ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    100 อันดับ โลกต้องจารึก

    ลำดับตอนที่ #114 : (ปริศนาโลกตะลึง) อาวุธพลังจิตในแดนหมีขาว

    • อัปเดตล่าสุด 8 มี.ค. 50




    อาวุธพลังจิตในแดนหมีขาว

             

                    จากพยานหลักฐานซึ่งรวบรวมได้จากอดีตจารชนเคจีบีของโซเวียตที่แปรพักตร์ และจากแหล่งข่าวองค์การข่างกรองทางทหาร หรือ ดีไอเอ (De Inteligence Agency DIA) ก็พอแน่ว่าตลอดเวลาเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา โซเวียตได้พยายามอย่างหนักในที่จะศึกษาวิจัยเพื่อนำเอาปรากฏการณ์ทางจิตหรือพลังจิตมาใช้ในการหา โดยตลอดระยะเวลา 15 ปี ที่ผ่านมานี้ สหรัฐฯ มีหลักฐานทางทหารยืนยันว่า โซเวียตได้มีการทดลองใช้อาวุธพลังจิตนี้กับสหรัฐฯ อย่างน้อยสุด 4 ครั้ง และที่ผ่านมานี้ ประมาณ พ.ศ. 2526 องค์การวิจัยของรัฐสภา (Congressional Research Service) ของสหรัฐฯ ก็ได้สืบทราบว่า รัฐบาลโซเวียตได้ให้เงินทุนสนับสนุนการวิจัยด้าน ปรจิตวิทยา (parapsychology) เพื่อพัฒนาการประยุกต์ใช้พลังจิตทางทหารถึง 250 ล้านบาทต่อปี

                    จากหลักฐานทางวัตถุและจากคำบอกเล่าของเคจีบี ก็เป็นที่คาดกันว่าหากการพัฒนาเพื่อใช้พลังจิตในการทหารนี้สำเร็จละก็ ต่อไปมันก็ไม่แน่ว่าบรรดานักรบพลังจิตของมอสโคว์อาจจะใช้การนั่งทางในที่เครมลินพิสูจน์ทราบตำแหน่งที่ตั้งของไซไลเก็บขีปนาวุธในเนบราสก้าบนดินแดนของสหรัฐฯ ได้..หรือไม่เช่นนั้นก็ใช้พลังแพ่งข้ามทวีปมาลบความจำทางแม่เหล็กของคอมพิวเตอร์ทางทหาร และอาจจะใช้กระแสจิตบังคับควบคุมจิตใจของผู้นำสหรัฐฯ ให้เป็นฝ่ายโซเวียต และก็อาจจะถึงขั้นแช่งชักหักกระดูกทางกระแสจิตให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ชักดิ้นชักงอตายไปเดี๋ยวนั้นเลยก็ได้..นี่ไม่ใช่เรื่องล้อกันเล่นนะขอรับ..แต่สิ่งเหล่านี้สหรัฐฯ มีหลักฐานและพยานว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้.และอาจเป็นจริงขึ้นมาสักวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้านี้ หากโซเวียตไม่วางมือซะก่อน..ครับ จากข้อมูลที่ได้จากการสอบถามชาวโซเวียตที่อพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็เป็นที่เชื่อแน่ชัดว่า ฝ่ายทหารของพี่หมีนั้นมีความสนใจในเรื่องพลังจิตนี้มาเป็นเวลาอย่างน้อยที่สุดก็ประมาณ 30 ปีแล้ว แต่เนื่องจากว่าการทำวิจัยในเรื่องนี้พี่หมีท่านปกปิดเป็นความลับ ฉะนั้นจึงมีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาน้อยมาก ข้อมูลและหลักฐานที่สหรัฐฯ มีอยู่ในเวลานี้ ส่วนหนึ่งก็ถูกเก็บเงียบอยู่ในกระทรวงกลาโหมหรือเพนตากอนของสหรัฐฯ และนอกนั้นบางส่วนก็อาจจะพบได้จากเอกสารการวิจัยที่มีการลักลอบออกมาจากโซเวียตซึ่งแน่นอนว่า หากอยู่ในมือของรัฐบาลสหรัฐฯ แล้วละก็ ต้องถูกเก็บเงียบอีกเช่นกัน แต่อย่างไรก็ดี สำหรับสื่อมวลชนหรือนักคุ้ยนักเขียนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นในเรื่องนี้ก็ยังพอที่จะแสวงหาข้อมูลจากนักจิตวิทยาชาวโซเวียต สายลับหรือนักวิทยาศาสตร์ด้านอื่น ๆ ของโซเวียตที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการวิจัยเหล่านี้ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็มีเจ้าหน้าที่ของโซเวียตดังกล่าวนี้ขอลี้ภัยมาอยู่ในค่ายตะวันตกเป็นจำนวนมาก..


                   
    ก่อนยุคพัฒนาอาวุธพลังจิต

                   
                   
    ข้อมูลเกี่ยวกับเบื้องหลังความเป็นมาของการพัฒนาใช้พลังจิตในการทหารของโซเวียตนี้ ส่วนใหญ่ก็ได้มาจากการให้สัมภาษณ์ของนักจิตวิทยาชาวโซเวียตที่มีนามกรว่า นิโคโล โคคลอฟ (
    Nikolai Khokholv) ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้ใกล้ชิดในการค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้มากที่สุดผู้หนึ่งปัจจุบันนี้เขาได้ขอลี้ภัยอยู่ในสหรัฐฯ และเข้าทำงานอยู่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ซานเบอร์นาร์ดิโน   ย้อนความหลังครั้งกระโน้นในปี พ.ศ. 2484 คุณพี่โคคลอฟนี้ก็เคยทำงานให้กับองค์การ เอ็นเควีดี (NKVD) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดขององค์การเคจีบีในปัจจุบันนี้ซึ่งในตอนนั้นเขาอายุได้ 19 ปี เขาได้เริ่มงานสายลับด้วยการปลอมเป็นนักบันเทิงอาชีพที่มีนามกรว่า นิโคโล โวลิน เพื่อหลอกล่อทหารเยอรมันเข้าไปสังหารในห้องชมคอนเสิร์ต และต่อมาก็เปลี่ยนนามใหม่เป็น อเล็กซี คริลอฟ เพื่อทำหน้าที่เป็นทหารปฏิบัติการหลังแนวข้าศึกหลังจากนั้นอีกไม่นาน ด้วยหน้าที่จารชนก็จำต้องเปลี่ยนชื่อเป็นร้อยตรี ออตโต วิตต์แกนสไตน์ จนกระทั่งมาปฏิบัติการครั้งสุดท้าย เขาได้รับมอบหมายหน้าที่ให้คุมลูกสมุนไปสังหารนาย จีออร์กีเอสโอโคโรวิช ซึ่งเป็นหัวหน้าต่อต้านคอมมิวนิสต์ในแฟรงเฟิร์ตของเยอรมนีตะวันตก ซึ่งปรากฏว่าทำงานไม่สำเร็จและไม่อาจจะบากหน้ากลับประเทศได้ก็เลยขอลี้ภัยในเยอรมนี

                    ในช่วง 2-3 ปีแรกหลังจากลี้ภัยนั้นโคคลอฟว่างงาน จึงเดินทางท่องเที่ยวไปในสหรัฐฯ และยุโรปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง จะกระทั่งในที่สุด เขาก็ได้สมัครเข้าเรียนปริญญาเอกในสาขาจิตวิทยา และนี่เองที่เป็นเหตุให้เขาได้พบกับหัวหน้างานด้านปรจิตวิทยาของอเมริกา และในปี พ.ศ. 2511 เขาก็ได้เขียนเอกสารสัมมนาเรื่อง "ความสัมพันธ์ระหว่างปรจิตวิทยากับค่ายคอมมิวนิสต์" (The Relationship of Parapsychology to communism) ในเอกสารสัมมนาฉบับนี้ โคคลอฟได้กล่าวอธิบายไว้ว่า ก่อนยุคที่จะมีการศึกษาด้านปรจิตหรือพลังจิตอย่างจริงจังนั้น ชาวรัสเซียมีความเชื่อในเรื่องผีสางและเวทมนตร์มาเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว เช่นมีความเชื่อว่าหมอผีสามารถรักษาคนเจ็บให้หายได้โดยการวางมือแตะลงไปเพียงครั้งเดียว พอมาถึงในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็ปรากฏว่าองค์การข่าวกรองและหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ของรัสเซียได้หยิบยกเรื่องของพลังจิต การสะกดจิต และปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ มาศึกษาวิจัยกันอย่างจริงจัง

                    ในปี พ.ศ.2540 นักประสาทวิทยาของโซเวียตชื่อ วี.เอ็ม เบคห์เทอเรฟ ได้ก่อตั้ง สถาบันจิตประสาท (Psychomeural Institute) ขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะศึกศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างจิตวิทยาและปรจิตวิทยาจนเกิดการปฏิวัติขึ้นในปี พ.ศ. 2460 การศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้ก็ต้องหยุดชะงักและเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้เพราะลัทธิมาร์กซิสนั้นปฏิเสธที่จะยอมรับเรื่องปรากฏการณ์ลึกลับของจิตหรือเรื่องวิญญาณ และผู้นำโซเวียตในสมัยนั้นเชื่อว่า เรื่องปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเหล่านี้เป็นเรื่องที่เหลวไหลไร้สาระ แต่อย่างไรก็ตาม งานศึกษาด้านพลังจิตก็ยังดำเนินต่อไป และมาฟูเฟื้องอีกครั้งหนึ่งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 เมื่อ ดร.เลโอนิค วาซิลิเอฟ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเบคห์เทอเรฟ แห่งสถาบันวิจัยสมองเลนินกราด (Leningrad Institute of Brani Research) ได้ทำการวิจัยการส่งโทรจิต (teltpathe) ระยะไกล แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากกลัวเกรงความผิดของกฎหมาย เขาจึงปกปิดงานวิจัยชิ้นนี้เงียบไว้จนกระทั่งสตาลินถึงแก่อสัญกรรม จึงได้เปิดเผยออกมา จึงได้รู้ว่าวาซิลิเอฟ ได้แบทำการทดลองในเรื่องนี้ไปแล้วนับร้อยครั้งทีเดียว

                    วาซิลิเอฟเปิดเผยว่า ในการทดลองครั้งหนึ่ง เขาได้ผู้นำร่วมทดลองไปนั่งในห้องที่ได้รับการป้องกันกระแสไฟฟ้า และให้นักจิตวิทยาหรือนักพลังจิตเพ่งกระแสจิตไปบังคับให้ผู้ร่วมทดลองดังกล่าวง่วงนอนและหลับไปในที่สุด..ในการทดลองอีกอันหนึ่ง เขาก็ได้จับนักพลังจิตขังได้ที่เลนินิกราดในขณะที่นำผู้ร่วมทดลองที่เป็นเหยื่อไปอยู่ที่เมืองเซวาสโตพอล ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีก 1000 ไมล์ ซึ่งผลการทดลองก็ปรากฏว่า เหยื่อถูกสะกดจิตทางไกลให้นอนหลับและปลุกให้ตื่นได้ในเวลาตรงกันกับที่นักเพ่งพลังจิตส่งกระแสจิตออกมา

                    
                   
    หลังจากที่สตาลินตายไปแล้วนั้น นอกจากจะมีการเปิดเผยผลงานวิจัยของวาซิลิเอฟแล้ว ก็ปรากฏว่ามีนักวิจัยของรัสเซียอีกเป็นจำนวนมากได้เผยแพร่ผลงานวิจัยของตนออกมา และพอโซเวียตเปลี่ยนผู้นำใหม่เป็นคุณพี่ครุชเซฟ ในราวปี พ.ศ. 2498 ดินแดนหมีก็กลับฟูเฟื่อง และรุ่งเรืองในด้านพลังจิตอีกครั้งหนึ่ง เพราะผู้นำคนใหม่ของโซเวียตชอบเรื่องนี้และก็บ้าโยคะถึงขนาดบินไปอินเดียเพื่อศึกาาเรื่องนี้เพื่อนำมาฝึกสอนให้กับชาวโซเวียต ซึ่งพอกลับจากอินเดียแล้ว ครุชเชฟก็มีคำสั่งว่า
    "เราต้องมีโยคีของเราเองให้ได้..ในวันพรุ่งนี้"


                   
    การทดลองพลังจิตทางการทหารของสหรัฐฯ

                    การประกาศให้ความสนับสนุนของครุชเชฟในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 50 นี้ มีผลต่อการพัฒนาอาวุธพลังจิตของโซเวียตอย่างมาก เพราะหลังจากนั้นคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตก็ได้เริ่มทำการระดมนักวิทยาศาสตร์จัดตั้งห้องปฏิบัติการปรจิตวิทยาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ปรากฏว่านักวิทยาศาสตร์ โซเวียตก็ฮึกเหิมอยู่ได้ไม่นานก็ต้องหุบ เพราะในราวปี พ.ศ. 2503 นิตยสารของฝรั่งเศส ชื่อ Science et Vie ได้รายงานว่า กระทรวงกลาโหมของอเมริกันก็ได้มีการวิจัยเรื่องพลังจิตเช่นกัน ..กล่าวคือ ทหารสหรัฐฯ ได้ทำการทดลองการส่งข่าวสารทางโทรจิตจากห้องปฏิบัติการเวสติงเฮาส์ใกล้บัลติมอร์ไปยังลูกเรือบนเรือดำน้ำนอร์ติลุสซึ่งดำน้ำอยู่ใต้น้ำแข็งทวีปอาร์กติกที่ลึกถึง 4 ไมล์

                    แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายตะวันตกก็ปฏิเสธบทความรายงานการทดลองในครั้งนี้ "เราไม่รู้เรื่องใด ๆ เกี่ยวกับการทดลองนี้เลย" เกลนน์ บราวน์ ผู้จัดกากรด้านติดต่อสื่อสารที่ศูนย์เวสติงเฮาส์ดีเฟนซ์ แอนด์ อิเล็กทรอนิกส์ (Westing house Defense and Electronics Center) ในบัลติมอร์ กล่าว และเขายังกล่าวต่อไปอีกว่า ทางบริษัทก็ไม่เคยทำการวิจัยทางจิตวิทยาดังกล่าวนี้แต่อย่างใด

                    ครับ ในครั้งกระโน้น พี่เบิ้มของเราก็คงแกล้งปฏิเสธไปอย่างนั้นแหละเพราะมันเรื่องอะไรล่ะครับที่จะต้องบอกให้คนอื่นรู้ด้วย ในเมื่อพี่หมีเวลาทำอะไรก็เก็บเงียบปากก็ว่า "เค้าเปล่านะ" แต่ที่ไหนได้ เผลอเผล็บเดียวพี่ท่านก็มีอาวุธมหัศจรรย์เข้าประจำการทุกที (เช่น จรวด สกัดกั้นขีปนาวุธและดาวเทียมล่าสังหาร) ..เรื่องพลังจิตนี้ก็เช่นกัน สหรัฐฯ จะประมาทไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่มองดูแต่ภายนอกแล้วมันดูเป็นเรื่องเหลวไหล..เพ้อเจ้อไม่น่าจะเป็นจริง แต่ถึงกระนั้นก็ตามปรากฏการรณ์เหล่านี้ก็ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์หน้าไหนอธิบายได้อย่างแจ่มแจ้งว่ามันคืออะไรกันแน่? ครับ หลังจากที่สหรัฐฯ ไปทำการวิจัยในเรื่องนี้อยู่นานมาเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง เพนตากอนของสหรัฐฯ ก็ประกาศตูมว่า จะทำการพัฒนาอาวุธพลังจิตแข่งกับโซเวียต เพราะเป็นที่ทราบแน่ชัดว่า โซเวียตกำลังก้าวไปถึงขั้นที่จะใช้การนั่งทางในลาดตระเวนหาตำแหน่งที่ตั้งทางทหารเรือขีปนาวุธแล้ว


                   
    งานวิจัยลับของโซเวียต

                   
                   
    ในปี พ.ศ. 2505 หลังจากที่โซเวียตได้ทราบข่าวว่า สหรัฐฯ กำลังทำการวิจัยในเรื่องนี้ไล่กวดอยู่ พี่ท่านก็รีบตีกรรเชียงหนีห่างด้วยการมอบอำนาจให้วาซิลิเอฟ ควบคุมห้องปฏิบัติการลับในเลนินิกราดและพอถึงช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 60 รัฐบาทเครมลินก็ประกาศตั้งห้องปฏิบัติการสำหรับศึกษาวิจัยและประยุกต์ใช้พลังจิตเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก

                    ครับ รายละเอียดเกี่ยวกับงานวิจัยลับของโซเวียตนี้ ส่วนหนึ่งก็ได้มาจากคำบอกเล่าของนาย อับราฮิม ซิฟริน ซึ่งในอดีตเคยเป็นที่ปรึกษากระทรวงยุทธาการของโซเวียต แต่ในปัจจุบันนี้ขอลี้ภัยอยู่ในอิสราเอล เขาได้ทำงานกับรัฐบาลโซเวียตอยู่จนกระทั่งปี พ.ศ.2496 ก่อนที่จะถูกพิพากษาให้ส่งตัวไปยังค่ายกักกันในข้อหาทำจารกรรม และที่เคยกักกันนี้เงอเขาได้รู้จักกับนักปรจิตวิทยาของโซเวียตและ กูรู (guru รูปบน) หรือผู้นำทางศาสนาจากธิเบต เขาเล่าว่า พวกเขาทั้งสามคนได้รวมหัวกันวิจัยเรื่องโยคะ ซึ่งก็ทำให้ได้รับความสนใจจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสถาบันวิจัยลับ หลังจากที่ชิฟรินถูกปล่อยตัวในปี พ.ศ.2506 เขาก็ถูกชวนให้เข้าทำงานในห้องปฏิบัติการลับแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนถนน โบล "ชายา คอมมิวนิสติชิสกายา ในใจกลางกรุงมอสโคว์ ณ ที่แห่งนี้เองทำให้เขาได้รู้จักกับ ดมิตริเมอร์ซา ซึ่งเป็นผู้อำนวยการบริหารและ โซโลมอน เกลเลอร์สไตน์ ซึ่งเป็นอำนวยการด้านวิทยาศาสตร์ของห้องปฏิบัติการ

                    บุรุษทั้งสองท่านนี้ได้บอกเขาว่าห้องปฏิบัติการแห่งนี้ตั้งขึ้นในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 50 หลังจากที่ครุชเชฟไปทัวร์อินเดีย งานวิจัยที่นี่เป็นงานลับสุดยอด เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในนี้ก็มีทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักพลังจิตหรือแม้แต่หมอวิเศษที่ไปควานหาตัวมาจากทั่วประเทศ ชิฟรินกล่าวว่า "พวกเขาบอกว่าถ้าผมมาร่วมงานกับพวกเขา ผมจะได้รับเงินเดือนและแฟลตดี ๆอยู่"

                    ปัทโธ่! ในดินแดนคอมมิวนิสต์รัฐบาลเสนอขอดีให้อย่างนี้ไม่รับก็โง่ละ ดังนั้นชิฟรินก็เลยรับข้อเสนอยอมทำงานในห้องปฏิบัติการแห่งนั้นซึ่งก็ให้เขาได้ทำงานใกล้ชิดกับนักวิทยาศาสตร์ของโซเวียต ชิฟรินเล่าต่อไปว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เกลเลอร์สไตน์ป่วยต้องไปนอนโรงพยาบาล และวันหนึ่งขณะที่เขาข้าไปเยี่ยมก็ได้พบว่ามีนักบินอวกาศโซเวียตสามคนมาเยี่ยม "ผมก็เลยถามเกลเลอร์สไตน์ว่า ทำไมเขาถึงให้ความสำคัญถึงขนาดที่นักบินอวกาศต้องมาเยี่ยม " ชิฟรินเล่าถึงความหลัง" และเขาก็ตอบผมว่า เขาเป็นผู้ฝึกโทรจิตให้กับนักบินอวกาศเหล่านั้น"

                    ครับ จากการตรวจสอบในเวลามาพบว่า เรื่องที่ชิฟรินเล่านี้เป็นความจริง ซึ่งตรงกับข่าวที่ได้จากแหล่งข่าวแห่งหนึ่งที่บอกว่า นายเกลเลอร์สไตน์ได้ตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการฝึกสอนนักบินอวกาศ ในการทำนายหรือพยากรณ์เหตุการณ์ล่างหน้า (precognition) และจากบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร "โซเวียตมาริไทม์ นิวส์" (Soviet Maritime News) ได้ยืนยันว่า "การฝึกทางพลังจิตดังกล่าวนี้ได้รับการบรรจุเข้าใว้ในหลักสูตรการฝึกนักบินอวกาศของโซเวียตแล้ว"

                    จากการสืบทราบขององค์การข่าวกรองทางทหารของสหรัฐฯ พบว่า ห้องปฏิบัติการลับทางพลังจิตของเกลเลอร์สไตน์นี้ ไม่ใช่เป็นห้องปฏิบัติการเพียงแห่งเดียวที่อยู่ในโซเวียต แต่ยังมีงานวิจัยลับทางพลังจิตที่วิจัยอยู่ตามสถาบันอื่นด้วย อาทิเช่น สถาบันปฏิบัติการทางประสาทขั้นสูง (Pavlov Institute of Higher Neurons Activity) ในมอสโคว์. สถาบัน ดูรอฟ (Durov Institute) และสถานีทดลองในไซบีเรีย และมาเมื่อปี พ.ศ. 2518 นี้รายงานข่าวรองที่จั่วหัวว่าการวิจัยปรจิตวิทยาของโซเวียต และเชคโกสโลวาเกีย" ก็ได้เปิดเผยให้ทราบว่า ยังมีห้องปฏิบัติการวิจัยด้านพลังจิตอยู่


                   
    โซเวียตวิจัยการนั่งทางในและไข้สัมผัสแทนตา

                   
                   
    โคคลอฟได้เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์ของการพัฒนาอาวุธพลังจิตของโซเวียตว่า พวกเขามีจุดมุ่งหมายที่จะ
    "ควบคุมจิตใจ" ของมนุษย์ให้ได้ ซึ่งคำกล่าวนี้ได้รับการยืนยันจาก ลาริสซา วิเลนสกายา ซึ่งเป็นแหล่งข่าวด้านการค้นคว้าพลังจิตของโซเวียตว่าเป็นความจริง

                    เรื่องราวเขย่าขวัญของวิเลนสกายาเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2511 เมื่อหล่อนได้รับมอบหมายให้ทำงานล่วงเวลาที่ห้องปฏิบัติการ ไบโออินฟอร์เมชั่น (bioniformation) ของสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวิทยุอิเล็กทรอนิกส์ และสื่อสาร เอ.เอส.โปปอฟ (A.S.Popov Scientific and Technological Society of Radioelectronics and Communication) ซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นใหม่ในกรุงมอสโคว์ห้องปฏิบัติการแห่งนี้มี ดร.อิปโพลิต บี.โคแกน เป็นผู้อำนวยการ มีคนทำงานทั้งในเวลาปกติ 5 คน และมีเจ้าหน้าที่ทำงานล่วงเวลาและอาสาสมัครช่วยงานอีกเป็นจำนวนถึง 300 คน

                    วิเลนสกายาเปิดเผยว่า หัวข้อของการวิจัยของห้องปฏิบัติการแห่งนี้มีทั้งการศึกษาใช้พลังจิตในการรักษาโรค,การทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า การนั่งทางในมองตรวจการณ์ระยะไกล (remote viewing) และรวมทั้งการศึกษาการใช้ผิวหนังในการแยกสีและภาพโดยใช้เพียงการสัมผัส แต่ทางการโซเวียตก็อ้อมแอ้มบอกว่าเป้าหมายของการวิจัยต้องการเพียงแค่หาหลักการทางฟิสิกส์ง่าย ๆ มาอธิบายปรากฏการณ์ทางจิตเท่านั้น..แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีข่าวลือแพร่สะพัดออกมาว่า นักวิจัยของห้องปฏิบัติการแห่งนี้ได้รับคำสั่งให้ทำการทดลองควบคุมจิตใจมนุษย์ด้วย ซึ่งก็สร้างความไม่พอใจแก่นักวิจัยอย่างมาก และในที่สุดในปี พ.ศ. 2518 ห้องปฏิบัติการแห่งนี้ก็ถูกปิด จนกระทั่งในอีกสามปีต่อมา ทางการโซเวียตได้มีคำสั่งให้เปิดหน่วยงานที่เรียกว่า "ชีวอิเล็กทรอนิกส์" (Bioelectronice) แทนห้องปฏิบัติการดังกล่าว และคราวนี้ปรากฏว่าในคณะกรรมการอำนวยการทั้งหมด 25 คนมีทหารรวมอยู่ด้วย 3 คน

                    "ในขณะที่ห้องปฏิบัติการไบโออินฟอร์เมชันเปิดให้ใช้ได้อย่างอิสระ" วิเลนสกายากล่าว

                    "ห้องปฏิบัติการชีวอิเล็กทอรนิกส์อันใหม่นี่กลับค่อนข้างจะเข้ไปได้ยาก เพราะมีการควบคุมอย่างเข้มงวด คุณจะต้องมีบัตรผ่านพิเศษจึงจะเข้าไปในนั้นได้" หล่อนอธิบายต่อไปอีกว่า หลังจากที่ห้องปฏิบัติการแห่งนี้เปิดแล้ว คณะทำงานซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารก็ได้เริ่มการคัดเลือกคนเป็นจำนวนนับร้อย ๆ คน เพื่อใช้ในการทดลองพลังจิต ซึ่งการวางแผนทดลองอันใหม่นี้จะเน้นหนักไปที่การควบคุมจิตใจ

                    วิเลนสกายาได้หนีออกมาจากสหภาพโซเวียตในปี พ.ศ. 2522 หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ในอิสราเอลสองปี ก่อนที่จะอพยพไปอยู่สหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2524 ปัจจุบันนี้เธอประกอบอาชีพเป็นครูสอนวิชาเดินลุยไฟในซานฟรานซิสโก และก็เป็นบรรณาธิการวารสาร "ไซ รีเสิร์ช" (Psi Research) ซึ่งบทความส่วนใหญ่ที่ตีพิมพ์ลงใยวารสารเล่มนี้ก็เป็นบทความที่เธอแปลจากเอกสารการวิจัยพลังจิตที่เธอขโมยออกมาจากโซเวียต หล่อนคาดว่าในขณะนี้ โซเวียตคงมีองค์การพลังจิตอยู่อย่างน้อยที่สุด 12 องค์การ และมีคนทำงานเต็มเวลา ไม่น้อยกว่า 100 คน


                   
    กำเนิดอาวุธพลังจิต

                    
                  
    วิเลนสกายา ให้ข้อสังเกตว่าการวิจัยด้านพลังจิตในช่วงหลังนี้ โซเวียตมีเป้าหมายที่จะนำไปใช้ในทางที่ชั่วร้ายหรือไปใช้ในทางทหารมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น นักพลังจิตวิทยาชื่อ วลาอิล คาสนาเซเยฟ ได้รายงานถึงการใช้พลังจิตช่วยแพร่เชื้อจากเซลล์เชื้อโรคไปยังเซลล์ดีที่ถูกแยกจากกันด้วยแผ่นควอร์ตซ์ รายงานอีกชิ้นหนึ่งก็ชี้ให้เห็นว่า โซเวียตกำลังพยายามจะสร้างอาวุธหรือเครื่องจักรพลังจิตที่สามารถเหนี่ยวนำการเต้นของหัวใจได้

                    ผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐฯ ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า ถ้าโซเวียตทำโครงการที่ว่านี้สำเร็จแล้วละก็ พวกเขาก็คงจะทำตามวิถีทางของโซเวียต คือใช้ไปในทางที่ชั่วร้ายเหมือนพวกพ่อมดหมอผีอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ดี พวกลัทธิมาร์กซิสอย่างโซเวียตนั้น ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์เลย ดังนั้นนักปรจิตของโซเวียตจะต้องค้นหาวิธีทางฟิสิกส์มาอธิบายเรื่องการเดินทางของข่าวสารทางกระแสจิต ซึ่งทฤษฎีของโซเวียตในปัจจุบันนี้ก็เชื่อว่า แม่เหล็กไฟฟ้าเป็นกุญแจสำคัญในการที่จะไขปัญหาในเรื่องนี้ "มันเป็นความคิดที่รวบรัดเกินไปแต่มันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้" นักฟิสิกส์นิวเคลียร์ ผู้มีนาวกรว่า เอลิซาเบธรอสเชอร์ ซึ่งเป็นอาจารณ์สอนวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพอยู่ที่มหาวิทยาลัยจอรห์นเอฟ.เคนเนดี ในโอรินดา แคลิฟอร์เนียกล่าว คลื่นสมองประกอบด้วยพลังงานทางแม่เหล็กไฟฟ้าและสมองของคนเราก็เปรียบเสมือนสายอากาศทรงกลมขนาดใหญ่ที่ส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกไปทุกทิศทุกทาง หากมีคนรับคลื่นพลังจิตนี้ได้ละก็ เราก็เรียกว่า "การส่งโทรจิต"

                    หลักฐานที่ยืนยันว่า โซเวียตเชื่อในแบบจำลองทางทฤษฎีนี้ก็ได้มาจากเครื่องไม้เครื่องมืที่นักวิจัยพลังจิตของโซเวียตใช้งานอยู่เป็นประจำนั่งเอง ยกตัวอย่างเช่น "เครื่องไบโอพลาสโมกราฟ" (bilplasmograph) ซึ่งใช้ผลึกของเหลวชนิดพิเศษที่ใช้สำหรับวัด "สนามชีวะ" (biofield) รอบๆ ตัวมนุษย์ นายพล เจนนาดิเอ เซอร์เจเยฟ แห่งกองทัพเรือโซเวียตซึ่งเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องมือนี้ขึ้นมาก กล่าวว่าเครื่องไบโอพลาสโมกราฟสามารถจะใช้วัด "การเปลี่ยนแปลงแรงแม่เหล็ก" ที่อยู่รอบๆ ตัวนักพลังจิตได้

                    นอกจากนี้แล้วก็มีรายงานว่าโซเวียตก็ยังมีเครื่องจักร (อาวุธ) พลังจิตอีกชิ้นหนึ่งมีเชื่อว่า ลิดา (Lida) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้หลักการทางแม่เหล็กไฟฟ้าในการเปลี่ยนสภาวะความนึกคิดหรือจิตสำนึก ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์สาขาประสาทวิทยาของสหรัฐฯ ชื่อ ดับบลิว. รอสส์ เอดีย์ ซึ่งทำงานอยู่ที่ศูนย์บริการแพทย์ทหารผ่านศึก (Veterans Adiministration Medical) ในโลมาลินดาซึ่งมีขนาดเท่ากล่องใส่รองเท้านี้ทอดลองกับแมว ก็ปรากฏผลว่าสามารถชักนำจิตใจของเจ้าแมวให้หลับได้เป็นเวลานาน

                    ยิ่งไปกว่านั้น โคคลอฟยังได้เปิดเผยกับนักเขียนของ ออมนิ อีกว่า ขณะนี้โซเวียตได้พัฒนาใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดังกล่าวนี้เพื่อควบคุมคนทั้งโลกกันแล้วโดยตลอดช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมานี้โซเวียตได้ยิงคลื่นไมโครเวฟใส่สถานฑูตสหรัฐฯ ในกรุงมอสโคว์อยู่เป็นประจำ ซึ่งคาดกันว่าคงมีจุดประสงค์ที่จะรบกวนจิตใจหรือสร้างพฤติการอันไม่พึงประสงค์ให้แก่นักกรทูตสหรัฐฯ และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 เป็นต้นมา โซเวียตก็ขยายการปฏิบัติการรุนแรงขึ้นถึงขั้นงัดเอาอาวุธพลังจิตขนาดใหญ่ออกมายิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในย่านความถี่ 2-20 เฮิรตซ์ เขาใส่ประเทศสหรัฐฯ เกือบทั้งประเทศ ซึ่งคาดว่าคงเพื่อจุดประสงค์เดียวกันกับที่ทำกับสถานทูตสหรัฐฯ ในมอสโคว์

                    อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะยอมรับว่า ได้ตรวจพบคลื่นดังกล่าวที่ยิ่งไปยังสหกรัฐฯ นี้จริง และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันว่าโซเวียตยิงคลื่นไมโครเวฟใส่สถานทูตสหรัฐฯ จริงๆ ก็ตาม เจ้าหน้าที่ในรัฐบาลของสหรัฐฯ บางคนก็ไม่เชื่อว่าการกระทำเหล่านี้จะมีจุดประสงค์ดังที่นายโคคลอฟกล่าวอ้าง ทั้งนี้เพราะโซเวียตอาจจะมีเป้าหมายหลักเพื่อขัดขวางการส่งวิทยุของสหรัฐฯ ก็ได้ และส่วนคลื่นที่สำรวจพบในดินแดนสหรัฐฯ นั้นก็ยิ่งมาจากเรดาร์เหนือขอบฟ้าซึ่งเป็นระบบเตือนภัยล่วงหน้าของโซเวียตที่มีไว้เพื่อใช้ตรวจจับขีปนาวุธของสหรัฐฯ "จริงอยู่ที่คนรัสเซียมีนิสัยโหดร้าย แต่พวกเขาคงไม่บ้าพอที่จะทำอะไรโง่ๆ หรอก" แหล่งข่าวโตแย้งในเรื่องนี้กล่าว


                   
    สหรัฐฯ ร่วมทดลองการมองข้ามทวีป

                    
                   
    รัสเซลล์ ทาร์ก ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ที่ศึกษางานด้านพลังจิตของโซเวียตที่สำคัญคนหนึ่งของฝ่ายตะวันตก มีความคิดเป็นเกี่ยวกับการวิจัยของโซเวียตว่า ความจริงแล้วรัสเซียนั้นมุ่งวิจัยเกี่ยวกับปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติเพื่อใช้ในทางสันติส่วนเรื่องที่โคคลอฟและวิเลนสกายาเล่าและให้ทัศนะนั้นเป็นงานวิจัยเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้นพวกเขาไม่ได้รู้เรื่องนี้ทั้งหมด

                    ทาร์ก เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญในการมองระยะไกล ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2515 ถึง 2525 เขาได้ทำงานกับสถาบันวิจัยสแนฟอร์ดซึ่งได้รับว่าจ้างจากกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ให้ช่วยพัฒนา "สายลับพลังจิต" (psychic spies) ให้ ซึ่งงานนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ

                    ในปี พ.ศ. 2525 หลังจากที่เขาได้ลาออกจากสถาบันวิจัยสแตนฟอร์ดเพราะว่างานวิจัยพลังจิตนี้หนักไปทางทหารมากเกินไปแล้ว เขาก็ได้จักตั้งบริษัทเดลฟี แอสโซซิเอท (Delphi Associaties) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาในด้านพลังจิตขึ้นมาและหลังจากนั้นไม่นาน ทาร์กก็ถูกสภาวิทยาศาสตร์ของโซเวียตเชิญไปเยี่ยมสถาบันวิจัยพลังจิตของรัสเซียซึ่งเมื่อสองปีที่ผ่านมานี้ ทาร์กก็ได้ไปเยือนรัสเซียถึงสองครั้ง จากการไปเยือนนี้ทำให้เขาได้พบปะนักวิจัยด้านจิตของโซเวียตมากกว่านักวิทยาศาสตร์ชาวมะริกันทุกคน "ผมไม่สามารถยืนยันไดว่า โซเวียตได้ใช้พลังจิตในการทหารหรือไม่ แต่ที่รู้ๆ ก็คืองานของพวกเราเป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์" ทาร์กกล่าว

                    แต่อย่างไรก็ตาม การไปเยือนรัสเซียของคุณพี่ทาร์กนี้ก็ได้สหรัฐฯ ได้ทราบข่าวคราวเกี่ยวกับงานวิจัยของโซเวียตมากขึ้นทีเดียว ในช่วงที่ไปรัสเซียนี้เขาก็ได้รู้จักกับ อิปโพลิต โคแกน ซึ่งเป็นอดีตเจ้านายของวิเลนสกายา ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้ทำงานอยู่ที่ สถาบันเรดิโอเทคโนโลยีและเอ็นจิเนียริ่ง (Institute of Rsdiotechology and Engineering) ในเลนินกราด และเมื่อปีที่แล้วนี้ โคแกน ก็ไดตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางพลังจิตออกมาเล่มหนึ่ง ซึ่งในหนังสือนี้เขาได้เสนอว่าพลังจิสามรถจะอธิบายได้ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่ำและนอกจากนี้แล้ว ทาร์กก็ยังได้ยินข่าวของ วิกเตอร์ อินยูชิน ที่รายงานข่าวกรองของสหรัฐฯ อ้างถึงเขาว่าเป็นผู้สร้างเครื่องควบคุมจิตใจที่มีชื่อเรียกว่า "เครื่องกำเนิดไซโคทรอนิก (psychotronic generator)" ว่าทุกวันนี้อินยูชินกำลังทำการทดลองการใช้เลเซอร์ในการปรับปรุงผลทางการเกษตร และการใช้เครื่องถ่ายภาพเคอร์เลียน (Kirlian) เพื่อใช้ในวินิจโรคทางการแพทย์

                    หลังจากที่ทาร์กกลับมาบ้านแล้วเขาและเพื่อนชาวรัสเซียก็ได้จัดการสาธิต "การมองระยะไกล" ข้ามทวีประหว่างมอสโคว์กับซานฟรานซิสโกขึ้น การทดลองครั้งนี้ก็มีขึ้นที่อพาร์ตเมนต์ของดจูนา ดาวิตาชวิลี ซึ่งเป็นหมอนวดหญิงของโรงพยาบาลจอร์เจียน (Georgian hospital) และเคยทำให้รัฐบาลโซเวียตประหลาดในกับการใช้พลังจิตรักษาผู้ป่วยที่แพทย์ลงความเห็ว่ารักษาไม่ได้ให้หายได้ ทากเปิดเผยผลจากการทดลองว่า ดาวิตาชวิลีสามารถอธิบายถึงม้าหมุนที่ตั้งอยู่ตรงท่าเรือประมงของศาลฟรานซิสโกได "มันเป็นการมองระยะไกลที่ประสบความสำเร็จทั้งในด้านระยะทางและเวลา (คาดการณ์ล่วงหน้า)" ทาร์กกล่าว แต่อย่างไรก็ดีในเรื่องนี้ก็มีนักวิทยาศสาตร์หลายคนไม่เชื่อในผลการทดลองนี้ แต่ทาร์กก็โต้แย้ง และยืนยันว่านี่ไม่ใช่การทดลอง แต่เป็นการสาธิตและถ้าเป็นไปได้ เขาจะทำการทอดลองให้ดูอีกทีก็ได้...ครับ ท้ากันอย่างนี้ ผมว่าก็น่าจะลองกันสักตั้ง เผื่อจะได้รู้ว่าทหารพลังจิตของพี่หมีนั้นก้าวไปไกลแค่ไหนแล้ว???


                  
    นักวิทยาศาสตร์รัสเซียยันใช้พลังจิตฆ่าคน

                    
                   
    "พลังจิต (กำลังภายใน) ฆ่าคนหรือสัตว์ได้จริงหรือ
    ???" ครับ ปริศนานี้เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็อยากจะรู้ โดยเฉพาะพวกทหารที่ต้องการจะพัฒนาอาวุธใหม่ๆ ที่มีอำนาจการทำลายสูง..แต่ตัวเองปลอดภัยคือต้องการอาวุธที่รู้ว่าใครเป็นศัตรู และก็ห่าเฉพาะเจ้าศัตรูนั้นเสีย...ครับ หากอย่ากรู้คำตอบและข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ก็ต้องถามนาย ออกัสต์ สเทิร์น ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ ชาวโซเวีตยที่ลี้ภัยมาอยู่ในค่ายตะวันตกเมื่อปี พ.ศ. 2518 เขาเรียนจบทั้งทางด้านคอมพิวเตอร์ ประสาทสรีรวิทยา และคณิตศาสตร์ประยุกต์ด้วยและเป็นผู้หนึ่งที่ได้รู้รู้เห็นการวิจัยอาวุธพลังจิตพิฆาตของรัฐบาลโซเวียต

                    สเทิร์นเคยทำงานอยู่ในหน่วยราชการการลับในไซบีเรียของโซเวียต "สเปเชียงดีพาร์ตเมนต์ 8" ซึ่งทำให้เขาได้รู้ได้เห็นการทำวิจัยอาวุธพลังจิตของรัสเซีย การทดลองครั้งหนึ่งที่สเทิร์นเล่าให้ฟังก็คือมีการจับลูกไก่อายุ 2-3 วัน ใส่กล่องโลหะ แล้วนำลงไปไว้ใต้ถุนตึกส่วนตัวแม่ก็เอาไว้ที่ห้องทดลองบนชั้น 3และก็มีการต่อสายระโยระยางจากหัวของแม่ไก่เข้าเครื่องวัดคลื่นสมอง (electroencephalograph)...การทดลองเริ่มขึ้นด้วยการปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านเข้าไปในกล่องโลหะ...จนเจ้าลูกไก่เต้นและสั่นงันงกด้วยความเจ็บปวดเช่นเดียวกับลูกของมัน...นี่แสดงให้เห็นว่า แม้จะอยู่ไกลกัน ไก่แม่ลูกคู่นี้ก็ยังสามารถรับรู้ความรู้สึกของกันและกันได้ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะทั้งสองมีการถ่ายทอดกระแสจิตไปให้กันและกัน

                    นี่เป็นตัวอย่างการทดลองเพียงเบาะๆ เท่านั้น...สเทิร์นบอกว่า ที่โหดร้ายยิ่งกว่านี้ก็มี อาทิเช่น ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 60 สเทิร์นได้เห็นการทดลองอันมหาโหดในห้องปฏิบัติการของทหารโซเวียต คือ ครั้งหนึ่งพวกเขาพยายามจะใช้พลังจิตบังคับให้ศัตรูตกรถเมล์ อีกครั้งหนึ่งก็พยายามที่จะฆ่าสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จากระยะไกล

                    สเทิร์นเล่าถึงเหตุการณ์ในการทดลองในครั้งแรกที่เขาได้เห็นว่า พวกนักพลังจิตของพี่หมีได้จับเอาแมวตัวหนึ่งไปขังไว้ในอีกห้องหนึ่ง แล้วจากนั้นก็พยายามจะใช้พลังจิตฆ่ามันเสีย..."ตอนนั้นผมมองว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่า" สเทิร์นรำพึงถึงความหลัง แต่แล้วในภายหลังเขาก็พูดไม่ออก เพราะปรากฏโซเวียตตายทุกคืน.. "มันเหมือนกับอธิบายเรื่องเฟรงเกนสไตน์ยังไงยังงั้น"

                    ทางกระแส ปัจจุบันนี้ก็ทำงานอยู่ที่ห้องปฏิบัติการนี้ สเทิร์นไดมีโอกาสทำวิจัยในโครงการลับนี้เหมือนกัน งานของเขาในครั้งนั้นก็คือการค้นหาหลักการทางฟิสิกส์ที่จะไขปัญหา ปรากฏการณ์ทางพลังจิต เสทิร์นก็เหมือนนักวิจัยของโซเวียตคนอื่นๆ คือ เชื่อว่าพลังจิตอาจจะเป็นพลังงานหรืออนุภาคอันใดอันหนึ่งที่เรารู้จักกันอยู่แล้วดังนั้นสเทิร์นจึงเลือกเอา "นิวตริโน" ซึ่งเป็นอนุภาคที่ไม่มีประจุไฟฟ้า ไม่มีมวลวิ่งด้วยความเร็วเท่าแสง และสามารถทะลุทะลวงทุกสิ่งทุกอย่างได้ ฉะนั้นจึงเป็นไปได้ว่า นิวตริโนเป็นตัวนำคลื่นพลังจิตหรือกระแสจิตและคนที่มีความไวต่อนิวตริโนก็เรียกคนนั้นว่ามีพลังจิตหรือเป็นนักพลังจิต.. ครับหากสมมติฐานนี้ถูกต้อง ต่อไปไม่แน่ว่าโซเวียตก็อาจจะสามารถสร้างอาวุธพลังจิตมหาประลับที่สามารถบัญชาการให้ใครต่อใครเป็นตามความต้องการของพี่หมี หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะแช่งชักให้หัวใจวายหรือเส้นเลือดในสมอง (ของผู้นำประเทศศัตรู) แตกตายก็ได้..แต่ก็เป็นที่น่ายินดีครับว่าอาวุธมหาประลัยนี้ยังไม่เกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นเพราะห้องปฏิบัติการดีพาร์ตเมนต์ 8 ที่สเทิร์นทำงายอยู่ถูกสั่งปิดในปี พ.ศ. 2512 และหลังจากนั้นอีก 6 ปีต่อมาสเทิร์นก็เผ่นมาอยู่กับฝ่ายโลกเสรี

                    แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้โซเวียตก็กำลังเดินการวิจัยลับนี้อยู่ในห้องปฏิบัติการอื่นๆ..ครับหลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ในค่ายตะวันตกได้ยินได้ฟังเรื่องราวการพัฒนาอาวุธพิสาดารล้ำลึกนี้แล้ว ก็เกิดเสียวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่...บางคนก็เชื่อว่าพี่หมีคงทำได้จริง..แต่บางคนก็ว่าเป็นไปไม่ได้เรื่องไร้สาระทั้งเพ..แต่ผมว่าเรื่องนี้มันก็ไม่แน่นะนาย เพราะหากมันไร้สาระแล้วละก็ ทำไมเวลานี้เพนตากอนของสหรัฐฯ ถึงได้ประกาศทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อดำเนินการศึกษาเรื่องนี้อย่างเอาจริงเอาจัง??

                   

                    สรุปคือ เรื่องนี้จะประมาทไม่ได้ เพราะโซเวียตเคยทำให้คนทั้งโลกประหลาดใจกับการส่งดาวเทียมสปุตนิก ขึ้นสู่อวกาศ. ส่งคนขึ้นท่องอวกาศ..สร้างดาวเทียมล่าสังหาร..และพัฒนาอาวุธสตาร์วอร์สมาแล้ว ฉะนั้นถ้าจะสร้างอาวุธพลังจิตขึ้นมาอีกสักชิ้นหนึ่งก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดใช่ไหมละ


    + + จากมิติพิศวง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×