ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    100 อันดับ โลกต้องจารึก

    ลำดับตอนที่ #111 : (ปริศนาโลกตะลึง) ซาลวาเดอร์ ดาลี ศิลปินอัจฉริยะหลุดโลก (Salvador Dali)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 14.93K
      2
      3 มี.ค. 50



    ซาลวาเดอร์ ดาลี

     
                  
    ซาลวาดอร์ ดาลี เขาคือตำนาน เขาคืออัจฉริยะ หรือบ้าหลุดโลก  

                    ซัลบาดอร์ โดมิงโก เฟลีเป ชาซินโต ดาลี โดแมเนก (Salvador Domingo Felipe Jacinto Dalí Domènech) หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ซัลวาดอร์ ดาลี (Salvador Dalí) (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2447 23 มกราคม พ.ศ. 2532) เป็นจิตรกรชาวสเปน มีชื่อเสียงจากผลงานภาพวาดแนวเหนือจริง

                    ภาพวาดเขาหลุดโลกทั้งนั้นเลยครับ

                   

                    ประวัติ

                   
                    ซาลวาดอร์ ดาลี เกิดเมื่อเวลา 8นาฬิกา 45 นาที ของวันที่ 11 พฤษภาคม 1904 ที่เมืองฟิกูรัส ประเทศสเปน โดยมีพ่อเป็นเจ้าหน้าที่รับขึ้นทะเบียนหนังสือสัญญาและพินัยกรรม เป็นบุคคลสำคัญของสังคมที่นั่นพอสมควร ชื่อซาลวาดอร์นั้นแต่เดิมตั้งให้กับพี่ชายของเขา ซึ่งตายไป 3 ปี ก่อนหน้าที่จะถึงคิวเกิดของดาลี เขากลายเป็นเด็กเพียงคนเดียวในบ้าน

                    ในหนังสือชีวประวัติชื่อ My secret life พิมพ์ในปี พ.ศ.2485 ได้กล่าวไว้ว่า"ในช่วงวัยเด็กนั้นค่อนข้างจะเป็นคนนิสัยหยิ่ง จองหอง คุยโว โอ้อวด และตอนอายุ 6ขวบ เขาอยากจะเป็นพ่อครัว เมื่ออายุ7ขวบเขาต้องการจะเป็นนโปเลียน"

                    จนกระทั่งถึงรอบมาเกิดของน้องสาวของเขา อานา มาเรีย จึงเป็นเหตุให้เด็กชาย ซาลวาดอร์ เป็นเด็กที่ถูกตามใจและได้รับอนุญาตให้ทำอะไรได้สารพัดตามที่เขาต้องการ

                    "พี่ชายของผมและตัวผม มีความคล้ายคลึงกันเหมือนกับน้ำ2หยด เพียงแต่เรามีแววสะท้อนที่แตกต่างกัน ซึ่งก็เหมือนกับผมเชียวแหละที่เขามีหน้าตาของอัจฉริยะโดยแท้ เขามีลักษณะของความฉลาดเกินอายุอย่างน่าตกใจ แต่ดูผาดๆ ของเขาถูกปกปิดด้วยความเศร้าหดหู่ใจ ซึ่งแสดงออกถึงลักษณะที่ไม่สามารถจะก้าวข้ามไปสู่ความฉลาดหลักแหลม ส่วนผมซึ่งเป็นอีกฝ่ายหนึ่งฉลาดน้อยกว่ามาก แต่สะท้อนทุกสิ่งทุกอย่าง ผมกลายเป็นต้นตำรับอันสุดยอดของความแปลกประหลาดซึ่งถ่วงความพิสดารสารพัดชนิดของมนุษย์เอาไว้ ผมฉกฉวยความพึงพอใจด้วยความไร้จุดหมาย ความกระตือรือร้นอย่างเห็นแก่ตัว และด้วยการเย้าแหย่เพียงเล็กน้อย ผมอาจกลายเป็นตัวอันตรายได้"

                    การศึกษาของเขาเริ่มต้นเมื่อปี 1914 ในโรงเรียนประจำท้องถิ่น ซึ่งตอนนั้นก็คือ โรงเรียนแห่งฟิกูรัส ภายใต้การดำเนินงานของคณะบาทหลวงแห่งมาริสท์ ออร์เดอร์ เป็นช่วงการเรียนเล็กๆน้อยๆ สมุดรายงานของโรงเรียนที่ส่งถึงผู้รับคือพ่อแม่ของเขาทำให้ต้องขวัญหนีดีฝ่อ เพราะคะแนนนั้นมันเลวร้ายมาก

                     ครั้งหนึ่งเมื่อเขาอยู่ตามลำพังกับน้องสาววัย3ขวบ เขาเตะเธออย่างแรงที่ศีรษะ ซึ่งนำมาซึ่งความสนุกสนานปลาบปลื้มแก่เขายิ่งนัก เขายังพบกับความสุขที่ไม่สามารถจะอธิบายได้กับการโผลงจากบันไดคราวละหลายๆขั้น ความเจ็บปวดดูเหมือนจะไม่มีความสำคัญ ส่วนความอภิรมย์อันแรงกล้านั้นมีอยู่ล้นเหลือ เขายังได้รับการยั่วยุให้ทำซ้ำ อีกหลายต่อหลายครั้ง โดยมิได้ไม่รู้ตัวถึงผลที่จะเกิดกับเพื่อนร่วมห้องเรียน นอกจากนี้เขายังเคยชกไวโอลินของเด็กชายคนหนึ่งจนแตกละเอียดเพียงเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าการวาดภาพนั้นเหนือกว่าการเล่นดนตรี

                    ด้วยอายุที่ไม่ทันจะเข้าเกณฑ์เรียนหนังสือ ดาลีได้แสดงออกถึงความสามารถพิเศษอันสำคัญมากต่อความเป็นศิลปินของเขา ด้วยภาพทิวทัศน์ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในยุคต้นๆ มีโปสการ์ดตามมาติดๆอีก2ภาพ อันแสดงถึงความทะเยอทะยานมากขึ้น ได้แก่ภาพ Portrait of Helen of Troy และ Josept Greeting his Brethren ซึ่งเป็นผลงานรูปแบบวรรณคดีในศตวรรษที่19 เปี๊ยบเลย ส่วนเรื่องสตูดิโอนั้น ดาลี ได้รับอนุญาตให้ใช้ห้องซักรีดห้องเก่าที่อยู่ชั้นบนสุดของบ้าน วันไหนที่อากาศร้อนเขาก็จะลากถังไม้ถังโตๆแล้วรองน้ำให้เต็ม จากนั้นก็แก้ผ้าแล้วแช่ไปพลางวาดภาพไปพลางได้เป็นชั่วโมงๆ ภาพวาดของเขาก็คือการนำฝากล่องใส่หมวกที่เอามาจากร้านขายหมวกผู้หญิงของป้ามาตอกติดผนังเต็มไปหมด รวมทั้งผลงานในสมัยเรอเนสซองซ์ที่ฉีกจากนิตยสาร ที่นี่คือที่ปลอดภัยของเขาและช่างเป็นความสันโดษที่เขาใฝ่หาเสี่ยนี่กระไร ความโดดเดี่ยวกลายเป็นความบ้าคลั่ง เมื่อเกิดเหตุการณ์อันน่าละอายหรืออึดอัดใจ เขาก็จะรีบเร่งขึ้นไปชั้นบนยังห้องซักรีดของเขา ที่นี่เขารู้สึกเหมือนมีเพียงเขาคนเดียวในโลก เขาจมอยู่ในความเพ้อฝันของเขา เล่นเป็นอัจฉริยะบุรุษด้วยความคิดที่ว่า "ถ้าคุณเล่นเป็นอัจฉริยะ คุณก็จะได้เป็นอัจฉริยะ"

                   
                   
    พ่อแม่ของดาลีทราบถึงความสามารถในทางศิลปะที่เจริญงอกงามขึ้นเรื่อยๆของลูกชายจึงส่งเขาให้ไปอยู่กับเพื่อนในชนบท รามอน พิทชอท เป็นเศรษฐีนักสะสมงานศิลปะและเป็นจิตรกรผู้มีลักษณะของงานในแบบอิมเพรสชันนิสท์ที่มีพรสวรรค์อาจจะเรียกได้ว่ามีพรสวรรค์กันทั้งครอบครัวเลยก็ว่าได้ เพราะลูกชาย 2 คนเป็นนักดนตรี ลูกสาวคนหนึ่งเป็นนักร้องโอเปร่า ส่วนอีกคนหนึ่งแต่งงานกับกวีชาวสเปนถิ่นฐานที่อยู่ของเขาเรียกกันว่า Muli de la Torre หรือ The Tower Mill ช่วงเวลาที่ดาลีอยู่กับครอบครัวนี้ ได้มีอิทธิพลสำคัญในชีวิตของเขา และเป็นทางสว่างในการเพ้อฝันเชองอิโรติคที่ปรากฎในผลงานมากมายของเขาในระยะต่อมา

                    ด้วยความช่วยเหลือของพิทชอท พ่อของดาลีจึงส่งเขาไปเรียนในชั้นเรียนศิลปะในฟิกูรัส Nunez เจ้าของโรงเรียนและเป็นครูที่ค่อนข้างจะเห็นอกเห็นใจคน มองเห็นแววศิลปินในตัวลูกศิษย์คนนี้ของเขา ต่อมาดาลีก็ได้ฟื้นฟูความรู้ในเรื่องสมัยเรอเนทซองซ์ ภาพวาดของเขาเริ่มเข้าไปกระทบความสนใจของผู้คน เริ่มมีการจัดแสดงงานในที่สาธารณะ และจัดเป็นนิทรรศการ
    ในระหว่างนั้น เขาก็เรียนต่อในระดับมัธยมที่ Marist School ถึงแม้ว่าบรรดาครูทั้งหลายจะเลิกหวังที่จะสอนสั่งเขาแล้วก็ตาม ซึ่งเขาก็เริ่มเบื่อบทเรียนแล้วเหมือนกัน เขาคอยการเวียนมาถึงของเวลาปิดเทอม เขามักจะใช้เวลาอยู่ที่หมู่บ้าน Cadaques บนริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โขดหิน และชายหาดกลายเป็นจุดที่เขานิยมชมชื่น

                    ในปี 1921 ดาลีได้เข้าเรียนในสถาบันศิลปะแห่งกรุงแมดริด การเรียนในสถาบันนี้ เป็นแบบ "ตามคำสอน" การวาดเส้นวัตถุจะต้องมีขนาดที่แน่นอน แต่ดาลไม่สนใจคำสอนเลย เขาจะวาดขนาดเล็กนิดเดียว เมื่อต้องนำมาแก้ใหม่ เขาก็วาดเสียใหญ่โตเกินไป แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาได้รับในฐานะนักเรียนก็คือความสมบูรณ์แบบ ในระยะเวลาต่อมา ดาลีเริ่มเป็นที่รู้จักและเป็นที่เรียกร้องจากเพื่อนๆร่วมสถาบัน

                      
                    
     ดาลีเคยถูกจับเข้าคุกในปี 1924 ในฐานะผู้ต้องสงสัยในการก่อการจลาจล แต่เนื่องจากพนักงานไม่สามารถหาหลักฐานมามัดตัวเขาได้ ดาลีจึงได้รับอิสระหลังจากไปกินข้าวแดงในคุกถึง1เดือน เขากลับไปเรียนต่อ แต่ไม่นานจากนั้นเขาก็ถูกเชิญให้ออกจากโรงเรียน ดาลีมิได้หยุดความเป็นศิลปินของเขไว้แค่นั้น เขาได้รับสัมผัสศิลปะอีกหลายลัทธิไม่ว่าจะเป็น ดาดา, ฟิวเจอริสม์, คิวบิสม์, พบศิลปินต่างลัทธิ เช่น Chirico, Carlo, ดาลีเดินทางไปปารีสในปี 1927 เพื่อพบ ปิคัสโซ พูดคุยสนทนาหาข้อแลกเปลี่ยนในเรื่องของ คิวบิสม์ ซึ่งดาลีกำลังศึกษางานและค่อนข้างชื่นชม

                    ดาลี ได้เปิดแสดงผลงานเดี่ยวที่ดัลมอ แกลลอรี่ กรุงบาร์เซโลนา ซึ่ง ปิกัสโซได้เดินทางมาชื่นชมด้วย ดาลีได้รับการแนะนำให้รู้จักกับ อังเดร เบรตอง เจ้าลัทธิเซอร์เรียลิสต์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1924 เซอร์เรียลิสต์ในยุคแรกๆจะกีดกันความมีเหตุมีผล และหลักทางตรรกวิทยา ด้วยความนิยมความไม่มีเหตุผล ศิลปินจะได้รับการแนะนำไม่ให้ถ่ายทอดความบันดาลใจจากความเป็นจริง ดาลีเข้ากลุ่มศิลปินเซอร์เรียลิสต์ในปี 1929 ในปารีส และในปีนั้นเองที่เขาแต่งงานกับ กาลา ในเดือนตุลาคม

                    ดาลีมีโอกาสได้จัดแสดงผลงานในต่างประเทศหลายครั้ง เขาจัดแสดงผลงานเดี่ยวที่ Zwemmer Gallery กรุงลอนดอน ในสไตล์เซอร์เรียลิสต์ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องถึงการแสดงออกทางการเมืองมากขึ้น เขาสรรเสริญฮิตเลอร์ ความเอนเอียงในความนิยมระบอบราชาธิปไตยของเขาทำให้ถูกตำหนิอย่างเป็นทางการจากกลุ่ม เขาจึงยุติการร่วมกลุ่มเซอร์เรียลิสต์ตั้งแต่บัดนั้น ในปีเดียวกันนี้คือปี 1934 เขาได้ย่างเท้าก้าวแรกลงบนแผ่นดินอเมริกา และได้วาดภาพประกอบเมืองนิวยอร์ก ลงบนหนังสือ The American Weekly

                    ถึงแม้ว่าเขาจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มเซอร์เรียลิสต์แล้วก็ตาม แต่เขายังเข้าร่วมงานนิทรรศการศิลปะเซอร์เรียลิสต์นานาชาติ ณ กรุงลอนดอน

                    ในปี 1937 ดาลีไปอิตาลี และที่นั่นเขาได้รับอิทธิพลภาพวาดในยุคเรอเนสซองซ์ และ บาโรค มาด้วย ดาลีได้กลับไปอเมริกาอีกครั้งในปี 1940 ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลก เพื่อตั้งถิ่นฐานในรัฐแคลิฟอร์เนีย และเริ่มทำชื่อเสียงในอเมริกาทันที เขาเขียนหนังสือชื่อ" ชีวิตลับของ ซาลวาดอร์ ดาลี " ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือ เดลี่ เพรส ของนิวยอร์ก ซึ่งนำมาพิมพ์รวมเล่มในปี 1961 เขาเริ่มเขียนบทความ บทภาพยนต์ ควบคู่ไปกับการวาดภาพ

                 
                  
    ดาลี เริ่มบุกรุกไปเปิดนิทรรศการครั้งใหญ่ที่กรุงโตเกียว ในปี 1964-1965 นอกจากนี้ เขายังเริ่มวาดภาพประกอบพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แต่มิใชว่าเขาไม่เคยทำงานเกี่ยวกับศาสนามาก่อน เขาเคยวาด The Madonna of Port Lligat และภาพ Christ of st.John of the Cross ในปี 1942 และ 1951 ตามลำดับ

                    พ.ศ. 2532 ดาลี ก็เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจล้มเหลว รวมอายุได้ 85 ปี

                     ถึงแม้ว่า จะไม่มี ซาลวาดอร์ ดาลี อีกต่อไป แต่ใครล่ะจะลืมความเป็นศิลปินที่ซาบซ่าสุดแสบ พลังอำนาจที่พวยพุ่งออกมาจากผลงานของเขา ไม่ต้องให้สังคมมาบีบคั้น ไม่ต้องให้ความจนมาบั่นคอ ไม่ต้องรอความพิการมากระตุ้น กระทุ้งความเป็นอัจฉริยะออกมา เพราะเขาเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิด

                    เพราะเขาคือ " ซาวาลดอร์ ดาลี Salvador Dali "


    ดูตัวอย่างภาพของเขาได้เลยครับ

     




     
    "Christ of st.John of the Cross"



    eda Atomica
    หงส์ในภาพเป็นสิ่งระลึกถึงจิตนาการบางส่วนในวัยเด็ก ซึ่งเขาเคยใช้ช้อนส้อมขูดโต๊ะจนเป็นรูปหงส์ ถือได้ว่าเป็นรูปแรกในชีวิต และผู้หญิงในภาพคือกาลา เทพีผู้เป็นแรงบรรดาลใจของกลุ่มเซอร์เรียลลิสม์



    dali voltaire



    Soft Construction with Boiled Beans - Premonition of Civil War, 1936 ถูกรังสรรขึ้นในวาระเดียวกับที่ ปิกัสโซ่เขียนภาพ guernica



    ภาพอาหารมื้อสุดท้าย


    http://www.rtgazine.com/shoutouts/viewtopic.php?t=1398

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×