ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตามรอยเรื่องลึกลับ

    ลำดับตอนที่ #41 : สัตว์ร้ายแห่งกรุงทรอย (Monster of Troy)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.2K
      3
      18 ส.ค. 51



    Heracles fighting the Sea-Monster of Troy | Greek vase, Caeretan black figure hydria
    เคโตส(
    Ketos)

     

    ในตำนานเกี่ยวกับเทพเจ้าของกรีกรวมทั้งกวีนิพนธ์ของ โฮเมอร์ ปราชญ์ใหญ่เรื่อง อีเลียดกับโอดิสซีย์นั้น ได้มีการเอ่ยอ้างถึงการต่อสู้ ระหว่างวีรบุรุษกับอสุรสัตว์ไว้มากมาย มีภาพเขียนและประติมากรรมแสดงถึงอสุรสัตว์เหล่านี้ไว้ด้วย ทำให้นักโบราณคดีต่างพากันพิศวงว่าสัตว์ใหญ่รูปร่างประหลาดทั้งหลายนี้มีตัวตนจริงหรือไม่

     

    การค้นหาสัตว์ลึกลับนั้นไม่จำเป็นหรอกครับ ที่จะลงทุนลงแรกบุกป่าฝ่าดงเข้าไปหาตัวมัน บางทีแค่เข้าพิพิธภัณฑ์ก็อาจเจอกับมันบ้างสักตัวสองตัว

                    ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะ เมืองบอลตัน อเมริกา ก็มีสิ่งหนึ่งที่เป็นสิ่งลึกลับว่ามันคือตัวอะไรกันแน่เหมือนกันครับ มันเป็นคือโถดินเผาของกรีกโบราณ อายุประมาณ 2,500 ปี บนโถนั้นเขียนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ร้ายของกรุงทรอย (Monster of Troy) ซึ่งพวกนักประวัติศาสตร์ถือว่าภาพวาดบนโถใบนี้คือภาพประกอบเรื่อง illustration ที่เก่าแก่ที่สุดของตำนานกรุงทรอย

                    ตามตำนานเทพนิยายกรีกเล่ากันว่า เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ชายฝั่งเมืองซีเจียมซึ่งเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอาณาจักรกรุงทรอย มันได้สร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนทรัพย์สินและทำลายชีวิตชาวไร่ชาวนาในละแวกนั้นเป็นอย่างมาก และเพื่อจะระงับเหตุร้ายนี้ไม่ให้ลุกลามต่อไป ลาโอเมดอนพระราชาแห่งทรอยจึงตัดสินพระทัยส่ง เฮสิโอเน พระราชบุตรีออกไปสังเวยสัตว์ร้ายตนนั้น แต่บังเอิญเฮอร์คิวลิสมาทันเวลาพอดี และก็ไดสังหารสัตว์ร้ายตนนั้น และช่วยชีวิตเจ้าหญิงมาได้

                    
                   ภาพเขียนที่ปรากฏบนโถจะเห็นภาพเจ้าหญิงดเฮสิโอเนป้องกันตนเองด้วยการขว้างก้อนหินใส่มัน ก้อนหนึ่งโดนที่บริเวณตา ส่วนอีกก้อนเข้าไปในปาก ฝ่ายเฮอร์คิวลิสก็ยิงธนูดั่งฝ่าฝนเข้าใส่สัตว์ร้าย

                    คอร์เนเลียส เวอร์มูล นักประวัติศาสตร์บอกว่าสัตว์ร้ายที่เฮอร์คิวลิสฆ่า น่าจะเป็นตัวเคโตส(Ketos) หรือในภาษาสัตว์ลึกลับก็คือ มังกรทะเล(Sea-serpent)นั้นเอง และเขาบอกว่ามันอาศัยอยู่ในถ้ำใต้น้ำ แต่จากที่เห็นนั้นมันเป็นภาพต่อสู้บนบกนี้หว่า ยิ่งไปกว่านี้สัตว์ร้ายในภาพก็เป็นแค่กะโหลกสัตว์ไม่มีลำตัว มันไม่เหมือนเคโตสในศิลปะของกรีกแบบอื่นๆ ที่มักเป็นสัตว์มีลำตัวยาวเหมือนงู มีปากคล้ายหมาป่า และครีบเป็นจักๆ แหลมๆไปตลอดหลัง ซึ่งต่างกันกับ สัตว์ร้ายแห่งกรุงทรอยบนโถใบนี้ที่เป็นรูปกะโหลกสัตว์

                    นั้นเองที่ทำให้ เซอร์จอห์น บรอดแมนศาสตราจารย์ทางโบราณคดีจึงวิจารณ์ว่า สัตว์ร้ายแห่งกรุงทรอยนี้มันช่างไม่มีศิลปะเอาเสียเลย เป็นแค่หัวที่ไม่มีรูปร่าง ไม่มีความหมาย แต่ คาร์ เซโฟลด์ ชาวสวิสผู้คว่ำหวอดอยู่กับโถใบนี้เขาบอกว่าจิตรกรผู้วาดคงตั้งใจวาดให้ดูขบขันมากกว่า

                    แต่มีหลายคนแย้งว่าบางทีจิตรกรเขาคงตั้งใจวาดและเป็นคนแก่ในการวาดภาพ เนื่องจากภาพที่ออกมาดูเหมาะจะมีขนาดพอเหมาะพอเจาะกับขนาดของโถ และคงไม่ได้เขียนเพราะอารมณ์ขัน ซึ่งเธอคิดว่าเขาคงจะใช้ตัวจริงของมันในธรรมชาติมาเป็นแบบมากกว่า ซึ่งทำให้มันต่างจากเคโตสตัวอื่นๆ ที่มีมา!!

                    เมื่อราว 560 ปีก่อนคริสต์ศักราชซึ่งก็เป็นยุคเดียวของโถใบนี้ ชาวสปาร์ตาประกาศว่าพวกเขาพบกระดูกของโอเรสตีส วีรบุรษของกรีกในเทพนิยายกรีก โดยเรื่องมีอยู่ว่าชาวสปาร์ตารู้สึกผิดหวัวที่ไม่สามารถเอาชนะชาวเมืองเตเจียได้ ผู้นำสปาร์ต้าจึงได้ไปยังเมืองเดลฟีเพื่อขอคำแนะนำจากเทพพยากรณ์ ซึ่งท่านเทพพยากรณ์ก็ว่าถ้าอยากชนะคู่แข่งให้หากระดูกของโอเรสตีสให้พบแล้วนำกลับไปสปาร์ต้า แต่พวกสปาร์ตาพยายามเท่าไหร่ก็หากระดูกไม่พบ พวกนั้นเลยกลับไปที่เดลฟีใหม่ คราวนี้ได้คำใบ้ว่า โรงเหล็ก ตอนนั้นก็มีอดีตนักรบชาวสปาร์ต้าชือลีคาส บังเอิญหลงเข้าไปในแดนของเตเจีย แล้วไปแอบยินพวกช่างตีเหล็กกำลังคุยกันอยู่ว่า

                    ในขณะที่ฉันกำลังขุดบ่อน้ำ ก็ได้เจอหีบใบมหึมา ยาว 7 คิวบิตทีเดียว(ราว 3 เมตร) ฉันแทบไม่เชื่อว่าคนในนั้นโตกว่าคนสมัยนี้ ดังนั้นฉันก็เลยเปิดดูและก็เห็นโครงกระดูกใหญ่อยู่ในหีบใบนั้น ฉันวัดดูแล้วเอาดินกลบไว้ตามเดิม

                    ลีคาสได้ยินแล้วก็แสร้งทำเป็นว่าตนเองถูกเนรเทศออกไปจากสปาร์ค้าแล้วเข้าไปขอเช่าห้องพักจากช่างตีเหล็ก ตกกลางคืนเมื่อสบโอกาสเหมาะลีคาสก็แอบไปขุดกระดูกนั้นแล้วนำกลับไปสปาร์ตาเพื่อทำพิธีฝังกระดูกโอเรสตีสอย่างสมเกียรติ หลังจากนั้นสปาร์ตาก็มีอำนาจเหนือคาบสมุทรเปโลปอนนีเซอย่างเด็ดขาด

                    นอกจากกระดูกโอเรสตีสแล้ว ชาวกรีกสมัยนั้นยังขุดค้นพบกระดูกวีรบุรุษอื่นๆ ตลอดจนยักษ์และสัตว์ในเทพนิยายอีกด้วย ซึ่งแต่ละชิ้นมีขนาดใหญ่ยักษ์ทั้งสิ้น

    เอเดรียน เมเยอร์ นักตำนานศาสตร์ เธอออกค้นคว้าหาร่องรอยของอสุรสัตว์ที่ปรากฏในตำนานกรีกโบราณ เธอเดินทางไปศึกษาในปี ค.ศ. 1982 ก็คือเกาะซามอส แห่งทะเลเอเจียน ณ ที่นี้ เคยเป็นสมรภูมินองเลือดซึ่งกวีกรีกนาม พลูตาร์ช ได้รจนาไว้ถึงการศึกระหว่าง ไดโอนีซุส ผู้ได้ สมญาว่าเทพแห่งไวน์กับนักรบสตรีเผ่าอเมซอน ที่เรารู้จักกันดี บนเกาะนี้มีโครงกระดูกโบราณเกลื่อนกลาดอยู่มากมาย จนในพิพิธภัณฑ์ของซามอสมีจัดแสดงห้องหนึ่งโดยเฉพาะที่เรียกว่า ห้องกระดูกกล่าวกันว่าห้องนี้เป็นที่รวบรวมกระดูกของเหล่านักรบกรีก หากทว่าโครงกระดูกที่เอเดรียนเห็นนั้น มันมีขนาดใหญ่โตกว่าร่างมนุษย์ธรรมดาถึง 3 เท่า แม้จะรู้ว่าคนโบราณตัวใหญ่กว่าคนปัจจุบัน แต่ก็ดูจะมหึมาเกินไป และสารานุกรมเกี่ยวกับยุคหิน ที่ตีพิมพ์ในปี 1997 ก็ระบุว่า

    ใหญ่กว่ามนุษย์ธรรมดา น่าจะเป็นกระดูกสัตว์ยักษ์มากกว่า


                   เอเดรียนค้นคว้าต่อไปและพบบันทึกของ ฟิโลสตราตัส ปราชญ์กรีกเขียนไว้ในศตวรรษที่
    2 ถึงเรื่องโครงกระดูกยักษ์ที่จมดินอยู่บนเกาะเล็มนอส ทางตอนเหนือของทะเลเอเจียน และเมื่อเอเดรียนติดตามไปดูโครงกระดูกดังกล่าว เธอก็ต้องตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นหัวกะโหลกของร่างนั้นมีขนาดมหึมาด้วยความจุถึง 40-50 ลิตร!

    กะโหลกดังกล่าวมีรูกลมเบ้อเริ่มอยู่บริเวณหน้าผาก เมื่อพิเคราะห์แล้วไม่น่าจะใช่รูจมูก ซึ่งทำให้เอเดรียนพลันหวน รำลึกถึงตำนานโอดิสซีย์ของโฮเมอร์ที่กล่าวถึง ไซคลอป (Cyclop) ยักษ์ตาเดียวที่เลี้ยงฝูงแกะอยู่บนเกาะ และคอยจมเรือที่ผ่านไปมาเพื่อจับมนุษย์กินเป็นอาหารอันโอชะ เมื่อ โอดิสซีอุส วีรบุรุษกรีกเดินทางกลับมาตุภูมิ หลังจากเสร็จสิ้นสงครามกรุงทรอย เขากับสมัครพรรคพวกได้แวะที่เกาะซึ่งไซคลอปอาศัยอยู่แล้วถูกจับขังไว้ในถ้ำ แต่โอดิสซีอุสได้ทำอุบายเอาไม้ยาวทิ่มลูกตาของไซคลอปจนบอดและหลบหนีออกมาได้

    กระดูกพวกนั้นเป็นกระดูกของคนจริงเหรอ?

    ก่อนที่มนุษย์จะมาอาศัยในย่านเมดิเตอเรเนียรน ดินแดนย่านนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เช่น ช้างแมมม็อธ ช้างมาสโตดอน แรด ยีราฟยักษ์ นกกระจอกเทศ และสัตว์ยักษ์อื่นๆ เมื่อ 23 ล้านปีก่อน ดังนั้นเมื่อชาวกรีกอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานนั่น พวกเขาก็ไม่มีโอกาสพบเห็นมันเป็นๆ แต่ขณะที่พวกเขาทำไร่ไถนา พวกเขาก็มักเจอกระดูกสัตว์พวกนี้พ้นจากดิน หรือเวลาเกิดพายุแผ่นดินไหวกระดูกพวกนี้ก็ปรากฏมาให้เห็น ซึ่งกระดูกพวกนี้มีขนาดใหญ่ไม่เหมือนกระดูกสัตว์ที่เรารู้จัก ก็เลยเหมาว่าเป็นของยักษ์ ของสัตว์ หรือคนในเทพนิยาย พวกเขาเลยเอาฟอสซิลนี้ไปเก็บตามเทวาลัย ซึ่งหลักฐานยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน

    แล้วเจ้าเคโตสเป็นสัตว์ชนิดใด?


                   มีผู้เชี่ยวชาญได้นำภาพถ่ายโถใบนั้นไปให้นักบรรพชีวินวิทยาที่คุ้มกันฟอสซิลสัตว์ย่านเมดิเตอร์เรเนียนดู แล้วถามว่ารู้สึกอย่าไงกับสัตว์ร้ายแห่งกรุงทรอย พวกเขาก็ทึ่ง บอกโดยไม่ลังเลว่าสมจริงมาก ไม่ว่าจะเป็นกระดูกขากรรไกรที่ต่อกับตัวกะโหลก เบ้าตาที่กลวงลึก ฟันที่ยื่นออกไปข้างหน้า หรือแม้แต่ขากรรไกรบนส่วนหน้าที่หักหายไปตามกาลเวลา กะโหลกสีขาวโพลนที่ติดอยู่บนหน้าผาสีดำเช่นกัน บอกให้รู้ว่าก่อนหน้าอาจมีแผ่นดินไหวหรือพายุทำให้ดินทลายจากหน้าผาเผยให้เห็นกะโหลกดังกล่าวโผล่ออกมา แล้วน้ำก็ชะล้างมันจนขาว เป็นธรรมดาที่ส่วนที่หัวของฟอสซิลนั้นมักหลุดออกจากโครงกระดูกส่วนอื่น และนี้เองทำให้อธิบายได้ว่าทำไมสัตว์ร้ายแห่งทรอยตนนี้ไม่มีลำตัว

    ริชาร์ด ฟอร์ตเต้ นักบรรพชีวินของพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยากรุงลอนดอนบอกว่า นึกไม่ออกทำไมจิตกรถึงวาดได้แบบนี้ อาจเป็นไปได้ว่าเขาอาจเคยเห็นมันติดอยู่บนหน้าผา หรือบางทีอาจเขียนขึ้นจากภาพสเก็ตซ์กะโหลกฟอสซิลของผู้สั่งทำโถให้เขา


                    บางทีเจ้าของกะโหลกนั้นอาจเป็นเจ้า ซาโมเธอเรียม (
    Samotherium) สัตว์จำพวกยีราฟโบราณในยุคไมโอซีนเมื่อราว 8 ล้านปีมาแล้ว มันเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ กะโหลกมันยาวถึง 2 ฟุต (60 ซม.) สัตว์ชนิดนี้หากินอยู่แถบทะเลอีเจียนและตามชายฝั่งเอเชียไมเนอร์ ซึ่งฟอสซิลของมันหาได้ไม่ยากในย่านนั้น และสังเกตให้ดีจิตรกรได้ใส่ลิ้นให้สัตว์ร้ายนี้ด้วย แสดงให้เห็นว่าเขาน่าจะวาดโดยที่มันมีชีวิตมิใช้แค่กะโหลกของมันที่ตายไปแล้ว

    นอกจากนี้ยังมีโถใบหนึ่ง อายุพอๆ ก็โถใบแรก โดยบนโถมีภาพแสดงให้เห็นถึงเปอร์ซีอุสวีรษุรุษคนหนึ่งของกรีกกำลังช่วยแอนโดมีดาให้พ้นจากสัตว์ร้ายแห่งจ๊อปปา (Monster of  joppa)ซึ่งสัตว์ร้ายตนนี้มีหัวเช่นเดียวกับตัวที่อยู่บนโถแรกๆ เพียงแต่คราวนี้มันมีเนื้อมีหนังมิใช้กระโหลกเ

     

    เจ้าเคโตสและสัตว์ร้ายแห่งจ๊อปปามันคือตัวอะไรกันแน่ จะเป็นได้ไหมที่คนโบราณได้พบเห็นตัวมันเป็นๆ และถ่ายทอดในงานศิลปะให้ลูกหลานได้เห็นและขบคิดกัน        

     

    ต่วยตูนพิเศษ ฉบับที่ 345 พฤศจิกายน 2546 Cammy ดัดแปลง

                                   http://www.thairath.co.th/news.php?section=specialsunday08&content=34122+ +
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×