คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #115 : (ปริศนาโลกตะลึง) ย้อนรอยนอสตราดรามุส (Nostredame) ตอนที่ 1 ประวัติ
ย้อนรอยนอสตราดามุส
เมื่อสี่ร้อยกว่าปีมาแล้วประเทศฝรั่งเศส บุรุษผู้หนึ่งเข้าไปนั่งซุ่มศึกษาค้นคว้าตำรับตำราต้องห้ามทางไสยศาสตร์อยู่ตามลำพัง ในห้องที่มืดมิดในยามรัตติกาล ที่ข้างกายของบุรุษผู้นี้มีอ่างน้ำใบหนึ่งวางอยู่บนขาหยั่งทองเหลืองชนิดสามขา เขาเพ่งกระแสจิตอันทรงพลังไปที่น้ำในอ่าง จนกระทั่ง เกิดเป็นเปลวไฟและพวยพุ่งขึ้นมา และลึกลงไปใต้ผิวน้ำปรากฏเป็นภาพแจ่มชัดของเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะอุบัติขึ้นในโลก เช่น ภาพของสงครามโลก ครั้งที่ 1 ภาพของสงครามโลกครั้งที่ 2 ภาพของอยาตอลล่าห์ โคไมนี วางแผนโค่นล้มอำนาจของพระเจ้าซาห์แห่งอิหร่าน ภาพของสงครามอันยึดเยื้อระหว่างอิรักกับอิหร่าน ภาพและฝ่ายพันธมิตรโดยการนำของสหรัฐทำสงครามขับลไล่ทหารอิรักออกจากคูเวต ภาพอันน่าสะพรึงกลัวของสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งกำลังจะระเบิดในไม่ช้านี้ และภาพของการอวสานของโลกเรา ฯลฯ บุรุษผู้มีตาทิพย์สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างลึกลับมหัศจรรย์ มีชื่อจริงว่า มิเชล เดอ นอสเตรอดัม แต่ชาวโลกรู้จักเขาในอีกชื่อหนึ่งที่เป็นที่คุ้นหูว่า " นอสตราดามุส " เขามีประวัติที่มีความลี้ลับมหัศจรรย์ควรแก่การสนใจยิ่ง
ชาติกำเนิด
มิเชล เดอ นอสเตรอดัม (Michelde Nostredame) คือผู้ได้รับการขนานนามจากชาวโลกว่า " ราชาโหรโลก " แต่โดยทั่วไปคนรู้จักเขาในชื่อที่เป็นภาษาลาตินว่า " นอสตราดามุส (Nostradamus) " เขาเกิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ.1503 ตามแบบปฏิทินจูเลียนโบราณ ซึ่งตรงกับวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ.1503 ตามแบบปฏิทินเกรกอเรียน บ้านเกิดอยู่ที่ แซงค์ เรมี เดอ โปรวองซ์ ประเทศฝรั่งเศส
แต่เดิมมีผู้เข้าใจว่า ตระกูลของนอสตราดามุสสืบเชื้อสายมาจากขุนนางแพทย์ชาวอิตาเลียนเชื้อสายยิว ซึ่งเป็นแพทย์หลวงประจำราชสำนักของพระเจ้าเรอเนแห่งอังจูแต่ความจริงแล้ว ไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากขุนนางแพทย์อย่างที่เคยกล่าวอ้างนั้นแต่อย่างใด ทว่าสืบทอดเชื้อสายมาจากตระกูลสามัญชนชาวเมืองอาวิยอง
จากหลักฐานที่ได้จากการค้นคว้าและวิจัยพบว่าปู่ของนอสตราดามุสมีชื่อว่า ปีโรต์ หรือ ปีแอร์ เดอ นอสเตรอดัม ซึ่งประกอบอาชีพเป็นพ่อค้าขายข้าวผู้มีฐานะมั่งคั่งและได้แต่งงานกับหญิงสาวนอกศาสนายิวคนหนึ่งชื่อ บลังช์ ต่อมามีบุตรกับนางบลังซ์คนหนึ่งชื่อ จูม หรือ จ๊าคส์ ซึ่งก็คือบิดาของนอสตราดามุสนี่เอง
นายจ๊าคส์ได้ย้ายที่อยู่จากเมืองอาวิยองไปอยู่ที่เมือง แซงต์ เรมี เดอ โปรวองซ์ ในปี ค.ศ.1495 หลังจากย้ายมาอยู่ในที่แห่งใหม่นี้แล้ว ก็ได้เลิกประกอบกิจการค้าข้าวโดยเด็ดขาด และได้แต่งงานอยู่กินกับนางเรนีร์ เดอ แซงต์ เรมี หลานสาวของนายแพทย์ผู้หนึ่งซึ่งเปลี่ยนอาชีพจากแพทย์มาเป็นนายอากร
เมื่อวันที่ 26 กันยายน ค.ศ.1501 พระเจ้าหลุยส์ที่ 12 แห่งฝรั่งเศส ทรงมีพระบรมราชโองการป่าวประกาศบังคับชาวยิวทุกคนให้เปลี่ยนศาสนาเดิมมานับถือศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก ซึ่งถ้าหากชาวยิวผู้ใดไม่ปฏิบัติตามก็จะต้องอพยพโยกย้ายออกจากมณฑลโปรวงซ์ภายในสามเดือน ก่อนหน้านี้ คือ ปี ค.ศ.1456 หลังจากพระเจ้าหลุยส์แห่งอารากอง สิ้นพระชนม์แล้ว ทั้งมณฑลโปรวองซ์และมณฑลแม็งได้ตกอยู่ในอำนาจการปกครองของกษัตริย์ฝรั่งเศส
เมื่อพระเจ้าหลุยส์แห่งฝรั่งเศส ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศออกมาเช่นนี้ ครองครัวของนอสตราดามุสจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนศาสนามาจากยูดายเป็นคาทอลิกอย่างไม่มีทางเลี่ยงใดๆ ได้ มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่า เมื่อปี ค.ศ. 1512 ซึ่งเป็นตอนที่นอสตราดามุสยังอยู่ในเยาว์วัยมีอายุเพียง 9 ขวบ บิดามารดาของเขามีชื่ออยู่ในบัญชีของผู้เปลี่ยนศาสนาอื่นมานับถือคริสต์นิกายคาทอลิก
ผู้ที่ต้องการจะถอดข้อความในคำทำนายของนอสตราดามุส อย่างน้อยจะต้องตระหนักในข้อเท็จจริงที่ว่าเขามีพื้นเพสืบเชื้อสายมาจากยิว เพราะเป็นที่แน่นอนว่าเขาได้รับอิทธิพลจากการที่เคยได้อ่านตำรับไสยศาสตร์ของพวกยิว
ยิ่งไปกว่านั้น นักเขียนชีวประวัติหลายต่อหลายคนยังอ้างว่า ตระกูลของนอสตราดามุสสืบเชื้อสายดั่งเดิมมาจาก ยิวโบราณเผ่าอิสซาการ์ ซึ่งเป็นพวกที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านดาราศาสตร์มาก สามารถตีความปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ ที่ปรากฏบนท้องฟ้าได้ โดย โจเซฟุส นักประวัติศาสตร์ชาวยิว เคยกล่าวถึงชนเผ่นนี้ว่า เป็นพวก " ที่สามารถหยั่งรู้สิ่งทั้งหลายซึ่งจะอุบัติขึ้นในอนาคตได้ "
นอสตราดามุสเป็นบุตรคนโตของครอบครัว มีน้องเกิดร่วมท้องอีก 4 คน คือเบอร์ทรันต์ เฮ็กโตร์ อังตวง และ ฌอง เราไม่สามารถค้นหาประวัติละเอียดของ เบอร์ ทรันต์ เฮ็กโตร์ และอังเดรได้ แต่สำหรับคนที่ชื่อ ฌอง พอค้นหาประวัติได้ว่าเป็นนักประพันธ์ และนักวิจารย์เพลงพื้นเมืองของมณฑลโปรวองซ์ ต่อมาได้เล่นการเมืองและได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรของมณฑลแห่งนี้
การศึกษาในปฐมวัย
แววอัจฉริยะของนอสตราดามุส ได้ฉายออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดตั้งแต่เยาว์วัยเลยทีเดียว การศึกษาในปฐมวัยของเขาเริ่มต้นที่บ้านก่อน โดยมีปู่เป็นผู้สอนความรู้เบื้องต้นของวิชา ภาษาลาติน ภาษากรีก ภาษาฮิบรู คณิตศาสตร์ และโหราศาสตร์ ซึ่งในสมัยนั้นเรียก วิชาโหราศาสตร์ นี้ว่า "นภาศาสตร์ " (Celestial Science)
เมื่อปู่ถึงแก่กรรมแล้ว นอสตราดามุสได้ย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านกับบิดามารดา แต่การศึกษาก็ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป โดยคราวนี้มีตาเป็นผู้สอนให้ ต่อมาถูกส่งให้ไปเรียนต่อที่เมืองอาวิยอง โดยได้ไปพักอยู่กับญาติๆ ซึ่งยังมีอยู่ในเมืองนั้น
นอสตราดามุสให้ความสนในวิชาโหราศาสตร์มากเป็นพิเศษ จนเป็นที่กล่าวขวัญในหมู่เพื่อนฝูงที่เรียนอยู่ด้วยกัน พวกเพื่อนๆ ถึงกับขนานนามให้ว่า " โหรน้อย " นอกจากนั้น เขายังสนับสนุนทฤษฎีของ โคเปอร์นิคัส ที่กล่าวว่าโลกกลมและหมุนรอบดวงอาทิตย์อีกด้วย ซึ่งความเชื้อนี้ยังผลให้กาลิเลโอถูกฝ่ายศาสนจักรคาทอลิกนำตัวไปประหารชีวิตในอีกร้อยปีต่อมา
ศึกษาแพทย์ศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมองต์เปลิเย
การเป็น " โหรน้อย " ของนอสตราดามุส ได้สร้างความวิตกกังวลอย่างใหญ่หลวงให้แก่บิดามารดาของเขาด้วยว่าในยุคนั้นฝ่ายศาสนจักรคาทอลิกได้ทำการปราบปราม ผู้ที่ประพฤตินอกรีตนอกรอยคำสั่งสอนของศาสนาคริสต์ โดยได้จัดตั้งคณะกรรมการฝ่ายศาสนจักรเพื่อทำหน้าที่สอบสวนและทำการลงโทษผู้กระทำความผิดในเรื่องนี้ขึ้น
ด้วยเหตุที่ครอบครัวของนอสตราดามุสมีปูมหลังเป็นยิว คณะกรรมการของฝ่ายศาสนจักรจึงน่าจะจับตามองเพื่อจับผิดมากเป็นพิเศษกว่าคนเผ่าอื่น ดังนั้น เพื่อป้องกันอันตรายให้แก่บุตรซึ่งอาจถูกกล่าวหาจากฝ่ายศาสนจักรได้บิดามารดาจึงตัดสินใจส่งให้ไปศึกษาวิชาการแพทย์ที่ มหาวิทยาลัยมองต์เปลิเย เมื่อปี ค.ศ.1522 มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังทางด้านวิชาการแพทย์รองลงมาจากมหาวิทยาลัยปารีส ซึ่งนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1376 เป็นต้นมา พระเจ้าหลุยส์ที่ 1 แห่งอังจู ให้นำศพนักโทษประหารมาชำแหละเพื่อวิจัยทางการแพทย์ได้เป็นกรณีพิเศษ
ขณะที่เริ่มเข้ามาศึกษาวิชาการแพทย์นั้น นอสตราดามุสมีอายุ 19 ปีใช้เวลาศึกษาอยู่ 3 ปีก็สามารถสำเร็จปริญญาตรีทางด้านการแพทย์อย่างง่ายดายเป็นประวัติการณ์ ซึ่งแสดงว่าเป็นคนอัจฉริยะมีความเฉลียวฉลาดมากเป็นพิเศษกว่าบุคคลอื่น
จากบันทึกต่างๆ ที่รวบรวมมาได้จากหลายๆ แหล่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับระบบการสอบไล่ปีสุดท้ายในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยมองต์เปลิเย ซึ่งแสดงว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีระบบการสอบที่ยากมาก ในการสอบวันแรกนั้น นักศึกษาแพทย์จะเข้าสอบปากเปล่าก่อน โดยเริ่มกันตั้งแต่แปดโมงเช้าเรื่อยไปจนถึงเที่ยงวัน
นักศึกษาจะถูกบรรดาศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยทำการซักไซ้ไล่เลียงเพื่อตะล่อมให้จนมุม ซึ่งนักศึกษาจะต้องตอบข้อซักถามนั้นๆ ตามหลักวิชาการที่ตนได้ร่ำเรียนมา จนเป็นที่พอใจของบรรดากรรมการสอบ และจะต้องสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่า ความรู้ที่ตนเรียนมานั้นแข็งแกร่งพอๆ กับความรู้ของกรรมการสอบเลยทีเดียว นักศึกษาที่สามารถผ่านการสอบปากเปล่านี้ได้ ทางมหาวิทยาลัยมองต์เปลิเย จะจัดพิธีมอบครุยปริญญาตรีสีแดง ให้ใช้สวมใส่แทนครุยนักศึกษาซึ่งเป็นสีดำ
ที่มหาวิทยาลัยมองต์เปลิเยในสมัยนั้น เพียงแต่ได้ปริญญาทางแพทย์ ไม่ได้มีผลให้นักศึกษาได้ใบประกอบโรคศิลป์โดยอัตโนมัติเหมือนอย่างสมัยนี้ นักศึกษาแพทย์จะต้องผ่านการทดสอบความสามารถในด้านการบรรยายทางวิชาการในหัวข้อต่างๆ ถึง 5 หัวข้อด้วยกัน โดยกำหนดเวลาให้ 3 เดือน ซึ่งแต่ละหัวข้อที่นักศึกษาจะนำมาบรรยายให้กรรมการสอบฟังนั้น ทางคณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัย เป็นผู้ทำการคัดเลือกให้ด้วยตัวเอง
หลังจากสอบผ่านในขั้นตอนการบรรยายได้แล้ว ก็จะเป็นการสอบที่เรียกกันในภาษาฝรั่งเศสในสมัยนั้นว่า " แปร์แอ็งตังซิออแน็ม (Per intentioned) " โดยนักศึกษาแพทย์จะถูกกรรมการสอบตั้งปัญหาถามจำนวน 4 ข้อด้วยกันแต่ละหัวข้อทางกรรมการจะบอกนักศึกษาไปเตรียมค้นคว้าหาคำตอบไว้ก่อนวันสอบหนึ่งวัน
นักศึกษาจะถูกบรรดาศาสตราจารย์ที่เป็นกรรมการสอบ ซักไซ้ปัญหาแต่ละข้อเป็นเวลาหนึ่งชั่วโงและภาษาที่ใช้ในการสอบขั้นนี้คือภาษลาติน การสอบขั้น " แปร์แอ็งตังซิออแน็ม "นี้ กว่าจะครบทุกขั้นตอนต้องใช้เวลา 1-2 วัน
อีก 8 วันต่อมา หลังจากที่สอบผ่านขั้น " แปร์แอ็งตังซิออแน็ม " ได้แล้ว นักศึกษาแพทย์จะต้องเข้าสอบเพื่อตอบปัญหาข้อที่ 5 ซึ่งเป็นปัญหาที่คณะกรรมการสอบไม่ได้บอกให้นักศึกษาไปเตรียมค้นคว้าหาคำตอบเป็นการล่วงหน้า ผู้ที่ทำหน้าที่คัดเลือกปัญหานี้มาถามนักศึกษาแพทย์ได้แก่ตัวอธิการบดีมหาวิทยาลัย
หากสอบผ่านขั้นนี้ไปด้วยดี ขั้นต่อไปนักศึกษาแพทย์จะต้องเตรียมเขียนวิทยานิพนธ์อธิบายวาทะของท่าน ฮิปโปเครตีส (Hippocrates) นักปรัชญากรีก ซึ่งถือกันว่าเป็นบิดาแห่งวิชาการแพทย์และจะต้องเขียนวิทยานิพนธ์นี้ให้แล้วเสร็จเพื่อส่งให้กรรมการสอบทำการตรวจในวันรุ่งขึ้น
การสอบในขั้นตอบปัญหาข้อที่ 5 และการเขียนวิทยานิพนธ์ให้แล้วเสร็จภายใจหนึ่งคืนนี้ ถือว่าเป็นการสอบที่ยากเข็ญใจที่สุด ทั้งยังสร้างความเครียดและความกระวนกระวายใจ ให้นักศึกษาแพทย์มากที่สุดอีกด้วย ในสมัยนั้นจึงเรียกการสอบทั้งสองแบบนี้ว่า " การสอบขั้นกระดูกขัดมัน "
หากจะลองเปรียบเทียบการสอบปีสุดท้ายของนักศึกษาแพทย์ของมหาวิทยาลัยมองต์เปลิเย กับการสอบปีสุดท้ายของนักศึกษาแพทย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในสมัยปัจจุบัน ก็พอจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน กว่าที่จะมีคุณสมบัติครบถ้วนเป็นบัณฑิตแพทย์ของมหาวิทยาลัยมองต์เปลิเยได้นั้น นักศึกษาจะต้องผ่านการทดสอบหลายขั้นตอนและใช้เวลายาวนานมาก ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้มาตรฐานตามที่มหาวิทยาลัยได้ตั้งเอาไว้
อย่างไรก็ตาม นอสตราดามุสสามารถสอบได้ปริญญาตรีทางการแพทย์ ที่ใครต่อใครในสมัยนั้นเห็นว่าแสนยากนี้ได้อย่างง่ายดาย และในที่สุดเขาก็ได้เข้าพิธีรับใบประกอบโรคศิลป์จากมือของบิช็อปแห่งเมืองมองต์เปลิเย เมื่อ ค.ศ.1525
เป็นแพทย์ผู้ชำนาญในการรักษากาฬโรค
ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 ได้เกิดกาฬโรคระบาดขึ้นทางภาคใต้ของประเทศฝรั่งเศส ในสมัยนั้นคนฝรั่งเศสเรียกโรคนี้ว่า " โรคถ่าน " ทั้งนี้เพราะสาเหตุที่ว่า ใครเป็นโรคนี้จะเกิดจุดดำ ใต้หนังกำพร้าทั่วร่างกาย ตลอดชีวิตของนอสตราดามุส ได้ถูกใครต่อใครให้ร้ายป้ายสีอยู่ตลอดเวลา
ทั้งๆ ที่ความจริงเขาเป็นคนดีคนหนึ่งที่สมควรได้รับการยกย่องเทิดทูน เป็นแพทย์ที่กล้าหาญ ไม่หวาดหวั่นต่ออันตรายจากการติดเชื้อกาฬโรคจากผู้ป่วย เป็นผู้มีมนุษย์ธรรมและเมตตาธรรมต่อคนไข้อย่างเสมอต้นเสมอปลายและมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เห็นอกเห็นใจคนยากจนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมองต์เปลิเยแล้ว นอสตราดามุสมีชื่อเสียงโด่งดังและได้รับการยกย่องทั่วฝรั่งเศส ในฐานะที่เป็นแพทย์ที่อุทิศตนเพื่อคนไข้อย่างแท้จริง และชอบสงเคราะห์คนไข้ผู้ยากไร้ในชนบทมากกว่าคนไข้ผู้ร่ำรวยในเมืองใหญ่ๆ
ในระยะแรกของการเป็นแพทย์ นอสตราดามุสได้เดินทางไปอยู่ที่เมืองนาร์บอง ซึ่งที่เมืองนี้นอกจากจะได้ทุ่มเทชีวิตเพื่อรักษาเยียวยาคนไข้ที่เป็นกาฬโรคแล้ว ก็ยังใช้เวลาว่างเข้าไปศึกษาอยู่ในสำนักของพวกนักเล่นแร่แปรธาตุชาวยิวที่เปลี่ยนศาสนาเป็นคริสตัง ซึ่งสมัยนั้นเป็นสำนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก
จากนั้นนอสตราดามุส ได้เดินทางต่อไปยังเมืองอื่นๆ ที่มีกาฬโรคระบาดอีกหลายต่อหลายเมือง และได้ให้การรักษาเยียวยาแก่คนไข้โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากของตนเองเลยแม้แต่น้อย
นอสตราดามุสเป็นแพทย์ผู้มีโลกทรรศน์ที่ทันสมัยเขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการป้องกันกาฬโรคที่บรรดาแพทย์ร่วมสมัยนิยมแนะนำประชาชนฝรั่งเศสให้ทำกัน คือ การใช้ผ้ายันต์ศักดิ์สิทธิ์ 7 สี ซึ่งอีกร้อยปีต่อมา พวกแพทย์อังกฤษก็เคยใช้ผ้ายันต์ชนิดนี้เหมือนกัน เมื่อเกิดกาฬโรคระบาดครั้งใหญ่ที่ลอนดอนประเทศอังกฤษ
นอสตราดามุสเป็นคนมีนิสัยไม่ชอบอยู่ที่ใดเป็นหลักแหล่ง จากเมืองนาร์บองได้เดินทางไปอยู่ที่เมืองคาร์คาสซอน โดยไปพำนักอยู่ในบ้านของ บิช็อป อาเมเนียง เดอ ฟาอีส์ และได้ปรุงสูตรยาอายุวัฒนะให้แก่บิช็อปรูปนี้ด้วย
ต่อมานอสตรามุสได้เดินทางไปพำนักอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งแถวๆ ย่านถนนตริเปอรี ในเมืองตูลูส จากตูลูสได้ไปอยู่ที่เมืองบอร์โด ซึ่งขณะนั้นมีกาฬโรคระบาดอยู่อย่างหนักเช่นกัน จากบอร์โดได้กลับไปอยู่ที่เมืองอาวิยองและได้ทำการศึกษาค้นคว้าอยู่ที่เมืองนี้เป็นเวลาหลายเดือน และก็คงจะเริ่มสนใจไสยศาสตร์และศาสตร์ลี้ลับต่างๆ ในช่วงที่ไปอยู่ที่เมืองอาวิยองในครั้งนี้เอง เพราะจากหลักฐานทางเอกสารปรากฏว่า ในสมัยนั้น เมืองนี้มีห้องสมุดซึ่งมีหนังสือประเภทลึกลับมหัศจรรย์อยู่มากมาย
ในขณะเดียวกัน ในช่วงนี้ นอสตราดามุสได้ประสบความสำเร็จ สามารถคิดค้นสูตรทำเยลลี่ผลควินซ์ ให้แก่ท่านสมณทูตของ พระสันตะปาปา และจอมอัศวินแห่งมอลตา ซึ่งทั้งสองท่านในขณะนั้นได้พำนักอยู่ที่เมืองอาวิยองนี้ด้วย ปรากฏว่าสูตรทำเยลลี่ของเขาเป็นที่ขึ้นชื่อลือชามาก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเยลลี่ในสมัยปัจจุบันแล้วเยลลี่ที่ทำจากสูตรที่เขาคิดค้นได้นี้ออกจะหวานไปสักหน่อยเท่านั้นเอง
ที่ประชาชนฝรั่งเศสในยุคนั้นนิยมใช้เยลลี่ทำขนมแทนน้ำตาล ก็เพราะสมัยนั้นน้ำตาลมีราคาแพงมาก คนที่สามารถซื้อหามาทำขนมหรือปรุงอาหารรับประทานได้ ก็ต้องเป็นคนที่ร่ำรวย หรือไม่ก็เป็นคนในวงสังคมชั้นสูงเท่านั้น
สำเร็จปริญญาเอกสาขาแพทย์ศาสตร์
หลังจากที่ได้ออกตระเวณไปอยู่ตามเมืองต่างๆ ในประเทศฝรั่งเศสนานถึง 4 ปีแล้ว นอสตราดามุสได้หวนกลับไปที่เมืองมองต์เปลิเยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งกลับไปคราวนี้ก็เพื่อที่จะศึกษาในระดับปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยเดิมที่เขาสำเร็จปริญญาตรีมานั่นเอง
ผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมนอสตราดามุสถึงไม่เรียนปริญญาโทก่อน แล้วจึงค่อยเรียนปริญญาเอกในภายหลังการที่เขาสามารถก้าวกระโดดไปเรียนปริญญาเอกได้เลยนี้อาจจะเป็นเพราะว่าหลักสูตรการศึกษาในมหาวิทยาลัยมองต์เปลิเย กำหนดให้ผู้จบปริญญาตรีสามารถเรียนต่อปริญญาเอกได้เลย ไม่ต้องผ่านปริญญาโท ในกรณีที่นักศึกษาผู้นั้นมีผลการเรียนดีเยี่ยม ในระดับปริญญาตรีมาแล้ว ซึ่งปัจจุบันบางมหาวิทยาลัยทั้งในยุโรปและอเมริกาหรือแม้แต่ในเมืองไทยของเรา ก็ถือแนวปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้ นอสตรามุสเริ่มลงทะเบียนเป็นนักศึกษาปริญญาเอกเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1529
การสอนในระดับปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยมองต์เปลิเยในสมัยนั้น ใครที่สามารถผ่านได้ก็ถือว่า ต้องยอดเยี่ยมจริงๆ นักศึกษาต้องเตรียมศึกษาค้นคว้าวิชาต่างๆ เพื่อให้กรรมการทำการสอบ จำนวน 12 วิชาด้วยกัน แต่ในเวลาสอบจริงๆ จะเลือกสอบเพียง 6 วิชา ซึ่งใน 6 วิชานี้ 3 วิชาเลือกโดยวิธีจับฉลาก ส่วนอีก 3 วิชา คณบดีคณะแพทยศาสตร์เป็นผู้เลือกให้ด้วยตัวเอง
เมื่อได้ทำการเลือกข้อสอบตามกรรมวิธีดังกล่าวแล้วนักศึกษาผู้เข้าสอบต้องอภิปรายถกแถลง และตอบข้อซักถามกับบรรดากรรมการสอบจนเป็นที่พอใจของทุกคน
กล่าวกันว่า เมื่อนอสตราดามุสเข้าสอบเพื่อรับปริญญาเอกในครั้งนี้ ได้ถูกกรรมการรุมกินโต๊ะถามกันอย่างหนักทั้งนี้ก็เพราะเหตุที่เขามีแนวการวินิจฉัยและแนวการรักษาโรคผิดแผกแตกต่างไปจากแพทย์คนอื่นๆ
นอกจากนั้น ที่กรรมการซักนอสตราดามุสหนักกว่านักศึกษาระดับปริญญาเอกคนอื่นๆ เพราะพวกกรรมการสอบเองไม่ค่อยจะชอบขี้หน้า ที่เขามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่เคารพยกย่องในหมู่ของประชาชน จะเกินหน้าเกินตาแพทย์คนอื่นๆ ในสมัยนั้น
อย่างไรก็ตาม นอสตราดามุสได้แสดงความสามารถออกมาอย่างเด่นชัดว่า มีความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติในด้านการแพทย์เป็นยอดเยี่ยม จนกระทั่งกรรมการสอบผู้มีอคติไม่สามารถจะหาข้อตำหนิใดๆ ได้ในที่สุด ก็ได้รับปริญญาเอก มีศักดิ์และสิทธิ์สวมหมวกทรงสี่เหลี่ยม อย่างที่เห็นอยู่ในรูปของเขาที่โบสถ์เมืองซาลองนอกจากนั้น ก็ยังได้รับมอบแหวนทองประจำตัวแพทย์อีกหนึ่งวง กับตำราแพทย์ของฮิปโปเครตีสอีกหนึ่งเล่ม ในโอกาสเดียวกันนี้ด้วย
เป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยมองต์เปลิเย
หลังจากสำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาเอกแล้วทางคณะแพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัยมองต์เปลิเย เชื่อในความสามารถ จึงได้เสนอตำแหน่งอาจารย์สอนประจำให้แก่นนอสตราดามุส ซึ่งเขาก็รับคำเชิญเป็นอาจารย์อยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งปี ทว่าในช่วงที่เป็นอาจารย์อยู่นี้ได้เกิดขัดแย้งกับคณาจารย์อื่นๆ
เกี่ยวกับความเห็นด้านทฤษฏีการแพทย์ที่สำคัญคือเขาไม่เห็นด้วยกับการที่จะรักษาคนไข้กาฬโรคโดยวิธีถ่ายเลือด ซึ่งแพทย์ร่วมสมัยนิยมทำกัน ประจวบกับมีนิสัยไม่ชอบอยู่เป็นที่อย่างถาวร ดังนั้นจึงลาออกจากการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แล้วเดินทางร่อนเร่ไปอยู่ยังที่ต่างๆ อีกครั้งหนึ่ง เมื่อปี ค.ศ.1532
ในช่วงที่ท่องเที่ยวไปในครั้งหลังนี้ นอสตราดามุสมักประสบกับปัญหาความยุ่งยากอยู่เสมอๆ เพราะเขาชอบสวมเสื้อคลุมและหมวกสีดำ ซึ่งทำให้ผู้ที่เห็นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นยิว จึงช่วยกันแจ้งให้ฝ่ายศาสนจักรจับตาดูพฤติกรรมอยู่ทุกระยะ ไม่ว่าเขาจะไปอยู่ ณ ที่ใด
มีข้อที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง คือ นักเขียนฝรั่งเศสชื่อราบิเลส์ (Rabelais) ซึ่งชอบเขียนหนังสือแนวขบขันหยาบโลน ก็สำเร็จปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยมองต์เปลิเยเมื่อปี ค.ศ.1530 ด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่านอสตราดามุสและราบิเลส์เคยพบกันมาก่อน
แต่งงานครั้งแรก
ในช่วงสองปีหลังจากลาออกจากมหาวิทยาลัยมองต์เปลิเยแล้ว นอสตราดามุสได้ท่องเที่ยวผ่านไปทางเมืองบอร์โด ลาโรเชล และตูลูส ขณะที่ทำการรักษาคนไข้อยู่ในสามเมืองนี้ เขาได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจาก จูเลียส ซีซาร์ ชาลี แจร์ นักปรัชญาคนสำคัญของยุโรปในยุคกลาง ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้อีราสมุสนักปรัชญายุคเดียวกัน
ชาลิแจร์เป็นนักปรัชญาที่สนใจหลายด้าน เป็นต้นว่าด้านการแพทย์ คำประพันธ์ ปรัชญา พฤกษศาสตร์และคณิตศาสตร์ ที่เขียนจดหมายไปนั้นก็เพื่อเชิญนอสตราดามุสให้ไปอยู่ด้วยกันที่บ้านของเขาที่เมืองอากัง
นอสตราดามุสได้รับจดหมายนี้แล้วก็ตอบไปว่า ตนยินดีจะไปอยู่ด้วย และเมื่อไปอยู่แล้วก็ชอบชีวิตความเป็นอยู่ในเมืองอากังนี้มาก ราวปี ค.ศ. 1545 จึงได้ยุติการใช้ชีวิตร่อนเร่ชั่วคราว โดยได้ตัดสินใจแต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งว่ากันว่า นอกจากจะสะสวยน่ารักแล้วแถมยังร่ำรวยเสียอีกด้วย แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถค้นหาชื่อภรรยาคนแรกนี้ของเขาได้
นอสตราดามุสมีลูกกับภรรยาคนแรก 2 คน เป็นชาย 1 หญิง 1 ชีวิตในครอบครัวเป็นไปอย่างราบรื่น ส่วนทางด้านอาชีพการแพทย์นั้นเล่า ก็ประสบความเจริญก้าวหน้าและสร้างชื่อเสียงให้แก่เขามากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้น เขายังได้ประโยชน์มากมายจากการที่ได้มาอยู่กับชาลิแจร์ เพราะได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับนักปรัชญาผู้นี้เป็นประจำ กับทั้งมีโอกาสได้พบปะและแลกเปลี่ยนทรรศนะกับผู้คนที่ไปมาหาสู่อีกมากมาย ซึ่งทำให้ได้ความรู้มีโลกทรรศน์กว้างไกล และฉลาดเฉียบแหลมมากยิ่งขึ้น
ประสบเคราะห์กรรม
แต่ครั้นถึงปี ค.ศ.1537 โศกนาฏกรรมหลายต่อหลายอย่างได้ซัดกระหน่ำชีวิตและครอบครัวของนอสตราดามุสคือ ปีนั้น โรคกาฬโรคได้ระบาดเข้ามาในเมืองอากัง และในที่สุดก็คร่าเอาชีวิต ภรรยาและลูกทั้งสองคนของเขาไปด้วยทั้งๆ ที่ได้พยายามอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่อาจช่วยชีวิตไว้ได้
เมื่อการณ์กลับปรากฏเป็นเช่นนี้ เกียรติภูมิของนอสตราดามุส ในฐานะที่เป็นแพทย์ผู้สามารถในการรักษากาฬโรค ได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง เมื่อประชาชนทราบว่าเขาไม่สามารถแม้แต่จะช่วยชีวิตคนในครอบครัวของตัวเองได้
ยิ่งไปกว่านั้น ในระยะต่อมาก็เกิดแตกคอกับ ชาลิแจร์จนถึงขั้นตัดความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างกันในที่สุด อันที่จริงผู้ที่ก่อเรื่องไม่ใช่ฝ่ายนอสตราดามุส แต่เรื่องเกิดขึ้นเพราะ ชาลิแจร์เป็นผู้ก่อ คือ ชาลิแจร์ไม่เพียงแต่ก่อเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับนอสตราดามุสเท่านั้น แต่ยังเที่ยวหาเรื่องกับเพื่อนฝูงทุกคนอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความเป็นเพื่อนกับชาลิแจร์จะสิ้นสุดลงไปแล้ว แต่นอสตราดามุสไม่เคยกล่าวให้ร้ายป้ายสีในหนังสือ " Traite des fardemens " นอสตราดามุสยังคงเขียนสรรเสริญเยินยอเกียรติคุณของชาลิแจร์ ไว้ด้วยซ้ำไปว่า
เป็นผู้สืบทอดวิญญาณของซิเซโรทางด้านวาทศิลป์
เป็นผู้สิบทอดวิญญาณของเวอร์จิลทางด้านการประพันธ์
และเป็นผู้สืบทอดวิญญาณของกำลังทางด้านการแพทย์
ข้าพเจ้าเป็นหนี้บุญคุณชาชิแจร์ยิ่งกว่าบุคคลอื่นใดในโลก
จะเห็นได้ว่า ข้อความที่ยกมานี้เป็นการยกย่องสดุดี
ความสามารถทางด้านต่างๆ ของชาลิแจร์ ไม่ได้เอ่ยถึงความเลวของเพื่อนนักปรัชญาผู้นี้แม้แต่น้อยนิดเคราะห์กรรมของนอสตราดามุสยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้เพราะปรากฏว่า เขาถูกพ่อตาแม่ยายฟ้องร้องเรียกสินสอดทองหมั้นที่ฝ่ายพ่อตาแม่ยายจ่ายให้เขาในตอนแต่งงานลูกสาวคืน ซึ่งแสดงว่าในประเทศฝรั่งเศสสมัยนั้น เมื่อชายหญิงแต่งางานกัน ฝ่ายหญิงเป็นผู้จ่ายสินสอดให้แก่ฝ่ายชายเหมือนอย่างที่ประเทศอินเดีย
นอกจากนั้น ในปี ค.ศ.1538 นอสตราดามุสถูกกล่าวหาว่า ทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนจักรคาทอลิกโดยระบุว่า ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ ได้กล่าวลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาคาทอลิกอะไรบางอย่างเอาไว้ คนที่ได้ยินคำพูดของเขาจึงได้รายงานถึงเจ้าหน้าที่ของฝ่ายศาสนจักร
แต่เรื่องจริงมีอยู่ว่า วันนั้น นอสตราดามุสเดินไปพบช่างกำลังหล่อพระรูปของพระแม่มารีอยู่ เกิดคะนองปากพูดวิจารณ์ไปว่า รูปพระแม่มารีที่ช่างกำลังหล่ออยู่นั้นมีลักษณะเหมือนกับรูปของปีศาจ
แต่เมื่อเกิดเรื่องราวขึ้นมาเช่นนี้ ทางฝ่ายนอสตราดามุสได้อุทธรณ์ไปว่า ที่เขาพูดไปนั้นไม่ได้จงใจที่จะลบหลู่ดูหมิ่นสิ่งเคารพของชาวคริสตัง เป็นเพียงแต่กล่าววิจารณ์ว่า พระรูปของพระแม่มารี ไม่งดงามในเชิงสุนทรียศาสตร์เท่านั้นเอง อย่างไรก็ตาม ทางคณะกรรมการสอบสวนของฝ่ายศาสนจักรคาทอลิกไม่เชื่อในคำอุทธรณ์ จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปที่เมืองอากัง เพื่อทำการจับกุมตัวนำมาลงโทษที่เมืองตูลูส
นอสตราดามุสตระหนักเป็นอย่างดีว่า หากยอมให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายศาสนจักรจับกุม ก็มีหวังจะต้องถูกนำตัวขึ้นศาลพระ หรือดีไม่ดีก็อาจจะถูกนำไปเข้าหลักประหารอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนั้น จึงได้หลบหนีออกจากเมืองอากังก่อนที่เจ้าหน้าที่ของฝ่ายศาสนจักรจะเดินทางไปถึง 6 ปีเต็ม
นอสตราดามุสไม่ยอมแต่งงานใหม่ ครองตนเป็นพ่อหม้ายอยู่จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1547 ได้ตกลงปลงใจแต่งงานกับแม่หม้ายทรงเครื่องคนหนึ่ง ที่เมืองซาลอง อังโปรวองซ์
นอสตราดามุสมีลูกกับแม่หม้ายคนนี้ถึง 6 คน มีคนหนึ่งฉลาดเฉียบแหลมเหมือนพ่อ ชื่อ ซีซาร์ เดอ นอสเตรอดัม เมื่อผู้พ่อเสียชีวิต ซีซาร์ผู้นี้อายุได้ 19 ปี และที่เรื่องราวของนอสตราดามุสไม่สูญหายไปจากโลก ส่วนหนึ่งก็เพราะซีซาร์นำมาบันทึกไว้ในหนังสือที่เขียนขึ้นชื่อ " Histories de Provence "
ในช่วงที่นอสตราดามุสยังเป็นพ่อหม้ายหลบหนีการจับกุมของฝ่ายศาสนจักรอยู่นั้น เราไม่ค่อยทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเส้นทางการเดินทางของเขามากนัก ที่เห็นมีอยู่บ้างก็แต่ในหนังสือ ที่เขาเขียนขึ้นในเวลาต่อมา ชื่อ " Moultes Opuscules " ซึ่งระบุว่า ได้ไปที่เมืองลอร์นเร็นเวนิช และซิซิลี ที่เข้าไปในประเทศอิตาลีก็เพื่อรวบรวมข้อมูลที่นำมาใช้เขียนหนังสือเกี่ยวกับทฤษฏีทางการแพทย์และสูตรยารักษาโรคต่างๆ รวมทั้งเพื่อไปพบปะกับบรรดานักโหราศาสตร์นักเล่นแร่แปรธาตุ และเกจิอาจารย์ทางไสยศาสตร์คนสำคัญๆ ที่อยู่ในเมืองต่างๆ เหล่านั้น
ในช่วงเดียวกันนี้ นอสตราดามุสได้แปลหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ " Horus Apollo " ของฟิลิปปุส จากภาษากรีกเป็นภาษฝรั่งเศส เป็นหนังสือประมวลความรู้ทางด้านจริยศาสตร์และปรัชญาธรรรมดา ๆ ไม่ดีเด่นเป็นที่สนใจของบรรดานักอักษรศาสตร์ในยุคหลังมากนัก
(+ + ติดตามตอนต่อไป)
ความคิดเห็น