ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    100 อันดับ โลกต้องจารึก

    ลำดับตอนที่ #125 : (ปริศนาโลกตะลึง) เลือดและน้ำตาปาฏิหาริย์

    • อัปเดตล่าสุด 24 มี.ค. 50




    เลือดและน้ำตาปาฏิหาริย์

      
                 
    เรื่องราวของปาฏิหาริย์แห่งรูปเขียนรูปสลักของพระเยซูและพระแม่มารีนั้น มีหลายเรื่องด้วยกัน

                    เรื่องแรก เกิดขึ้นที่เมืองซีราคิวส์ในซิซิลีเมื่อเดือนสิงหาคม 1953 นางอันโตนิเอ็ตต้า จานุสโซ ซึ่งเพิ่งแต่งงานใหม่ ได้รับของขวัญเป็นรูปปั้นปูนพลาสเตอร์ของพระแม่มารี เธอนำรูปปั้นครึ่งตัวนั้นไปประดับไว้ที่ผนังห้องและไม่ได้สนใจเท่าใดนัก เพราะหลังจากแต่งงานได้ไม่นาน อันโตนิเอ็ตต้าก็เริ่มป่วยกระเสาะและเพิ่มมากขึ้น ๆ ด้วยอาการประหลาด กล่าวคือมีอาการหูหนวกหรือตาบอด หรือเป็นใบ้ไปชั่วคราว แพทย์ลงความเห็นในชั้นแรกว่าเป็นโรคประสาท แต่ต่อมาหลังจากตรวจหาสาเหตุโดยละเอียดแล้วก็กลับไม่รู้ว่าเป็นโรคแะไรกันแน่ บางหมอว่าเป็นฮีสทีเรีย บางคนว่าไม่ใช่... แต่ที่เป็นความจริงก็คืออันโตนิเอ็ตต้าผู้เคราะห์ร้ายต้องนอนแซ่วอยู่บนเตียงครั้งละนาน ๆ ครอบครัวของเธอยากจนมากด้วย เมื่อเธอต้องมาเจ็บป่วยอย่างนี้จึงลำบากกันไปหมด

                    และแล้ว วันหนึ่ง ในขณะที่สาวคนป่วยนอนอยู่บนเตียง เธอก็เหลือบตาขึ้นมองรูปแม่พระที่แขวนผนังไว้บนหัวนอนโดยไม่ตั้งใจแล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นความผิดปกติที่รูปนั้น

                    พระแม่มารีอันปั้นด้วยรูปพลาสเตอร์ มีน้ำตาไหลออกจากดวงตาเป็นหยาดหยดมองเห็นชัดเจน

                    รูปปั้นร้องไห้ !

                    การหลั่งน้ำตาของรูปพระแม่มารีเป็นไปติดต่อกันหลายวัน และทุก ๆ วันอันโตนิเอ็ตต้ารู้สึกสบายขึ้น ๆ ทุกขณะ โรคร้ายที่เล่นงานเธอดูจะล่าถอยออกไป พร้อมๆ กับพระแม่หยุดหลั่งน้ำตานั่นเอง อันโตนิเอ๊ตต้าก็หายป่วยพอดีเรื่องนี้ คนเล่าเจ้าของรูปมีพยานรู้เห็นมากมาย เพราะในวันแรกที่รูปปั้นหลั่งน้ำตามารดาของเธอได้เล่าให้เพื่อนบ้านฟัง ใคร ๆ ก็แห่กันเข้าไปในห้องแคบ ๆของอันโตนิเอ็ตต้า และได้เห็นด้วยตาตนเอ

                    ว่า รูปพระแม่มารีหลั่งน้ำตาจริง ๆ ...เรื่องนี้ ในทัศนะของผู้ที่เลื่อมใสศาสนาเต็มที่เชื่อมั่นว่าเป็นปาฏิหาริย์ทางศาสนาเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง แต่สำหรับแพทย์ที่รักษาโรคภัยำข้เจ็บของอันโตนิเอ็ตต้ากลับมีความเห็นว่า การที่เธอหายป่วยในครั้งนี้เป็นด้วยกำลังใจ คืออันโตนิเอ็ตต้าหยุดสงสารตัวเองเมื่อเห็นว่ามีผู้อื่นสงสารเธอสบายขึ้น แข็งแรงขึ้นและหายป่วยได้โดยเร็ว

                    ส่วนน้ำใสที่หลั่งจากดวงตารูปปั้นนั้น วิเคราะห์วิจัยแล้วพบว่าเป็นน้ำตาจริง แต่ที่วิเคราะห์ไม่ได้ก็คือ ทำไมจึงมีน้ำตาจริงไหลออกมาจากรูปปั้นพลาสเตอร์ราคาถูก ๆ ได้ ? ยังไม่มีคำตอบอันกระจ่างแจ้งทางวิทยาศาสตร์จนบัดนี้

                    อีกรายหนึ่งไม่ได้หลั่งน้ำตา หากหลั่งเลือดเลยทีเดียว

                    รูปปั้นที่หลั่งเลือดครั้งนี้ไม่ใช่รูปปั้นของพระแม่มารี หากเป็นรูปของนักบุญแอนน์ (St.Anne) ในท่าโน้มตัวนิด ๆ ยื่นมือออกมาด้วยท่าทางปรานีรูปนี้ส่วนสูงประมาณสองฟุต เป็นของนายญัง ซาลาท เจ้าของโรงแรมเล็ก ๆ ในเมืองอองเตรอโวซ์ของฝรั่งเศส วันหนึ่ง นายซาลาทเกิดโมโหโกรธาอะไรมาไม่ทราบ กำหมัดทุบโต๊ะโครม แล้วก็เผอิญหมัดนั้นไปกระทบถูกมือข้างหนึ่งของรูปปั้นเซ็นต์แอนน์หักอกครึ่งหนึ่ง คือหักตรงช่วงนิ้วกับฝ่ามือ พอหายมะโหแล้ว ซาลาทก็จัดการเอามือ ที่หักมา ต่อกันให้สนิทด้วยกาวอย่างดีจนมองไม่เห็นรอยต่อ แล้วก็คิดไม่มีอะไร เกิดขึ้น

                    เขาคิดผิดถนัด

                    ในวันนั้นเองหลังจากที่ต่อมือให้รูปปั้นเสร็จสรรพ ญัง ซาลาทเดินผ่านมาหน้ารูปอีกที พอแลเห็นเข้าก็มีความฉงนฉงายจนต้องปราดเข้าไปพิศดูใกล้ชิด

                    เพราะว่า มือของรูปปั้นตรงรอยตอที่เขาต่อไว้ดิบดีนั้น มีของเหลวสีแดงเหมือนเลือดไหลซึมออกมาเห็นถนัด

                    ซาลาแน่ใจว่าไม่ใช่กาวที่เขาทาไว้แน่นอน และยิ่งมั่นใจใหญ่เรื่องของเหลวสีแดงนี้ไหลออกมาไม่ขาดสายเขาโวยวายเรียกใครต่อใครมาดู แล้วก็ยิ่งแปลกใจกันมากขึ้นว่า วันนั้นทั้งวัน มีเลือดไหลซึมจากรอยแผลที่มือนักบุญทีละน้อย แล้วรวมกันเป็นหยดไหลหยาดลงช้า ๆ นับได้ถึง 30 หยดตลอดวันครั้นถึงวันรุ่งขึ้น เลือดยังไหลซึมอยู่อีก คราวนี้ซาลาทรีบไปเชิญนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ให้มาพิสูจน์ของเหลวสีแดงนั้นว่ามันเป็นอะไรแน่

                    ผลของการพิสูจน์บอกได้ชัดเจนว่าเป็นเลือดจริง ๆ !

                    ลืมบอกท่านผู้อ่านไปว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี 1954 หรือปีเดียวหลังจากรูปปั้นพระแม่มารีหลั่งน้ำตาที่ซีราคิวส์ซึ่งเล่ามาข้างต้น...รายนี้ก็เช่นเดียวกับรายอื่น ๆ กล่าวคือผู้คนแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่ศรัทธาเชื่อถือก็มั่นใจว่าเป็นปาฎิหาริย์ทางศาสนา แต่อีกกลุ่มที่ไม่เชื่อก็กล่าวหาว่าซาลาทเบิกเนตรแหกตาเอาเลือดแอบบไปป้ายไว้ตบตาคนอื่นเพื่อโฆษณาโรงแรมของเขา...ก็สุดแต่จะคิดกันไปตามนานาทัศน์นะคะที่แน่ ๆ ก็คือ เรื่องรูปร้องไห้หรือหลั่งเลือดนี้ไม่ใช่เพียงไม่กี่เรื่อง หากมีอยู่หลายเรื่อง และมีตั้งแต่อดีตอันไกลอดีตอันใกล้ไล่มาจนเกือบถึงปัจจุบันทีเดียว

                    อย่างรายนี้ เรื่องราวได้เกิดขึ้นในปี 1980 รูปแม่พระในซิซิลีเหมือนกัน หลั่งเลือดได้ต่อหน้าต่อคนที่เฝ้าดูจำนวนมาก ทีแรก รูปปั้นของแม่พระแห่งหมู่บ้านคัลตานิสเซ็ตหลั่งน้ำตาครั้งหนึ่งแล้วในปี ๑๙๗๔ ครั้นต่อมาในปี ๑๙๘๐ ก็หลั่งโลหิตออกจากรอยเล็ก ๆ ตรงแก้มรอยเลือดนี้หลั่งอยู่ตลอดวันในลักษณะค่อย ๆ ซึมออกมาทีละนิด ท่ามกลางสายตาคนดูจำนวนมาก และก็เช่นเดียวกับทุกครั้งคือวิเคราะห์ได้ว่า ทั้งน้ำตาและเลือดเป็นของจริง แต่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

                   
                    มันเป็นปาฏิหาริย์แห่งศาสนาหรือว่าอะไรกันแน่...
    ?


    http://www.rakbankerd.com/02_spiritual/arthit1_1.html?+ + menu_id=3&topic_self_id=7&topic_parent_id=855&linkfile=cry.htm

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×