ตำนานเมืองยังคงเป็นเรื่องเล่าขนหัวลุกที่เป็นที่นิยมต่อผู้ได้ฟังอยู่เสมอ เพราะมันมีองค์ประหอบที่น่าตื่นเต้น และเพราะความแปลกนั้นเองทำให้มันแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว จนไม่วิเคราะห์ได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องหลอกลวง
ตำนานเมืองนั้นมีอยู่ทั่วโลก แต่ละเรื่องมีความแตกต่างกันไป และแต่ละเรื่องมีน่าจนหัวลุก สยดสยองน่ากลัวไม่แพ้กัน และต่อไปนี่คือ 10 ตำนานเมืองน่าขยะแขยงจากทั่วโลก
10.The Choking Doberman

“โดเบอร์แมนสำลัก” เป็นตำนานที่มีชื่อเสียงนี้มาจากซิดนีย์ ออสเตรเลีย (อาจไปดูวิกิพีเดียจะบอกว่าเป็นตำนานเมืองที่เกิดขึ้นในอเมริกาที่ได้รับความนิยมในปี 1970 และ 1980 แต่อย่างไรเชื่อว่าต้นกำเนิดของมันจริงๆ อยู่ยุโรป) ที่ค่อนข้างแปลกประหลาด แม้เรื่องราวจะมีความแตกต่างในรายละเอียดไปบ้าง แต่เนื้อหาคล้ายๆ กันกล่าวคือมีคู่สามีภรรยาคนหนึ่งกลับบ้านหลังจากที่ดื่มหนักมาก และพวกเขาก็ได้พบโดเบอร์แมนของพวกเขากำลังสำลักอะไรบางอย่างที่ห้องนั่งเล่น มันมีท่าทางทุกข์ทรมาน ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ หญิงสาวเลยโทรไปหาเพื่อนเก่าของเธอ และได้คำแนะนำให้เอาสุนัขไปที่คลินิกสัตวแพทย์เพื่อดูอาการ
หลังจากที่พวกเขาเอาโดเบอร์แมนไปหาสัตวแพทย์แล้วพวกเขาก็กลับบ้าน ต่อมาพวกเขาก็ได้รับโทรศัพท์ ปลายสายเป็นสัตวแพทย์ที่กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง โดยบอกว่าสุนัขของพวกเขาสำลักเป็นนิ้วของชายคนหนึ่ง (สามนิ้ว) ซึ่งเจ้าของนิ้วนั้นเป็นขโมยที่เข้ามาบ้านของพวกเขา และเมื่อพวกเขาโทรไปหาตำรวจเพื่อให้มาค้นบ้านก็พบเจ้าขโมยที่ว่าซ่อนตู้เสื้อผ้าและหมดสติเพราะสูญเสียเลือดจากนิ้วขาดนั้นเอง
9.The Suicidal Boyfriend
แฟนฆ่าตัวตาย หรือความตายของแฟน เป็นตำนานเมืองที่ฮิตกันในแต่ละประเทศ ซึ่งแตกต่างกันไป แต่เวอร์ชั่นที่เล่าต่อไปนี้เป็นเวอร์ชั่นของกรุงปารีสในปี 1960 เล่าว่ากลางดึกคืนหนึ่งหนุ่มสาวสองคนที่เป็นแฟนกันมรมหาลัยได้ขับรถของเขาไปจอกที่ป่าแรมบุยเลต์ เมื่อพวกเขาเห็นว่าไม่ใครอยู่ พวกเขาก็ทำกันในรถ และเมื่อเสร็จแล้ว แฟนของสาวคนนั้นขอออกนอกรถเพื่อสูบอากาศบริสุทธิ์และสูบบุหรี่ ส่วนสาวคนนั้นขออยู่ในรถเพื่อความปอลดภัย
ห้านาทีต่อมา หญิงสาวได้ออกจากรถเพื่อหาแฟนของเธอ ทันใดนั้นเธอก็เห็นชายคนหนึ่งจากเงามืด เธอกลัวเลยกลับเข้ามาในรถและจับรถออกไป และทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงแหลมแปลกๆ ในส่วนบนของรถ เป็นเสียงดังอี๊ดอ๊าดดังขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม หญิงสาวก็ตัดสินใจเพราะไม่มีทางเลือก เธอขับรถออกไป เพื่อเหยียบคันเร่งเต็มที่ แต่ปรากฏว่ารถไม่สามารถไปไหนได้ เพราะมีคนผูกเชือกจากกันชนของรถไว้กับต้นไม้ ในที่สุดหญิงสาวจำเป็นต้องออกจากรถและเธอกกรีดร้องเมื่อเธอพบแฟนของเธอห้อยลงจากต้นไม้ และเธอก็รู้ที่มาของเสียงอิ๊ดอ๊าดว่ามันเป็นเสียงของรองเท้าของเขาที่ขูดส่วนบนของรถนั้นเอง
8.The Slit-Mouthed Woman

“ตำนานสาวปีกฉีก” นั้นเป็นตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่นก่อนที่จะพัฒนากลายเป็นตำนานเมืองในเวลาต่อมา โดยเป็นเรื่องที่ได้รับนิยมของเด็กประถม ว่ากันว่า หากเด็กคนใดเดินอยู่ลำพังในยามวิกาลจะพบหญิงสาวคนหนึ่งสวมหน้ากากอนามัย หญิงคนนั้นถามเด็กว่า "ฉันสวยไหม"ถ้าเด็กตอบว่าไม่เธอก็จะล้วงกรรไกรในกระเปล่าและฆ่าเด็กนั้นเสีย
อย่างไรก็ตามในกรณี ถ้าเด็กตอบรับว่าสวย หญิงนั้นจะปลดหน้ากากอนามัยออก และยิ้มให้เด็กชมดู เผยให้เห็นปากกว้างที่ถูกแหวะจนถึงใบหูมีโลหิตท่วม แล้วถามเด็กนั้นอีกว่า "แล้วตอนนี้ฉันสวยไหม" ถ้าเด็กว่าไม่ หญิงนั้นจะล้วงกรรไกรมาตัดกายเด็กเป็นสองท่อน ถ้าว่าใช่ หญิงนั้นจะมอบความสวยงามให้แก่เด็กนั้นบ้างโดยเอากรรไกรตัดปากเด็กจนถึงใบหูเสีย ในปี 1979 ตำนานเมืองดังกล่าวแพร่ไปทั่วประเทศในเวลาอันเร็วและยังให้เกิดความตื่นตระหนกในหลายหัวเมือง ถึงขนาดที่มีรายงานข่าวว่าโรงเรียนต้องจัดครูคุ้มกันนักเรียนจนถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ และเจ้าพนักงานตำรวจต้องเพิ่มเวรยาม
7.Crybaby Bridge

สะพานร้องไห้เป็นชื่อเรียกของสะพานหลายแห่งในอเมริกา ที่เล่ากันว่ามักได้ยินเสียงลึกลับที่เป็นเสียงทารกร้องไห้จากสะพาน ซึ่งเชื่อว่าถูกฆ่าตายในบริเวณใกล้ๆ สะพาน ไม่ก็ถูกโยนลงจากสะพานลงไปในแม่น้ำหรือลำห้วยเบื้องล่าง ซึ่งตำนานดังกล่าวแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น
มีหลายสถานที่ที่มีชื่อเล่นสะพานร้องไห้ แต่สถานที่เด่นที่สุดคือ “สะพานกรีดร้องแห่งถนนม็อดฮิวจ์” ในโอไฮโอ (The Screaming Bridge of Maud Hughes Road) ว่ากันว่าเป็นสถานที่มีชื่อเสียงในการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงและฆ่าตัวตาย และมีการพบเห็นรถไฟผี ตามตำนานกล่าวว่ามีชายและหญิงคู่หนึ่งเกิดรถเสียงกลางทาง ฝ่ายชายจึงออกจากรถเพื่อมาขอความช่วยเหลือ หากแต่เมื่อกลับไปก็พบว่าฝ่ายหญิงแขวนคอตายเสียแล้ว จากนั้นชายคนนั้นก็เสียชีวิตด้วยเหตุลึกลับ จนถึงทุกวันนี้มีหลายคนได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิง ก่อนที่จะมีเสียงกรีดร้องของผู้ชายคนหนึ่ง และอีกตำนานคือสะพานแห่งนี้เคยมีแม่เด็กคนหนึ่งโยนทารกของเธอลงจากสานและตนเองก็แขวนคอตายตาม
6. Fortunato Zanfretta

ฟอร์ทูนาโต เฟรตต้า เป็นอดีตยามเกษียณในประเทศอิตาลี ที่อ้างว่าในระหว่างปี 1978 และ 1981 เขาถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว มนุษย์ต่างดาวที่ลักพาตัวเขานั้นไม่เหมือนมนุษย์ต่างดาวทั่วไป รูปร่างของมันเหมือนมนุษย์สัตว์เลื่อยคลาน มีสีเขียวและรอยย่นสูงเกือบสามเมตร และอ้างว่ามาจากดาวเคราะห์ในกาแลคซี่ที่สาม “ไททาเนีย” และเห็นโลกเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์ที่พวกมันจะย้ายมาอยู่ในอนาคต พวกมันเรียกตนเองว่า “Dargos”
ในระหว่างที่สะกดจิต เขาได้พูดรายละเอียด รามไปถึงการถูกทดลองด้วยเครื่องมือประหลาดที่เหมือนทดสอบคลื่นสมองอะไรบางอย่าง ซึ่งระหว่างที่เขาถูกจับตัวไปนั้นก็มีรายงานการพบเห็นจานบินแบบต่อเรื่องบนท้องฟ้า
แม้เรื่องราวของฟอร์ทูนาโตจะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงหรือหลอกลวง แต่เรื่องของเขาได้กลายเป็นหนึ่งการลักพาตัวของมนุษย์ต่างดาวที่น่าสนใจไปทั่วโลก
5.The White Death
“ความตายสีขาว” เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมของประเทศสกอตแลนด์ เล่ากันว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมีชีวิตที่ล้มเหลว ไม่มีใครรักจนหาทางออกด้วยการฆ่าตัวตายและเธอก็ได้กลายเป็นวิญญาณร้าย และหลังจากนั้นครอบครัวของเธอก็ถูกเธอฆ่าแขนขาของพวกเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ และหลังจากนั้นเธอก็กลายเป็นตำนานที่เป็นวิญญาณพยาบาทที่ฆ่าใครก็ตามที่รู้ตัวจริงของเธอ วันดีคืนดีจะมีเสียงเคาะประตูซ้ำไปซ้ำมาที่บ้านคุณ และเปิดออกมาจะพบความหนาวเย็นยะเยือก ตาสีดำที่ร้องไห้เป็นเลือด จากนั้นก็ฆ่าคนที่เคาะด้วยการฉีกร่างกายเป็นชิ้นๆ หากคุณไม่เปิด มันก็จะมาอีกเรื่อยๆ ไม่ว่าคุณจะไปไหนมันก็จะตามคุณพร้อมเสียงเคาะประตูที่เลวร้ายขึ้น ไม่สามารถหนีเธอได้เพราะเธอเร็วกว่ามนุษย์ใดๆ
4.The Black Volga

“รถโวลก้าสีดำ” เป็นตำนานเมืองน่ากลัวในกรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ (หรืออาจเป็นประเทศแถบรัสเซีย) ซึ่งเป็นรถที่พบเห็นบ่อยครั้ง ที่ได้รับความนิยมในปี 1960 และ 1970 กล่าวกันว่าในช่วงนั้นเด็กในเมืองหายไปหลายราย และมีบางคนเห็นเด็กโดนกระชากให้ขึ้นรถลีมูซีน โวลก้าสีดำ ซึ่งเชื่อว่าคนขับเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหภาพโซเวียตที่ลักพาตัวเด็กสาวสวยเพื่อไปบำเรอทางเพศแก่พวกเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ บางตำนานยังเชื่อง่าเป็นแวมไพร์. นักบวช, ชาวยิว หรือแม้แต่ตัวซาตานที่เป็นคนขับรถโวลก้าสีดำ
นอกจากนี้ยังมีดำนานน่ากลัวว่าเด็กบางคนที่ถูกลักพาตัวนั้นมีเป้าหมายคือต้องการใช้เลือดพวกเขามาลักษณะให้ชาวตะวันตกหรือชาวอาหรับที่ทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็วเม็ดเลือดขาว หรือขโมยอวัยวะ และเด็กที่ถูกลักพาตัวจะไม่กลับมาอีกเลย
3.The Greek Soldier

ตำนานนี้ไม่ค่อยมีใครรู้จักแต่ค่อนข้างน่ากลัวเหมือนกัน เล่ากันว่ามีทหารกรีกคนหนึ่งกลังจากที่รบในสงครามโ,กครั้งที่ 2 เสร็จสิ้นเขาก็ได้กลับบ้านเพื่อที่จะแต่งงานกับคู่หมั่นของเขา แต่โชคร้ายเขาถูกจับโดยชาวกรีกหัวรุนแรงทางการเมืองคนหนึ่ง เจาถูกทรมานเป็นเวลาห้าสัปดาห์ก่อนที่จะถูกฆ่าตายในที่สุด ต่อมาในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 ทางภาคเหนือและภาคกลางของกรีซมีเรื่องเล่าว่ามีชายคนหนึ่งแต่งชุดทหารปรากฏตัวและหายไป ซึ่งก่อนที่หายไปนั้นทหารคนดังกล่าวจะทำให้แม่ม่ายที่ยังสาวและสวยในหมู่บ้านท้องแบบชั่วข้ามคืน (ไม่รู้ว่าคนเดียวหรือหลายคน แต่คาดว่าหลายคน) และห้าสัปดาห์หลังจากทารกเกิดมา ชายในชุดทหารจะกลับมาและพูดขึ้นว่าเขาเพิ่งกลับมาจากความตาย การที่เขาเอากับเธอนั้นก็เพียงเพื่อกระจายเมล็ดพันธุ์แห่งความแค้นที่หวังว่าลูกชายของคนจะล้างแค้นให้กับเขา
2.Elisa Day

ในสมัยยุโรปกลางมีหญิงสาวคนหนึ่งชื่ออิไลซ่า เดย์ซึ่งเป็นหญิงสาวที่มีความสวยงามมาก อยู่มาวันหนึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งได้เจอเธอและเกิดตกหลุมรัก วันแรกเขาไปเยี่ยมเธอที่บ้าน วันที่สองเขาชวนเธอไปดูกุหลายป่า และวันที่สามเธอกับเขาก็พาไปดูกุหลายในป่าหากแต่เมื่อถึงริมแม่น้ำเขาก็ฆ่าเธอด้วยการใช้หินทุบแล้วเขาก็กระซิบกับเธอว่า “ทุกคนที่มีความงามจะต้องตาย” หลังจากเขาฆ่าเธอเสร็จแล้วก็วางกุหลาบระหว่างฟันของเธอและร่างกายของเธอก็เลื่อนตัวลงไปในแม่น้ำเลือดด้านข้างศีรษะได้ไหลรินนลงน้ำจนกลายเป็นแม่น้ำเลือด
เรื่องเล่าที่น่าขนหัวลุกจนดูเหมือนเรื่องจริงนี้เป็นเรื่องคร่าวๆ ในเนื้อเพลงของ "Where The Wild Roses Grow" ของออสเตรเลีย 1995 ซึ่งได้รับบันดาลใจมาภาพที่เขียนของจอห์นเอเวอ มิลเลส์ (1851-1852) ซึ่งได้รับแรงบันดาลมาจากเพลง "Down in the Willow Garden" ของไอร์แลนด์มีเนื้อหาในมุมมองของฆาตกรที่ฆ่าคนรักของเขาและโยนลงแม่น้ำอีกที
1.Well to Hell hoax

ในปี 1989 มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์รัสเซียได้ขุดเจาะหลุมในไซบีเรีย(ไม่บอกสถานที่และชื่อหลุม) ลึกประมาณ 9 ไมล์(14.5 กิโลเมตร) จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่ง เขาเลยเอาไมโครโฟนทนความร้อนหย่อนในหลุมหลุมนั้นมีอุณหภูมิ 2000 องศาฟาเรตไฮด์ (1,100 °C ) และผลออกมาปรากฏว่ามันเป็นเสียงที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน (ได้ยินเสียงก่อนที่ไมโครโฟนจะละลาย) มันเป็นเสียงเหมือนกรีดร้องเชื่อว่าเป็นเสียงจากนรก นักวิทยาศาสตร์บางคนถึงขั้นลาออก เมื่อได้ยินเสียงดังกล่าว
ต่อมาเสียงนี้ถูกเรียกว่า Well to Hell hoax ถูกเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตในปี 1997 และออกเผยแพร่เป็นอังกฤษในปี 1989 ออกอากาศโดย Trinity Broadcasting Network แม้ว่าเมื่อพิจารณาแล้วน่าจะเป็นเรื่องหลอกลวงก็ตาม แต่เสียงดังกล่าวยังคงเป็นตำนานเมืองที่ได้รับความนิยมที่ยังมีชีวิตจนถึงปัจจุบัน (คลิปข้างล่างคือเสียงจากนรกภูมิดังกล่าว)
http://www.youtube.com/watch?v=8iPIXq_jGMQ
อ้างอิง
http://listverse.com/2013/06/12/10-creepy-urban-legends-from-around-the-world/
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
|
PS. "คำขวัญบ้านเรเวนคลอ" พวกฉลาดมาอยู่เรเวนคลอ บ้านนี้รับคนเก่งพูดขำขัน อีกทั้งเรียนรู้วิชาการเป็นประจำ ที่สำคัญคือต้องมีความรู้ดี
PS. อย่าขาดความมั่นใจในตนเองและอย่าตระหนกตกใจในสิ่งที่คุณทำ เพราะทุกๆสิ่งคือประสบการณ์
PS.
PS. สนับสนุนฮาเร็ม ต่อต้านการเข้าวิน และบูชานิมพ์ดั่งเทพ
PS. มนุษย์ตั้งบอร์ดมาให้อ่าน ไม่ใช่ตั้งเพื่อให้'ด่า'
PS. อย่าขาดความมั่นใจในตนเองและอย่าตระหนกตกใจในสิ่งที่คุณทำ เพราะทุกๆสิ่งคือประสบการณ์
PS. เพื่อนไม่ใช่ของแบนด์เมนที่จะของปลอมมาไว้เคียงข้างง่ายๆ และ เพื่อนคือคนที่กล้าเตือน เมื่อเพื่อนทำผิด
PS. ★ I'll m e l t you down like ice cream .