มภาคภูมิ ป่าทังกัสก้า เป็นป่าลึกในไซบีเรีย ดินแดนในครอบครองที่หนาวเหน็บทุรกันดารอันขึ้นชื่อของรัสเซีย เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. พ.ศ. 2451 เวลา 7.17 น. ลูกไฟดวงใหญ่มีลักษณะเป็นรูปกรวยหรือกระบอกกลม แล่นมาด้วยความเร็วสูงประมาณ 42 กิโลเมตรต่อวินาที มีหางเป็นลำแสงยาว ส่งเสียงดังกึกก้อง วัตถุดังกล่าวแล่นมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ แล้วจู่ๆก็เปลี่ยนทิศอย่างกระทันหัน มุ่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือแทน แต่แรกบินอยู่บนความสูงประมาณ 80 กิโลเมตร แล้วเปลี่ยนระดับความสูงลงมาอยู่ที่ประมาณ 10 กิโลเมตร และได้ชะลอความเร็วลงเหลือประมาณ 1 กิโลเมตรต่อวินาที ครั้นแล้วได้ระเบิดเสียงดังกึกก้องไปครึ่งค่อนโลก

    ...ครึ่งค่อนโลกจริงๆครับ ไม่ได้โม้แต่ประการใดเลย

    เสียงระเบิดของวัตถุนี้ได้ยินอย่างชัดเจนแม้ระยะจะห่างออกไปถึง 800 กิโลเมตร มีแสงไฟลุกโชนขึ้นบนท้องฟ้า พร้อมกลุ่มควันเป็นรูปดอกเห็ด สูงถึง 80 กิโลเมตร ผู้คนและบ้านเรือนที่อยู่ไกลได้รับแรงกระทบกระเทือนถึงขนาดว่า พังทลายเสียหายยับเยิน เกิดคลื่นสะเทือนไปรอบโลกถึงสองครั้ง (ประมาณว่า แรงกว่าสมัยที่ภูเขาไฟกรากระตั้วระเบิดที่อินโดนีเซียมากมายครับ) เข็มวัดแผ่นดินไหวทั่วโลกตีกลับไปกลับมา หลังจากคืนนั้นและคืนต่อๆมา แสงไฟจากการลุกไหม้ก็สว่างไสวไปไกลแทบข้ามทวีป ขนาดที่ว่าผู้คนที่อยู่ห่างออกไปถึงลอนดอน สามารถที่จะอ่านหนังสือในยามค่ำคืนโดยไม่ต้องอาศัยแสงสว่างอื่นนั่นแหละครับ

    ที่สต็อกโฮล์ม ช่างภาพสามารถถ่ายรูปได้ในเวลากลางคืนโดยไม่ต้องใช้แฟลช ลูกไฟดังกล่าว เผาผลาญต้นไม้เป็นล้านๆต้น กินพื้นที่มากกว่า 100 ตารางกิโลเมตร จากเหนือไปใต้ และอีกกว่า 40 กิโลเมตร จากทิศตะวันออกไปตะวันตก จากสภาพความเสียหายดังกล่าว นักวิชาการคำนวณเอาไว้ว่า วัตถุดังกล่าวมีมวลประมาณ 3-10 ล้านตัน .

    ป่าทังกัสก้ามีอาณาบริเวณ 750,000 ตารางกิโลเมตร และเป็นป่าทึบมาก ด้วยเหตุนี้ทางรัฐบาลโซเวียตรัสเซีย(ในสมัยนั้น)ซึ่งเข้าใจว่า เป็นเพียงปรากฏการณ์อุกกาบาตขนาดใหญ่ตกธรรมดา จึงมิได้ส่งทีมสำรวจชุดใดเข้าไปสำรวจในทันที จนกระทั่งผ่านไปถึงปี พ.ศ. 2464 จึงได้เริ่มมีการส่งทีมนักวิทยาศาสตร์เข้าไปสำรวจ โดยมีศาสตราจารย์คูลิค(Kulik) เป็นหัวหน้าชุดสำรวจ พวกเขาต้องฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการ ไล่ไปตั้งแต่ ทุ่งหิมะอันหนาวเหน็บ ธารน้ำแข็งอันเชี่ยวกราก รวมไปถึงการเดินทางที่ลำบากยากเย็น ท้ายที่สุด พวกเขาก็บรรลุถึงจุดหมาย ภาพที่พบ ทำให้คูลิกและลูกทีมตะลึงงัน แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองกับสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า

    ภาพของต้นไม้ที่ถูกเผาเกรียมจนเป็นถ่าน บ้างก็ยืนต้นตรงบ้างก็ล้มระเนระนาดเป็นทางยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ความเสียหายประเมินได้นับล้านๆต้น เรื่องที่แปลกก็คือ ไม่ยักกะมีอุกกาบาตขนาดยักษ์ปรากฏอยู่ตามที่คาดกันไว้ มันหายไปไหน ทั้งที่ขนาดมันต้องไม่ใช่เล็กๆเป็นแน่ ดังนั้นทีมสำรวจจึงได้พยายามขุดหาร่องรอยของอุกกาบาตอย่างสุดชีวิต

    แต่ท้ายที่สุดก็ไม่พบเลยครับ ณ จุดศูนย์กลางของการระเบิดนั้น ไม่มีแม้แต่อุกกาบาตก้อนจิ๋ว หรือ แร่ T อย่างที่นักเขียนจินตนาการเอาไว้ในเรื่อง Z ป้อมบินลอยฟ้าแต่อย่างใด

    ถัดจากนั้น ก็ได้มีคณะสำรวจรวมทีมกันไปสำรวจอีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรก้าวหน้ามากมายนัก ( ซึ่งนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2451 - 2512 มีนักวิชาการพยายามให้คำอธิบายสาเหตุของปรากฏการณ์ระเบิดดังกล่าว สรุปออกมาแล้วรวมถึง 77 ทฤษฎี เช่นแรงระเบิดของดาวหางบ้าง การระเบิดของอุกกาบาตก่อนตกถึงพื้นดินบ้าง แต่ก็ยังไม่มีเค้าของหลักฐานที่จะสนับสนุนทฤษฎีดังกล่าวมากนักครับ...)

    ปี ค.ศ. 1490 นักวิทยาศาสตร์รัสเซียผู้หนึ่ง นาม E.L. Krinov ได้ตามรอยนักวิทยาศาสตร์รุ่นพี่อย่างคูลิค เข้าไปสำรวจบริเวณทุ่งทังกัสก้า เขาได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า ที่ไม่มีหลุมขนาดใหญ่บนพื้นดินอย่างที่คาดกันไว้ น่าจะเป็นเพราะว่า วัตถุดังกล่าว เกิดการระเบิดขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่มันจะตกลงถึงพื้นดิน โชคร้ายที่สงครามโลกครั้งที่สองมาขัดขวางการวิจัยของครินอฟเสียก่อน บรรดานักวิทยาศาสตร์ถูกดึงตัวไปช่วยงานด้านอื่นหมด ทุ่งทังกัสก้าก็เลยถูกทิ้งไปไม่มีใครแยแอีกหลายปี .

    ทุกครั้งที่เอ่ยถึงสงครามโลกครั้งที่สอง ใครๆต่างก็หวนนึกไปถึงเจ้าอาวุธมหาประลัย ที่มนุษยชาติคิดค้นขึ้นมาทำลายล้างกัน มันก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมและความสยองขวัญจนยากจะลืมมาถึงทุกวันนี้ เจ้าระเบิดมหากาฬที่คร่าชีวิตผู้คนเรือนแสนที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิ "อะตอมมิค บอมบ์" หรือระเบิดปรมาณูนั่นเองครับ

    Aleksander Kazansev เป็นนักวิทยาศาสตร์รัสเซียคนแรก ที่ทำให้วงการวิทยาศาสตร์มองเห็นความเกี่ยวพัน ระหว่างระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่า และภัยพิบัติปริศนาที่ทังกัสก้า โดยเฉพาะสภาพของต้นไม้ในบริเวณทั้งสอง สภาพที่ต้นไม้โดนความร้อนจนไหม้เกรียม แต่ยังยืนต้นอยู่ได้ในบริเวณศูนย์กลางการระเบิด ในขณะรอบบริเวณออกไป ทุกสิ่งทุกอย่างเอนระเนระนาดเพราะแรงระเบิด คลื่นความร้อน และพิษสงของกัมมัตภาพรังสี เพลิงและควันรูปดอกเห็ดที่เกิดจากการระเบิด ฝนสีดำที่ตกลงมาหลังการระเบิด สิ่งที่เกิดขึ้นในฮิโรชิม่าเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนกับที่ทังกัสก้า Kazantsev ระบุว่า ระเบิดที่เกิดขึ้นที่ทังกัสก้า เป็นระเบิดปรมาณูอย่างไม่ต้องสงสัย และก็เป็นไปได้ที่ว่า ระเบิดปรมาณูที่เกิดนั้น อาจมาจากเตาปฏิกรณ์ปรมาณูของยานอวกาศจากนอกโลกสักบำหนึ่ง เพราะช่วงที่เกิดการระเบิดนั้น มันก่อนหน้าที่ชาติใดๆจะคิดค้นระเบิดปรมาณูได้นับเป็นสิบๆปี แถมแรงระเบิดนั้น นับว่ามากกว่าที่ฮิโรชิมานับร้อยนับพันเท่าเลยทีเดียวล่ะครับ

    ทฤษฎีของ Kazansev สร้างความครื้นเครงกับวงการเป็นอย่างมาก เพราะได้เรียกเสียงหัวเราะ คำเสียดสี จากนักวิทยาศาสตร์ร่วมวงการอย่างมากมาย แต่ไม่ทุกคนครับ มีหลายท่านที่ตั้งสติได้ และคิดตามคำพูดของ Kazansev อย่างระมัดระวัง ช่ายครับ.. มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว การระเบิดที่เกิดขึ้นเป็นระเบิดนิวเคลียร์ไม่ผิดหรอก แต่ที่บอกว่าเกิดจากการระเบิดของเครื่องยนต์จากยานของเอเลี่ยนนี่สิ... จากการสำรวจด้วยความร่วมมือจากหลายๆชาติอย่างจริงจัง ในที่สุดก็มีการยอมรับเรื่องการระเบิดที่ทังกัสก้าว่า เป็นการระเบิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์อย่างไม่ต้องสงสัย และได้มีการตีพิมพ์เอกสารทางวิชาการออกมา สรุปใจความได้ว่า

    1. การระเบิดที่ทังกัสก้าเกิดจากวัตถุจากอวกาศ

    2. การระเบิดเกิดขึ้นเหนือพื้นดินประมาณ 10 กิโลเมตร

    3. วัตถุดังกล่าวเป็นระเบิดนิวเคลียร์มีพลังงานราวๆ 10 เมกกะตัน (เหนือกว่าที่ฮิโรชิม่ามากมาย และก่อนที่ชาติใดจะคิดระเบิดชนิดนี้ได้นับสิบๆปี)

    4. ขณะที่วัตถุดังกล่าวอยู่ในชั้นบรรยากาศโลก มีการเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว หลายต่อหลายครั้ง (ซึ่งไม่น่าจะเป็นอุกกาบาตหรือดาวหาง)

    หลักฐานที่ยืนยันว่า การระเบิดที่ทังกัสก้า เป็นผลจากระเบิดปรมาณูนั้น เนื่องจากได้มีการสำรวจในบริเวณศูนย์กลางการระเบิด พบว่าต้นไม้สดๆได้ถูกเผาไหม้จนเป็นเถ้าถ่าน ซึ่งคาดว่าน่าจะมีความร้อนราว 5000 องศาเซลเซียสหรือมากกว่านั้น ไม่เช่นนั้นต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไปอีก 15-18 กิโลเมตร จะไม่สามารถลุกเป็นไฟได้อย่างเด็ดขาด ลูกอุกกาบาตที่ไหนกันครับ จะมีความร้อนได้ขนาดนั้น

    นอกจากนี้ นักออกแบบเครื่องบินชาวรัสเซีย ชื่อ แอล.ยู. โมนอตสคอฟ ได้เสนอความคิดเห็นว่า แรงระเบิดดังกล่าวเป็นยานอวกาศที่ขับเคลื่อนโดยพลังงานปรมาณู ซึ่งมาตกลงที่ป่าทังกัสก้า เนื่องจากมีผู้พบเห็นยานดังกล่าวชะลอความเร็วเป็น 0.7-1 กิโลเมตรต่อวินาที ซึ่งนับว่าเป็นความเร็วปกติของเครื่องบินเจ็ต เพราะถ้าหากเป็นดาวกตกแล้ว ความเร็วปกติของมันก็น่าจะอยู่ที่ 20-60 กิโลเมตรต่อวินาที

    ใน พ.ศ. 2512 ได้มีคณะสำรวจนำโดย Plekhanov Koschelov ได้เข้าไปสำรวจต้นไม้ในบริเวณดังกล่าว พบว่าต้นไม้บางต้นที่ไม่ตาย และควรจะสูงแค่ 7-8 เมตร กลับสูงถึง 17-22 เมตร กล่าวคือ มันสูงขนาดที่มันจะต้องมีอายุ 2-300 ปี ซึ่งหมายความว่าโครงสร้างทางพฤกษศาสตร์ของมัน ได้เปลี่ยนแปลงไปภายหลังการระเบิด เนื่องจากได้รับกัมมันตภาพรังสี นอกจากนี้มีการวัดวงปีของต้นไม้ ซึ่งวงปีเดิมก่อนที่จะมีการระเบิด มีขนาดประมาณ 0.4-2 มิลลิเมตร แต่หลังจากนั้นปรากฏว่า วงปีมีความหนาถึง 5-10 มิลลิเมตร ต้นไม้บางต้นเมื่อวัดรอบต้นพบว่า ในระยะ 50 ปี ตั้งแต่เกิดการระเบิด มันมีขนาดใหญ่กว่าปกติถึง 4 เท่า

    ก็ต้องยอมรับกันล่ะครับว่า ระเบิดปริศนาครั้งนี้ เป็นระเบิดนิวเคลียร์อย่างไม่ต้องสัย เพียงแต่ในสมัยนั้น ชาติใดกันเล่าครับ ที่มีนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง เพราะมันก่อนหน้าที่ทฤษฎีนิวเคลียร์จะถูกคิดค้นกันได้ตั้งหลายสิบปี นักวิทยาศาสตร์บางท่า ที่ผะอืดผะอมกับทฤษฎียานอวกาศจากต่างดาว เสนอแนวคิดว่า เป็นไปได้เหมือนกัน ที่การระเบิดครั้งนี้ มาจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ไม่ใช่มาจากการตกของยานอวกาศของเอเลี่ยนหรอก

    เจ้าสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์หลายท่านเสนอว่า น่าจะเป็นไปได้ที่การระเบิดที่ทังกัสก้า เกิดจากการพุ่งชนของสองสิ่งนี้ก็ได้แก่ อุกกาบาตที่เป็นปฏิสสาร(anti-matter) หรือไม่ยังงั้นก็น่าจะเป็นแบล็คโฮลขนาดจิ๋วมากกว่า

    ว่ากันถึง anti-matter ก่อนครับ ว่ามันคืออะไร มีความหมายอย่างไร เพราะบางท่านที่ไม่ค่อยสันทัดเรื่องทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ อาจจะงงเล็กน้อยว่า เจ้า anti-matter นี้มันคืออะไร มีความสำคัญขนาดไหน

    ในจักรวาลประกอบด้วยสสารและพลังงาน เจ้าสสารนี้คือสิ่งที่มีตัวตน มีมวล ต้องการที่อยู่ เช่น หิน ดิน เหล็ก อะไรทำนองนี้แหละครับ สสารนั้นก็เหมือนกับขั้วไฟฟ้า ที่มีทั้งลบและบวก คือสสารธรรมดา (matter) จะมีคุณสมบัติในส่วนของโครงสร้างในขั้นที่เรียกว่า sub-atom แตกต่างไปจาก anti-matter โดยสิ้นเชิง อืมห์ อธิบายลำบากเหมือนกันแฮะ เอางี้นะครับ สมมุติว่า เรามีลูกบอลอยู่ลูกนึง เป็น normal matter หรือสสาร แล้วคราวนี้เราก็มีลูกบอลอีกลูกนึงซึ่งเป็นปฏิสสารหรือ anti-matter คุณสมบัติของลูกบอลทั้งสองลูกนี้ จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง พูดง่ายๆว่าตรงข้ามอยู่คนละขั้วกันนั่นแหละครับ

    ทีนี้จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราเอาสสารมาชนกับปฏิ-สสาร ครับ ไม่เห็นต้องเดาเลย เมื่อสองอย่างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงมากระทบกัน ปฏิกิริยาหักล้างอย่างรุนแรงก็จะระเบิดขึ้น ยิ่งถ้ามีขนาดพอฟัดพอเหวี่ยงกันล่ะก็ แรงระเบิดและพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากการระเบิด จะรุนแรงมากเกินจินตนาการของเราด้วยซ้ำ เหมือนนิยายวิทยาศาสตร์นะครับ แต่ก็ยืนยันได้ว่า เรื่องของปฏิ-สสารหรือ anti-matter นี้มีจริง แม้ว่าตอนนี้จะมีเหลืออยู่น้อยมากในจักรวาล แต่ก็น่าจะยังมีอยู่ และปัจจุบัน เราประสบความสำเร็จจากการศึกษาเรื่องพวกนี้ โดยเฉพาะในห้อง Lab ที่สามารถสร้างและควบคุม anti-matter บางประเภทขึ้นมาได้แล้ว แม้จะเป็นก้าวเล็กๆก้าวแรก แต่ก็เป็นก้าวสำคัญในวงการวิทยาศาสตร์เลยเชียวนะครับ

    สสารทุกชนิดมีปฏิ-สสาร ที่ตรงกันข้ามกับตัวของมันเอง และก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า เจ้าปฏิ-สสาร ที่ตกลงมายังโลก(ถ้าทฤษฎีนี้ถูกต้องนะครับ) เป็ยปฏิสสารประเภท anti-rock (เรียกให้เก๋ๆว่า ปฏิศิลา) คือเป็นประเภทตรงข้ามกับหินอะไรเทือกนั้น เมื่อกระทบผิวโลก แรงระเบิดและปฏิกิริยาหักล้างกัน ระหว่างผิวโลกกับปฏิศิลาจึงทำให้เกิดการระเบิดเถิดเทิงขึ้น และด้วยการหักล้าง จึงไม่เหลือเศษหรือซากอะไรที่เข้าใจว่าเป็นอุกกาบาตกันนั่นแหละครับ

    แล้วทฤษฎีนี้น่าเชื่อถือแค่ไหน?

    ก็นับว่าเข้าท่ามากครับ หากไม่ดูที่ปริมาณของคาร์บอน -14 และกัมมันตภาพรังสีที่หลงเหลือตกค้างในบริเวณป่าทังกัสก้า การระเบิดของสสารกับปฏิสสาร ไม่น่าจะมีปฏิกิริยานิวเคลียร์รุนแรงถึงขนาดนั้น แถมจากปากคำบอกเล่าของผู้พบเห็นวัตถุดังกล่าว เจ้าต้นตอของการระเบิด จึงมีความเป็นไปได้น้อยมากๆ ที่มันจะเป็นวัตถุประเภท anti-rock อย่างที่นักวิทยาศาสตร์บางท่านเสนอมา

    Black Holes เป็นอีกหนึ่งข้อสรุปที่น่าสนใจ สำหรับการพยายามอธิบายถึงภัยพิบัติปริศนาที่ทังกัสก้าครั้งนี้ เรื่องของแบล็คโฮลผมเคยนำเสนอไปแล้วนะครับ รายละเอียดก็หาอ่านกันได้จากบทความเก่าๆ ถึงที่มา ที่ไป และลักษณะของแบล็คโฮล

    มาต่อเรื่องของเรากันดีกว่าครับ นักวิทยาศาสตร์บางท่านเสนอว่า การระเบิดที่ทังกัสก้า อาจจะมาจากแบล็คโฮลขนาดจิ๋ว ที่เราเรียกกันว่า mini-black hole ที่บังเอิญโคจรผ่านโลก แล้วก็พุ่งเข้ามาชนแบบพอดิบพอดี อันว่าพิษสงของแบล็คโฮลนั้นเราก็รู้ๆกันอยู่ การพุ่งชนแบบนี้ทำให้เกิดแรงระเบิดขึ้น แบล็คโฮลเจ้ากรรมกะทะลุออกไปอีกซีกหนึ่งของโลก หรือไม่ก็ผ่าน Hyper Space แบบที่เราเรียกกันว่า warp หายแว่บไปเลย ถึงได้ไม่มีหลักฐานเหลือให้คูลิกกับนักวิทยาศาสตร์คนอื่นเห็นไงครับ

    กรณีของป่าทังกัสก้า ทุกวันนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงและทำการศึกษากันอยู่ Christopher Chyba แห่งองค์การ NASA ได้ลองทำคอมพิวเตอร์ซิมูเลเตอร์ จำลองสถานการณ์การระเบิดที่ทังกัสก้า โดยอาศัยพื้นฐานและทฤษฎีที่ว่า ป่าทังกัสก้าถูกชนด้วยดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็ก โดยให้การระเบิดอยู่เหนือพื้นดินไป วัตถุนั้นจำลองขนาดไว้ราวๆร้อยฟุต ซึ่งผลที่ออกมาได้แรงระเบิดใกล้เคียงกับเหตุการณ์จริงมาก แถมการระเบิดบนอากาศแบบนั้น ยังไม่มีเศษหรือหลักฐานเกี่ยวกับดาวเคราะห์น้อยหลงเหลืออีกด้วย การทดลองของ Christopher Chyba จึงดูน่าเชื่อถือ และเป็นแนวคิดใหม่ที่มาแรงอีกแนวคิดหนึ่ง ทว่า.. คำอธิบายเกี่ยวกับกัมตรังสี ปฏิกิริยานิวเคลียร์ และการเปลี่ยนทิศทางของวัตถุกลางอากาศเล่าครับ ยังหาคำอธิบายไม่ได้อยู่ดีแหละน่า...
    http://members.thai.net/myth/artifact/tangas_01.htm

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×