8 อันดับต่อไปนี้คือการ์ตูน-ภาพยนตร์ที่หลายคนคุ้นเคย ที่สร้างความสุขตั้งแต่ในวัยเด็ก แต่อย่างไรก็ตาม เราทุกคนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และเราอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ตที่ทำให้เรารู้ว่าโลกนั้นมันโหดร้ายยังไง เมื่อเรารู้เรื่องจริงที่ทำลายความฝันในวัยเด็กของเรา
พวกเรารู้กันดีว่าภาพยนตร์เรื่องโปรดของเรามีอะไรหลายอย่างที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาษษศาสตร์ หรือตามความจริง แต่หลายคนก็ไม่ทราบอยู่ดีว่าเรื่องจริงที่ว่ามันต่างมากขนาดไหน
ดังนั้นในบทความนี้จึงพยายามคัดการ์ตูน-*ภาพยนตร์ เน้นหนักไปทาง ดิส นีย์ (ว่าโลกแห่งความจริงนั้นมันโหดร้ายยังไง หากเอาเรื่องเหล่านี้มาไว้ในโลกแห่งความจริง
ชีวิตสิงโตไม่ได้งดงามเหมือน The Lion King
The Lion King หลายคนอาจประทับใจกับ The Lion King ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรักของซิมบ้ากับพ่อ และความรักของซิมบ้ากับนาลา แต่อย่างไรก็ตามในโลกแห่งความจริง ทั้งหมดมันไม่มีทางเกิดขึ้น และหลายอย่างมันโหดร้าย หากเอาเรื่องสิงโตจริงๆ มาพูดถึง
เริ่มจาก ความรักซิมบ้ากับนาลา ที่ซิมบ้ารักนาลาเพียงตัวเดียวนั้น ไม่มีอยู่จริง ถ้าทำแบบนี้คงขยายเผ่าพันธุ์ไม่ได้ เพราะ สิงโตนั้นไม่ได้มีเมียเดียว ชีวิตของสิงโตตัวผู้นั้น มีฮาเร็ม มันจับคู่กับผู้หญิงทุกคนในกลุ่ม (ประมาณ 5-6 ตัว) ทุกๆ 20 นาที และฝูงหนึ่งจะมีตัวผู้สองตัว (ถ้ากลุ่มใหญ่หน่อยจะมีสี่ตัว)
ประการที่สอง บางครั้งสิงโตตัวผู้นั้นมักจะฆ่าลูกที่อายุต่ำกว่า 9 เดือน สาเหตุก็เพราะจะทำให้ตัวเมียในฝูงสามารถผสมพันธุ์อีกครั้งแทนที่จะเสียเวลาเลี้ยงลูก หรือไม่ก็ลูกสิงโตตัวผู้ที่กำลังโตเต็มวัย (ประมาณ 2-3ปี) แล้วจะถูกขับออกจากฝูง
ประการที่สาม หน้าที่ของสิงโตตัวผู้ที่เป็นจ่าฝูง แทบไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากการสู้ของสิงโตหนุ่มตัวอื่นๆ ที่จะขึ้นขึ้นเป็นจ่าฝูงแทน หากแพ้สิงโตก็จะออกจากกลุ่มและเร่ร่อน ส่วนตัวใหม่จะกลายเป็นจ่าฝูงครองตัวเมียทั้งหมด และฆ่าลูกๆ ของสิงโตตัวผู้เก่าให้หมดเพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามต่อไป
เจ้าหญิงนิทราไม่ได้ออกมางามขนาดนั้น เจ้าหญิงนิทรา เป็นเรื่องราวแสนโรแมนติกที่เจ้าหญิงโดนคำสาปแม่มดทำให้หลับและรอเจ้าชายหนุ่มรูปงามเข้ามาจูบ เป็นภาพยนตร์การ์ตูนดิลนีย์ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 อย่างไรก็ตาม ในโลกแห่งความจริงแล้ว การนอนหลับระยะเวลายิ่งไม่เป็นผลดี ไม่ได้ออกมาสวยงามเหมือนในการ์ตูนแน่นอน เพราะอาการที่เจ้าหญิงเป็นนั้นคือ หลับลึก หรือโคม่า ซึ่งปกติแล้วเธอจะเสียชีวิตในหนึ่งหรือสองสัปดาห์หากไม่มีการรักษา เนื่องจากสภาวะขาดน้ำ อีกทั้งยังทำให้ผิวหนังแห้งเป็นเกร็ด และลมหายใจที่มีกลิ่นเหม็นมาก กล้ามเนื้อจะฝ่อลีบ และแขนขาหดตัว และเสี่ยงการเกิดโรค ด้วยเฉพาะโรคปอด ซึ่งคงไม่มีใครอยากใกล้แน่นอน ซึ่งการที่เจ้าชายสามารถเข้าไปหาเจ้าหญิง แล้วไปจูบเธอได้นั้นคงต้องกล้า บ้า ไม่ก็มีอาการทางจิตแน่นอน
ที่น่าตกใจคือตามต้นฉบับเดิมเจ้าหญิงได้นอนหลับยาวนานถึง 100 ปี มันเป็นไปไม่ได้ที่สภาพเจ้าหญิงตอนนอนหลับจะออกมาดูดีขนาดนั้น (และอายุเจ้าหญิงก็ไม่น่าจะสาวขนาดนั้นด้วย)
เป็นไปไม่ได้ที่จะโคลนนิ่งไดโนเสาร์แบบ Jurassic Park
ไมเคิล ไครช์ตัน ( Michael Crichton) ได้เขียนนิยายเรื่องชื่อดังเรื่อง Jurassic Park ที่เนื้อหาทำให้หลายคนเชื่อว่านักวิทยาศาสตร์สามารถโคลนนิ่งไดโนเสาร์จากที่ดีเอ็นเอไดโนเสาร์จากเลือดของยุงที่ถูกเก็บรักษาในอำพันอย่างสมบูรณ์ นิยายประสบความสำเร็จมากจน สตีเวนสปีลเบิร์กได้นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์จนโด่งดังไปทั่วโลก จนเรื่องดังกล่าวทำให้หลายคนเขข้าใจผิดด้วย
เพราะความจริงแล้วเราไม่สามารถโคลนไดโนเสาร์จากดีเอ็นเอในเลือดยุงได้ เพราะทีมนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ได้ศึกษา แมลงที่ เก็บรักษาไว้ในอำพัน ผลปรากฏว่า มันไม่มีดีเอ็นเอโบราณเลยแม้แต่น้อย เลือดของสัตว์ที่ยุงกินนั้นจะไม่ถูกเก็บรักษาไว้ได้นานขนาดนั้น แม้จะถูกอำพันหุ้มไว้ก็ตาม นอกจากนี้อำพันในเรื่องเป็นอเมริกาใต้ ซึ่งมีอายุไม่เก่าพอที่จะยุคที่มีไดโนนเสาร์ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะโคลนไดโนเสาร์ได้แบบในภาพยนตร์
จูบเพียงครั้งเดียวอาจทำให้เกิดฤดูหนาวนิวเคลียร์ได้
The Princess and the Frog เป็นการ์ตูนดิลนีย์ที่มีฉากเด่นๆ คือ ฉากจูบกบ แล้วกบกลายเป็นเจ้าชาย
หากดูแบบไม่คิดมาก เรื่องนี้ก็ดีอยู่ แต่หากคิดเป็นวิทยาศาสตร์ มันก็เป็นไปได้เหมือนกัน แต่ปัญหาคือหากเป็นแบบนี้จริง โลกอาจพังพินาศได้ เพราะเนื่องจากกฎแห่ง Conservation of mass การที่กบจะแปลงร่างได้จะต้องใช้พลังงานมหาศาลเพื่องานนี้ ปัญหาคือพลังมหาศาลที่ว่า อาจจะต้องใช้พลังจลน์จากอากาศโดยรอบ และที่ว่าโดยรอบ หมายถึงเกือบทั้งหมดของอากาศบนโลก และเมื่อใช้พลังงานจลน์ออกจากอากาศทั้งหมด ก็จะเกิดภาวะแวดล้อมอุณหภูมิเป็นศูนย์โดยอัตโนมัติทุกสิ่งบนโลกถูกแช่แข็ง ก๊าซไนโตรเจนและออกซิเจนจะแปรสภาพเป็นของเหลว นอกจากนี้ชั้นบรรยากาศจะกลายสภาพเป็นฝุ่นผงอันเกิดจากภาวะความกดอากาศต่ำ ซึ่งความรุนแรงของมันเทียบได้กับแรงกระเพื่อมจากระเบิดนิวเคลียร์เลยทีเดียวและโลกอาจพังพินาศได้
ส่วนเจ้าหญิงและเจ้าชายก็จบชีวิตจากการเผาไหม้และพิษจากไนโตรเจนเหลว ในตอนจบ
หายนะจากดาวมรณะ
ในเรื่องสตาร์วอร์ ฉากที่พวกพระเอกสามารถระเบิดดาวมรณะได้สำเร็จ มันควรจะดีใจใช่เปล่า แต่สำหรับวิทยาศาสตร์แล้วมันกลับเป็นเรื่องน่ากลัวอย่างยิ่ง
ใช่....ดาวมรณะถูกทำลาย ด้วยการระเบิด แต่สิ่งที่หลายคนคิดไม่ถึง คือเรื่องหลังจากนั้น ก็คือ เศษซากของดาวมรณะที่พุ่งกระจายไปทั่วจักรวาลต่างหาก ที่ดีไม่ดีมีพลังทำลายมากกว่าดาวมรณะขณะใช้อาวุธเสียอีก
แทบไม่ต้องคำนวณ ดาวมรณะทั้งสองรุ่นมีขนาดใหญ่มาก มีรัศมีเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร เอาเป็นว่ามันมีขนาดพอๆ ดวงจันทร์หนึ่งดวงเป็นอย่างมาก หากเมื่อเกิดการระเบิดเศษซากต่างๆ ก็กระจายไปทั่วอวกาศ-จักรวาล และบางส่วนกลายเป็นดาวอุกกาบาตร หากตกไปยังดาวดวงใดดวงหนึ่งด้วยความเร็วมหาศาล แล้ว มันจะเกิดหายนะ
คาดว่าเศษซากจากดาวมรณะที่ตกมาจากฟากฟ้า จะทำให้เกิดหลุมอุกกาบาตรใหญ่ 4 เท่าของหลุมอุกกาบาตชิกซูลุบ ( Chicxulub ) ในประเทศเม็กซิโก ที่เป็นตัวการทำให้ไดโนเสาร์ สูญพันธุ์ บนโลก และแน่นอนว่าเศษซากดาวมรณะไม่มีแค่อันเดียวแน่นอน มันมีหลายอันที่พร้อมจะเกิดหายนะหากมันตกไปยังดาวดวงใดดวงหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ชีวิตปลาการ์ตูนไม่ได้งดงามเหมือน Finding Nemo
หลายคนคงประทับใจกับความสัมพันธ์ระหว่างปลาการ์ตูนสองพ่อลูกใน Finding Nemo แต่ถ้าพูดด้วยวิทยาศาสตร์ อาจจะมีเรื่องน่าตกใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของปลาการ์ตูนในโลกแห่งความจริง
เริ่มแรกปลาการ์ตูนเป็นสัตว์สองเพศ (Hermaphrodites) ที่พร้อมจะเปลี่ยนเพศตามสถานการณ์ ปกติที่แล้วลูกปลาจะไม่สามารถกำเนิดเพศได้ว่าเป็นเพศใด จนกว่าจะเป็นตัวเต็มวัยจึงจะปรากฏเป็นปลาเพศผู้ และในปลารุ่นเดียวกันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดจะต้องเปลี่ยนแปลงเป็นปลาเพศเมีย แน่นอนว่าตัวเมียไม่เหมือนตัวผู้เลย มันตัวใหญ่ที่กว่าตัวผู้ สีสันไม่สดใสมากนัก และมีพฤติกรรมก้าวร้าว
อย่างที่สอง สังคมของปลาการ์ตูนกลุ่มหนึ่ง ๆ จะมีปลาเพศเมียเพียงตัวเดียวเท่านั้น มันไม่ได้จับคู่รักเดียวใจเดียวแต่อย่างใด พวกมันมีระบบชนชั้นภายในฝูง โดยตำแหน่งหัวหน้าฝูงจะเป็น ปลาเพศเมียตัวที่ใหญ่ที่สุด และตัวเล็กลดหลั่นไป
และหากตัวเมียตาย หรือคู่ของปลาการ์ตูนตาย ตัวผู้อาจะเปลี่ยนเพศตนเองให้เป็นตัวเมีย และสืบพันธุ์กับปลาตู้ผู้ที่อยู่บริเวณนั้น และมีโอกาสที่จะเป็นลูกๆ ของมันเองด้วย
อะลาดินกับจัสมินตายเพราะพรมเหาะ
หนึ่งในฉากจบคลาสสิก อะลาดินกับจัสมินเดินทางท่องโลกด้วยพรม ที่มีความเร็วจากกรุงไคโรไปยังเอเธนส์โดยใช้เวลาเพียงหนึ่งวินาที
อย่างไรก็ตาม จากการคำนวณความเร็วของพรมตามหลักวิทยาศาสตร์ แล้งอยู่ที่ 621 ไมล์ต่อวินาที (ราว 999 กิโลเมตร/วินาที) นั้นทำให้แรงต้านอากาศ ( Drag force) แรงเสียดทานของอากาศมากถึง 100 ล้านเท่า
หากเปรียบเทียบก็เหมือนอุกากาบาตที่เข้าสู้ชั้นบรรยากาศโลก และมันด้วยความเร็ว ด้วยความเร็วสูงประมาณ 19 ถึง 40 กิโลเมตรต่อวินาที เกิดการ compression กับอากาศในชั้นบรรยากาศโลก ทำให้อากาศรอบๆอุกกาบาตมีความดันสูงขึ้นจึงเกิดความร้อนสูงจนลุกไหม้ และถูกเผาไหม้จนหมดสิ้น เพราะฉะนั้นอาละดินและจัสมินโดนเผาตายแน่นอนหากใช้พรมเหาะด้วยความเร็วแบบนั้น นอกเสียจากทั้งคู่จะมีเวทมนต์ป้องกัน
WALL-E: ,มนุษย์ตายหมด WALL-E จบลงด้วยการที่เหล่ามนุษย์กลับมายังโลก ที่ตอนนี้โลกกลายเป็นดาวที่สามารถอาศัยอยู่ได้แล้ว และสุดท้ายตามหลักวิทยาศาสตร์พวกเขาจะตายหมด เพราะสาเหตุคือ มนุษย์จากโลกไปนายไป ถึง 700 ปี ระหว่างนั้นมนุษย์ได้วิวัฒนาการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่อยู่ในยานอวกาศ นอกจากนั้นพวกเขายังเป็นโรคอ้วนโรคเรื้อรัง ที่ไม่สามารถกลับมาผอมได้ และเมื่อหากไปยังสภาพแวดล้อมที่มีแรงโน้มถ่วงที่ไม่คุ้นเคยพวกเขาอาจอยู่ไม่ได้เลย หาเปรียบเทียบก็เหมือนแมงกะพรุนเกยตื้นชายหาด
ดังนั้นคอมพิวเตอร์ในยานเป็นฝ่ายถูก
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
PS. To the moon and back . ฉันยังคงคิดถึงคุณเท่ากับระยะทาง ระหว่างเดินทางกลับจากดวงจันทร์ แม้วันเหล่านั้น คุณจะลืมไปหมดแล้ว .