ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    100 อันดับ โลกต้องจารึก

    ลำดับตอนที่ #128 : (ปริศนาโลกตะลึง) คำพยากรณ์ แม่พระฟาติมา

    • อัปเดตล่าสุด 31 มี.ค. 50




    คำพยากรณ์ แม่พระฟาติมา

    ฤๅปริศนา ยังคงเป็น ปริศนาต่อไป

                    สำนักวาติกันได้เปิดเผย "คำพยากรณ์ประการที่สาม" แห่งฟาติมา ซึ่งเป็นที่รอคอยกันมานาน บางคนถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่บางคนก็ผิดหวัง ที่เรื่องราวกลับหักมุมจบชนิดไม่คาดฝัน

                    "ปาฏิหาริย์ที่หมู่บ้านฟาติมา" เป็นเหตุการณ์การปรากฏ พระองค์ของพระแม่มารีย์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางที่สุดกรณีหนึ่ง

                    เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1917 และทุกเดือนในวันเดียวกันจน ถึงเดือนตุลาคมของปีนั้น หนูน้อยชาวนาสามคน คือ ลูเซีย ดอส ซานตอส อายุ 8 ขวบ กับญาติของเธอ ฟรานซิสโกและจาซินตา มาร์โต ได้เห็นพระแม่ มารีย์ปรากฏพระองค์ถึง 6 ครั้ง

                    
                  
    ในวันที่
    13 ตุลาคม ฝูงชนราว 70,000 คนที่ไปรวมตัวกันที่หมู่ บ้านในตอนกลางของประเทศโปรตุเกสแห่งนี้ ได้มองเห็นปรากฏการณ์ดวง อาทิตย์ "เริงระบำ" ในทันทีหลังจากพระแม่มารีย์ได้ปรากฏพระองค์ต่อหน้า เด็กทั้งสาม

                    หลังจากบอกปัดเรื่องนี้ในตอนแรก ต่อมาในวันที่ 13 ตุลาคม 1930 บิชอปแห่งเมืองไลเรียได้ให้การยอมรับว่า ภาพที่เด็กเห็นนั้นเป็นพระ มารดาของพระเยซูคริสต์ และพระสันตะปาปาได้ให้การยอมรับต่อการจาริกแสวงบุญ ณ ที่นั้น ในปีเดียวกัน

                    ระหว่างการปรากฏพระองค์หลายครั้งที่ว่านี้ พระนางได้ ประทานคำพยากรณ์แก่เด็กๆ สามประการ คำทำนายสองข้อแรกได้รับการเปิดเผยโดยลูเซีย ดอส ซานตอส เด็กหญิงที่โตที่สุดในกลุ่ม หลังจากเธอเขียน ถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือเมื่อต้นทศวรรษ 1940 ทว่า คำพยากรณ์ข้อสุดท้ายจะ ไม่ถูกเปิดเผยจนกว่าจะถึงปี 1960

                    แม้กระนั้น ปี 1960 ได้มาถึงและผ่านเลยไป คำพยากรณ์ ประการที่สามก็ยังไม่ได้รับการเปิดเผย สำนักวาติกันให้เหตุผลว่า โลกยังไม่ พร้อมที่จะรับฟัง

                    จึงทำให้บรรดาผู้ศรัทธาพากันคาดเดาไปต่างๆ นานา ว่าคำพยากรณ์ข้อสุดท้ายคงน่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด จนกระทั่งพระ สันตะปาปาไม่กล้าเปิดเผย บางทีอาจทำนายถึงสงครามนิวเคลียร์ หรือไม่ก็ อวสานของโลก..

                    ในคำทำนายข้อแรก เด็กๆ ได้มองเห็นภาพของนรก อันเป็นปลายทางของเหล่าคนบาป และได้รับการบอกว่า มหาสงครามที่กำลัง ดำเนินในขณะนั้น ซึ่งเราเรียกในภายหลังว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914-18) กำลังจะยุติลงในอีกไม่นาน

                    ลูเซียบอกว่า พระแม่มารีย์ทรงบอกด้วยว่า หากผู้คนยังไม่เลิก ละเมิดต่อพระเจ้า สงครามที่หนักหนากว่าจะอุบัติขึ้นอีกครั้งในช่วงที่พระ สันตะปาปา ปิอุสที่ 11 ทรงปกครองศาสนจักร

    พร้อมกับบอกด้วยว่า เมื่อเห็นท้องฟ้ายามราตรีเรืองรองขึ้นด้วย แสงลึกลับ ก็ให้รู้ว่าเป็นหมายสำคัญที่พระเจ้าต้องการบอกว่า พระองค์กำลัง จะลงทัณฑ์ต่อโลกที่ได้ทำผิดบาปนานาประการ

                    คำทำนายนี้ดูจะปรากฏเป็นจริง สงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้ปิดฉากลง แล้วตามมาด้วยสงครามที่หฤโหดกว่า คือ สงครามโลกครั้งที่สอง (ค.ศ. 1939-45)

                     อย่างไรก็ดี นักค้นคว้าบางคนชี้ถึงข้อสังเกตว่า ลูเซียเปิดเผย คำทำนายนี้ในข้อเขียนระหว่างปี 1940      หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองได้ ระเบิดขึ้นแล้ว และยังน่าสังเกตด้วยว่า มีการระบุพระนามของพระ สันตะปาปา ปิอุสที่ 11 ในคำทำนายด้วย

                    ในช่วงที่พระแม่มารีย์ทรงประทานคำทำนายในปี 1917 นั้น เบเนดิกที่ 15 เป็นพระสันตะปาปา ส่วนปิอุสที่ 11 ได้เป็นโป๊ปในปี 1922 จนถึงปี 1939

                    สำหรับเรื่องหมายสำคัญที่ปรากฏในรูปของฟากฟ้ายามค่ำคืนที่ สุกสว่างด้วยแสงลึกลับนั้น ผู้รู้บางรายบอกว่า ในคืนวันที่ 25 มกราคม 1938 ได้เกิดปรากฏการณ์แสงเหนือมองเห็นได้ทั่วยุโรป

    บางคนบอกว่า แสงเหนือนี้มองเห็น ได้ไกลลงไปถึงเมืองกาลิเซียของสเปน ที่ซึ่งลูเซียบวชเป็นแม่ชีอยู่ และเธอซึ่งเป็นคนเดียวในกลุ่มเด็ก สามคนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ตระหนักทันทีว่า นี่คือหมายสำคัญที่ว่านั้น แม้กระทั่ง พระสันตะปาปา ปิอุสที่ 11 ในกรุงโรม ก็มองเห็นเช่นกัน

                    ดังนั้น ประชาชนทั่วยุโรปจึงต่างตื่นตระหนกว่า พระเพลิงกำลัง เผาผลาญโลกแล้ว กาลสิ้นยุคกำลังมาถึง

                  
                  
    ตรงนี้มีผู้รู้บางคนชี้ข้อสังเกตอีกเช่นกันว่า แม้กระทั่งย้อนไปในปี
    1917 ก็ยากที่คนจะไม่รู้จักแสงเหนือ หรือถือว่าแสงเหนือเป็นแสงลึกลับ นอกจากนี้ ลูเซียก็ได้เปิดเผยคำพยากรณ์นี้ภายหลัง ที่ปรากฏการณ์ที่ว่าได้เกิดขึ้นแล้ว

                    คำทำนายข้อที่สอง เป็นการพยากรณ์ ถึงการแพร่ขยายลัทธิ คอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียต คนดีถูกสังหารเป็นผักปลาในกรณีชาวยิวผู้บริสุทธิ์ 6 ล้านคนที่ถูกพวกนาซีพร่าผลาญชีวิต และพวกคอมมิวนิสต์ได้ สังหารผู้คนนับล้าน หลายชาติได้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่ง ของสหภาพโซเวียต

                    บางคนเชื่อว่า เหตุการณ์ทุกอย่างที่บังเกิดขึ้นในโลก ได้เป็นไปตามคำพยากรณ์เหล่านี้ ในขณะที่บางคนก็ยังสงวนความเห็น ที่จะคล้อยตาม

                    คำพยากรณ์ประการสุดท้ายเป็นเช่นไร ชาวคริสต์บางส่วนมี ปฏิกิริยาต่อใจความของคำทำนายข้อที่สามอย่างไร โปรดอดใจรอ.

                    คำพยากรณ์แม่พระฟาติมา ฤๅปริศนายังคง เป็นปริศนาต่อไป? (จบ)

                    คำพยากรณ์ของ แม่พระแห่งฟาติมา ที่ผู้คนเฝ้ารอการเปิดเผย อย่างใจจดใจจ่อก็คือ "ความลับข้อที่สาม" ทว่า เมื่อสำนักวาติกันเผยแพร่ คำทำนายนี้ออกมาแล้ว บางคนกลับเชื่อว่า ความจริงยังถูกเปิดเผยไม่หมด

                    ในปี 1944 ลูเซียได้เขียนคำพยากรณ์ข้อที่สามออกมา ซึ่งเธอบอกว่าตัวเองได้ยินจากพระแม่ขณะยังเป็นเด็กหญิงอายุ 10 ขวบ เมื่อปี 1917 จากนั้นได้มอบคำทำนายปิดผนึกนี้ให้แก่บิชอปแห่งไลเรีย พร้อมกับบอก ว่า พระแม่สั่งไม่ให้เปิดเผยแก่สาธารณชนจนกว่าจะถึงปี 1960 แล้วท่านบิ ชอปก็ส่งข้อความนั้นต่อไปยังวาติกัน

                    ในปี 1960 พระสันตะปาปา พอล จอห์น ที่ 23 ได้เปิดผนึก คำพยากรณ์ออกอ่าน บรรดาผู้ศรัทธาต่างตั้งตาคอยการเปิดเผย แต่พระองค์ ปฏิเสธที่จะบอกถึงข้อความในคำพยากรณ์นั้น โดยบอกว่า "คำพยากรณ์นี้ไม่ เกี่ยวข้องกับยุคสมัยของข้าพเจ้า"

                   
                    เมื่อคำพยากรณ์กลายเป็น
    "ความลับ" ผู้คนจึงเริ่มคาดเดากันไป ต่างๆ นานาถึงเนื้อหาที่ยังถูกเก็บงำไว้

                    แคธลีน เอ. คีตติง ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Final Warning : Your Survival Guide to the New Millennium หรือ "คำเตือนครั้งสุดท้าย : คู่มือเอาชีวิตรอดในสหัสวรรษใหม่" บอกว่า

    "จอห์น ที่ 23 ถึงกับเป็นลมเมื่อได้อ่านความลับข้อที่สาม ประจักษ์พยานหลายคนบอกว่า นั่นเป็นเพราะคำทำนายระบุว่า พระองค์จะ ทรยศต่อคริสต์ศาสนิกชน และนำพาเหล่าคริสต์ศาสนิกชนไปให้ซาตาน สังหาร"

                    มีเสียงร่ำลือว่า โป๊ปต่อๆ มาทุกพระองค์ก็ได้อ่านคำพยากรณ์นี้ แล้ว และเลือกที่จะไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน

                    ตอนนี้ กาลเวลาล่วงเลยมาแล้ว 40 ปี ในที่สุดข้อความโดย สมบูรณ์ของคำพยากรณ์ก็ได้รับการเผยแพร่ แต่ปริศนาดูท่าจะยังไม่จบลง ง่ายๆ

                    เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคมของปีนี้ ซึ่งเป็นวันเดียวกับความ พยายามที่จะลอบสังหารพระองค์ สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น พอล ที่ 2 ได้เด็จยังโบสถ์ที่ฟาติมา และประกาศว่า ความลับจะถูกไข ณ บัดนี้

                    แล้วสำนักวาติกันก็บอกกับชาวโลกว่า ความลับที่ว่านี้ก็คือ การทำนายถึงความพยายามที่จะลอบสังหารโป๊ป จอห์น พอล ที่ 2 เมื่อปี 1981

                    พยากรณ์มีใจความว่า พระสันตะปาปาดำเนินผ่านไปใน เมืองอันปรักหักพังที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเศร้าโศก พระองค์ สวดให้แก่ศพที่พบระหว่างทาง เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขา พระองค์คุกเข่าลงแทบ เบื้องใต้ไม้กางเขนใหญ่ พระองค์ถูกสังหารโดยทหารกลุ่มหนึ่งที่ระดมยิง กระสุนและธนูใส่พระองค์

                    ภาพที่พรรณนานี้ดูจะไม่เหมือนกับเหตุการณ์ตอนที่มือปืน เมห์เหม็ด อาลี อักกา บุกเดี่ยวเข้าไปยิงโป๊ปองค์นี้ในจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์เมื่อ เดือนพฤษภาคม ปี 1981 นัก เพราะไม่ปรากฏ "ทหารกลุ่มหนึ่ง" และ พระองค์ก็มิได้สิ้นพระชนม์

                    อย่างไรก็ดี น่าแปลกที่ว่า แม้ก่อนหน้าที่จะมีการเปิดเผยคำ ทำนายข้อนี้ อาลี อักกา ได้บอกว่า ตัวเองถูกบังคับให้พยายามฆ่าโป๊ป เพราะเป็นแผนการของพระเจ้า แถมบอกด้วยว่า การที่ลงมือนี้เกี่ยวข้องกับ ความลับข้อที่สามแห่งฟาติมา

                    ด้านองค์พระสันตะปาปาเองก็ได้บอกหลังจากถูกยิงไม่นานว่า พระองค์เชื่อว่า พระแม่มารีย์ได้โบกพระหัตถ์ปัดป้องกระสุนของมือปืนให้พ้น ไป พระองค์จึงรอดชีวิตมาได้

    นับแต่มีการเปิดเผย วาติกันได้พยายามลดกระแสการให้ความ สำคัญแก่คำทำนายนี้ เนื่องจาก           คริสต์ศาสนิกชนนิกายคาทอลิกไม่มีข้อบังคับผูก มัดให้ต้องเชื่อในเหตุการณ์ที่หมู่บ้านฟาติมา จะเชื่อหรือไม่ก็ได้

                    พระคาร์ดินัล โยเซฟ แรทซิงเกอร์ แห่งโบสถ์ Doctrine of Faith พูดถึงคำพยากรณ์ข้อนี้ว่า

    "คนที่คาดหวังถึงคำทำนายเกี่ยวกับอวสานของโลกหรือโลกใน อนาคตคงผิดหวัง แม่พระฟาติมาไม่ได้สนองความอยากรู้อยากเห็นของเราใน ทำนองนั้น ศรัทธาของชาวคริสเตียนไม่ควรถูกลดค่าลงเป็นแค่ความกระหาย ใคร่รู้"

                    บรรดาผู้ศรัทธาในแม่พระฟาติมาจำนวนมากดูจะไม่พอใจกับ สิ่งที่สำนักวาติกันได้เปิดเผยออกมา หลายคนสงสัยว่า ศาสนจักรได้เปลี่ยน แปลงข้อความหรือเปิดเผยข้อความไม่หมด

    ทำไมโป๊ปถึงห้าพระองค์จึงลังเลที่จะเปิดเผยคำพยากรณ์ให้ชาว โลกรู้ แรทซิงเกอร์อธิบายว่า ความลับถูกเก็บงำไว้เนื่องจากข้อความมีความ คลุมเครือ ซึ่งจะตีความออกก็ต่อเมื่อ "ประวัติศาสตร์ได้ดำเนินมาถึงแล้ว" เท่านั้น

                    แคธลีน เอ. คีตติง เขียนถึงการเปิดเผยคำพยากรณ์ในครั้งนี้ว่า

                    "ความลับข้อที่สามแห่งฟาติมายังคงเป็นความลับต่อไป สาธารณชนได้รู้เพียงข้อความประโยคเดียวของความลับที่แท้จริง"

                    เมื่อผมได้อ่านความลับแห่งฟาติมา
                    คุณพ่อไพบูลย์ อุดมเดช C..Ss.R.

                    ความลับส่วนที่หนึ่งและที่สอง

                  

                    ความลับอะไรหรือ? ฉันรู้สึกว่าฉันเปิดเผยความลับนี้ได้เพราะฉันได้รับอนุญาตจากสวรรค์แล้ว ผู้แทนของพระเจ้าบนโลกนี้ได้อนุญาตฉันให้เปิดเผยหลายครั้งแล้วในจดหลายหลายๆครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉบับที่ท่านเองได้เก็บไว้...

                    "ในตอนที่สองฉันได้อธิบายไว้แล้วอย่างละเอียดถึงเรื่องความสงสัยที่ทรมานฉันมากจากวันที่ 13 มิถุนายน มาจนถึงวันที่ 13 กรกฏาคม และได้อธิบายด้วยว่าความทรมานนั้นหายไปได้อย่างไรเมื่อฉันได้เห็นการประจักษ์ในวันนั้น เอาล่ะ...ความลับนั้นแบ่งออกเป็น 3 ส่วนต่างกัน สองส่วนแรกนั้นฉันจะเปิดเผยดังต่อไปนี้คือ"

                    "ภาคแรกนั้นเป็นภาพนิมิตของนรก แม่พระได้ทำให้เราเห็นทะเลเพลิงอันกว้างใหญ่ซึ่งดูเหมือนจะอยู่ใต้โลก ปีศาจและวิญญาณในรูปมนุษย์มากมายตกลงไปในไฟนี้ ดั่งถ่านไฟที่กำลังลุกโชน บางร่างนั้นถูกเผาจนดำสนิท บางร่างก็เป็นสีตะกั่ว ลอยคออยู่ในทะเลเพลิงดังกล่าว บางร่างก็ถูกแรงไฟที่กำลังเผาร่างของตนอยู่นั้นผลักให้ลอยขึ้นไปในอากาศพร้อมกับกลุ่มควัน แล้วก็ตกกระจายลงมาไปคนละทิศคนละทางดั่งสะเก็ดไฟที่แตกกระจายจากการปะทุของกองไฟใหญ่ ร่างเหล่านั้นไม่สามารถจะควบคุมน้ำหนักตัวเองให้เกิดความสมดุลได้ ท่ามกลางเสียงร้องโอดครวญ โหยหวนด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ซึ่งเราเห็นแล้วก็รู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นกันทุกคน"

                    "เจ้าปีศาจนั้นมองจากรูปร่างที่คล้ายสัตว์ร้ายน่ากลัวแต่ก็ไม่เหมือนสัตว์ชนิดใดที่เราเคยรู้จักมาก่อน ทุกร่างนั้นดำทมึนแต่ก็โปร่งมองทะลุได้... เราเห็นภาพนิมิตนี้เพียงชั่วขณะ เราจะขอบคุณพระแม่ด้วยความกตัญญูเพียงใดถึงจะเหมาะสมพอเพียง เพราะพระนางได้ทรงเตรียมใจเราแล้วโดยสัญญาในการประจักษ์ครั้งแรกว่าจะพาเราไปชมสวรรค์ อย่างไรก็ตาม ฉันคิดว่าเราคงจะตายเพราะความกลัวและภาพอันสยองขวัญเสียก่อนเป็นแน่ จากนั้นเราได้เงยหน้าขึ้นไปยังแม่พระผู้ตรัสกับเราด้วยความอ่อนหวานแต่ก็แฝงไว้ด้วยความเศร้าว่า ....พวกเธอได้เห็นนรกที่บรรดาวิญญาณที่น่าสงสารทั้งหลายตกลงไปแล้ว เพื่อที่จะช่วยวิญญาณเหล่านั้นพระเป็นเจ้าทรงปรารถนาที่จะก่อตั้งความศรัทธาต่อดวงใจบริสุทธิ์ของเรา ถ้าสิ่งที่เราได้บอกพวกเธอนั้นสำเร็จลุล่วงไปแล้ว วิญญาณมากมายจะรอดและเมื่อนั้นล่ะสันติจะกลับคืนมา"

                    "สงครามจะสิ้นสุดในเร็ววัน แต่ถ้าหากมนุษย์ไม่หยุดทำขัดเคืองพระทัยพระเจ้า สิ่งที่เลวร้ายกว่าก็จะเกิดขึ้นในช่วงสมัยของพระสันตะปาปาปีโอที่ 11

                    "เมื่อพวกเธอเห็นค่ำคืนที่สว่างไสวด้วยแสงที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ขอให้รู้ไว้เถิดว่านั่นคือเครื่องหมายอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงบอกให้พวกเธอทราบว่าพระองค์กำลังจะลงโทษโลกเนื่องด้วยความผิดมหันต์ที่โลกกระทำ พระองค์จะลงโทษด้วยสงคราม ความอดอยากและการเบียดเบียนพระศาสนจักรและการเบียดเบียนพระสันตะบิดา

                    "เพื่อที่จะป้องกันสิ่งดังกล่าวนี้ เราจะมาเพื่อขอให้มอบถวายรัสเซียต่อดวงใจอันบริสุทธิ์ของเรา และขอให้รับศีลมหาสนิทเพื่อเป็นการชดเชยโทษนั้นในวันเสาร์ต้นเดือน

                    "หากคำขอของเราได้รับการตอบสนอง รัสเซียจะกลับใจและจะเกิดสันติ หาไม่แล้วรัสเซียจะแพร่ขยายความผิดพลาดของตนไปทั่วโลก ทำให้เกิดสงครามและการเบียดเบียนพระศาสนจักร คนดีมากมายจะต้องสิ้นชีพเป็นมรณสักขี พระสันตะบิดรจะต้องทรมานอย่างมาก ชาติต่างๆจะถูกทำลาย แต่ในที่สุดแล้วดวงใจบริสุทธิ์ของเราจะมีชัย พระสันตะบิดรจะมอบถวายรัสเซียแก่เรา และรัสเซียจะกลับใจและช่วงเวลาแห่งสันติภาพจะเกิดขึ้นในโลก"

                    เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่ขึ้นกับวิจารณญาณของแต่ละคนครับ

    + + http://www.newmana.com/important/fatima01.htm

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×