ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #349 : รีวิว Anime Summer 2015 สิ้นสุดการรอคอย อนิเมะญี่ปุ่นยังไม่สิ้นหวัง (มั้ง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.13K
      0
      20 ก.ค. 58

    รีวิว Anime Summer 2015 ตั้งกระทู้ครับ ที่

    http://www.dek-d.com/board/view/3530575/

     

     

    สวัสดีครับ กลับมาอีกครั้งกับการรีวิวอนิเมะ Anime Summer 2015 หากการรีวินี้ไม่ตรงใจคนอื่นๆ หรือริวิวโครตอวยไส้แตกเวอร์ก็ขออภัยด้วย เพราะคนรีวิวมันพวกคิโม่ยฮาเร็มครับ

    สำหรับอนิเมะซีซั่นนี้ ขึ้นชื่อว่าฤดูร้อน อนิเมะญี่ปุ่นจะดีที่สุดในช่วงนี้ครับ และมันก็ไม่ผิดหวังครับ เมื่อมีอนิเมะหลายเรื่องที่ผมตาม (แต่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีอนิเมะออริจินอลที่ผมสนใจสักเท่าไหร่) และทำออกมาแบบไม่ผิดหวัง  แถมมีหลายแนวอีกต่างหาก ฮาเร็มก็มี แฟนตาซีก็มี โมเอะก็ยอดเยี่ยม หลายรสหลากอารมณ์ครับ

    เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมก็ขอรีวิวอนิเมะเท่าที่จะดูได้เอาไว้แล้ว (เอาเฉพาะเรื่องที่ผมติดตามจริงๆ) ส่วนหลายเรื่องที่ไม่ได้ดู ก็ขออภัยด้วยครับ คือมันไม่เหมาะกับผมจริงๆ แหละ ทำใจดูจนจบไม่ค่อยได้

     

    Gakkou Gurashi

    Gakkou Gurashi! เป็นอนิเมะแนวชีวิตประจำวันในโรงเรียน (School-Live!) ที่สร้างจากมังงะของ GakkouGurashiเป็นผลงานKaihou Norimitsu(Author) และ Sadoru Chiba (Artist) เป็นเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนสาว 4 คน ยูกิ, คุรุมิ, ริอิ และรุ่นน้อง ที่อาศัยอยู่ในโรงเรียนท่ามกลางซอมบี้กินเนื้อคน และโลกหายนะ (อนิเมะชื่อไทยว่า “โรงเรียนของเราน่าอยู่” มังงะมีลิขสิทธิ์โดยสยาม)

    Gakkou Gurashi! เป็นอนิเมะหลอกลวงประจำปี 2015 สำหรับใครที่ไม่เคยอ่านมังงะมาก่อน จ้างให้ก็เดาไม่ออกว่าเป็นแนวดราม่า หดหู่ (ไม่ถึงขั้นปวดตับหรอก) คือมันโครตหลอกลวงผู้บริโภคจริงๆ ครับ คือ ไม่ว่าจะเป็น PV ก็ดูเหมือนการ์ตูนโมเอะชีวิตประจำวันทั่วๆ ไป  เพลงเปิด เพลงปิดก็แนวโมเอะ (ขนาดตัวอย่างตอนต่อไปยังมุ้งมิงเลยคิดดู)

    สำหรับตอนแรกๆ ดำเนินเรื่องเหมือนแนวโมเอะชีวิตประจำวันเหมือนเรื่องอื่นๆ สาวผมชมพูผู้ร่าเริง ทำอะไรก็โกะๆ ไล่จับน้องหมากับลูกน้อง ตัวละครโมเอะ ภาพสีสันสดใส เชื่อว่าใครบางคนที่ดูตอนแรกๆ ก็ดูน่าเบื่อ อะไรว่ะ ก็แนวโมเอะธรรมดา ตัวละครมุ้งมิงกัน เรื่องไหนๆ ก็มี

    แต่พอเฉลยตอนท้ายเท่านั้นแหละน่า......... น่าติดตามทันใด

    การ์ตูนเรื่องนี้เข้าทำนอง “ยิ้มไว้โลกไม่สิ้นหวัง” ที่พวกเธอก็สามารถยิ้มได้ แม้โลกจะหายนะ สิ้นหวัง ก็ตาม แม้บางคนจะดูเป็นการหนีโลกแห่งความจริง แต่อย่างลืมนะครับว่าพวกเธอเป็นเด็กผู้หญิง หากเป็นคนธรรมดาคงรับสภาพไม่ได้ด้วยซ้ำ บางคนฆ่าตัวตาย บางคนกลายเป็นบ้า แต่สำหรับพวกเธอพยายามมีชีวิตอยู่  ตั้งตัวก่อนก็ยังไม่สายครับ ดีกว่าไปตายดาบหน้า หากเมื่อพวกเธอจัดระเบียบความคิด หาเป้าหมายที่ชัดเจนเรียบร้อยแล้ว จะไปผจญโลกกว้างที่โหดร้าย มันก็ไม่สายเกินไปครับ

    อารมณ์ของการ์ตูนอาจดูแล้วหดหู่ ดราม่า (แต่ไม่ถึงขั้นปวดตับ) โดยเฉพาะฉากปิดหน้าต่าง ทำได้อารมณ์ปวดใจซะเหลือเกิน  แต่ในขณะเดียวกันการ์ตูนยังนำเสนอถึงความหวังของเหล่าเด็กสาว รวมไปถึงการนำเสนอเรื่องมิตรภาพ ความรัก การเห็นอกเห็นใจ การช่วยเหลือกันและกัน ที่เป็นสิ่งที่การ์ตูนโมเอะมีอยู่แล้ว จนคนดูอยากเอาใจช่วยพวกเธอ  ปกติการ์ตูนญี่ปุ่นเขาไม่ทำแนวๆ นี้หรอกครับ มีแต่หนีซอมบี้ ยิงซอมบี้ มีฉากเซอร์วิสนมเด้งไปเด้งมา (นมสู้ซอมบี้) แต่ไม่ค่อยนำเสนอเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่

    ที่น่าสนใจคือ ตัวอนิเมะ ใส่ความเป็นออริจินอลที่ไม่มีในต้นฉบับด้วย ไม่ว่าจะเป็นน้องหมาที่ไม่มีในมังงะ, รุ่นน้องออกมาตอนแรก (ซึ่งความจริงแล้วรุ่นน้องต้องออกมาตอนหลังนะ แต่คาดว่าตัวอนิเมะคงเล่าย้อนเจอรุ่นน้องครั้งแรกแน่นอน) ไปจนถึงเพื่อนร่วมห้องของหนูหลอน (ที่เชื่อว่าเป็นซอมบี้กินไปแล้ว) ซึ่งจะมีบทบาทยังไงนั้นก็น่าติดตามครับ (ส่วนเนื้อหา ผมว่าคงไม่ออริจินอลจนน่าเกลียดครับ)

    เรียกได้ว่าเป็นอนิเมะดีเกินคาดครับ ขนาดผมอ่านมังงะมาแล้ว แต่ก็น่าดูอยู่ดี มันสนุกตรงที่หลอกคนว่าเป็นแนวโมเอะชีวีตประจำวันธรรมดา ดูน่าเบื่อ ก่อนที่จะเฉลยตอนท้ายว่าโลกอันแสนสงบสุขนี้เป็นเพียงการหลอนของหนูหลอนเท่านั้น และตอนนี้โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว มันเป็นอะไรที่หยองจริงๆ

    แนะนำคนที่ไม่เคยอ่านมังงะ อย่าอ่านสปอยนะครับ ไม่งั้นเซ็ง และระวังโทรล์ด้วย

    (ไม่รู้ว่าในอนิเมะจะพูดผีดิบเดินได้ว่า “ซอมบี้” หรือเปล่า เพราะว่าคำว่าซอมบี้เป็นลิขสิทธิ์ของมาร์เวล ทำให้เรื่องไหนที่เป็นแนวซอมบี้กัดคนห้ามเรียก “ซอมบี้” อย่างวอกกิ้ง เดด เรียก “วอกเกอร์” (ผีดิบ”, นมสู้ซอมบี้เรียก “มัน” แทน)

     

    Non Non Biyori

    Non Non Biyori กล่าวถึงตัวละครหลักหญิง 4 คน กล่าวถึงชีวิตของ ฮาโตรุ สาวประถม 5 ที่ดูโตเกินวัย เพิ่งย้ายจากเมืองโตเกียว มายังชีวิตในชนบทแบบนี้ พร้อมเพื่อนร่วมโรงเรียนชั้น ที่เป็นรุ่นพี่มัธยม อย่าง นัตสึมิ, โคมาริ และเด็กประถม เร็นเงะ ที่เรียนในชั้นเรียนเดียวกันในย่านชนบท เรื่องราวจะกล่าวถึงสภาพแวดล้อมหลายๆ อย่างในเขตนอกเมือง

                Non Non Biyori ถือว่าเป็นอนิเมะม้ามืดของค่ายสตูดิโอ Silver Link. (Baka to Test, Strike the Blood) โดยแท้ครับ ทั้งๆ ที่เป็นอนิเมะจากมังงะ เนื้อหาก็แทบไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นเลย ไม่ได้อยู่ในโลกแฟนตาซี ไม่ได้มีไททันมรุกราน ไม่ได้อยู่ดาวอังคาร ทั้งเรื่องอยู่ในชนบทที่เต็มไปด้วยทุ่งนา ภูเขา พร้อมกับเสียงดนตรีเบาๆ ชวนง่วง ตัวละครก็มีไม่กี่คน

    “แนวขายโมเอะ” ใช่ครับนี่คือสิ่งแรกที่หลายคนคิดเรื่องนี้ครับ คือว่าเป็นแนวขายโมเอะ แต่กลายเป็นว่าเอาเข้าจริง มันมีมากกว่าแนวโมเอะครับ โอเคเรื่องตัวละครเรื่องนี้มีแต่สาวๆ และเป็นเรื่องชีวิตประจำวันนั้นก็ถูกส่วนหนึ่ง แต่ประเด็นสำคัญที่การ์ตูนเรื่องนี้สื่อคือ “การรักบ้านเกิด” และ “รักชีวิตชนบท” ครับ

     และนั้นทำให้เรื่องนี้กลับประสบความสำเร็จทั้งเสียงวิจารณ์และยอดขายเป็นอย่างมาก แม้เนื้อหาไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นแปลกใหม่ เน้นหาเน้นชนบท เด็กบ้านนอกก็จริง กลับกันเนื้อหาเหล่านี้มันหายากในการ์ตูนสมัยนี้ครับ สมัยนี้อนิเมะก็มีแต่ แนวโมเอะก็มีแต่พวกชีวิตเด็กมัธยมปลาย, โรงเรียนแฟนตาซีต่อสู้กัน, เลือดสาดอย่างเห็นฉากข่มขืน (ทำไมพวกเอ็งไม่ไปดูมืดว่ะ)

                Non Non Biyori เป็นการ์ตูนที่ตอบโจทย์ “การ์ตูนพักใจ” นะผมว่า คือเราดูอนิเมะตื่นเต้น ดราม่า อะไรมากมายแล้ว มาพักหายใจ พักใจกับอนิเมะสงบสุขแบบนี้ดีกว่า เชื่อเถอะว่าดูจิตใจสงบ โลกน่าอยู่เยอะเยอะ อีกทั้งได้ดูตัวละครสาวๆ  ต่างวัยใช้ชีวิตประจำวันที่แสนจะเรียบง่าย ไร้มลพิษ  อบอุ่น น่ารัก ชวนให้หมีตื่นโดยแท้

                อย่างไรก็ตาม การ์ตูนเรื่องนี้ไม่เหมาะสำหรับคนหวังความตื่นเต้นครับ เพราะมันช่วงง่วงมากสำหรับใครบางคน ดำเนินเรื่องแบบเนิ่บๆ ช้าๆ ดนตรีเบาๆ ตลกนิดหน่อย เป็นจุดเด่นของการ์ตูนเรื่องนี้ แต่ถ้าใครชิน ดูไปเรื่อยๆ ก็จะเกิดความชอบการ์ตูนเรื่องนี้ไม่มากก็ไม่น้อย

    สำหรับภาคสองไม่จำเป็นต้องมากความครับ เพราะภาพยังสวย ดนตรี บรรยากาศยังคงสื่อถึงบ้านนอกแสนสงบสุขเช่นเดิม  และตัวละครยังคงมีชีวิตชีวา (ดูแล้วน่ารัก หมีตื่น) แทบไม่แตกต่างจากภาคแรกเลย ส่วนจะประสบความสำเร็จมากกว่าภาคแรกหรือไม่นั้น ก็ติดตามต่อไป

     

    OverLord


               OverLord  เป็นอนิเมะผลงานจากนิยายเน็ตของ Maruyama Kugane ของสตูดิโอ Madhouse  เป็นเรื่องตัวเอกพนักงานกินเงินเดือน ใช้ชื่อในตัวละคร ในเกมโลกเสมือน โมมอนกะ(กระรอกบิน) จอมเวทย์โครงกระดูกผู้เก่งกาจระดับต้นๆ ของเกม yggdrasil (ที่เคยเป็นสุดยอดเกมชั้นแนวหน้าDMMO-RPG) หัวหน้าผู้ดูแลกิลด์ Ainz Ooal Gown และแล้ววันหนึ่งวันที่เกมได้ปิดตัวลง มอมอกะ ตัดสินใจที่อยู่เฝ้าจนถึงวินาทีสุดท้ายของวันทำการ ทว่าเวลาได้เลยผ่านกำหนดการปิด มอมอกะ ไม่สามารถทำการออกจากเกมได้ และเริ่มค้นพบว่า NPC ในกิลด์ต่างพูดได้ ตอบสนองได้ และยังค้นพบกับความจริงว่าโลกที่เขาอยู่ นอกเหนือจากสถานที่ตั้งกิลด์นาซาลิกซ์นั้น ณโลกใบนี้ ไม่ใช่ เกม yggdrasil อีกต่อไป แต่เป็นโลกใบใหม่ทั้งใบ

    ถ้าถามว่าเรื่องไหนที่ผมรอคอยมากๆ ก็คือเรื่องนี้แหละครับ ระดับแม็กซ์ที่เดียว สาเหตุเพราะจะได้เห็นอนิเมะพระเอกเทพตบเกรียนกากเดนแล้วคราวนี้ และเป็นเรื่องที่คนที่จะแต่งแนวเกิดใหม่ในต่างโลกสมควรอ่านครับ

    เรื่องนี้ผมตามตั้งแต่นิยาย (แปลในเว็บตรุกี) และมังงะ (ไม่อ่านสปอยเดี๋ยวเสียอารมณ์) คือมันเป็นนิยายเน็ตที่แปลกนะครับ ปกตินิยายเน็ตเกิดใหม่ในต่างโลกพล็อตจะซ้ำๆ กันจนน่าเบื่อ ออนไลน์ก็เกมยอดนิยม แต่มาคราวนี้เนื้อเรื่องเป็นเกมออนไลน์ที่กำลังปิดตัวลง กับคนที่ไม่ยอมออกจากเกม ซึ่งก็เข้าใจความรู้สึกของพระเอกนะ มันเหมือนผมเลย เล่นเกมออนไลน์ สนุกสนานกับผู้เล่นคนอื่น เลเวลเต็มก็ยังเล่น ยิ่งเป็นหัวหน้ากิลด์ก็ต้องรับผิดชอบ แม้เกมจะเริ่มหมดความนิยมก็เล่นต่อไป จนวันหนึ่งเกมปิดตัวลงมันก็รู้สึกฝันสลาย ต้องจากเกมที่อุตส่าห์เติมเงิน เก็บเลเวล เก็บไอเท็มไป เป็นใครก็ใจหายครับ

    นอกจากนี้ ตัวเกมยังนำเสนอเกิดใหม่ในต่างโลกได้อย่างโดนใจผม นิยายหลายเรื่องเวลาพระเอกเกิดใหม่ในต่างโลกก็เอาแต่มุ้งมิ้ง แต่เรื่องนี้พระเอกมีเป้าหมายเลยคือจะครองโลก ไม่ได้มามุ้งมิง และเวลาทำอะไรก็จะทุ่มสุดตัวครับ แจกแจงหรน้าที่ลูกน้อง และตัวเอกก็ทำภารกิจด้วย  แน่นอนว่าหลายคนตกใจว่าพระเอกนั้นเป็นกระโหลกใช่เปล่าว่ะ ตอบว่าใช่ครับ นั้นแหละพระเอก

    และที่แปลกคือคราวนี้พระเอก (ส่วนตัวผมชอบเสียงพากย์นายกระรอกนะ สลับเสียงแบบคนธรรมดา กับเสียงตัวโฉด เพื่อให้ดูว่าแม้หน้าโหด แต่จิตใจก็ยังคงเป็นคนธรรมดาอยู่ดี)

    ส่วนเรื่องนี้ดาร์กหรือไม่ ส่วนตัวผม ไม่ถึงขั้นดาร์กเวอร์ขนาดนั้น (แม้ภาพประกอบนิยายดูดาร์กๆ ก็เถอะ) มันให้อารมณ์แฟนตาซีในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ไม่ได้สดใส แต่มันจริงจัง อะไรมากกว่า

    พระเอกก็ไม่ได้ชั่วเกินร้อยครับ (จอมมารแสงนี้ชั่วกว่านี้เยอะ) แต่ให้อารมณ์แบบมนุษย์ธรรมดา ที่แม้ว่าร่างกายและจิตใจจะไม่ใช่มนุษย์แล้วก็ตาม แต่ในใจก็ยังหลงเหลือจิตใจของมนุษย์ ใครทำดีก็ดีตอบ ใครมาร้ายก็ตบจนดิ้น เห็นคนเดือดร้อนก็ช่วย รักลูกน้อง ผมว่านายกระรอกก็เป็นคนดีคนหนึ่งครับ

    ทางด้านตัวอนิเมะนั้น เอาตามความรู้สึกส่วนตัวนะ ผมคิดว่าน่าจะอลังการสวยกว่านี้นิดหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม โดยรวมถือว่าน่าพอใจนะ มุมกล้อง ฉากพระเอกนั่งบังลังก์อลังการแบบจอมมารดี ตัวละครอัลบัลโด้ตอนแรกก็แปลกตากว่ามังงะพอสมควรแต่เห็นหลายคนบอกว่าชอบตอนหน้าฟินๆ เลยให้ผ่าน (ภาคสอง ทำหน้าโฉดแข่งกับยัยโลลิต้าก็ฮ่ามิใช่น้อย) ก็ให้ผ่านละกัน และการดำเนินเรื่องถือว่าทำได้ดี เข้าใจ แม้บางคนไม่เคยอ่านนิยายมาก็ได้

    สำหรับใครอวยใครนางเอก (แต่ผมชอบน้องต่าย) จำให้ขึ้นใจว่า กระดูกไม่มีไอ้นั่นนะครับ

     

    Monster Musume no Iru Nichijou


                Monster Musume no Iru Nichijou หรือชื่อไทย ชีวิตป่วนรักของสาวมอนสเตอร์ เป็นอนิเมะสร้างจากมังงะของ OKAYADO (ลิขสิทธ์ไทย ค่ายที่ทำเจ็งแล้ว)  โดยเป็นเรื่องราวของพวกมอนสเตอร์สาวจากต่างโลกที่มาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับมนุษย์ โดยหนุ่มธรรมดาอย่าง คุรุสึ (ซึ่งทั้งเรื่องแทบไม่มีใครเอ่ยชื่อพระเอกคนนี้เลย) กลายมาเป็นอาสาสมัครของทางรัฐบาล ที่ต้องอยู่ร่วมกับมอนสเตอร์สาวมากมายในบ้านของเขา

    ตัวการ์ตูนก็ไม่มีอะไรมากครับ ก็แค่ชีวิตประจำวัน ที่พระเอกต้องเลี้ยงดูพวกสาวมอน ในบ้านเดียวกัน  หากปกติหากเราพูดถึงสาวมอน เราจะนึกถึงพวก สาวหูหมา สาวหูแมว น้องมังกรโลลิมีปีก ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีสาวๆ จำพวกนี้ครับ เพราะเรื่องนี้เน้น “สาวมอนสเตอร์ครึ่งมนุษย์” (Half-Human Hybrid) ซึ่งมันเป็นสายเฉพาะทางมาก  พึ่งมาฮิตแบบเงียบๆ ในวงการสายมืด

    ถ้าถามว่ามันมีเสน่ห์ตรงไหนกับสาวครึ่งคนครึ่งมอนสเตอร์แบบนี้ คือมัน “สาวมอนสเตอร์ครึ่งมนุษย์”) เป็นผสมผสานของเพศหญิงที่มีความสวยงาม กับสิ่งน่ากลังและน่าขยะแขยงของสัตว์และแมลง ไม่ว่าจะเป็นงู, แมงมุม หรือมีส่วนที่ดูแล้วไม่น่ารักเลย ดูแล้วมัน “แปลก” ดี มั เห็นอะไรธรรมดามาเยอะแล้วขอลิ้มลองของแปลกประหลาดบ้าง ยิ่งไม่สมบูรณ์แบบยิ่งชอบ ยิ่งผิดศีลธรรมยิ่งชอบ มีส่วนผสมของความน่ากลัวหวาดเสียวยิ่งชอบ ซาดิสต์รุนแรงยิ่งชอบไปใหญ่ ซึ่งมนุษย์เองก็ต้องการความหลากหลายในเพศรสอยู่แล้ว

    ตอนแรกๆ ก็กังวลเหมือนกัน ว่าตัวอนิเมะจะมีแสงศีลธรรมมากหรือไม่ เพราะเรื่องนี้มีฉากเซอร์วิสโหดๆ เยอะ แต่พอมาดูตอนที่ 1 แล้วถือว่าถูกใจพอสมควร เพราะแทบไม่มีหมอกศีลธรรมให้รู้สึกขัดใจแต่อย่างใด คุณภาพก็ดีมากเพราะสตูดิโอ Lerche, Seva นั้นเก่งเรื่องภาพคมชัดอยู่แล้ว รวมไปถึงมุมกล้องต่างๆ ก็ทำออกมาน่าสนใจด้วย โดยเฉพาะฉากพระเอกต่อยหน้าคนปากหมาทำออกมาได้สะใจดีแท้ นี้มับฉากเวอร์วิส ฉากลาเมียรัดพระเอกนี้ทำออกมาฟินเวอร์ (ผสมลามก, สยองขวัญ พระเอกจะตายห่-)

    สาวมอน เป็นแนวฮาเร็มครับ ซึ่งผมกับหลายคนอวยนักหนา ก็อย่างที่บอกตัวอนิเมะไม่มีอะไรมากมายหรอกครับ ก็ดำเนินเรื่องแบบฮาเร็มแท้ๆ แบบบริสุทธิ์ มันสนุกตรงพวกสาวๆ เป็นสาวมอนที่มีความน่ารัก ความแปลก ประหลาด น่ากลัว  ในเวลาเดียวกัน มันสนุกตรงที่พระเอกโดนสาวพวกนี้รุมทึ้งแบบไม่น่าจะรอดได้ (แต่ก็รอดมาได้)

    สรุปเป็นการ์ตูนแนวฮาเร็มที่ดำเนินเรื่องตามต้นฉบับครับ ภาพสวย ไม่ค่อยมีหมอกบัง เหมาะมากสำหรับสายฮาเร็มบริสุทธิ์ได้เริ่มต้นที่จะดู

     

    To Love-Ru Darkness

               
               
    อนิเมะสร้างจากมังงะฮาเร็มยอดนิยมของเคนทาโร่ ยาบูกิ (
    Kentaro Yabuki)  ซึ่งเป็นซีซั่นสอง ต่อจากซีซั่นแรก ที่ยังคงเป็นเรื่องของมหาเทพฮาเร็มยูกิ ริโตะ ที่ต้องปวดหัวกับความรักของสาวๆ ที่แอบชอบตน ไม่ว่าจะเป็น “ลาล่า”  , “ฮารุนะ” ทำให้ “โมโมะ” น้องสาวลาล่ามีความคิดคือต้องตั้งฮาเร็มเพื่อแก้ปัญหา หากนี้น่าจะเพิ่มตัวละครลาสต์บอสโลลิไม่ใส่กางเกงใน “เมโนซีส” และร่างสุดยอด “ยามิร่างมืด” ด้วย

                อนิเมะคู่บุญของสตูดิโอ Xebec หลังจากภาคแรกประสบความสำเร็จล้นหลาม เมื่อปี 2012 (ความจริงมันก็ไม่เหงาสักเท่าไหร่ เพราะว่ามีตอน OVA แทรกเป็นระยะ และมังงะตอนใหม่ๆ) ผิดจากผลงานอื่นๆ ของสตูดิโอนี้ที่ผ่านมายอดขายน้อยอย่างน่าเห็นใจ ทั้งๆ ที่เป็นสตูดิโอที่มีผลงานมากมายตั้งแต่สมัยก่อน แต่ช่วงหลังๆ ตกอับกับอนิเมะหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเนกิเมะก็โดนแฟนๆ ด่า พร้อมกับสุดอนาถกับเรื่อง Heroic Age ไซไฟอลังการจากทีมกัมดั้มถั่วแต่ผลงานออกมาโครตน่าผิดหวัง น่าเบื่อ บรมโครต (ติดอันดับการ์ตูนโคตรน่าผิดหวังในชีวิตของผมเลยคิดดู) จนถึงทุกวันนี้อนิเมะส่วนใหญ่ที่มาจากค่ายนี้ส่วนใหญ่เริ่มเน้นนมมากขึ้นอย่างที่เห็นล่าสุดที่จบไป เช่น Triage X (2015) (อย่างน้อยก็ขายพวกมาเนียได้บ้างน่า) ส่วน Tokyo ESP (2014)เจ็งตามระเบียบ

    ดังนั้น  To Love-Ru Darkness  จะเป็นอนิเมะความหวังโดยแท้ครับ เพราะเป็นอนิเมะเรื่องเดียวในตอนนี้น่าจะทำกำไรมากที่สุด เพราะยอดขายบลูเรย์ปี 2012 ติดอันดับต้นๆ แม้ว่าเป็นอนิเมะตามต้นฉบับมังงะที่หลายคนดูมาแล้วก็ตาม แต่ตัวอนิเมะก็ทำอะไรหลายอย่างตอบโจทย์คนดูมังงะ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องที่ทำตรงมังงะ (แม้จะมีการดัดแปลงเล็กน้อย) ภาพสวย ฉากเซอร์วิสสุดโหดเฉียดมืดที่ทำได้ถูกใจเหล่าแฟนๆ แบบไม่มีเผา ดังนั้นน่าจะเรียกแฟนเก่าที่ติดตามเรื่องนี้เป็นอย่างดี

    อย่างไรก็ตาม หกลายคนอาจทำใจ เวอร์ชั่นจอแก้วนี้สักนิด เพราะว่าฉากเซอร์วิสเหล่านี้จะถูกกลบด้วยแสงศีลธรรม และหมอกม่วง ที่เจิดจ้าเหลือเกิน ชนิดว่าแสบตาไปข้าง หลายคนคงโครตรำคาญตา วิธีเดียวที่จะแก้ได้คือต้องรอเวอร์ชั่นบลูเรย์ออกเท่านั้น

    แม้ว่า อาจไม่ใช่การ์ตูนที่มีเนื้อหาที่คืบหน้า หลายคนที่ชอบดูก็คงชอบฉากเซอร์วิส แต่ความจริงสิ่งที่ผมชอบ คือมันไม่มีเรื่องดราม่าความรักครับ ปกติแนวพวกฮาเร็มแท้ๆ นี้มักจะมีนะ แต่เรื่องนี้ไม่มีดราม่าความรักแต่อย่างใด ใครที่ไม่ชอบพวกดราม่าแบบ GE สามารถสบายใจเรื่องนี้ได้

    ที่สำคัญเรื่องนี้ไม่มีอวยโหด แบบผมทองนางเอก ผมดำนางเอกหรอก.... เพราะมันสนุกตรงที่มันอวยตัวละครหลากหลาย ทุกคนมีดีมีเด่นด้อยต่างกันไป ไม่มีสัมปทานด้านใดด้านหนึ่ง

     To Love-Ru Darkness อนิเมะซีซั่น 2 คุณภาพยังเหมือนซีซั่นแรกๆ ครับ (มาเสียเรื่อง อยากให้มีเพลงประกอบแทรกสักนิด พอไม่มีนี้ ดูบรรยาเหงาๆ ไปหน่อย) ส่วนตัวรอฉากการปรากฏตัวของเนเมซีส และฉากมหาเทพปราบยามิร่างมืดว่าจะดุเด็ดเผ็ดมันขนาดไหน

                แน่นอนรอดู BD ดีกว่า หมอกลงหนาเยอะเหลือเกิน

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×