มีหลายสิ่งหลายอย่างใรนโลกที่ไม่สามารถอธิบายได้ แม้ว่าโลกเราจะพัฒนาทางวัตถุมากเพียงใดก็ตาม แต่หลายพื้นที่ของโลกยังมีความเชื่อเรื่องโชคลาง และของขลังกันอยู่ อันว่าเครื่องรางและของขลังนั้น ถือกำเนิดจากความเชื่อจากบรรพบุรุษ จากคำบอกเล่ารุ่นสู่รุ่น ถึงแม้จะพิสูจน์ไม่ได้ว่าความเชื่อเหล่านั้นจะเป็นจริงหรือไม่ แต่หลายคนเชื่อว่าของที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ มีพลังหรืออำนาจที่อาจบันดาลให้เป็นไป หรืออาจบันดาลสิ่งที่ต้องประสงค์สำเร็จได้ แต่ละอย่างมีคุณสบัติแตกต่างกัน บ้างก็ป้องกันภูตผีปีศาจ เพิ่มโชคลาง แค่นั้นยังไม่น่าสนใจเท่ากับความพิเศษของเครื่องรางที่มันมีมากกว่าของขลัง เครื่องราง 5.กุมารทอง (Kuman Thong) 
เมื่อไม่นานมีนี้ มีการจับกุมชายชาวอังกฤษคนหนึ่งที่ลักลับเครื่องรางที่น่าขนหัวลุกขึ้นไปเคื่องบิน มันคือศพของเด็กทารกทีสามารถหาซื้อได้จากประเทศไทย และนั้นทำให้หลายคนรู้จักกุมารทอง เครื่องรางของขลังสุดยอดแห่งความสยองขวัญ กุมารทอง เป็นสุดยอดเครื่องราวของประเทศไทยที่หายากและมีราคาสูงมาก โดยชาวไทยเชื่อว่ากุมารทองนั้นเป็นภูตผีของเด็กที่ช่วยปกป้องบ้านจากความชั่วร้าย แต่ที่น่ากลัวคือการทำกุมารทองนั้นค่อนข้างน่ากลัว ตามเอกสารโบราณระบุว่าการทำกุมารทองสรุปว่า ต้องหาศพที่ตายทั้งกลม แล้วประกอบพิธีกรรมผ่าเอาศพทารกในท้องนั้นมาย่างไฟให้แห้งสนิทก่อนรุ่งอรุณ แล้วจึงลงรักปิดทองให้ทั่ว ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่ากุมารทอง ตำนานของกุมารทองนั้นเป็นที่รู้จักในตำนานพื้นบ้านขุนช้างขุนแผน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดราวศตวรรษที่ 19 ที่ขุนแผนได้แต่งงานกับภรรยาที่พ่อเป็นโจร จนภรรยาตั้งครรภ์ หากแคต่วันหนึ่งภรรยาของขุนแผนพยายามฆ่าขุนแผนด้วยการวางยาพิษ ขุนแผนรู้เรื่องเลยโกรธ และฆ่าภรรยาผ่าเด็กทารกจากครรภ์ แล้วสร้างกุมารทอง อย่างไรก็ตาม ใช่ว่ากุมารทางทุกองค์จะสร้างจากศพทารก เพราะส่วนใหญ่แล้วทำจากไม้ แกะสลักเป็นรูปทารก แต่มันก็ขลังพอๆ กัน นอกจากนี้ยังดัดแปลงกรรมวิธีการสร้างกุมารทองขึ้น โดยใช้ดินเจ็ดป่าช้าบ้าง ไม้รักซ้อนหรือไม้มะยมบ้าง ไปจนถึงโลหะ และต้องดูแลเสมือนเป็นลูกของตนเองจึงจะขลัง 4. โดกุ (Dogu) 
ที่ประเทศญี่ปุ่น มีการค้นพบสิ่งลึกลับที่แปลกประหลาด เมื่อพวกเขาตุ๊กตาดินเผาโดกุ ซึ่งพบมากในหลุมฝังศพและบ้านพักโบราณ ซึ่งรูปร่างหน้าตาของมันนั้นเหมือนมนุษย์ต่างดางโบราณ โดยมีดวงตาขนาดใหญ่มากแลดูคล้ายกับตาแมลง รูปร่างคล้ายกับผู้หญิงที่มีหน้าอกยื่น แขนขาที่สั้น ล่ำ อวบอ้วน บริเวณส่วนหัวของตุ๊กตาคล้ายกับการสวมมงกุฎ และนอกจากนี้บริเวณร่างกายมีการปั้นตกแต่งอย่างละเอียด ดูคล้ายกับการสวมเสื้อผ้าปกคลุมทั่วเรือนร่าง บางครั้งก็รูปเหมือนผู้หญิงคลอดบุตร หรือไม่ก็รูปสัตว์ โดกุที่เก่าแก่ต้องย้อนไปตั้งแต่สมัยสมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยโจมง (หรือโจมอน) อายุราว 1,100-300 ปีก่อนคริสต์กาล แต่ปัญหาคือมันสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อะไร บ้างก็ว่าเป็นตัวแทนของเทพเจ้าที่เคารพบูชา หรือทำพิธีกรรมศาสนา เป็นส่วนหนึ่งในการประกอบพิธีกรรมของผู้คนในยุคนั้น หรืออาจเป็นของที่จำเป็นอย่างยิ่งในพิธีศพ และเชื่อว่าเครื่องรางของขลังในสมัยโบราณ ที่มีหน้าที่สำหรับป้องกันภัยอันตรายจากภูติผีปีศาจ รวมไปถึงอำนาจเร้นลับ โดยมีความเชื่อที่ว่า การที่สร้างตุ๊กตาที่มีลักษณะแปลกประหลาดพิลึกนี้ก็เพื่อเป็นการข่มขวัญปีศาจร้าย รวมถึงขับไล่สิ่งชั่วร้ายที่อาจเยือนมายังบ้านเรือน 3. โกปี้บอร์ด (Gope Boards) 
Gope (หมายถึงจิตวิญญาณ) หรือ ไม้กระดานโกปี้ เป็นของขลังจากปาปัวนิวกีนี มันเป็นไม้กระดานแกะสลักที่ทำมาจากเรือแคนูเก่า แล้วนำมาวาดเป็นรูปใบหน้าของมนุษย์ และมีสะดือกลมๆ (ไม่มีรูปแบบตายตัว ดังนั้นแต่ละอันไม่มีซ้ำแบบกัน) โดยมีความเชื่อว่าใบหน้าที่แกะสลักลงในบอร์ดนั้นคือตัวแทนวิญญาณของบรรพบุรุษสามารถปกป้องพวกเขาจากอันตรายจากวิญญาณชั่วร้ายที่นำพาโรคภัยไข้เจ็บมาสู่มนุษย์ได้ สมัยก่อนยังถูกนำไปใช้เป็นเครื่องรางในสนามรบด้วย ปกติแล้วกระดานมีขนาดแตกต่างกันออกไป บ้างอันก็มีขนาดยาวหกฟุตรูปวงรี ไม่ก็รูปไข่ มีลายสีแดงหรือสีอื่นๆ ตามแต่ความเชื่อของเผ่า หากอันไหนขลังจะถูกมอบเป็นรางวัลแก่นักรบประจำเผ่าที่มีความกล้าหาญ บางอันเป็นสมบัติประตำครอบครัว หากมีขนาดเล็กก็จะเป็นเครื่องรางของเด็กผุ้ชาย และหากนำมาแขวนจากผนังเหนือที่นอนจะช่วยปกป้องเด็กขนาดนอนหลับ ปัจจุบันมีขนาดเล็กเอาไว้ขายให้แก่นักท่องเที่ยวด้วย 2. บิลลิเคน (Billiken) 
หากไปโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เราอาจต้องประหลาดใจเมื่อเดินผ่านร้านค้าหรือเข้าร้านอาหารจะเห็นรูปปั้นสีทองอยู่ทุกร้าน รูปปั้นที่ว่าไม่ใช่รูปปั้นในศาสนาพุทธ แต่เป็นรูปปั้นที่มีลักษณะเหมือนลิงยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ หูแหลม รูปร่างเหมือนเด็กอ้วนเตี้ยกำลังเหยียดขาไปข้างหน้า เจ้ารูปปั้นนั้นคือ บิลลี่ แคน ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความโชคดีและร่ำรวย ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าหากใครนำมันมาตั้งไว้หน้าร้านก็จะมีกิจการรุ่งเรือง โดยเฉพาะร้านอาหาร แต่ดังที่สุดคือบนหอคอยทสึเทงคาคุ (Tsutenkaku) หากใครอยากได้พรก็ให้เอามือของเราลูบไปที่เท้าแล้วขอพรจะสมปรารถนา ความจริงเจ้าบิลลเคน ไม่ได้ถือกำเนิดมาจากญี่ปุ่น เพราะต้นกำเนิดของมันมาจากอเมริกา โดยครูสอนศิลปะในแคสซัสซิดี้คนหนึ่ง และนำมันมาวางตลอด แม้รูปร่างของมันดูน่าขนลุกมากกว่าน่ารัก แต่ก็ได้รับความนินมในญี่ปุ่น และถือว่า เป็นตัวนำโชคตัวหนึ่ง
1.ซันซา (Tsantsa)  ซันซา (Tsantsa) หรือหัวย่อส่วน เป็นของขลังสะกดวิญญาณ ของชนเผ่าชูอาร์และคีวาโร ในป่าอเมซอน อเมริกาใต้ ซึ่งเป็นหัวย่อส่วนที่มาจากคนจริงๆ ตามความเชื่อนั้นวิญญาณของศัตรูเผ่าเมื่อถูกฆ่าตาย จะกลายเป็นวิญญษณพยาบาลและคอยตามอาฆาตผู้ลงมือฆ่าตน และวิธีการแก้ไขคือต้องทำให้ศีรษะของผู้ตายแห้งและหดเล็กลงแล้วไปประกอบพิธีกรรมสะกดวิญญาณ การทำหัวย่อส่วนนั้นค่อนข้างยุ่งยาก ขั้นแรกคนในเผ่าจะตัดศีรษะของศัตรูออกจากร่าง จากนั้นก็ทำการถลกหนังศีรษะ เอากระโหลกออก นำหนังศีรษะไปต้มในน้ำสมุนไพรระนะหนึ่ง แล้วนำหนังที่ต้มไปผึ่งตากแดดให้แห้ง จากขั้นตอนที่ผ่านมาจะทำให้หมีขนาดเล็กลงเท่าผลแอปเปิ้ล ขนาดเพียง 1/4 ของขนาดปกติ แต่อย่างไรก็ตามพิธีกรรมยังไม่จบ เพราะจะต้องใช้เชือกหรือเยื่อไม้มาเย็บปิดเปลือกตา ทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันวิญญาณมองเห็นผู้ที่สังหารตนอีกต้องทำการตอกหมุดไม้ หรือเย็บริมฝีปาก เพื่อป้องกันวิญญาณสามารถซักถามหาตัวผู้สังหารตน หรือสาปแช่ง เป็นอันเสร็จพิธีในที่สุด ปัจุจบันไม่มีการทำพิธีกรรมนี้แล้ว แต่ก็มีหลายคนสนใจที่อยากได้หัวย่อส่วนนี้เป็นของที่ระลึก ศีรษะจิ๋วนี้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันราคากว่า 1 ล้านบาทต่อหัว และอาจมีหัวปลอมเป็นหัวลิงมาทำอีกด้วย
อ้างอิง http://listverse.com/2015/08/15/10-creepy-spirit-vessels-from-around-the-world/
(ขออภัยที่เอามาไม่หมดครับ เพราะความอ่อนภาษาของผมเองแหละ)
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
|
PS. มาเป็นเพื่อนกันได้ไม//ยิ้ม