ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    100 อันดับ โลกต้องจารึก

    ลำดับตอนที่ #12 : ภาพลวงโลก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 19.63K
      5
      27 พ.ย. 49


     

    ภาพลวงโลก

                   
              
    หลายคนคงได้เคยอ่านข่าว
          การพบเห็นสัตว์ประหลาด ลึกลับปรากฏตัวที่โน่น ที่นี่กันบ่อยๆ       อาทิ "เยติ" มนุษย์หิมะตีนโต "เนสสี" แห่งทะเลสาบล็อกเนสส์   และ "มนุษย์ต่างดาว" ผู้มาจากนอกโลก ซึ่งผู้ที่พบเห็นจะยืนยันว่า   "เห็นจริงๆ ป่าวตาฝาด" แถมบางครั้งยังมีภาพ หรือแม้กระทั่งวีดิโอ   เทปที่ถ่ายไว้ได้มาเป็น หลักฐานพยาน ทำให้ ผู้คนพากันเชื่อถือและแห่กันไป   (แอบ) ดู "อมนุษย์" ลึกลับเหล่านั้น ทว่า...ก็ยังไม่มีใครได้เห็นจะจะกะตาซักที     
              กระทั่งมีบุคคลบางคนเกิดสงสัยว่า   "เอ... อสุรสัตว์เหล่านี้มีจริงหรือเปล่าหวา" และลงมือสืบสวนดู   ในที่สุดก็พบว่าภาพถ่ายหรือวีดิโอเทปของอมนุษย์เหล่านั้นแท้ที่จริง...     
              ล้วนเป็นภาพ"ลวงโลก"เกือบทั้งสิ้น!     

              
              เริ่มต้น จากเจ้าตีนโต (BIGFOOT)   ซึ่งคล้ายกับมนุษย์รูปร่างสูงใหญ่ มีขนรุงรังทั้งตัว ผู้ที่สามารถถ่ายภาพวีดิโอความเคลื่อนไหวของมันไว้ได้คือ  นายโรเจอร์ แพตเตอร์สัน เขาอ้างว่าพบมันในวันที่ 20 ต.ค.  ปี ค.ศ. 1967 กำลังเดินกร่างสองขาไปตามร่องลำธารในป่าตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย   ความสูงของมันราว 2 เมตร และน้ำหนักเฉียด 130 กก. เขาถ่ายภาพจากระยะห่าง       40 เมตร เป็นความยาวฟิล์มนานถึง 39 วินาที ซึ่งเมื่อนำออกมาฉายเปิดเผย    ก็สร้างความตื่นตะลึงให้ชาวโลกโดยทั่วกัน    
              แต่มีผู้หนึ่งซึ่งมีความกังขาในฟิล์มม้วนนี้  เขาเป็นนักหนังสือพิมพ์นามว่า คาร์ล คอร์ฟ โดยคอร์ฟได้พยายามแกะรอยข้อเท็จจริงและตรวจตรา  ภาพที่เห็นจากวีดิโออย่างละเอียดอยู่นานหลายปี   
             "ผมกำลังหาซิบอยู่ด้านหลังอยู่น่ะ      เพราะไม่มีไม่มีสัตว์โลกตัวไหนหรอกที่มีขนเฟอร์เป็นแนวอย่างนี้"  คอร์ฟว่า    
              อีกผู้หนึ่งซึ่งค้นคว้าหาความจริงในเรื่องนี้คือ  นายไคลด์ ไรน์เก้ ในช่วงปี 1970 เขาทำงานอยู่ในบริษัท  ANE ซึ่งจัดจำหน่ายฟิล์ม เขาระบุว่า แพตเตอร์สันก็เป็นลูกจ้างคนหนึ่งของบริษัทในตำแหน่งช่างภาพ       และได้รับคำสั่งจากผู้บริหารบริษัทให้สร้างหนังบิ๊กฟุตขึ้น เพื่อโปรโมตฟิล์มแก่เหล่าผู้นิยมท่องไพร!   
              ไรน์เก้อธิบายว่า ไอ้ตีนโตในฟิล์มของแพตเตอร์สันนั้น    มิใช่อะไรอื่น หากแต่เป็นมนุษย์ร่างใหญ่ที่สวมชุดวานร ไรน์เก้บอกด้วยว่า  มนุษย์คนนั้นชื่อ เจอร์รีย์ รอมนีย์ เพื่อนสนิทคนหนึ่งของประธานบริษัท    
              เขาสูงตั้งเกือบเจ็ดฟุตร่างใหญ่มากน้ำหนักไม่ต่ำกว่า     115    กก.     
              และที่น่าเชื่อก็คือ รอมนีย์นั้นเคยแสดงเป็นตัวเด่น ในหนังเรื่องหนึ่งของ ANE ในปี ค.ศ.1972 มาแล้ว ลักษณะท่าทางเดินในหนังที่เขาแสดงนั้น    ละม้ายคล้ายคลึงกับลีลาการย่างก้าวของไอ้ตีนโตในฟิล์มของแพตเตอร์สันมาก    
              ผู้สันทัดกรณีด้านการถ่ายทำได้วิจารณ์ว่าไอ้ตีนโตของแพตเตอร์สันนั้น เอาหนังกอริลลามาสวม  มีการสร้างรอยตีนปลอม    แล้วก็ถ่ายทำให้เบลอๆแค่นี้ก็สำเร็จ    
              ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หนังสั้นๆแค่ไม่ถึง 40 วินาทีนี้  ได้ทำเงินมหาศาลให้แก่บริษัท ANE ส่วนแพตเตอร์สันเสียชีวิตใน      ค.ศ.1972    
              อีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ของวีดิโอไอ้ตีนโตได้แก่ ภาพของ เยติที่เดินย่ำหิมะอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย วีดิโอนี้ถูกนำมาเผยแพร่ ในฤดูหนาวของปี ค.ศ.1976 ผู้ชมจะแลเห็นไอ้มนุษย์หิมะตีนโตดูเหมือนกำลังเล่นหิมะ การเคลื่อนไหวของมันงุ่มง่าม จากนั้น คล้ายกับมันรู้ตัวว่าถูกถ่ายทำ       มันจึงออกเดินไปบนเขา    
              วีดิโอเรื่องนี้ โรเบิร์ต แอล.เฟลมมิง  นักวิทยาศาสตร์ ผู้คลุกคลีกับเขาหิมาลัยนานหลายปีมีความเห็นว่า ต้นไม้ใบหญ้า และลักษณะของหิมะในวีดิโอนั้น เป็นคนละแบบอย่างกับที่หิมาลัย  ไอ้ตีนโตเยติก็ดูเหมือนคนเกินไป แต่ก็ไม่ละม้ายกับชาวเนปาล หรือชนแถบหิมาลัยไม่ใช่แม้แต่เยติ   
             หากแต่เป็นมนุษย์จอมปลอม!   
      
            

              เรามาดูอสุรสัตว์อื่นกันบ้าง ตัวที่โด่งดังรู้จักกันดีทั่วโลกก็คื เจ้า "เนสสี" (NESSIE)
              ไดโนเสาร์ แห่งทะเลสาบล็อกเนสส์,      สกอตแลนด์ โดยเป็นที่เล่าลือกันมานาน หลายสิบปีแล้วว่า มีสัตว์มหึมาชูคอยาว       ของมันโผล่พ้นน้ำอันมืดคล้ำ ของทะเลสาบแห่งนี้ ขณะที่มันแหวกว่ายอยู่นั้น       ได้มีผู้พบเห็นนับร้อยราย บางคนถ่ายภาพของมันไว้ได้ แต่ภาพที่ชัดเจนที่สุดเป็นฝีมือของ       นายด็อค ชิลส์ ซึ่งถ่ายไว้ในวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 1977    
              แต่ก็อีกนั่นแหละครับ นายรัสเชลล์ แองกลิซานี  ผู้เชี่ยวชาญการตกแต่งภาพได้วิจารณ์   
              "เพียงแค่ใช้เทคนิคเก่าๆ       ครั้งกระโน้นโดยอาศัยสารเคมี เช่น สารฟอกสี น้ำยาย้อมและก็พู่กัน     คุณก็สามารถเติมภาพสัตว์ประหลาด ลงไปในฟิล์มได้ และไอ้ที่น่าสงสัยมากที่สุดก็คือ   คะเนดูแล้วเจ้าสัตว์ตัวนี้มีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 30 ตัน แต่ทำมั้ย       รอบๆตัวของมันจึงไม่มีรอยน้ำ กระเพื่อมเลยซักนิด"    
              บางคนที่เก็บภาพเจ้าเนสสีได้ เป็นถึงระดับอาจารย์แห่งสถาบัน    เอ็มไอทีอันลือลั่น เขาคือ ดร.โรเบิร์ต ไรเนส ในปี ค.ศ.1972 ดร.ไรเนสสำรวจทะเลสาบด้วยตาตัวเอง และถ่ายภาพเต็มตัวของเจ้าเนสสีขณะแหวกว่ายอยู่ใต้น้ำไว้ได้    
              ซึ่งในเรื่องนี้ผู้สันทัดกรณีชี้แจงว่า เล่นไม่ยาก คุณเพียงแต่หาโครงไม้ เป็นรูปสัตว์ แล้วเอาผ้าพลาสติกมาห่อหุ้มคลุมไว้ ระบายสีเข้าไป ใส่น้ำหนักถ่วงให้มันกึ่งลอยกึ่งจม โยงด้วยสายเคเบิลแล้วลากมันไป แค่นี้คุณก็สร้างอสุรสัตว์ใต้น้ำได้สำเร็จ    
              นอกจากนี้การที่ ดร.ไรเนสใช้สปอตไลต์ฉายส่อง เพื่อให้เห็นภาพเจ้าเนสสีชัดเจน       จึงถูกกล่าวหาว่าเขาใช้เทคนิค ของแสงช่วยในการสร้างภาพ จนกระทั่งมันดูสมจริงเกินไป    
              ครับ ถ้าภาพของคุณมืดๆ สลัวๆ ก็ดูไม่ค่อยออกว่ามันตัวอะไร  แต่ถ้าหากภาพของคุณชัดเจนเกินไป เขาก็หาว่าคุณหลอกลวงอีกน่ะแหละ  ฮ่าฮ่าฮ่า     
              
            
              อมนุษย์ ตนสุด ท้าย ที่ปรากฏ ในภาพถ่ายก็คือ เอเลียน หรือมนุษย์ ต่างดาว ที่มาเยือนโลกโดยจานบิน หรือ
      UFO    
              ผู้ที่บันทึกภาพของจานบิน ได้มากกว่าใครๆก็คือ  นายบิลลี เมียร์ ชาวไร่แห่งสวิตเซอร์แลนด์    
              หนแรกในวันที่  18 มิถุนายน 1875 เมียร์ ถ่ายภาพยานบินโลหะกลมแบน ที่ร่อนอยู่เหนือต้นไม้ของเพื่อนบ้าน  มันเวียนวนต่ำๆจนต้นไม้ เอนไหวด้วยแรงลม    
              ถัดมาอีกสองเดือน เขาสามารถจับภาพจานบิน ที่ร่อนอยู่เหนือไฮเวย์  และเห็นรถที่วิ่งอยู่เบื้องล่างได้ชัดเจน    
              หนที่เจ๋งที่สุดคือ ครั้งที่เจ้ายานลึกลับมาบินเวียนวนอยู่เหนือเนินเขา  แล้วก็แวบหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ฉับพลันมันก็ปรากฏขึ้นใหม่ เมียร์มีโอกาสได้ถ่ายภาพของมันทั้งในระยะไกลและซูมเข้ามาใกล้       บางครั้งมันมาร่อนอยู่เหนือศีรษะของเขาพอดี เป็นภาพที่ไม่เคยมีใครถ่ายทำได้ถึงขนาดนี้       ทำให้ชื่อเสียงของเมียร์โด่งดัง ลือกันว่าเขาสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวได้  และพวกนี้อาจให้ข้อมูลเมียร์เกี่ยว กับการล่มสลายของโลก ผู้ที่กลัวโลกแตกจึงพากันติดต่อ   หรือมาหาเมียร์กันมากมาย    
              แต่เบื้องหลังในเรื่องนี้ ผู้ที่ให้ข้อมูลได้ดีที่สุดก็คือ   โปปิ ภรรยาเก่าของเมียร์   
              "เมื่อฉันเห็นรูปยูเอฟโอ  ฉันก็พลันระลึกไปถึงเค้ก วันแต่งงานของเรา ฉันถามตัวเองว่า เคยเห็นส่วนล่างของเจ้ายานนี้ที่ไหนหนอ  แล้วฉันก็คิดออกทันทีว่ามันคือ ฝาถังขยะของฉันนั่นเอง ฉันลองเปรียบเทียบลักษณะ  ของฝาถังขยะกับไอ้ ยานนั่น...มันเหมือนกันเด๊ะทีเดียว"    
              โปปิยังสาธยายอีกว่า สามีของหล่อนนั้น ถนัดในการสร้างหุ่นจำลองต่างๆจากวัตถุที่หาได้ในบ้าน       ดังนั้นจึงไม่ยากที่เขาจะสร้างยาน อวกาศขึ้นมาสักลำแล้วก็ใช้เทคนิคถ่ายทำ...    
              จนปรากฏเป็นภาพที่หลอกลวงผู้คนได้ทั้งโลก!     


    http://www.baddevil.net/mysterious/news/show.php?Category=article&No=59

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×