ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    100 อันดับ โลกต้องจารึก

    ลำดับตอนที่ #23 : แผนลอบสังหารเคนเนดี ปริศนาบันลือโลก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.11K
      0
      5 ธ.ค. 49



    แผนลอบสังหารเคนเนดี ปริศนาบันลือโลก

                   
                   
    ปัง ๆ ปัง

                  เสียงกระสุนดังลั่นกลางเมืองดัลลลัส ที่ ดีลลีย์ พลาซ่า เที่ยงวันที่ 22 พฤศจิกายน ปี 1963

                   มันเป็นกระสุนเปลี่ยนประวัติศาสตร์ มันเป็นกระสุนพลิกโลก!

                   กระสุนได้วิ่งเข้าเจาะร่างของชายคนหนึ่งที่มีตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีผู้ที่สร้างคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวงของอเมริกาทั้ง สงครามเย็น โครงการปล่อยจรวดขึ้นสู่ดวงจันทร์ การใช้นโยบายการต่อต้านแบ่งแยกสีผิว และการเมืองนอกประเทศอย่างคิวบา

                    เขาตายต่อหน้าภรรยาที่เขารัก และต่อหน้าชาวอเมริกันนับล้านคน

                    เขาคือ จอห์น เอฟ เคนเนดี
              
    ภายในเวลาไม่นานตำรวจเจ้าหน้าที่ก็สามารถจับกุมผู้ลอบสังหารประธานธิบดีได้ทันควันท่ามกลางความสงสัยของหลาย ๆ ฝ่ายว่าเป็นการจัดฉาก

                    ผู้ต้องสงสัยนามเขาคือ ลี ฮาร์วีย์ ออสสวาล์

                   แต่ต่อมาไม่นาน เขาถูกฆ่า โดยชายคนหนึ่ง ท่ามกลางอารักขาของเจ้าหน้าที่แน่นหนาอย่างง่ายดายเหลือเชื่อ

                    และต่อมา ชายคนนั้น ก็ฆ่าตัวตายปริศนาในคุก

                    ทิ้งปริศนาที่ว่า ความจริงของคดีนี้คืออะไรกันแน่!

                   
                    รู้จักกับเขา จอห์น เอฟ เคนนาดี

                   ตระกูลเคนเนดี้เดิมที่เป็นเชื้อสายไอริชแคธอลิก     
                  โจเซฟ แพทริก เคนเนดี เป็นผู้นำครอบครัวนี้อพยพย้ายมาอยู่สหรัฐ และสร้างฐานะปึกแผ่นจนเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา  ซึ่งภายหลังเขาได้รับแต่งตั้งเป็น คหบดีใหญ่ และเอกอัครราชทูตสหรัฐ ประจำอังกฤษ

                    แต่ความร่ำรวยและอำนาจนั้นแลกมาด้วยคำสาป แช่ง

                    เพราะบริเวณที่ตั้งรบรากของครอบครัวเคนเนดีดันไปทับการแหล่งหากินของพวกอินเดียแดง พวกเขาไม่พอใจกับการกระทำของพวกเคนเนดีในครั้งนี้  พวกเขาจึงได้กล่าวคำสาปแช่งที่น่ากลัวต่อตระกูลเคนเนดีว่า

                  
                 
    "ข้าขอสาปแช่งตระกูลแก ตระกูลแกจะไม่มีวันสงบสุข ครอบครัวของแกจะต้องตายก่อนอายุขัย แม้แต่ทรัพย์สินและอำนาจของแก ไม่มีวันช่วยพวกแกได้ ตราบชั่วลูก ชั่วหลาน"

                   

                    ดูเหมือนว่าคำสาปของอินเดียแดงจะส่งผลดั่งคาด เพราะในเวลาต่อมาเกิดการตายปริศนาขึ้นกับตระกูล คือ จอห์น เอฟ เคนเนดีและ โรเบิร์ต เอฟ เคนนาดีน้องชาย ทั้งสองตายเพราะกระสุนปืน  และล่าสุดลูกชาย จอห์น เคนเนดี จูเนียร์ ก็ตายเพราะอุบัติเหตุเครื่องบินตกเช่นกัน

                    แต่โจไม่เชื่อคำสาปนั้น เขาตั้งหน้าตั้งตาเลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ พร้อมกลับวางรากฐานการสร้างผู้นำของสหรัฐในวันข้างหน้าด้วย

                    และแล้ว จอห์น เอฟ เคนนาดี ก็ถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 29 พฤษภาคม 1917 ที่เมืองบรู๊คลิน รัฐแมสซาชูเซตส์ เป็น ลูกคนที่ 2 ในจำนวน 9 คนของครอบครัว

                   โจเลี้ยงดูบุตรคนนี้เพื่อหวังให้เขาเป็นประธานาธิบดีผู้นำสูงสุดของประเทศอเมริกา

                   
                    จอห์น เอฟ เคนเนดี ในวัยหนุ่มรุ่นกระทงนั้น เป็นคนรูปหล่อ เชื่อมั่นในตัวเองสูง มีวาทะที่มีคารมคมคาย  ใคร ๆเห็นก็อยากคบหาสมาคมด้วย  และเหมาะต่อการเป็นผู้นำอย่างยิ่ง

                    ต่อมาเคนเนดีก็เรียนที่โรงเรียนมัธยมในคอนเนตทิคัต แล้วเรียนต่อมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าหน่วยนาวิกโยธิน รับเหรียญกล้าหาญจากวีรกรรมช่วยเพื่อนทหารให้รอดชีวิตจากเหตุเรืออับปางด้วยข้าศึกโจมตี เขาว่ายน้ำพยุงร่างเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บไปโดยไม่ทอดทิ้ง
                   เมื่อกลับบ้านเกิดบิดาโจได้สนับสนุนให้เขาลงสนามการเมืองได้วุฒิสมาชิกรัฐบ้านเกิด จากนั้นเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ค.ศ.1960

                    ค.ศ.1961 เคนเนดีได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีโดยมีแจ๊คเกอลินภรรยาสาวแสนสวยอยู่เคียงข้าง และเริ่มบริหารประเทศด้วยพลังหนุ่ม ในคติมองโลกในแง่ดี              ถึงแม้ว่า โลกในช่วงทศวรรษ 60 นั้น โลกกำลังอยู่ในภาวะตึงเครียด สงครามเย็นจากโซเวียตที่มีท่าทีจะก่อสงครามเพื่อเผยแพร่คอมมิวนิสต์

                    นั้นคือเคนเนดีต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติที่สุดของโลก!

                    คู่ปรับคนสำคัญของเคนเนดีคือ นิกิตา ครุสเชฟ นายกรัฐมนตรีโซเวียต ที่อยู่เบื้องหลังฆ่าคนมากมายในสมัยสตาลินเรืองอำนาจ เขามีบุคลิกโผงผ่าง หยาบช้า ทำอะไรไม่แคสายตาคนรอบข้างเช่นถอดร้องเท้าทุบโต๊ะ สร้างความตื่นตะลึงแก่โลกหลายครั้ง จนกระทั้งการคิดก่อสงครามต่อสหรัฐ

                    30 ตุลาคม 1961  โซเวียตทดลองระเบิดปรมาณูขนาด 50 เมกะตัน ที่มีอนุภาพการทำลายล้างสูงกว่าระเบิดทั้งหมดที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่สองรวมทั้งฮิโรชิมากับนางาซากิถึงสิบเท่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือนไปทั่วโลกจรวดขีปนาวุธนิวเคลียร์ชี้เป้าหมายมาที่อเมริกา

                    ขีปนาวุธนี้ สามารถปฏิบัติได้ภายในสองสัปดาห์!

                    แบบนี้มีหรือที่เคนเนดี จะปล่อยให้มีดมาจ่อคอหอยตรงหน้าหรือ

                    เคนเนดีจึงได้เรียกนายพลลูเซี่ยส เคลย์ มาปรึกษาทันที และคำแนะนำของนายพลและกองทัพสหรัฐคือ

                    "บุกคิวบา!"

                    เคนเนดียังไม่ตัดสินใจในเรื่องนี้เขาจึงเรียกโรเบิร์ตน้องชายมาปรึกษาสองต่อสองอย่างเคร่งเครียด

                    22 ตุลาคม เคนเนดีประกาศปิดกั้นคิวบา ส่งผลให้โซเวียตไม่สามารถขนส่งอาวุธประจำเกาะได้ แต่เรือรบของโซเวียตยังมุ่งหน้าต่อ เพื่อก่อสงคราม

                    เคนเนดีต้องต่อสายลับไปยังครุสเซฟ เสนอข้อตกลงหลายอย่างต่อครุสเซฟ มันเป็นเกมวัดใจของทั้งสองฝ่าย โดยสิ่งที่เดินพันคือ สงครามโลก

                    อนาคตโลกแขวนอยู่บนเส้นดายกับการเจรจาในครั้งนี้

                    ในวินาทีสุดท้าย ครุสเซฟ เปลี่ยนใจถอนกำลังทหารกลับโซเวียตง่ายดายอย่างเหลือเชื่อ

                    โลกหายใจเฮือก รอดพ้นหายนะอย่างฉิวเฉียด

                    นอกจากการต่างประเทศแล้ว เคนเนดียังมีนโยบายอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์อีกมากมายนับไม่ถ้วน เช่น โครงการนาซ่าปล่อยจรวดขึ้นสู่ดวงจันทร์ การใช้นโยบายต่อต้านการเหยียดสีผิว ฯลฯ

                    จากนโยบายทั้งหมดส่งผลให้เคนเนดีกลายเป็นประธานาธิบดีที่คนอเมริกันชนหลงใหล ศรัทธา เป็นประธานาธิบดีหนุ่มแน่น รูปหล่อ พูดเก่งเป็นนักอุดมคติ เชื่อมั่นในตนเองและในประเทศสหรัฐ มีมาดามแจ๊กเกอลีนที่สวยเก๋ไม่สร่าง คู่เคียงข้าง ถึงขนาดมีผู้เรียกทำเนียบขาวสมัยนั้นว่า คาเมล็อต คือปราสาทในนิยายของพระเจ้าอาเธอร์และอัศวินโต๊ะกลม และเรียกพวกตระกูลเคนเนดี้ว่า เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับราชวงศ์ที่สุดเท่าที่สหรัฐเคยมีที่เดียว

                    แต่วาระสุดท้ายของนักการเมืองหนุ่มผู้เก่งกาจ มิใช้มาจากโรคร้าย หรืออายุขัย แต่เขาตายด้วยน้ำมือของชายคนหนึ่ง ที่จงเกลียดจงชังเคนนาดีนักหนา นาม ลี ฮาร์วีย์ ออสวาลด์

                             

                    วันสังหาร

                    มันเป็นประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำของมนุษย์ชาติ

                    เช้าวันที่ 22 พฤศจิกายน 1963 เคนเนดีนั่งรถออกจากเมืองฟอร์ทเวิร์ธเพื่อไปกล่าวคำปราศรัยระหว่างมื้อกลางวันที่ดัสลัส เท็กซัส มีแจ็คกี้ศรีภรรยานั่งเคียงข้างมาด้วย ฝูงคนข้างทางโห่ร้องต้อนรับประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ของเขาอย่างสนั่นหวั่นไหว เคนนาดีสั่งให้ลดประทุมรถลง เพื่อว่าผู้คอยต้อนรับจะได้แลเห็นเขาชัดเจน ภรรยาสาวแสนสวยผู้ว่าการรัฐกล่าวกับเคนนาดีว่า

                    "คงไม่มีใครมาว่า คุณไม่เป็นที่รักของทุกคนในดัลลัสน่ะคะ"

                    แต่สำหรับใครคนหนึ่งเป็นการยกเว้น เขาซ่อนตัวในโรงเรียนเท็กซัส ชั้น 6 เขากำลังรอ รอเวลาที่จะซ็อกคนทั่งโลก

                    รถประจำตำแหน่งเลี้ยวจากเมนสตรีทพลาซ่า ผ่านหน้าร้านคลังหนังสือ และเข้าสู่การฆาตกรรมที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์

                    ปัง

                    จู่ ๆก็มี มีกระสุนนัดแรกวิ่งผ่านทะลุคอเคนเนดี้ เลือดออก เขาตกใจ แต่อาการยังไม่สาหัส ทันใดนัดเองกระสุนนัดที่สองก็ตามมา ส่วนภรรยายังงงกับเหตุการณ์ที่อยู่ข้างหน้าอยู่

                    ปัง

                    กระสุนที่สองเข้าแสกหน้าเต็ม ๆ สมองกระจาย และกระสุนนัดนี้ปลิดชีพประธานาธิบดีผู้เป็นที่รักของโลก

                    พอดีในวันนั้น เคนเนดีสวมแถบรัดเอวเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดจากโรคทางเดินอาหารและภาวะกระดูกพรุน แถบรัดนี้เองที่ค้ำไม่ให้เขาฟุบคว่ำหน้าเมื่อถูกกระสุนนัดแรก ร่างของเขายังคงตั้งตรงอยู่ และเป็นโอกาสให้กระสุนนัดที่สองสังหารเขาได้

                    ภรรยาแจ๊กกี้ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะเผาขน ผู้คนร้องลั่น เสียงร้องดังไปทั่วเมืองฟอร์ทเวิร์ธ  คณะผู้ใกล้ชิดรีบส่งประธานาธิบดีไปยังโรงพยาบาลดัสลัลให้เร็วที่สุด เพื่อช่วยชีวิต

                    แต่มันสายไปเสียแล้ว จอห์น เอฟ เคนเนดี เสียชีวิตในเวลาต่อมา เนื่องจากทนพิษบาดแผนไม่ไหว สมองถูกทำลายเสียหายอย่างรุนแรง ปิดชีวิตประธานาธิบดีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ไปตลอดกาล

                   

                    การจับกุม

                    ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจาก จอห์น เอฟ เคนเนดี เสียชีวิต ตำรวจเริ่มสืบสวนหาตัวต้นเหตุการณ์ช็อกโลกทันใด

                    จากการสืบพยานพบว่ามีคนพบเห็นควันปืนจากหน้าต่างชั้น 6 หน้าต่างบานขวาสุด ที่โรงเรียนเท็กซัส ตรงข้ามตึกดีลลีย์ พลาซ่า และเมื่อตรวจดูพบอาวุธสังหารที่ทิ้งในที่เกิดเหตุ ที่ทิ้งไว้ในห้องเก็บหนังสือ เป็นปืนไรเฟิลแบบเล็งยิงระยะไกล

                    ต่อมาอีก 1 ชั่วโมง ตำรวจได้จับชายคนหนึ่งซ่อนตัวในโรงภาพยนต์

                    ทราบชื่อภายหลังว่า คือนาย ลี ฮาร์วีย์ ออสวาลด์

                    จับตัวผู้ต้องสงสัยได้รวดเร็วเหลือเชื่อ!

               
                  
    ใครคือ  ลี ฮาร์วีย์ ออสวาลด์

                    ออสวาลด์ เขาเกิดในอเมริกา October 18, 1939

                   
                    
    เคยเป็นนาวินโยธิน หลังจากปลดระวางเขาเดินทางไปรัสเซีย ซึ่งในสมัยนั้นรัสเซียยังเป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ ว่ากันว่าเขาไปที่นั้นเพื่อเป็นสายลับ หรือทำงานราชการลับบางอย่าง ต่อมาเขาก็แต่งงานกับสาวชาวรัสเซีย มารนา และมีลูกกับเธอคนหนึ่ง ภายหลังเขากับเธอและลูกย้ายมาอยู่อเมริกา โดยทำเรื่องขอลี้ภัยกับภรรยา

                    ภรรยาเขามักอ้างว่า เขาเป็นคนพวกหัวรุนแรง เป็นชายวิกลจริต ชอบพูดถึงการเป็นศัตรูกับเคนเนดีเป็นประจำแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะก่อเหตุช็อคโลกถึงเพียงนี้

                    หลังจากการจับกุม ออสวาลด์สารภาพว่าสาเหตุที่ฆ่าเคนเนดีเพราะเขาเป็นศัตรูกับกลุ่มคอมมิวนิสต์ในโซเวียต และกลุ่มของพลเอก ฟิเดล คาสโตร ซึ่งตนเองยอมไม่ได้ในฐานะชาวอ เมริกันที่ฝักไฝ่สัทธิคอมมิวนิสต์

                    สารภาพง่ายดายเหลือเชื่อ!

                 
                   
    หลักฐาน

                   
                    หลักฐานในการจับกุมลี ฮาร์วีย์ ออสวาลต์ คืออาวุธสังหารที่ทิ้งในที่เกิดเหตุ ที่ทิ้งไว้ในห้องเก็บหนังสือของโรงเรียนเท็กซัส พร้อมกับภาพถ่ายสำคัญ รูปออสวาลด์ ยืนถือปืนไรเฟิล และเอกสารเผยแพร่คอมมิวนิสต์ในมือ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าหลักฐานอันน้อยนิดนี้กลับเพียงพอให้คณะลูกขุนเชื่อว่า ออสวาลต์ ผิดจริงกับการลอบสังหาร จอห์น เอฟ เคนเนดี

                    หลักฐานแค่นี้น่ะเอาผิด !

                  
                   
    ฆ่าปิดปาก

                    November 24, 1963

                    ไม่กี่วันหลังจากการจับกุม ออสวาลด์ ก็เกิดเหตุการณ์ช็อกโลกตามมาอีกครั้ง

                    วันนั้น ตำรวจได้นำออสวาลด์ ออกมาแถลงข่าวต่อหนังสือพิมพ์ ท่ามกลางการคุ้มกันอันแน่นหนาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 70 คน ที่หน้าสถานีตำรวจดัลลัส ในขณะที่เดินทางไปสาล จู่ก็มีชายอ้วนคนหนึ่งจ่อเป็นไปยังออสวาลด์

                    ปัง!

                    ออสวาลด์ ครางเจ็บปวด ส่วนเจ้าหน้าที่คุมกัน งง ไม่ช่วยบังกระสุนให้แก่เขาแต่อย่างไร ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าเขาคือบุคคลสำคัญต่อคดีนี้

                    ออสวาลด์เสียชีวิตในวันนั้นเอง

                   
                    
    ชายคนนั้นชื่อ แจ๊ก รูบีย์ อาชีพเจ้าของกิจการคลับแห่งหนึ่ง เขาอ้างว่าที่เขายิง ออสวาลด์ เนื่องจากต้องการกำจัดคนฆ่าประธานาธิบดีที่ตนรัก และเพื่อปกป้องเกียรติของเคนเนดี

                    ฟังดูเป็นเป็นเรื่องเหลวไหลของชายผู้มีสติ เพราะเขาไม่น่ากล้าเสี่ยงขึ้นไปยิงออสวาลด์ท่ามกลางตำรวจคุ้มกันแน่นหนาขนาดนี้ และเมื่อคดีนี้กำลังรวบรวมสำนวน แจ๊ก รูบี ก็ชิงฆ่าตัวตายในคุกอีก

                    การตัดตอนเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว!

                  
                    
    โรคประจำตัว

                    หลังการตายของจอห์นเอฟ เคนนาดีมาการอนุญาตผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านสุขภาพเขาไปเปิดเผยต่อสาธารณชน

                    สร้างความตกตะลึงไปทั่ว

                    ความจริงแล้วเคนเนดีต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคภัยไข้เจ็บสมัยก่อนเป็นประธานาธิบดี ซึ่งโรคประจำตัวคือ โรคลำไส้อักเสบ มันทำให้เขาเจ็บปวดและอาเจียนเรื้อรัง เขาต้องกินยา สเตอรอยด์ ตลอด แต่มีผลข้างเคียงคือ การเกิดกระดูกพรุน กระดูกสันหลังอ่อน ต่อมอะดรีนาลเสื่อม และมีการเกิดโรคที่เรียกว่า แอดดิสัน โรคนี้ทำให้ร่างกายไม่อาจผลิตฮอร์โมนที่ควบคุมอวัยวะต่าง ๆ ส่งผลให้เขาเหนื่อยง่าย ภูมิคุ้มกันโรคต่ำ และต้องผ่าตัดบ่อยครั้ง

                    ปี 1954 เคนเนดีเข้ารับผ่าตัดครั้งใหญ่ แพทย์ได้สอดแผ่นเหล็กเข้ามาหลังของเขา ซึ่งปีถัดไปต้องเอาออกเพราะมันทำให้อักเสบ

                    ความลับอีกอย่างของเคนเนดีอีกอย่างคือ พ่อของเขาต้องส่งยาแก้อาการเจ็บปวดฉุกเฉินไปให้สถานทูตอเมริกาทุกประเทศที่ลูกตนไปเยือน

                    ต่อให้เขาไม่ตายด้วยกระสุนเขาก็จะตายด้วยโรคนี้สักวัน

                คดีนี้เริ่มกลืนหายไปกับการตายของ ลี ฮาร์วีย์ ออสวาลต์ ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มลืมเรื่องช็อกโลกนี้แล้วหลังจากงานศพที่ยิ่งใหญ่ของเคนเนดี

                    จนกระทั้ง ถึงปัจจุบัน......................................

                   
                   
    อัยการ

                    จู่ ๆ ก็มีคนหนึ่งไม่เชื่อในหลักฐานที่ว่านาย ลี ฮาร์วีย์ ออสวาลต์ คือแพะรับบาปทั้งหมด เขายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อสู้กับอำนาจรัฐเพราะเขาเชื่อว่าคดีนี้มีอำนาจและอิทธิพลแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง

                    อัยการ จิม แกร์ริสัน เป็นคนผู้นั้นที่พยายามสืบค้นและแฉเรื่องราวที่เหลือเชื่อและปริศนานี้ ทั้งการสืบค้นจากแหล่งข่าวต่าง ๆ การดูฟิล์มภาพยนต์อย่างถี่ถ้วน

                    จากการสืบค้นแผนลอบสังหารในครั้งนี้ จิม แกร์ริสัน ก็ได้พบตัวละครเพิ่มขึ้นในคดีนี้คือ

                    1.  เคลย์ แอล ชอร์ นักธุรกิจที่มีชื่อเสียงในนิว ออร์ลีน และประธานหอการค้าแห่งนิว ออร์ลีน เขาเป็นคนว่าจ้างให้ทนายความให้กับออสวาลด์ หลังถูกจับ

                    2.  เดวิด เฟอร์รี หัวหน้าหน่วยบินของกองทัพอากาศ ซึ่งเป็นอาจารย์ของออสวาลด์เมื่อครั้งเป็นทหารอยู่

                    3.  วิลเลียม กาย บานิสเตอร์ อดีต FBI จัดหาข่าวและหานกต่อทำงานให้กับ FBI ซึ่งว่ากันว่าติดต่อกับออสวาลด์สมัยอยู่โซเวียต

                    บุคคลที่ จิย แกร์ริสัน กล่าวอ้างทั้งหมด เชื่อว่ามีส่วนรู้เห็นกับคดีลอบสังหารนี้และพวกเขาอาจรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ช็อคโลกในครั้งนี้

                 
                  
    จัดฉาก

                    นอกจากนั้น อัยการ จิม แกร์ริสัน ได้อ้างหลักฐานว่าคดีนี้ไม่ชอบมาพากลที่ได้จากการสืบสวน แต่ล่ะอย่างล้วนน่าสนใจทั้งสิ้น อาทิ

                    มีความเป็นไปได้ว่าที่จุดสังหาร พลาซ่า กลางเมืองดัลลัสในเวลาเที้ยงวันมีมือปืนมากกว่า 1 คนขึ้นไป เนื่องจากกระสุนที่เข้าเจาะร่างของประธานธิบดีนั้นมาจากทิศทางที่แตกต่างกัน หลักฐานคือกล้องถ่ายยนต์ของ อับราฮัม ซาปรูเดอร์  ที่เผยภาพสังหารประวัติศาสตร์ตอนกระสุนเจาะร่างประธานาธิบดี เห็นได้ชัดเลยว่ามีกระสุนยิงมาจากทิศทางคนละทิศกันและมีพยานพบว่ามีควันจางๆตรงจุด กราสซี นอลล์ เนินดินตรงกันข้างจุดที่ลี ฮาร์วีย์ ออสวาลด์ ดักซุ่มยิง

                    คำให้การของลี ฮาร์วีย์ ออสวาลด์ หลังถูกจับกุม เขาบอกว่า เขาได้สังหารเจ้าหน้าที่คนหนึ่งหลังฆ่าเคนนาดีชื่อ เจ ดี ทิปพิต แต่กลับมีพยานรู้เห็นว่าตำรวจนั้นถูกยิงโดยชายลึกลับที่ตามหลัง ออสวาลด์ แล้วหายลับไป ปล่อยให้ ออสวาลด์ ยืนงงสักพักก่อนที่จะหนีไปอีกคน

                    พยานอีกคนหนึ่งเขาเป็นพนักงานรถไฟบอกว่าตรงจุดกราสซี นอลล์ประมาณครึ่งวันก่อนมีกลุ่มคนแปลกหน้า แต่งกายต่างกันเดินเตร็ดเตร่อยู่ตรงแถวๆนั้น และวินาทีสังหารเขาก็เห็นแสงไฟจากตรงนั้นแต่ต่อมาเขากลับไม่ถูกบันทึกคำให้การหรือเบิกตัวเป็ยพยานในคดีนี้แต่อย่างใด และต่อมาไม่นานนักพยานปากนี้ก็เกิดประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตอย่างปริศนา

                    หลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถืออีกอย่างก้คือ การระบุกระสุนซึ่งสรุปไปมีแค่ 3 นัดเท่านั้น ที่ตอนแรกว่างเดียวกันคือชั้น 6 อาคารโรงเรียนเท็กซัส แต่ความจริงแล้วเมื่อปฏิบัติจริง ๆ แล้วทำได้ยากมากเพราะมีต้นไม้บังอยู่บางตำแหน่งที่รถผ่านมา เป็นไปไม่ได้เลยว่าในช่วงไม่กี่วินาทีสังหารเคนนาดีนั้น ออสวาลด์ จะสามารถสับไกแล้วยิงทั้งสิ้น 3 นัด แล้วกระสุนเข้าเป้าทุกนัดราวจับวางได้เช่น

                    มีพยานอีกกลุ่มหนึ่งคือ กลุ่มนักโทษในเรือนจำของเมืองดัลลัส ที่อยู่เยื่อนกับโรงเรียนเท็กซัส บอกว่าเขาเห็นคนหนึ่งหรือสองคนอยู่ตรงหน้าต่างชั้นล่างของอาคารเดียวกัน และมีควันปืนที่ลอยคลุ้มตรงนั้นในช่วงที่ เคนนาดี ถูกยิงนั้นเอง

                    ไม่มีการจด วอร์เรน คอมมิชชัน และการชันสูตรพลิกศพ เคนเนดี ทำลวกเกินไป

                    ฯลฯ

                   

                    ตัดตอนอีกครั้ง

                    หลังจาก จิม แกร์ริสัน กำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อสั่งฟ้องผู้ต้องสงสัยทั้งสามก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

                    เคลย์ ชอร์ ถูกจับ ตามมาด้วยการฆ่าตัวตายปริศนาของ กาย บานิสเตอร์ และ เดวิด เฟอร์รี ถึงแม้เขาทิ้งจดหมายลาตายเอาไว้แต่ก็น่าสงสัย ว่ามันต้องเป็นการฆ่าปิดปาก

                    เมื่อจิมนำหลักฐานมาส่งเพื่อลบล้างหลักฐานจอมปลอมของคดีเคนนาดี แต่ศาลก็ตัดสินคดีเช่นเดิม

                 เคลย์ ชอว์ พ้นผิด

                  เมื่อจิมไปแก้สำนวนใหม่ ก็โชคร้ายอีกที่หน่วยงานของรัฐพร้อมใจกันไม่ยอมรับการทำงานของเขา คอยใช้อำนาจขัดขวางงานจนทนายจินต้องอับหนทางในที่สุด จนต้องยุติการสืบสวน

                    การฆ่าตัดต่อเสร็จสิ้นสมบูรณ์อีกครั้ง!

                  
                  
    ใครกันที่อยู่เบื้องหลัง

                    ถึงแม้ อัยการ จิม แกร์ริสัน จะล้มเลิกการสืบสวนคดีนี้ แต่ก็ทำให้คนทั่วโลกมาสนใจคดีนี้อีกครั้งและต่างเดาไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลังในคดีนี้

                    คนที่อยู่เบื้องหลังจะต้องมีอิทธิพลอำนาจระดับสูง สามารถบิดเบื้อนสาธารณชนได้ และกล้าวางแผนประธานาธิบดีที่ใคร ๆ ต่างรักใคร่อย่างอำมหิต

                    นี้คือการสันนิษฐานกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังคดีนี้

    1.       CIA หน่วยข่าวกรองของสหรัฐอเมริกา

    2.       กลุ่มมาฟีย ผู้เสียผลประโยชน์จาการขึ้นนั่งตำแหน่งประธานาธิบดีของ เคนเนดี

    3.       กลุ่มสายเหยี่ยว หรือหน่วยงานทางทหารที่ขัดแย้งต่อนโยบายที่มีต่อค่อยคอมมิวนิสต์ของ เคนนาดี

    4.       กลุ่มปฏิปักษ์กับรัฐบาล ของ คาสโตร แห่งคิวบา ที่เรียกกลุ่มนี้ว่า อัลฟา 66 เนื่องจากผลประโยชน์ร่วมบางอย่างกับหน่วยงานที่ทรงอิทธิพลของอเมริกา

    5.       กลุ่มนักธุรกิจนายทุนในธุรกิจระดับใหญ่ซึ่งมองว่า เคนนาดี ใช้นโยบายที่เป็นปฏิบัติต่อระบบทุนนิยม

    6.       กลุ่มนักธุรกิจนายทุนนักค้าอาวุธสงครามที่ต้องการห้เกิดสงครามเพื่อขายอาวุธแต่เคนนาดีกลับขัดขวาง

    7.       ทุก ๆ กลุ่มร่วงลงขันวางแผนร่วมกันในครั้งนี้ทั้งหมด

                   
                   
    ส่งท้าย

                    จนถึงปัจจุบันคดีนี้ก็ไม่ได้รับการไขปริศนา เนื่องจากเป็นความจริงที่ประชาชนไม่ควรรู้ เพราะถ้าหากรู้ไปแล้วอาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงเป็นลูกโซ่  ส่งที่ทำตอนนี้ได้คือ ขุดคุ้ยและรับรู้กันแบบ "เล่ามาเล่าไป รู้แล้วเหยียบไว้"

                    คดีนี้ก็จบเพียงแค่นี้แหละครับ

                                                                
                                                                  
    ขอขอบคุณ ฆาตกรโหดสะท้านโลกบทความของผมเองแหละ

               

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×