ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #489 : โลกน่ากลัวของเลิฟคราฟท์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.33K
      21
      9 มิ.ย. 61

    บทความนี้จะมาพูดถึงนิยายของเลิฟคราฟท์ นักเขียนนิยายชาวอเมริกัน ที่สร้าง ตำนานคธูลู (Cthulhu Mythos) ที่กลายเป็นแรงบันดาลใจหนังสยองขวัญ และการออกแบบสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัวปัจจุบัน

    แน่นอนที่ผ่านมา มีการเล่าเรื่องของเลิฟคราฟท์ไปมากแล้ว แต่บทความนี้จะเล่าเรื่องสยองขวัญอื่นๆ ของเลิฟคราฟ์ โดยเน้นเรื่องที่มีชื่อเสียง (แต่คนไทย รวมถึงผมไม่รู้จัก) เข้าไปด้วย

    หากไปอ่านวิกิพีเดียแล้ว เราจะพบว่าตำนานคธูลูนี้โครตซับซ้อน มีทั้งเทพมารหลายระดับ ชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ แถมแต่ละตัวก็มีเรื่องราวซับซ้อนแตกต่างกัน

    แม้ว่าเนื้อหาโดยภาพรวมของเลิฟคราฟ์จะดูยิ่งใหญ่ ศัพท์แสงมาเต็มพิกัด หลายคนคงคิดว่านิยายเลิฟคราฟท์จะอ่านยาก อลังการแน่นอน คำตอบคือผิด เพราะเอาเข้าจริง นิยายดังๆ ของเลิฟคราฟท์ส่วนใหญ่เนื้อหาก็ไม่แตกต่างจากนิยายสยองขวัญปัจจุบัน ส่วนมากดำเนินเรื่องโดยเมืองเล็กๆ บ้านนอกเป็นเวทีดำเนินเรื่อง และมักใช้มนุษย์ธรรมดาเป็นตัวเล่าเรื่องราว เนื้อหาออกไปทางจิตวิทยา ให้มานั่งดูตัวละครที่เป็นมนุษย์กำลังบ้าด้วยซ้ำ

                    พวกสัตว์ประหลาดเองก็ไม่ได้ปรากฏออกมาโจ่งแจ้ง ไม่ได้มีฉากโหดเลือดสาดอะไรมากนัก เรียกได้ว่าถ้าเทียบกับหนังสยองขวัญสัตว์ประหาดปัจจุบัน เลิฟคราฟ์เป็นมิตรที่สุดแล้ว

                    แน่นอนว่าบ้านเราหานิยายเลิฟคราฟ์ยาก ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่พอจะหาอ่านได้คือมังงะ ที่เอานิยายเลิฟคราฟ์ดัดแปลงเป็นการ์ตูนญี่ปุ่น

                    เท่าที่ค้นมา นิยายเลิฟคราฟ์ ถูกดัดแปลงเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นหลายเรื่อง หลักๆ มีสองเจ้า คือ  Kousuke Miyazaki ซึ่งลายเส้นออกไปทางการ์ตูนญี่ปุ่นมากกว่า กับ Gou Tanabe ที่ลายเส้นออกไปทางเรียลๆ อารมณ์เหมือนการ์ตูนอเมริกันสมัยก่อนมากกว่า

    2009 - Cthulhu no Yobi Koe  (เสียงเรียกของคธูลู-Call of Cthulhu)      

    2010 - Innsmouth no Kage  (The Shadow over Innsmouth)

    2010 - Kyouki no Yamanami   (หุบเขาแห่งความวิปลาส-At the Mountains of Madness)     

    2011 - Dunwich no Kai   (The Dunwich Horror)

    2014 - Il mastino e altre storie   (The Hound and Other Stories)

    2015 - Il colore venuto dallo spazio  (The Colour Out of Space)

    2016 - Kyouki no Sanmyaku Nite   (หุบเขาแห่งความวิปลาส-At the Mountains of Madness)     

    2016 - L'Abitatore del Buio   (The Haunter of the Dark)

    แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ไม่มีแปลไทย อย่างไรก็ตามตอนนี้เว็บจีนแดงได้เริ่มลงการ์ตูนเลิฟคราฟ์ ผลงานของ Gou Tanabe ออกมบ้างแล้ว และเนื่องด้วยเรื่องเหล่านี้ไม่ได้คุ้นสำหรับผมนัก ดังนั้นจึงทำการไปค้นมา ว่าเรื่องนี้มีเนื้อเรื่องยังไง

     

    The Colour Out of Space (Manga)

                   

                 The Colour Out of Space  สีสันจากอวกาศ  เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ เรื่องสั่น น่ากลัว แต่งโดยเลิฟคราฟท์ เชียนเมื่อในเดือนมีนาคม 1927 ตอนแรกเรื่องนี้ไม่มีชื่อเรื่อง คนจึงมักเรียกว่า “ป่าดงดิบ” เพราะเนื้อหาเกิดในในหุบเขาทางตะวันตกของ อาร์กแฮม แมสซาชูเซตส์

                    เนื้อเรื่องของนิยาย เป็นการเล่าเรื่องในมุมมองบุคคลที่หนึ่ง โดยนักสำรวจมีชื่อจากเมืองบอสตันได้พยายามค้นหาความลับเรื่องประหลาดหนึ่ง ในเมืองชนบทแห่งหนึ่งที่อาร์กแฮม ซึ่งก่อนหน้านั้นเป็นเมืองชนบทที่ค่อนข้างแห้งแล้ง จากบางคนบอกว่าหมู่บ้านตั้งพื้นที่สาปแช่งทำอะไรก็ไม่เจริญ

                    อย่างไรก็ตาม วันหนึ่ง ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1882 เกิดมีอุกาบาตรตกมายังหน้าบ้านของตระกุลการ์ดเนอร์ ที่ประหลาดคืออุกกาบาตไม่เคยเย็นตัว แต่เริ่มหดตัว และนักวิทยาศาสตร์ท้องถิ่นก็ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นอุกาบาตประเภทใด

                    นอกจากนี้เมื่อหินอุกาบาตหดตัวลง มันจะทิ้งของเหลวที่มีสีสันออกมา แม้จะมีการเก็บคัวอย่างมาวิจัยอย่างละเอียดก็ไม่สามารถระบุได้ว่ามันคืออะไร และต่อมาอุกาบาตก็ถูกทำลายจากสายฟ้าสาด อีกทั้งตัวอย่างสีสันในถ้วยแก้วทดลองก็ถูกทำลายด้วย

                    ในฤดูต่อมา เกิดเรื่องประหลาดต่อไปอีก เมื่อพืชพรรณของการ์ดเนอร์ ที่คั้งหนึ่งแทบไม่ออกผลเลย กลับออกผลมากมาย อีกทั้งผลก็มีขนาดใหญ่ผิดปกติ เมื่อนักวิจัยกินผลไม้นั้น ปรากฏว่ามันมีรสชาติแปลกๆ ทำให้เชื่อว่าพิษจากอุกาบาตรได้ซึมลงไปใต้ดิน  แล้วพืชดูดซึมพิษเข้า

                    อย่างไรก็ตาม ครอบครัวการ์ดเนอร์ไม่ได้สนใจ พวกเขาได้กินผลผลิตนั้น ในปีต่อมาพิษของอุกาบาตก็ได้แพร่กระจายไปยังพืชพันธุ์โดยรอบ รวมไปถึงสัตว์ในท้องถิ่นก็ได้เกิดพฤติกรรมผิดปกติ ที่ร้ายกว่านั้นสมาชิกครอบครอวของการ์เนอร์ก็ผิดปกติไปด้วย ภรรยาของการ์เนอร์กลายเป็นบ้า คลั่งจนต้องจับไปขังห้องใต้หลังคา ในช่วงเวลานี้การ์ดเนอร์ค่อยๆแยกครอบครัว และไม่ค่อยติดต่อโลกภายนอกมากนัก  

                ไม่นานหลังจากที่ภรรยาของการ์ดเนอร์กลายเป็นคนบ้า  ฟาร์มของการ์ดเนอร์เริ่มเสื่อมโทรม น้ำจากบ่อน้ำไม่สามารถกินได้  ลูกชายอีกคนในบ้านก็เป็นบ้าตามแม่ด้วย จนต้องจับขังอีกห้องในห้องหลังคา ปศุสัตว์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทา และกำลังจะตาย เช่นดียวกับพืชผลเริ่มไม่ค่อยมีเนื้อ รสจืดชาติ และกินไม่ได้

                    ความเลวร้ายยังไม่จบ ลูกชายสองคนของการ์ดเนอร์ก็หายไประหว่างเดินทางเอาน้ำจากบ่อที่ปนเปื้อน เหล่าสมาชิกในบ้านเสียชีวิตในลักษณะที่แปลกประหลาด ทำให้พื้นที่ครอบครัวของการ์ดเนอร์ไม่สามารถเป็นที่อยู่อาศัยได้อีกต่อไป .ในที่สุดครอบครัวการ์ดเนอร์ก็ตายหมด โดยไม่สามารถอธิบายสาเหตุการตายได้ว่าตายเพราะเหตุใด

    ต่อมาทีมวิจัยได้มาฟาร์มต้นเหตุอีกครั้ง ที่นั้นเขาพบโครงกระดูกลูกชาย (สองคน) ที่หายไปของครอบครัวในบ่อน้ำ มันถูกกัดเซาะอย่างน่าประหลาด พร้อมกันนั้นยังพบเศษของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ หากแต่ไม่ทันที่ตรวจสอบดีจู่ๆ กลางคืนขณะที่ทีมวิจัยพักผ่อนก็มีอะไรบางอย่างพุ่งจากบ่อน้ำ คล้ายสสารที่มีสีสัน และมันก็ลุกลามกระจายไปทั่วพื้นที่ ก่อนที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ซึ่งไม่มีใครอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นแบบนี้ได้เลย

     

    Haunter of the Dark

                   

                   โกสต์ แห่งความมืด เป็นเรื่องสั้นสยองขวัญของเลิฟคราฟท์ เขียนเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1935 เ

                    เนื้อหาของเรื่องค่อนข้างเรียบง่ายๆ แต่มันเป็นการเปิดขยายจักรวาลของเลิฟคราฟท์มากกว่า โดยเรื่องราวเกิดที่พรอวิเดนซ์ รัฐโรดไอแลนด์ ได้กล่าวถึงนักเขียนหนุ่มคนหนึ่งชื่อเบลคที่สนใจเรื่องลึกลับ (ในมังงะเปิดเรื่องด้วยความฝัน เห็นเดวอน) โดยเขาเริ่มสนใจโบสถ์ร้างแห่งหนึ่งที่มองเห็นจากที่พักของเขาของเมือง เขาจึงทำการสำรวจ ภายในเขาพบว่ามีร่องรอยของกลุ่มคนประหลาด ชื่อ Church of Starry Wisdom เป็นศาสนาที่บูชาไนอาลาโธเทป (Nyarlathotep) ซึ่งชาวบ้านต่างรู้สึกรังเกียจและหวาดกลัวคนในลัทธิมาก

    เบลคได้เข้าไปในโบสถ์แล้วขึ้นไปชั้นสูงสุดที่นั้นเขาได้พบโครงกระดูกของเอ็ดวิน เอ็ม ลิลเลบริงค์ที่เป็นผู้สื่อข่าวที่หายสาบสูญไปนาน นอกจากนั้นเขายังวัตถุปริศนาโบราณที่เรียกว่า "Shining Trapezohedron " รูปร่างคล้ายๆ กับหินสีแดง ว่ากันว่ามันมีความสามารถใช้เป็นสื่อในการเรียกสิ่งที่น่ากลัวที่อยู่ส่วนลึกของเวลาและอวกาศได้ โดยศิลานั้นวางอยู่บนกล่องโลหะแปดเหลี่ยมที่มีฝาพับเปิดอยู่ กล่องนั้นมีการแกะสลักลวดลายประหลาด

                    เบลครับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากบันทึกที่ได้จากตัวนักข่าว และเขารู้ว่าการมาของเบลคได้ทำลายพิธีกรรมอะไรบางอย่างเข้า เขาจึงรีบออกจากโบสถ์โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่ตามมาคืออะไรบางอย่างที่น่ากลัว

                    หลังออกจากที่พัก เบลคได้ทำการศึกษาหนังสือนีโครโนมิคอน ที่ติดตามมาด้วย อย่างไรก็ดี ในตอนกลางคืนจู่ๆ ไฟฟ้ามรเมืองก็ได้ดับ เพราะเกิดพายุฟ้าคะนอง ชาวบ้านท้องถิ่นได้ได้เห็นและยิงเสียงน่ากลัวของสัคว์ประหลาดอยู่บนโบสถ์ร้าง  ก่อนที่จะหายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ

    เบลคได้ตระหนักว่ามันเกี่ยวข้องกับการที่เขาขัดจังหวะพิธีกรรม  เขารู้ว่าจะมีอะไรบางอย่างมาหาเขาในเร็ววันนี้แน่นอน เขาเตรียมพร้อมด้วยการเตรียมอาวุธปืน พร้อมกับการเผชิญหน้า

     เป็นไปตามที่เบลคคิด คืนวันถัดมาในเมืองก็เกิดฟ้าคะนองอีก มีอะไรบางอย่างกำลังจะมา เขาได้แต่เขียนบันทึกที่เกิดขึ้น และเขาก็.....

    วันต่อมามีคนพบศพของในสภาพกำลังเขียนบันทึกที่โต๊ะทำงาน ใบหน้าหวาดกลัวสุดขีด ดวงตาจ้องมองหน้าต่างที่เห็นโบสถ์ชัดจน และบันทึกที่เขียนค้างเอาไว้  โดยเขียนคำพูดสุดท้ายของเขาว่า “ฉันเห็นมัน – มันมาที่นี่ – ลมหายใจแห่งนรก – ใหญ่โต - เบลอ - ปีกสีดำ – ยอธ โซ ธ อทช่วยผมด้วย – ดวงตาสามสามกลีบที่ลุกไหม้ ... " (บรรยายถึงคธูลู?)


    The Shadow Out of Time

    เงาของเวลา เป็นนิยายเรื่องสั้นของเลิฟคราฟท์ แต่งขึ้นระหว่าง1934-1935 ซึ่งเป็นเรื่องราวของมหาเผ่าพันธุ์แห่งยิธ (Great Race of Yith) หรือมนุษย์ต่างดาวของเลิฟคราฟท์นั้นเอง

    เรื่องราวเล่าผ่านประสบการณ์ของ นาธาเนียล พีส์ลี ชาวอเมริกัน  เป็นศาสตราจารย์สอนเรื่องการเมืองในมหาลัย ตอนแรกๆ เขาก็ปกติดี จนกระทั่งในช่วง 1908 ถึง 1913  จู่ๆ เขาก็วูบแบบไม่รู้ตัวบ่อยครั้ง  ก่อนที่มารู้ที่หลังว่ามันไม่ใช่การวูบธรรมดา แต่เป็นจิตออกจากร่าง

    ทุกครั้งที่วูบ  หรือนอนหลับ เขามักไปสถานที่ต่างๆ บนโลก พร้อมกันนั้นเมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ก็พบว่าเขากำลังจะสูญเสียความคิดของตนเอง และนานวันฝันยิ่งแปลกขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มฝันเห็นต่างโลก โลกที่มีทิวทัศน์แปลกๆ  เหมือนกับว่าเป็นโลกอื่น และเขาก็ได้พบมนุษย์ต่างดาวยิธ

    แม้ว่ารูปร่างจะประหลาด แต่มนุษย์ต่างดาวยิธเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีวิทยาการอันก้าวหน้ามาก แต่คุณสมบัติสำคัญที่สุดของยิธก็คือพลังในการสลับจิตกับสิ่งมีชีวิตอื่นโดยมักจะสลับจิตกับมนุษย์ในปัจจุบันเพื่อเรียนรู้เรื่องราวต่างๆของมนุษย์ ซึ่งจิตของมนุษย์ได้มายังดาวของยิธ ซึ่งยิธเองก็ยินดีที่จะให้มนุษย์เข้าชม แลกกับการสอบถามสิ่งต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูล

    ศาสตราจารย์ได้เห็นสิ่งต่างๆ ของยิธ หากแต่เมื่อเขากลับเข้าร่าง ความทรงจำที่มีมาจะหายไปเกือบหมด แม้ว่าเขาพยายามเล่าให้คนรอข้างฟัง คนรอบข้างได้ตัดสินเขาว่าเป็นคนวิกลจริตเพราะเวลาที่เขานอนหลับสภาพเหมือนคนถูกผีเข้ามากกว่า

    ต่อมาศาสตราจารย์ก็ได้ข้อมูลว่ายิธนั้นสามารถสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในยุคสมัยอื่นได้ อีกทั้งครั้งหนึ่งพวกมันเคยมายังโลก สร้างอารยธรรมขึ้นมาก หากแต่ต่อมาต้องต่อสู้กับมนุษย์ต่างดาวอีกกลุ่มซึ่งเรียกว่าฟลายอิงโพลีป(Flying Polyp - ติ่งเนื้อบินได้) ซึ่งในที่สุดแล้วอารยธรรมของมหาเผ่าพันธุ์แห่งยิธก็ถูกฟลายอิงโพลีปทำลายล้างไปจนหมด เหลือเพียงซากอารยธรรมที่ซ่อนอยู่ในสถานที่มนุษย์ไปไม่ถึงเท่นั้น

    นานวันความฝันของเขายาวขึ้นและมีรายละเอียดมากขึ้น ขณะเดียวกัน ศาสตราจารย์ก็กลายเป็นคนแปลกหน้าของครอบครัวโดยสมบูรณ์ และเพื่อนก็หนีหาย สิ่งเดียวที่จะพิสูจน์เรื่องที่เขาเล่าเป็นเรื่องจริงคือการตามอารยธรรมโบราณอายยุนับล้านปี ยุคที่มนุษย์ไม่ถือกำเนิดด้วยซ้ำ มันซ่อนอยู่ในสถานที่คนไปไม่ถึง


                 The Hound and Other Stories

    ตัวอย่างสุดท้ายของ Gou Tanabe  ซึ่งเป็นมังงะรวมเรื่องสั้นเรื่องแรกของเลิฟ ประกอบด้วย "The Hound" "The Temple" และ "The Nameless City"

    The Hound เป็นเรื่องสั้นของเลิฟคราฟท์ เขียนระหว่างเดือนกันยายน  1922 ความพิเศษของเรื่องนี้คือ เป็นเรื่องแรกที่มีการกล่าวถึงตำราเวทย์นีโครโนมิคอน (Necronomicon)  

                    เนื้อเรื่องได้กล่าวถึงชายคนหนึ่ง เขาเป็นโจรขโมยสุสาน ที่เขากับเพื่อนมักไปหาหลุมศพของคนตายที่น่าสนใจ เพื่อทำการขุดแล้วขโมยของมีค่าจากโลงเหล่านั้น และนำของมีค่านำมาเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวที่ชั้นใต้ดินของบ้าน

                    อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งเขาได้ข่าวว่ามีหลุมฝังศพที่น่าสนใจ เป็นศพเก่าแก่ในสุสานฮอลแลนด์ พวกเขาเชื่อว่ามีของมีค่าอยู่ในนั้น พวกเขาจึงเดินทางไปยังสุสารเก่า แล้วทำการขุดออกมา ก็พบว่าโลงศพเก่าแก่ตามที่ข่าวลือบอกเอาไว้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเปิดโรงดูก็พบว่าน่าประหลาดใจ แม้ว่ามันจะผ่านไปหลายศตวรรษซากศพยังคงมีภาพดีเหมือนตายมาใหม่ๆ และโครงกระดูกมีสภาพเหมือนฉีกขาดราวกับมีสัตว์ขนาดใหญ่มาขย้ำ และที่คอโครงกระดูกยังมีหินหยกก้อนใหญ่ห้อยอยู่ พวกเขาจึงฉกหินหยกนั้นติดมือกลับบ้านด้วย

    เมื่อมาถึงบ้านชายคนนั้นพยายามศึกษาหินหยก ก็พบว่าหินหยกนั้นเป็นเครื่องรางใช้เรียกสัตว์ประหลาดหมา แต่เพื่อนของเขาไม่ได้สนใจนัก

                    และในคืนนั้นเอง พวกเขาก็พบเรื่องแปลกๆ เมื่อเขาได้ยินเสียงสุนัขหอน ต่อมาเพื่อนของเขาออกไปข้างนอกแล้วถูกฆ่าในสภาพเหมือนโดนสัตว์ป่าขย้ำ ด้วยความกลัวชายคนนั้นได้ทำลายพิพิธภัณฑ์ส่วนตัว และออกจากบ้าน ต่อมาเขาได้ตัดสินใจจะเอาเครื่องรางเอาไปคืนเจ้าของคนเดิม หากแต่พบว่าเครื่องรางหายไป วันรุ่งจุ้นเขาอ่านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นพบว่ากลุ่มโจรที่เชื่อว่าปล้นบ้านของเขาถูกฆ่าโดยสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จัก ด้วยความกลัวสุดขีดเขาไปที่สุสาน ขุดโลงศพอีกครั้ง ก็พบโครงกระดูกเก่าแก่ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเลือด  มีเนื้อหนังกลับมาบางส่วน พร้อมกับถือเครื่องรางที่หายไปอยู่ในมือ ทันใดนั้นโครงกระดูกก็เริ่มหอนเสียงสุนัขแบบที่เขาได้ยินเมื่อคืนก่อน  มันทำให้เขาตกใจและหนีไปจากที่นั้น

    ชายคนนั้นได้เขียนบันทึกเล่าเรื่องทั้งหมด ก่อนที่จะใช้ปืนพกฆ่าตัวตาย โดยบันทึกเขียนว่า ที่ความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดจากการหนีสิ่งที่สยดสยองที่กำลังมาหาเขาในไม่ช้า


    The Temple เป็นเรื่องสั้นของเลิฟคราฟท์แต่งขึ้นในปี 1920 เริ่มต้นด้วยการพบบันทึกที่เขียนด้วยกัปตัน  Altberg เป็นกัปตันเรือดำน้ำของกองทัพเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยบันทึกเขียนว่าหากคุณอ่านบันทึกนี้ แสดงว่าเขาไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว  จึงได้เขียนบันทึกนี้เอาไว้เพื่อเล่าเรื่องที่เขาได้พบเหตุการณ์ที่น่าสยดสยอง

    ใน มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เรือกำน้ำของกัปตันได้ทำการจม เรือบรรทุกสินค้าของอังกฤษ หลังจากที่เรือบรรทุกจมส่งท้องทะเล ลูกเรืออังกฤษที่เหลือน้อยนิดได้ลงเรือชูชีพหนีออกมาได้ แต่กัปตันเรือดำน้ำเยอรมันได้สั่งลูกเรือใช้ปืนกลยิงลูกเรือชูชีพจนหมด ก่อนที่จะดำเรือสู่ท้องทะเล

    หลังจากที่เรือสู่พื้นผิวพบว่ามีศพลูกเรืออังกฤษที่จับราวเรือดำน้ำของเขาไว้แน่น ขณะที่กัปตันพยายามเอาศพออกนั้น เขาก็พบว่าในมือศพมีรูปแกะสลักแปลกๆ เหมือนหัวของมนุษย์อยู่ กัปตันรู้สึกสนใจจึงนำมาเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกก่อนที่จะดำเรืออีกรอบ

    หลังจากนั้นไม่นานจะมีปรากฏการณ์แปลก ๆ  เกิดขึ้นบนเรือดำน้ำเยอรมัน เมื่อลูกเรือหลายคนต้องทรมานกับฝันร้ายติดต่อกัน พวกเขาได้อ้างว่าเห็นคนตายจากเรือเดินสมุทรมาหลอกหลอนพวกเขา หลังจากนั้นลูกเรือก็มีท่าทีแปลกไป พวกเขาเกิดอาการคลั่ง ไม่ทำตามคำสั่ง ไม่มีระเบียบวินัย อีกทั้งยังทำลายเครื่องยนต์ จนในที่สุดกัปตันเรือตัดสินใจฆ่าลูกเรือบางส่วนเพื่อให้เรือกลับมาควบคุมได้

     อย่างไรก็ตาม เรื่องก็เลวร้ายมากขึ้น ลูกเรือที่เรือก็ยังคลั่งอีกแบบไม่ทราบสาเหตุ ในที่สุดกัปตันเรือก็สังหารลูกเรือจนหมด ส่วนเรือดำน้ำไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ต้องแต่ปล่อยให้เรืออยู่ในท้องทะเล และปล่อยให้มันเคลื่อนที่อย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งวันต่อมา เขาก็พบว่าเรือดำน้ำได้พื้นที่แปลกประหลาดเข้า มันเป็นซากเมืองโบราณปรักหักพัง ของ แอตแลนติส   ด้วยความน่าสนใจ เขาจึงสวมชุดดำน้ำเพื่อสำเร็จใกล้ๆ แล้วพบว่ายิ่งเข้าใกล้ ยิ่งพบว่าเมืองโบราณนี้งดงามมาก และประหลาดกว่านั้นรูปปั้นในของเมืองก็เหมือนกับรูปแกะสลักที่เขาได้จากศพทหารอังกฤษไม่มีผิด (เชื่อว่ารูปแกะสลักของกัปตันอาจสื่อให้เรือดำน้ำมายังสถานที่แห่งนี้ก็เป็นไปได้)

    สุดท้ายเขาได้ยอมรนับยอมรับว่า แม้เยอรมันจะทรงพลัง แต่มันก็ไม่ถึงครึ่งกับความยิ่งใหญ่ของโบราณสถานนี้ได้ ในที่สุดเขาก็เริ่มมีอาการประสาทหลอน และเกิดบ้าคลั่ง ก่อนที่ทุกอย่างจะหายไปในความมืดมิด ก่อนที่ข้อความและบันทึกของเขาจะพบในขวดลอบหน้าในท้ายหลัง



    และสุดท้ายคือเรื่อง The Nameless City ซึ่งเป็นเรื่องสั้นที่เลิฟคราฟท์แต่งเอาไว้ในปี 1921เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่กำลังเดินทางข้ามทะเลทรายในคาบสมุทรอาหรับ หากแต่ระหว่างทางเขาได้ ค้นพบถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง  และเมื่อเขาเข้าไปก็พบว่าถ้ำแห่งนี้แท้จริงเป็นที่ซ่อนของเมืองลึกลับปรักหักพังที่ยังไม่มีใครสำรวจมาก่อน เมืองแห่งนี้มีวิหารใหญ่ และดูเก่าแก่กว่าอารยธรรมของมนุษย์ที่เรารู้จักเสียอีก และเมื่อเขาเข้าไปลึกมากๆ ก็พบความจริงที่น่าพิศวงว่าเมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อบูชาสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ที่เหมือนจระเข้ ซึ่งมีทั้งภาพแกะสลักบนผนัง และสุสานที่บูชาพวกมันราวกับพระเจ้า และในขณะเดียวกันเขาก็พบกับพวกมันด้วย....


     


    ทั้งหมดนี้คือเรื่องคราวๆ เกี่ยวกับการ์ตูนของ Gou Tanabe ที่ดัดแปลงนิยายของเลิฟคราฟท์หลายเรื่อง จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับ. Junji Ito's slimy Uzumaki ไปจนถึงการ์ตูนล้อเลียนอย่าง  Haiyore! Nyaruko-san อย่างไรก็ตามรายละเอียดผมเล่านั้น อาจจะผิดพลาดไปบ้าง เพราะตัวการ์ตูนนั้นมีบางฉากที่ไม่ได้มีในนิยาย หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้


                    สำหรับการ์ตูนของ  Gou Tanabe ก็ยอมรับว่านำเรื่องของเลิฟคราฟท์มาดัดแปลงเป็นการ์ตูนได้ดีระดับหนึ่ง โดยการวาดออกไปทางแสงสี บรรยากาศออกไปทางมืด หรือหนัก ทำให้ด๔แล้วน่ากลัว เหมือนบรรยากาศสยองขวัญแบบอเมริกัน อย่าง โลกใต้ทะเลลึกลับ("The Temple") และ นักโบราณคดีสำรวจทะเลทราย ("The Nameless City")  ว่าอะไรจะโผล่มาจากมุมมืดกันแน่  ส่วนรายละเอียดไม่ว่าจะเป็นฉาก การเคลื่อนไหวตัวละครที่มุมกล้องแปลกๆ อย่างในฉาก The Nameless City ที่นักสำรวจทำเดินเข้าไปในถ้ำ และนำเสนอให้แสดงเห็นว่าเขาเดินทางลึกเข้าไปเรื่อยๆ ทางเข้าก็แคบลงเรื่อยๆ และน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ 

    แต่ Gou Tanabe พยายามทำตามต้นฉบับเลิฟคราฟท์มากเกินไป ทำให้มีอะไรหลายอย่างดูแข็ง  ไม่ต่อเนื่องบ้าง และลายเส้นที่หลายคนดูแล้วไม่อยากจะตามเลย.... (เพราะไม่โมเอะ) อันนี้ต้องเข้าใจว่าตัวเอกก็เน้นผู้ใหญ่วัยกลางคนมากกว่า

    อีกทั้ง ในแง่การเปรียบเทียบกับแนวสยองขวัญปัจจุบันแล้วเลิฟคราฟท์อาจไม่มีพลังพอทำให้คนกลัวได้ เพราะสมัยนี้แนวสยองขวัญที่หลายคนชาชนแล้วก็คือ การฆ่า โหด เลือดสาด การนำเสนอที่แหวก หักมุม แต่พลังเลิฟคราฟท์ไม่ได้เน้นเรื่องพวกนี้ ไมไม่ได้หวือหวา ไม่ค่อยหักมุม เนื้อเรื่องเดาทางได้ แม้แต่ตัวสัตว์ประหลาดเอง เอาเข้าจริง เราแทบไม่เห็นตัวมันแบบเต็มๆ ตัวจะๆ ตา เลยด้วยซ้ำ บางเรื่องโผล่มาแค่เสียง บางเรื่องโผล่มาแค่ตา บางเรื่องไม่มีชื่อ หรือรายละเอียดแต่อย่างใด


    อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือ มันเป็นแรงบันดาลใจเกี่ยวกับการสร้างสัตว์ประหลาดที่น่าขนลุก น่าเกลียดน่ากลัวจากต่างดาวในเวลาต่อมา






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×