ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #293 : (รีวิวอนิเมะแบบแมวๆ ) Anime Summer 2014 ร้อนนี้ฉันเหงา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.17K
      0
      1 ต.ค. 57

                    กลับมาอีกครั้งครับ สำหรับการรีวิว (ที่ไม่เป็นกลางเลย) Anime Summer 2014 ซึ่งอาจนานไปนิด เพราะผมต้องดูให้แน่ใจก่อนว่ามีซับไทยอนิเมะที่ผมอยากดูหรือเปล่า

    สำหรับซีซั่นที่แล้ว ไม่รู้อะไร เรื่องที่ผมอวย ลิขสิทธิ์ (เม่-ง) จนเกือบหมด  ทีเรื่องดังๆ ไม่อวย ไม่พูดถึงนี้ดัดไม่ลิขสิทธิ์ ทำให้ผมต้องดูซับแปลอังกฤษไป    พระเอกปักธงก็ทำออกมาระดับค่อนข้างผิดหวัง ส่วนฮาเร็มสาวละลายตอนท้ายรวบรัดไปหน่อยทำให้ความรู้สึกดีๆ หายไปมากโขเลย (ความจริงไม่น่าตัดฉากบทของสการ์ดิไปเลย)

                    Anime Summer 2014 น่าจะเป็นช่วงที่น่าจะครึกครื้นสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับผมแล้วมันเป็นช่วงเวลาที่เงียบเหงาอย่างบอกไม่ถูก

                    เพราะไม่มีแนวฮาเร็มที่ถูกใจเลยแม้แต่น้อย

                    ทำอย่างกับว่าแนวฮาเร็มกำลังจะสูญพันธ์อย่างงั้นแหละ อนิเมะแนวฮาเร็มเริ่มลดน้อยทุกวัน แม้แต่อนิเมะสร้างจากเกมจีบสาวก็ไม่ค่อยมีให้เห็นแล้ว ส่วนไลท์โนเวลฮาเร็มก็มีเยอะมากมาย ไม่ค่อย

                    เอาเถอะ ผมใจ เพราะซีซั่นหน้า “ทวินเทลกู้โลก”  (“Ore, Twintails ni Narimasu”) รอผมอยู่

                    ซีซั่นนี้มีฮาเร็ม 3 เรื่อง ประกอบไปด้วย Sword Art Online 2, Rokujouma no Shinryakusha, Seirei Tsukai no Blade Dance (ไม่นับเรื่องนักฆ่าปวดตับหรอก)  แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผมอวย หรืออยากติดตามแม้แต่น้อย

                    ถ้าถามว่าอนิเมะซีซั่นนี้ เรื่องไหนดังที่สุดหลายคนบอกว่า Aldnoah.Zero เป็นอนิเมะออริจินอลที่น่าติดตามที่สุด ซึ่งหลังจากที่ผมได้ดูแล้ว ผมเงียบไปพักใหญ่ (ดูการรีวิวผมยาวๆ ละกัน)

                    ส่วนด้านล่างเป็นอนิเมะที่ฉายจอแก้วสำหรับซีซั่นนี้ครับ ซึ่งผมก็ดูไม่หมดหรอก (ก็ไม่ใช่แนวฮาเร็มนี้น่า) ส่วนใหญ่ไปดูเขาพูดถึง หรือเสียงตอบรับมาเฉยๆ ซึ่งผมก็อิจฉาเด็กสมัยนี้น่ะที่ดูอนิเมะสนุกไปทุกเรื่อง

     

     

     

     

    Bakumatsu Rock (TV) – ไม่ดู เพราะกลัวคนหล่อ

    Glasslip (TV) – ไม่ได้ดู

    Tokyo Ghoul (TV) – ไม่ได้ดู เพราะผมเข็ดแนวนี้น่ะ (เข็ดจากเจ้าหญิงล่าผีดิบ พวกแอ็คชั่นเลือดสาดนี้ไม่ถูกกลับผมเลย)

    Puri Para (TV) – ไม่ได้ดู

    Sword Art Online II (TV)ไม่ได้ดู (เรื่องนี้ทั้งๆ ที่เป็นหนึ่งในเรื่องที่หลายคนรอคอย แต่ดูเหมือนหลาคนเฉยๆ ไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่

    Maido! Urayasu Tekkin Kazoku (TV) ไม่มีใครทำซับ

    Sabagebu! (TV) ยัยบ้า ฮ่ากระจาย

    Akame ga Kill! (TV) ไม่ดู และไม่สนใจที่จะดู แม้จะเป็นเรื่องดังก็ตาม

    Gekkan Shoujo Nozaki-kun (TV) ไม่ได้ดู

    Himegoto (TV) – สาวดุ้น 3 นาที ที่ดีใจไม่มีฉากกางเกงในลายทางห่อไข่

    Ao Haru Ride (TV) มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ ?

    Momo Kyun Sword (TV) น้องยักษ์น่ารัก

    Love Stage!! (TV) – J.C.Staff – ไม่ดู กลัวแคะและเมะ

    Yama no Susume: Second Season (TV) มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ?

    Kuroshitsuji: Book of Circus (TV) – มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ?

    Tokyo ESP (TV) ไม่ได้ดู

    Zankyou no Terror (TV) – ออริจินอลที่ผมไม่ได้ดู

    Psycho-Pass -Edit Version- (TV) ไม่ได้ดู

    Futsuu no Joshikousei ga [Locodol] Yatte Mita. (TV) – ไม่ได้ดู

    Jinsei (TV)– มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ?

    Aldnoah.Zero (TV)หลายคนอวย แต่แนวขับหุ่นยนต์  ไม่ถูกกับผมเลยพับผ่า

    Space?Dandy 2nd Season (TV) – ไม่ได้ดู แต่สงสัยว่ามันดังถึงขั้นทำภาคสองเลยเหรอ

    Persona 4: The Golden Animation (TV) – ภาคอวยมารี

    Free! -Eternal Summer- (TV) ไม่ได้ดู มางวดนี้จะเหมือนเกิมเปล่าหว่า

    Nobunaga Concerto (TV) เชื่อเปล่าว่าเรื่องนี้ เป็นอนิเมะที่ผมรอคอยนะ แต่ไม่มีใครทำซับ พอไปดูซับอังกฤษแล้ว แถบลมจับ ลายเส้นตัวละครระดับเผาโหดมาก (มังงะลายเส้นสวยกว่า) ดูไปปวดเอวบอกไม่ถูก

    Francesca: Girls Be Ambitious (TV) –  มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ?

    Nyanpuku Nyaruma (TV) – มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ?

    Hanayamata (TV) – ไม่ได้ดู

    Seirei Tsukai no Blade Dance (TV) ฮาเร็มที่ผมไม่ได้อวย ไม่ดู ไม่สนใจ

    Barakamon (TV) – นารุน่ารัก

    Shounen Hollywood: Holly Stage for 49 (TV) – มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ?

    Re: Hamatora (TV) – ไม่ได้ดู

    Fate/kaleid liner Prisma?Illya 2wei! (TV) – ไม่ได้ดู

    Ai Mai Mi: Mousou Catastrophe (TV) – อยากดู แต่มันไม่มีซับไทย

    Majimoji Rurumo (TV) – ความจริงตอนแรกๆ ผมชอบเรื่องนี้จากมังงะนะ แต่ช่วงหลังพบว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แนวฮาเร็ม ผมก็เลิกที่จะติดตาม

    Rokujouma no Shinryakusha!? (TV) – ฮาเร็มที่ผมไม่ได้อวย ไม่ดู ไม่สนใจ หลังจากพบว่าพระเอกจับดาบ

    Strange+ 2nd Season (TV) – ไม่ได้ดู

    Yami Shibai 2nd Season (TV) จะหาเวลาดูสักหน่อย

    Rail Wars! (TV) – ไม่ได้ดู

    Minarai Diva! (TV) – มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ?

    Shirogane no Ishi: Argevollen (TV) ไม่ได้ดู แต่เห็นหลายคนบอกว่าไม่ค่อยสนุก

    DRAMAtical Murder (TV) – ไม่ได้ดู

    Kantai Collection: Kan Colle (TV) – ยังไม่เห็นซับไทยเลย

     

                    โดยภาพรวมซีซันนี้ ไม่รู้สิ ดูเผิ่นๆ เหมือนหลากหลาย แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่ได้น่าสนใจสักเท่าไหร่ (ตามความรู้สึกผมนะ)

                    สำหรับการรีวิวครั้งนี้ ผมจะพูดแต่อนิเมะที่ผมดูและผมตามเท่านั้น  ใครอยากเสริมอะไร ผมไม่ขัดนะครับ

                   

                    เรื่องที่ผมติดตาม Barakamon


                  Barakamon เป็นอนิเมะคอเมดี้ ชีวิตประจำวัน สร้างจากมังงะของ
    ผลงานของ ซัตสึกิ โยะชิโนะ ลิขสิทธิ์แปลไทย โดยสำนักพิมพ์เนชั่น ในชื่อ บารากะมอน เกาะมีฮาคนมีเฮ (และดองตามระเบียบ) ในญี่ปุ่นถือว่าเป็นมังงะที่ยอดขายสูงติดอันดับต้นๆ ก็ว่าได้

                    Barakamon เป็นเรื่องราวของ ฮันดะ เซย์ซู นักเขียนพู่กัน อายุ 23 ที่ไปก่อเรื่องชกหน้าคนที่วิจารณ์ผลงานของเขาเข้า ครอบครัวเลยต้องส่งมาสงบสติอารมณ์ที่เกาะสุดขอบญี่ปุ่น แน่นอนว่าความประทับใจของชายหนุ่มคนนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เพราะชาวเกาะที่เป็นกันเองสุดขั้ว โดยเฉพาะ นารุ เด็กข้างบ้านน่ารำคาญที่ชอบมาบ้านของเขาทุกวัน

                    สำหรับเรื่องนี้ผมชอบตัวละครหลายคนครับ ดูมังงะประทับใจมาแล้ว เลยมาดูอนิเมะ หลังจากที่ได้ดูตอนแรก อนิเมะดีกว่าที่ผมคิดไว้มากครับ ไม่ว่าจะเป็นภาพสวย เรียบง่าย  แต่สิ่งที่ผมชอบคือ “นารุ” ที่ทำได้อย่างมีชีวิตชีวา และน่ารักสดใสมากๆ กว่าของมังงะมากๆ  ส่วนการดำเนินเรื่องในอนิเมะ มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดจากมังงะเล็กน้อย แต่ดูแล้วไม่ขัดใจแต่อย่างใด (เพราะรายละเอียดไม่ได้สำคัญต่อเนื้อเรื่อง)

                    อย่างไรก็ตาม หลังจากมาดูตอน 1-2 ไม่รู้ทำไม ผมเอามาเปรียบเทียบ Non Non Biyori หนึ่วอนิเมะที่ดีที่สุดของปี 2013 แบบช่วยไม่ได้   แต่ Barakamon ดูแล้วไม่กลมกล่อมเท่าไหร่นัก เพราะว่าการดำเนินเรื่องมีการดัดแปลงจากต้นฉบับพอสมควร  คือดำเนินเรื่องแบบไม่เรียงตอนเหมือนต้นฉบับ แถมการเลือกตอนเรียงตอนนั้นไม่ค่อยถูกใจผมมากนัก เหมือนขาดๆ เกินๆ ไม่ต่อเนื่องสักเท่าไหร่ แถมยังตัดฉากการแนะนำตัวละครเข้าไปอีก

                    แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่กับเด็กสาวตัวน้อยๆ แต่ไม่ได้แทรกประเด็นการเลี้ยงต๋อย แบบ Usagi Drop ซึ่งเรื่องนี้อารมณ์คงเหมือนเป็นเพื่อนต่างวัยกันมากกว่า  (ขื่นมีแบบกระต่ายหล่นสิ ด่าให้) และยังรวมไปถึงการพัฒนาจิตใจของพระเอกที่อีโก้สูง ที่ตอนแรกๆ ตั้งใจว่าจะอยู่คนเดียวไม่สนคนอื่น แต่พอเจอชาวบ้านที่เป็นกันเองแบบสุดขั้ว และความช่วยเหลือแบ่งปันน้ำใจ ทำให้พระเอกเริ่มรู้สึกตัว และเริ่มปรับตัวเข้าสังคมไปด้วย

    สรุปคือบารามะมอนเป็นการ์ตูนดีๆ เหมาะสำหรับคนที่ชอบบ้านนอก และเนื้อหาไม่เครียด ไม่ดราม่า หรือไม่มีเรื่องรักใคร่ๆ เซอร์วิสแต่อย่างใด เนื้อหาเน้นตลก อ่อนโยน น่ารัก สอดแทรกคิดสอนใจ ปรัชญาบ้านนอก อีกทั้งลายเส้นยังน่ารัก สะอาดตา  แต่สิ่งที่อยากบ่นคือการเรียงลำดับตอนไม่ถูกใจผมนัก ฉากแนะนำตัวละครไม่ได้ละเมียดละไมเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่ตัวละครในเรื่องล้วนโดดเด่นแท้ๆ

    ปล. บารากะมอนมาจากบารามอนแปลว่าผู้ร่าเริงซึ่งเป็นภาษาถิ่นของเกาะโกะโตซึ่งเป็นบ้านเกิดของผู้เขียนมังงะและเป็นเวทีสำหรับเรื่องนี้นั้นเอง (แต่คนในท้องถิ่นจะพูด บารากะมอน) ซึ่งเนื้อหาการ์ตูนก็มาจากเรื่องจริงของเกาะนี้เอง

    ปล. เนชั่นจะดองเค็มไปถึงไหน


                    เรื่องที่ผมติดตาม Persona 4 The Golden Animation


                     Persona 4 The Golden Animation
    เป็นเรื่องของพระเอกสุดเมพ นารุคามิ ยูที่ย้ายมาอยู่อาศัยในเมืองชนบทอันแสนสงบสุขที่ห่างออกไปจากตัวเมือง ด้วยเหตุผลทางครอบครัวเพื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับญาติของเขาที่นี้ และเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมปลาย เป็นระยะเวลาหนึ่งปี และที่นั่นเขาได้พบเพื่อนแท้ (และฮาเร็ม) พร้อมกับการผจญภัยในโลกทีวีที่ลึกลับและแอ็คชั่นอลังการ

    ผมเคยบ่น Persona 4 Animation  ว่าเป็นอนิเมะที่ใส่ความเป็นเกมมากเกิน ทำให้คนไม่เคยเล่นเกมมาก่อนมี งง หรือไม่เข้าใจมุก แต่กระนั้นผมก็ดูเรื่องนี้จนจบ เพราะสาวๆ ในเรื่องน่ารักมาก (ฮ่า)

    จนกระทั่งปี 2014 ก็มีภาค Persona 4 The Golden Animation ผมก็แปลใจว่าจะอนิเมะจะมาแบบไหน เพราะภาคเก่ามาจบแล้วนี่หว่า โดยภาคนี้สร้างจากภาคเกมบนเครื่อง PS Vita ที่ใช้ชื่อว่า Persona 4: Golden ที่วางจำหน่ายในปี 2012

    สำหรับทีมงานหลักจะยังใช้ชุดเดิม มีการเปลี่ยนให้คุณ Kishi Seiji ผู้กำกับเดิมเป็นหัวหน้าผู้กำกับ ส่วนคุณ Taguchi Tomohisa ผู้กำกับภาค Persona 3 The Movie: Chapter 2 นั้นจะเป็นผู้กำกับ ด้านสตูดิโอที่ผลิต ภาคนี้ไม่ได้ผลิตโดยทาง AIC ASTA ที่ผลิตโดย Persona 4: The Animation แต่จะผลิตภายใต้ชื่อของสตูดิโอ A-1 Pictures

    มาตอนแรก กลายเป็นว่าอนิเมะกลับไปสู่เริ่มต้นด้วยการย้ายมาของพระเอกนารุคามิ เพียงแต่คราวนี้พระเอกมันแคะกว่าภาคแรก (ฮ่า) และเมพกว่าเดิม ราวกับแสดงให้เห็นพระเอกมันเคยแจอเหตุการณ์นี้มาแล้ว (หากใครดูตอนแรกๆ จะเห็นพระเอกเกิดอาการเจ็บหัวเดจาวูด้วย หากเป็นภาษาเกมๆ ก็เหมือนกับกลับมาเล่นใหม่รอบที่สองด้วยเซฟเก่าที่อัฟเกรดมาหมดแล้วนั่นแหละ)

    พอมาถึงตอนที่ 2 ก็เริ่มจับจุดของภาคนี้ได้ว่า อนิเมะนั้นเป็นอนิเมะที่ด้านเนื้อหาโดยรวมไม่แตกต่างจากภาคก่อนมากนัก เพียงแต่สิ่งที่แตกต่างกันคือพระเอกมันเมพกว่าเดิม ดำเนินเรื่องไปไว ตัดฉากที่มีภาคที่แล้วออก (ฉากสู้บอสชาโดว์ที่มีภาคเก่าไม่มี หรืออีเวนท์ภาคก่อนก็ไม่มี)  

    ที่จริงน่าจะตั้งชื่อภาคว่า “เพอร์โซน่า ภาค อวยมารี” (ฮ่า) เพราะทั้งเรื่อง เพราะภาคนี้จะเพิ่มตัวละครที่ชื่อ “มารี” สาวน้อยซึนเดเระปริศนาที่ไม่มีในภาคเก่าๆ เข้าไป ซึ่งในเรื่องอวยมารีซะอย่างกับเป็นนางเอก (แต่ขอโทษครับตัวละครดังที่สุดในเวอร์ชั่นนี้คือริสะ กับ ริสะนั้นมีผลงานวีดีโอเกมภาคแยกอีกต่างหาก ส่วนน้องนักสืบก็มีภาคแยกเป็นนวนิยายอีกด้วย)

    ภาคนี้เน้นอวยมารี  และอีเวนท์อวยมารี แม้เนื้อหาเปลี่ยนไป แต่พล็อตเรื่องไม่แตกต่างกันนัก และน่าจะมีส่วนขยายบอสตัวใหม่ กับรูทมารีเพิ่มเข้ามา และแน่นอนว่าตอนจบคาดว่าจะเป็นรูทแบบเกมๆ นั่นเอง

    สรุปคือเป็นอนิเมะที่ไม่เหมาะกับคนที่ไม่เคยเล่น Persona 4 และไม่มีความรู้สึกอวยใดๆ กับตัวละครเรื่องนี้ ก็ไม่ต้องดูครับ


                   เรื่องที่ผมติดตาม Momo Kyun Sword


                  Momo Kyun Sword เป็นอนิเมะจากจาก Light Novel บนเว็บไซต์บนเว็บไซต์ของทาง Kibidango Project ให้อ่านฟรีในช่วงฤดูร้อน 2012 และมีนักวาดหลายคนสับเปลี่ยนมาวาดภาพทุกเดือนแน่นอนว่านิยายได้แรงบัลดาลใจดัดแปลงมาจากเรื่องพื้นบ้านโมโมทาโร่ มาแต่งใหม่ในสไตล์โมเอะ

    Momo Kyun Sword เป็นเรื่องราวของ โมโมทาโร่นักดาบสาวสวยที่เกิดจากลูกท้อ และใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่กับ เทพสุนัข, เทพวานร และ เทพไก่ฟ้า  แต่แล้ววันหนึ่งกองทัพปีศาจได้บุกมาถึงและขโมยสมบัติล้ำค่าที่ปกป้องดินแดนไป ทำให้เธอต้องออกเดินทางพร้อมกับสามสหายเพื่อนำสมบัตินั้นกลับคือมา

    โมโมทาโร่นี้ถือว่าเป็นนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่นที่ถูกเอามาดัดแปลงเป็นการ์ตูนเยอะที่สุดอีกเรื่องไหน ไม่ว่าจะเป็นแบบตรงตำนาน, ยำตำนาน, ภาคพิสดาร แหวกตำนานก็มี

    พูดง่ายๆ ที่ผ่านมามีโมโมทาโร่หลายเวอร์ชั่นมาก มีทุกแนว แน่นอนว่าก็มีเวอร์ชั่นโมโมทาโร่เป็นผู้หญิง เน้นนมซึ่งก็มีมามานานก่อนอนิเมะเรื่องนี้แล้วเช่นกัน

    อนิเมะซีซั่นนี้ก็ต้องมีสักเรื่องที่เป็นอนิเมะเน้นเอจจิ นมเด้งดึงสักเรื่อง และอนิเมะเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งจัดเต็มจริงๆ เพราะเน้นหน้าอกนมเด้งดึงของน้องโมโมทาโร่เด้งแบบไม่เกรงใจแรงโน้มถ่วง รวมไปถึงสะโพกของน้องยักษ์เว้าอย่างงดงาม

    ส่วนเนื้อเรื่องก็ออกไปทางสูตรสำเร็จ ถ้าใครดูแนวก็รู้เลยว่ามันน่าเบื่อ เพราะวนเวียนกับการเดินทางต่อสู้ที่ไม่มีแปลกใหม่อะไรเลย  บางอย่างก็ดูแล้วอยากถามใจตนเองว่า “ตรูก็อายุมากขนาดนี้แล้วกำลังดูอะไรอยู่เนี้ย”

    อย่างไรก็ตาม ผมก็ตามเรื่องนี้นะ เพราะชอบน้องยักษ์น่ารัก  น่ารัก ถูกใจผมดี (พูดง่ายๆ ดูเรื่องนี้เพราะน้องยักษ์)  

     

    เรื่องที่ผมติดตาม Sabagebu!


             Sabagebu! หรือ Survival Game Club! เป็นอนิเมะสร้างจากมังงะของ Matsumoto Hidekichi  ซึ่งเป็นการ์ตูนแนว     Shoujo  (สำหรับกลุ่มวัยรุ่นหญิง ) ของนิตยสารโคดันฉะ Nakayoshi ซึ่งเป็นนิตยสารที่ตีพิมพ์มา
    ยาวนานเกือบ 60 ปีแล้ว

    Sabagebu กล่าวถึง โซโนคาวะ โมโมกะ ที่วันแรกที่ได้เข้าเรียนนั้นกลับถูกลวนลามบนรถไฟ แต่ก็มีผู้หญิงปริศนาใช้ปืนขู่คนโรคจิตเอาไว้ เมื่อมาถึงโรงเรียนเธอต้องการหาอะไรที่แตกต่างจากชีวิตในรั้วโรงเรียน จนเธอได้พบชมรมเซอไววัล (บีบีกัน) ในโรงเรียนประธานชมรม โอโทริ มิโอ สาวนิสัยแปลกๆที่เคยช่วยเธอบนรถไฟ และสมาชิกหญิงอีก 4 คน แล้วโมโมกะได้ถูกลากเขาเป็นสมาชิกชมรม ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น

    แม้ว่า Sabagebu! ในมังงะจะมีลายเส้นแบบการ์ตูนผู้หญิง แต่เนื้อหาผู้ชายก็สามารถดูได้เช่นกัน เพราะไม่ใช่การ์ตูนอารมณ์ตาหวาน, หรือตลกมองโลกแง่ดี (ตลกแบบโมเอะ) แต่เป็นตลกแบบยัยบ้า ปล่อยมุกมากกว่า หนึ่งตอนจะประกอบด้วยตอนย่อย 1-3 ตอน

    ตลกแบบยัยบ้าคือไม่ใช่แนวตลก ขายโมเอะ ขายโลลิ ขายคาแร็คเตอร์ ตลกแบบอมยิ้ม เรื่อยๆ ชีวิตประจำวันโลกสงบสุข แต่เป็นตลกแบบเรื่องยัยบ้า ที่ทำอะไรบ้าๆ บอๆ ชวนหัวมากกว่า  แค่แม้เป็นผุ้หญิงแต่ก็บ้าแบบผู้ชายเป็น ซึ่งแนวนี้ดูแล้วเพลินดี แม้คาแร็คเตอร์สมาชิกชมรมจะไม่ได้แปลกใหม่ แต่ตัวของนางเอกโมโมกะนี้ฮ่ามิใช่น้อย เพราะไม่ใช่คาแร็คเตอร์ตัดมุกอย่างเดียว ยังเป็นตัวป่วน ตัวสร้างปัญหา แถมตอบโต้คนอื่นเป็นซะด้วย และนอกจากนี้ยังมีฉากดวลบีบีกันที่สนุกเพลินดีเหมือนกัน ดีไม่ดี ดีกว่าฉากแอ็คชั่นการ์ตูนแอ็คชั่นต่อสู้แท้ๆ บางเรื่องในซีซั่นนี้เสียอีก 

     

    Aldnoah.Zero

                aldnoah zero cover    
               
    ถ้าจะถามว่าอนิเมะเรื่องใดได้รับการกล่าวขานในซีซั่นนี้  Aldnoah.Zero อนิเมะออริจินอล ก็กลายเป็นหนึ่งในอนิเมะที่หลายคนต่างยกย่อกว่าเป็นอนิเมะที่สนุกน่าติดตามเป็นที่เรียบร้อย

                    ก่อนอื่น ผมอยากขอบอกไว้ก่อนว่า ผมเป็นคนไม่ค่อยถูกกับแนวขับหุ่นยนต์ต่อสู้สักเท่าไหร่ ด้วยสาเหตุหลายออว่างเป็นต้นว่า ศัพท์แสลง, ความสมจริง, ความรับไม่ได้เรื่องการขับหุ่นยนต์แล้วไม่เมา (ถ้าเป็นชีวิตจริงอ้วกคาห้องขับไปแล้ว) และที่สำคัญที่ผ่านๆ มา อนิเมะแนวหุ่นยนต์ขับนี้จบดีไม่ค่อยเป็น พระเอกที่บอกว่า “พวกเธอคือปีกของฉัน” ผลปรากฏว่าตอนจบก็ไม่ได้ทำตามที่พูดเอาไว้ หรือแนวโซโกะลาสต์บอส  ตอนจบ แถมจิ้นวายอย่างสุดเซ็ง (และจะเอาบทผู้หญิงประเคนให้พระเอกทำหอยหลอด)

                    ดังนั้น Aldnoah.Zero จึงเป็นอนิเมะที่ผมดูด้วยความอคติสุดๆ (จิ้นวายอีกละ, ช้ำรักอีกละ, เพื่อนสมัยเด็กอเดอีกละ,  ไม่ฮาเร็มเลย ตรูอยากดูแบบโอเวอร์คิงกันเนอร์เฟ้ย)

                    แล้วทำไมผมดู แน่นอนเพราะเห็นหลายคนอวย ผมก็อยากรู้ว่าอนิเมะเรื่องนี้มีอะไรดีนัก ทำไมคนอวยกันนักกันหนา แถมอนิเมะซีซั่นนี้ฮาเร็มก็ไม่ค่อยมี (บ่นกี่รอบแล้วเนี้ย) เลยดูเรื่องนี้ช่วยไม่ได้ 

                    ก่อนอื่นขอบอกว่าผมไม่ถูกกับศัพท์แสงและประวัติความเป็นมาก่อนเกิดสงครามอนิเมะเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เอาเป็นว่าง่ายๆ ให้ยึดมูลเหตุเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นหลักนั้นแหละ (ง่ายดีเปล่า)

                    รู้หรือไม่ สิ่งที่ผมดูเรื่องนี้ ไม่ใช่เนื้อเรื่องอะไรหรอก แค่ตัวละครหญิงในเรื่องนี้น่ารักดี เจ้าหญิงเรอะผมไม่สน ชอบสาวเพื่อนสมัยพระเอก และน้องผู้ก่อการร้ายอ่ะ (เซอร์วิสน่ารัก)  เจ้าพระคุณจบดีๆ เถอะ อย่าให้คนที่อวยตายเลยนะ (พวกผู้ชายตายเยอะๆ แหละดีแล้ว)

                    Aldnoah.Zero เล่าง่ายๆ  เป็นเรื่องโลกอนาคตที่มนุษย์โลกกับมนุษย์ดาวอังคาร (มนุษย์ที่อพยพไปดาวอังคาร) ที่ไม่ถูกกันอย่างแรง โดยเฉพาะพวกมนุษย์ดาวอังคารเป็นพวกที่ชอบดูถูกมนุษย์โลกราวกับเป็นแมลงสาปไม่ปาน (ทั้งๆ ที่พวกเอ็งก็ดีเอ็นเอเหมือนกันแท้ๆ) ซึ่งทั้งสองฝ่ายทำสงครามกัน จนยุติลงโดยไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ แต่ชาวดาวอังคารรอวันที่จะรุกรานโลกอีกครั้ง  พร้อมกันนั้นพวกเขาก็พัฒนาเทคโนโลยีของพวกเขาเพื่อรอวันที่จะแก้แค้นขึ้น

                    15 ปีต่อมา สงครามเกิดขึ้น เมื่อชาวดาวอังคารวางแผนลอบปลงพระชนม์เจ้าหญิงของพวกเขาเอง ขณะเยือนโลก เพื่อหาเหตุที่ทำให้ชาวอังคารบุกโลกได้อย่างชอบธรรม  และผลคือชาวโลกไม่สามารถสู้กับชาวดาวอังคารได้เลย เพราะเทคโนโลยีของชาวดาวอังคารเหนือกว่ามากๆ  (ชาวโลกจะมีอาวุธลับหรือเปล่า)

                    อย่างไรก็ตาม เจ้าหญิงดาวอังคารที่ตอนแรกคิดว่าตายไปแล้ว ปรากฏว่าเธอไม่ได้ตาย ที่ตายน่ะเป็นแค่ตัวแทน (ผู้ก่อการร้ายก็นะ หัดเช็กข่าวหน่อยสิ เรื่องตัวแทนน่าจะรู้นี้หว่า) และเธอก็พยายามที่จะหยุดสงครามนั้น หากแต่ระหว่างทางเธอได้พบกับพระเอกมัธยมปลาย “อินาโฮะ” และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นบทใหม่ของสงครามที่หนุ่มสาวชาวโลกต้องเข้าสมรภูมิรบ

                    Aldnoah.Zero เป็นหนึ่งในอนิเมะที่เขียนบทโดยอุโรบุจิ เก็น  หรือจอมมารเก็น  ให้ตายเถอะ!! ในที่สุดผมก็ดูผลงานของเก็นจนได้ (พึ่งมารู้ตอนดูตอน 3 จบนี้แหละ)  เพราะที่ผ่านมาผมปฏิเสธดูทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Fate/Zero,  Mahou Shoujo Madoka Magica, Psycho-Pass และ Suisei no Gargantia และนอกจากนี้อนิเมะยังกำกับโดยผู้กำกับที่มีผลงานเด่นจากเรื่อง Fate/Zero และ Ga-Rei-Zero ซึ่งเป็นผลงานของ Aniplex ตั้งใจปั้น และผลปรากฏว่าทำสำเร็จ อย่างน่าชมเชย (ในตอนนี้นะ)

                    แม้เนื้อหาโดยภาพรวมของอนิเมะแนวขับหุ่นยนต์ยังคงวนเวียนกับศัตรูจากต่างดาวรุกรานโลกเหมือนเช่นเคย แต่กระนั้นมันก็ใส่อะไรหลายอย่างให้ดูสนุกยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฉากเปิดตัวการรุกรานโลกของชาวดาวอังคารอันอลังการ, ฉากสงครามวินาศ (ที่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายศัตรูเทพกว่าฝ่ายของพระเอกชนิดว่าเป็นมวยคนละเบอร์), ประเด็นทางการเมือง ไปจนถึงปมตัวละครต่างๆ ที่ทำออกมาดีน่าประทับใจ (เสียอย่างเดียวไม่ใส่ความเป็นฮาเร็ม)

                    จุดเด่นของการ์ตูนแนวขับหุ่นยนต์เรื่องนี้คือ ปกติเรามักจะเห็นตัวเอกขับหุ่นเทพตั้งแต่ต้นๆ หากแต่คราวนี้แตกต่างกันออกไป เมื่อตัวเอก Aldnoah.Zero เป็นเด็กมัธยมปลายธรรมดาที่ขับหุ่นยนต์โหลๆ ปืนก็องแก๊ง มีดสปาต้าธรรมดา ต่อสู้กับฝ่ายศัตรูเทพๆ ที่ มีอาวุธแหวกฟิสิกส์สิ้นดี ทั้งเลเซอร์รอบทิ้งทาง, เกราะบาเรีย, ชนิดว่าใครเห็นศัตรูโชว์เทพก็หมดแรงที่จะต่อสู้แล้ว แต่พระเอกกลับใช้กลยุทธ์เล่นงานศัตรูเทพๆ จนหมอบง่อย  (คงไม่ใช่ว่าตอนหลังพระเอกจะขับหุ่นเทพตอนหลังนะ เพราะถ้าเรื่องนี้มาอยู่ซูเปอร์โรบอต แล้วไม่มีหุ่นเทพละก็ ไม่รู้จะมีใครใช้พระเอกหรือเปล่า)

                    อย่างที่คนทำอนิเมะกล่าวไว้ว่าอนิเมะเรื่องนี้จะเน้นเรื่องกลยุทธ์ ไม่ได้เน้นหุ่นเทพแบบอนิเมะโรบอตทั่วไป ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะที่ผ่านมา เราเห็นแต่พวกพระเอกกากขับหุ่นเทพ, คนเก่งขับหุ่นเทพมาเยอะแล้ว มาดูแนวแจ๊คล่มยักษ์ก็ไม่เลวเหมือนกัน ซึ่งถือว่าเป็นแนวขับหุ่นยนต์ที่ตอบโจทย์กับความเบื่อหน่ายแนวขับหุ่นยนต์ในช่วงหลังๆ ได้ดีจริงๆ

                    ส่วนด้านการดำเนินเรื่อง บทหลักๆ จะอยู่ที่สามตัวละคร คนแรกพระเอกที่นิ่งทุกงาน เยือกเย็นทุกสถานการณ์ แต่ดูแล้วเป็นที่พึ่งดีจริงๆ (ผมชอบฉากหนึ่ง ตอนที่โลกวินาศ พระเอกยังมีอารมณ์กลับบ้านไปทำไข่เจียวรอพี่สาว เอ็งแน่จริงๆ)  ส่วนตัวแล้วเป็นพระเอกที่ดูแล้วน่าอวยดี ไม่เหมือนพระเอกใจร้อน เกรียนแตกเหมือนบางเรื่อง

    สิ่งที่แปลกเรื่องนี้คือพระรองผมขาวเรื่องนี้ไม่ได้เก่งเทพ  ปกติพระรองนี้จะเทพกว่าพระเอก แต่เรื่องนี้พระรองค่อนข้างขี้ขลาดหน่อย และมีปมขัดแย้งเรื่องหน้าที่และชาติพันธุ์ด้วย ส่วนประเด็นจะได้จิ้นพระเอกหรือเปล่านั้น ไม่รู้สินะ ก็คงจิ้นแหละ (แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้หลายคนจิ้นพระรองกับองค์หญิงไปก่อน)

    ส่วนตัวละครอื่นๆ โดยเฉพาะผู้หญิงทำได้น่ารักดี เจ้าหญิงนั้นอาจเป็นตัวหลัก (นางเอก?)  แต่ตัวละครรองอย่าง เพื่อนสมัยเด็ก หรือน้องผู้ก่อการร้ายทำได้น่ารัก แต่ประเด็นว่าใครจะชอบพระเอกนั้น ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะสอดแทรกหรือเปล่า (ถ้าไม่สอดแทรกผมก็คงเซ็งเหมือนกัน)

    Aldnoah.Zero เป็นอนิเมะที่แสดงให้เห็นอะไรหลายอย่าง ว่าทำอย่างไรให้มีคนสนใจ และผมเองก็ดูแล้วสนุก หากแต่อีกใจหนึ่งผมกังวลหลายอย่าง เป็นต้นว่า กลัวตัวละครที่อวยตาย (ผมไม่อยากเห็นอีกแล้ว), กลัวจบไม่ดีไม่คุ้มกับที่ติดตามมา, กลัวโน่นกลัวนี่ไปหมด (ยิ่งมีคำว่าจอมมารเก็นติดยี่ห้อ ผมก็แทบอดใจเสียไม่ได้แล้วละ)

    สรุปคืออนิเมะมาถูกทางแล้ว เหลือที่ว่าการดำเนินเรื่องที่เหลือจะทำได้ดีขนาดไหน จะประคองให้จบสวยงามได้หรือเปล่า อันนี้ก็ติดตามดูยาวๆ  ส่วนตัวผมก็ซึนเดเระกับเรื่องนี้นะ

    จำนวน : 24 ตอน ( อาจแบ่งเป็น 12 ตอน X 2 ซีซั่น)

    -ชาวดาวอังคารหน้าตาเจ้าเล่ห์ทุกคน (ดีเอ็นเอคงเหมือนกันมั้ง) หน้าแบบนี้นะจะยึดครองโลก

     

    Nobunaga Concerto

    Nobunaga Concerto
                มาถึงเรื่องสุดท้ายที่ผมติดตามครับ เชื่อหรือเปล่าว่าเรื่องนี้ ผมติดตามเป็นอันดับต้นๆ เลย (ซับไทยมาช้า ผมดูซับอังกฤษเอา)
    Nobunaga Concerto เป็นอนิเมะสร้างจากมังงะของ Ishii Ayumi ลงในนิตรสาร Gessan (Shonen Sunday รายเดือน) ซึ่งถูกทำเป็นอนิเมะและประกาศเป็นละครทวี และภาพยนตร์อีกด้วย ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าจับตาเลยทีเดียว

    Nobunaga Concerto เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มมัธยมปลายชื่อซาบุโระ มีนิสัยเรื่อยเปื่อย ไม่ชอบการเรียนประวัติศาสตร์โดยเฉพาะยุคเซนโกคุสักเท่าไหร่ เพราะคิดว่าเรียนไปแล้วไม่เห็นจะได้อะไร หากแต่เวลาต่อมาเขาได้ตกลงไปรูหนอน แล้วย้อนเวลามาสู่ยุคเซนโกคุ และที่นั่นเขากลายเป็นยอดบุรุษ โอดะ โนบุนากะ (จากการสลับตัวกับโนบุนากะตัวจริง) และเขาต้องคุมเหล่าขุนพลเลื่องชื่อในประวัติศาสตร์ในการครองญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่งเดียว  ซึ่งเขาจะทำได้หรือไม่ เพราะการเรียนประวัติศาสตร์เขาไม่เอาอ่าวมาก

    Nobunaga Concerto ถือว่าเป็นอนิเมะนอกสายตา แต่ขอบอกว่าผมติดตามน่ะเอ่อ และขอบอกว่ามังงะสนุกมาก โดยเป็นแนวพระเอกหลงเข้ามาต่างมิติ (ย้อนเวลา) บวกกับประวัติศาสตร์โนบุนากะด้วย

    ปกติเรามักเห็นการ์ตูนแนวประวัติศาสตร์ที่เล่าเรื่องของโนบุนากะมามากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านดี หรือไม่ดีก็ตาม แม้ส่วนใหญ่หลายคนมักนึกภาพโนบุนากะเป็นจอมมารที่โหดร้ายอหังการ แต่อีกด้านหนึ่งโนบุนากะก็มีด้านดีอยู่บ้าง อันนี้ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนที่จะมองวีรบุรุษในยุคสงครามกลางเมืองอย่างไร

    สำหรับโนบุนากะเรื่องนี้ ไม่ได้เน้นเรื่องความน่าเกรงขามของโนบุนากะเหมือนหลายเรื่องที่ผ่านมา แต่นำเสนอโนบุนากะในเวอร์ชั่นวัยรุ่นจากโลกปัจจุบัน  และต้องรับผิดชอบหน้าที่สำคัญทั้งๆ ที่มันไม่เกี่ยวกับเขาสักนิด อีกทั้งเขาก็ไม่คิดเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ แต่พยายามทำให้ประวัติศาสตร์เข้าที่เข้ารอยต่างหาก

    ตามประวัติโนบุนากะมีพฤติกรรมที่ประหลาด เอาแต่ใจตนเอง และไม่อยู่ในกรอบประเพณี มันจึงเข้ากันมากกับซาบุโระเด็กหนุ่มที่มาจากอนาคต ซึ่งการกระทำของเขาทั้งๆ ที่ดูธรรมดา แต่กลับกลายเป็นแปลกในสายตาคนอื่นๆ แทน แต่เพราะแหวกประเพณีนี้แหละที่ทำให้โนบุนากะกลายเป็นยอดขุนพลในประวัติศาสตร์ (ทั้งริเริ่มกลยุทธ์ใช้ปืนสามแถว, การเกณฑ์ชาวนาเป็นทหาร)

    ซึ่งในมังงะ Nobunaga Concerto สนุกมาก และที่น่าสนใจเนื้อหาไม่ได้เน้นสงครามอะไรมากนัก แต่เน้นการปกครองการจัดระเบียบลูกน้องของโนบุนากะ กับการหาพันธมิตรของโนบุนากะมากกว่า และที่น่าสนใจคือไม่เพียงแค่พระเอกเท่านั้นที่หลงมิติเข้ามา ยังมีคนจากอนาคตอีกหลายคนที่กลายเป็นขุนพลยุคเซนโกคุอีกด้วย

    อย่างไรก็ตาม อนิเมะ Nobunaga Concerto ทำออกมาได้อย่างขาดๆ เกินๆ โอเคได้เรื่องกราฟิก ฉากหลังนี้ทำได้สวยงามหยดย้อย ภายในเมือง,, ภาพต้นซากุระ, ป่าเขาทำได้สวยงามมากๆ  แต่ในเรื่องลายเส้นตัวละครนั้นขอบอกว่าแย่ๆ และเผามาก ชนิดว่าลายเส้นในมังงะสวยกว่าเป็นกองหากเอามาเปรียบเทียบ โดยเฉพาะหน้านางเอก “คิโจ” ผมดูแล้วแทบเจ็บเอวเลยพับผ่า  

    เอาเถอะแม้ลายเส้นอนิเมะจะห่วย แต่ความสนุกเรื่องนี้อยู่ที่บทของตัวละครมากกว่า สรุปคือผมชอบโนบุนากะในเวอร์ชั่นนี้นะ

    ในด้านการดำเนินเรื่อง อนิเมะไปเร็วกว่ามังงะค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ตามด้วยภาพรวมก็ดูสนุกไม่มีอารมณ์ขาดเกินๆ

     (ปล. ในเรื่องแม้บทนางเอกจะคือ “คิโจ” แต่ความจริงแล้วโนบุนากะมีภรรยาน้อยมากมายนะเอ่อ)

     

    ก็จบลงเพียงนี้สำหรับการรีวิวคร่าวๆ สำหรับอนิเมะในซีซั่นนี้ ส่วนเรื่องที่เหลือผมก็ไม่คิดจะดูสักเท่าไหร่นัก (เพราะไม่มีฮาเร็มที่ถูกใจสักเท่าไหร่) เอาเป็นว่าใครชอบอนิเมะ หรือดูอนิเมะเรื่องไหนเกิดอารมณ์ขึ้นอะไรก็มาไซโคผมได้ตามสะดวกนะครับ ผมไม่ว่าอะไรหรอก

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×