ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #281 : รวมพลคนเกลียดโอตากุ และเรื่องของคิโม่ยโอตากุ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.29K
      4
      22 พ.ค. 57

    ความจริงเนื้อหาบทความต่อไปนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่หลายคนรู้อยู่แล้ว หรือหลายคนอาจจะทำเป็นไม่รู้มากกว่า  หรือบางคนไม่รู้จริง ดังนั้นผมจึงเขียนบทความนี้ขึ้นเพื่อให้หลายคนพิจารณาว่า เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมเขียนหรือไม่

     

    ปัจจุบัน มนุษย์เราเริ่มนิยมใช้เว็บบอร์ดและเพจ เป็นช่องทางในการติดต่อกับคนอื่น ไปจนถึงการหาเพื่อน โดยเฉพาะเพื่อนคอเดียว หรือบางคนใช้เว็บบอร์ดและเพจนั้นเป็นช่องทางทางระบายสิ่งที่ตนพบเห็น หรือหาแนวร่วม แสดงความคิดด้วย

    อย่างไรก็ตาม ในเว็บบอร์ดและเพจจำนวนมากนั้น  บางครั้งข่าวการนำเสนออาจจะมั่ว ข้อมูลไม่แม่นยำ การแสดงความคิดเห็นไม่ตรงกันหรือแตกต่างกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความขัดแย้ง บางเป็นสองฝ่าย ที่เกิดความอคติ จริงจังมากเกินไป  จากนั้นก็มีการถกเถียง บลัฟ (ขู่ขวัญให้กลัว)ใส่กัน ใช้คำหยาบ โดยมีวัตถุประสงค์คือการที่ต้องการเห็นฝ่ายตรงข้ามพินาศหรือยกธงข่าวยอมแพ้ หากฝ่ายตรงข้ามไม่แพ้ ก็จะเถียงจนชนะ (แม้ว่าประเด็นที่เถียงเริ่มมั่ว ตรรกะมั่วๆ ก็ตาม) จนทั้งสองฝ่าย ไปทำให้ผู้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดรำคาญใจ เกิดความเครียด แต่ความเครียดที่ว่าเกิดความน่าติดตามขึ้น เพื่อดูว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร (แม้ผลสุดท้ายก็ไม่มีบทสรุปเลยก็เถอะ)

    สิ่งเหล่านี้เรียกว่า กระทู้ดราม่า

    ดราม่า (Drama) นั้นมีหลายความหมาย เป็นต้นว่า เป็นงานวรรณกรรมประเภทหนึ่ง (ที่มีเนื้อหาหนักๆ จริงจัง ซีเรียส ส่วนใหญ่เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายไม่ว่าจะมากหรือน้อย) หรืออีกความหมายคือเป็นคำสแลงที่เป็นเรื่องราวของบุคคลที่แสดงท่าที่เกินจริง แม้เรื่องที่ว่าอาจเป็นเรื่องจริง เรื่องโกหก หรือเรื่องกล่าวเกินจริงก็ตาม

    ส่วนใหญ่แล้วเรามักใช้คำว่าดราม่าในสื่อบันเทิง หรือไม่ก็การพูดจาประชดประชันคนอื่น (เช่น อย่าดราม่ามาก) แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเราไม่ได้ยินคำนี้บ่อยครั้งในเว็บบอร์ดและเพจทางอินเทอร์เน็ต

    กระทู้ดราม่านั้นเป็นคำที่เรียกไม่นานมานี้เอง แน่นอนว่าที่มานั้นคือสังคมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอย่าง www.pantip.com ซึ่งเป็นเว็บรวมข่าวสาร ความคิดเห็น ข้อสังเกต ทฤษฏีในสังคมหรือบุคคลในสังคม มากมาย ซึ่งมีคนใช้เยอะที่สุด จึงไม่แปลกแต่อย่างใด เมื่อมีคนเยอะ คนที่เห็นแก่ตัว  คนที่มี ความคิดเห็นแตกต่าง ความขัดแย้ง อคติ แน่นอนลืมไม่ได้เลยคือ เกรียน ก็ย่อมมีมากด้วย ผลคือเกิดกระทู้ดราม่าตามมามากมาย

    แน่นอนว่าไม่เพียงในเว็บพันทิป เท่านั้น กระทู้ดราม่ามีอยู่ทุกที ในเว็บสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บเด็กดี และเยอะที่สุดคือเฟตบุ๊ค  ทวิตเตอร์ ยิ่งคนเข้ามามาก ก็ย่อมเกิดดราม่าเยอะเป็นธรรมดา

    สาเหตุการเกิดดราม่านั้น หากไม่มีหัวเรื่อง ตัวต้นเรื่อง ก็ย่อมไม่มีทางเกิดดราม่าแน่นอน

    หัวข้อกระทู้ดราม่าของไทยเรานั้นค่อนข้างมีเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง (เสื้อเหลืองและเสื้อแดง), ก็อปผลงานคนอื่น, การสร้างเรื่องเพื่อโกหก (แล้วคนอื่นจับได้), เรื่องงมงายภูตผี, หลอกลวง, ขายตรง ฯลฯ สารพัดดราม่า เรื่องใหญ่ระดับประเทศ (จนเคยมีข่าวใหญ่ด้วยซ้ำ) ไปจนถึงเรื่องเล็กที่ดูแล้วไม่น่าจะมีดราม่า อย่าง เถียงเรื่องปลาทูจะเอาไปแช่น้ำปูนหรือแช่น้ำเกลือ...ก็เคยมีมาแล้ว

    แน่นอนว่ากระทู้ดราม่าหัวข้อการ์ตูนญี่ปุ่นก็ไม่เว้น และถือว่าเป็นหัวข้อฮิตในประเทศไทยด้วยซ้ำ โดยเรื่องที่ดราม่าเถียงกันก็มีเยอะ ไม่ว่าจะเป็น ปลิง (โหลดบิต ดู RAW การ์ตูนฟรี), สปอย, ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมเคยพูดไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้เอง

    แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีหัวข้อฮิตที่สุดเกี่ยวกับดราม่าเรื่องการ์ตูน ซึ่งผมยังไม่ได้พูดถึง ซึ่งเป็นหัวข้อที่ทั้งๆ ที่หลายคนน่าจะรู้ แต่หลายคนทำเป็นปัญหาโลกแตก และไม่เคยมีข้อสรุปสักที นั้นก็คือ  ด่าโอตาคุและ คิโม่ยโอตาคุ นั้นเอง

    คำถามคือทำไมหลายคนถึงเกลียดโอตาคุมากนัก และทำไมต้องดราม่า?

     

     

    โอตาคุในจินตนาการของใครหลายคน (และพบเห็นโดยทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น)

    ภาพโดย tamari (flawless)

     

    คำว่า โอตาคุสำหรับคนไทยส่วนใหญ่นั้น มันเป็นเรื่องที่เอามาพูดถึงยังไงก็ไม่จบ มันเป็นอะไรมากกว่า คนชอบการ์ตูน มันกลายเป็นศัพท์ที่ฝังรากลึกของคนไทยไปแล้ว และแน่นอนว่าหลายคนไม่ได้แตกฉานคำนี้มากนัก

    ในวิพีมีเดียนั้น โอตาคุ (Otaku) เป็นคำภาษาญี่ปุ่น เป็นคำเรียกบุคคลอีกประเภท (โดยมากจะหมายความถึงชายหนุ่มเป็นหลัก) ที่มีความสนใจในสิ่งที่ตนชอบ (มักหมายความถึงอนิเมะ, มังงะ หรือเกม) อย่างเกินปกติ และมีความสามารถในการเข้าสังคมไม่สูง เดิมทีนั้น โอะตะกุ มีความหมายว่า "บ้านของคุณ" ต่อมาก็ถูกนำมาเรียกใช้กับแฟนคลับอนิเมะ มังงะ

    ดังนั้นความหมายของโอตาคุนั้นจริงๆ หมายถึง คนที่ชอบอะไรบางอย่างที่ชอบมาก อาจไม่ถึง ระดับแฟนพันธุ์แท้แต่ก็รักในสิ่งที่พวกเขารัก (แต่ระดับความรัก ความชอบ มีหลายระดับ  จาก รักนิดหน่อย รักเฉพาะทาง ไปจนถึง บ้าคลั่งไคล้) และแน่นอนว่าโอตาคุไม่ได้หมายถึงพวก พวกชอบการ์ตูนเสมอไป อาจรวมไปถึง ศิลปิน ไอดอล (บ้านเราก็ชอบเกาหลี) ไปจนถึง ทีมฟุตบอล บาสเกตบอล รถไฟ การ์ดเกม เกมออนไลน์ วีดีโอเกม ฯลฯ

    อย่างไรก็ตาม ส่วนมากแล้วคนไทยนั้นนิยายคำว่า โอตาคุ ในฐานะคนชอบการ์ตูนมากกว่า  และนอกจากนี้ยังเป้นคำเรียกคนที่มีนิสัยแปลกๆ ที่ประชาชนทั่วไปไม่เข้าใจ โดยไม่คำนึงว่าเป็นเขาเป็นคนชอบการ์ตูนหรือไม่

    (คำว่าโอตาคุเริ่มดังในช่วงครึ่งหลังของปี 1990 โอตาคุระยะเริ่มเป็นที่รูตักกันไปทั่วประเทศญี่ปุ่น ในฐานะคำสรรพนามเรียกบุคคลที่มีงานอดิเรกของวัฒนธรรมญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นอนิเมะหรือมังงะ (หรือการ์ตูนนั้นแหละ) และสมัยก่อนเป็นคำสุภาพ หากแต่ช่วงหลังกลายเป็นคำเรียกในเชิงน่ารังเกียจแทน และผู้หญิงญี่ปุ่นมักเรียกใช้คำว่าโอตาคุกับเด็กอายุมัธยมปลายที่ไม่ได้รับความนิยมหมู่สาว โดยไม่สนว่าเป็นโอตาคุจริงหรือเปล่า)

    คำถามคือทำไมหลายคนมักเข้าใจว่า โอตาคุ  เป็นความหมายของคนชอบการ์ตูนอย่างเดียว สาเหตุเริ่มมาจาก  โอตาคุนำมาใช้ครั้งแรกในคอลัมของอากิโอะ นากาโมริ (Akio Nakamori) ซึ่งเป็นบรรณาธิการและคนเขียนบทความ โอทากุ โนะ เคงคิว (Otaku no kenkyu) ลงติดต่อกันในนิตยสารการ์ตูนแนวปลุกใจเสือป่าชื่อ มังงะ บุริกโกะ (Manga Burikko) โดยกล่าวถึงกลุ่มแฟนการ์ตูนที่เรียกกันและกันว่า โอตาคุ เค้าจึงเรียกคนพวกนี้รวม ๆ ว่า โอตาคุ-โซกุ (Otaku-zoku) ซึ่งแปลว่า เผ่าพันธุ์โอตาคุ และต่อมาตัดเหลือเพียงโอตาคุ และเขาก็เป็นคนบรรยายว่าโอตาคุเป็นพวกเล่นกีฬาไม่เก่ง, ชอบเก็บตัว รูปร่างไม่ผอมก็อ้วยฉุดผิดสัดสวน ชอบสวนแว่นตากรอบเงินหนา และเป็นคนที่ไม่มีใครคบด้วย หลังจากนั้นโอตาคุดังกล่าวก็ได้กลายเป็น ภาพลักษณ์ที่โดดเด่นในเวลาต่อมา

    ในขณะคำว่า มาเนีย" (Mania) หรือ แฟนที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้า” (Enthusiastic Fans) ไม่เหมาะในการนำมาใช้มากนัก

    ดังนั้นโอตาคุจึงเข้ากันได้ดีกับคนบ้าการ์ตูน สื่อต่างๆ ที่คนไทยได้เห็นมักพูดถึงโอตาคุในฐานะคนชอบการ์ตูนทั้งสิ้น จะมีบ้างก็โอตาคุรถไฟ และโอตาคุแมลง โอตาคุเครื่องยนต์ แต่กับไม่ได้ใช้ศัพท์โอตาคุมาเรียกเต็มปาก หรือเรียกน้อยมาก แต่ในขณะที่คนบ้าการ์ตูนนั้น โอตาคุถูกนำมาใช้แบบเต็มปาก และนอกจากนี้ ยังมีการ์ตูนมากมาย (เกือบทุกเรื่องด้วยซ้ำ) นำเสนอโอตาคุที่ชอบการ์ตูนเป็นตัวเอก (ตัวประกอบก็เยอะ)  

    นอกจากนี้ภาพพจน์แล้ว ยังบอกพฤติกรรมของโอตาคุว่า (แน่นอนจากเว็บไร้สาระนุกรม)  โอตาคุเป็นพวกหมกมุ่นอย่างหนักในโลกของอนิเมะการ์ตูนญี่ปุ่น (แน่นอนรวมไปถึงมังงะด้วย) ทำให้คนเหล่านี้ไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่าง "เด็กผู้หญิง" ในชีวิตจริงกับในอนิเมะ ไม่สนใจผู้หญิงในชีวิตจริง นอกจากนางในอนิเมะเท่านั้น และพวกนี้จะคิดว่า "เด็กผู้หญิง" ที่น่ารักคือผู้ที่มี หูแมว หูหมา หูกระต่าย ชุดเมด เท่านั้น และพวกเขาจะเฝ้าบูชาสาวน้อยจากอนิเมะอย่างถวายหัว

    โอตาคุเป็นพวกมีโลกส่วนตัวสูง วันๆ เอาแต่ก้มหน้าอ่านหนังสือลูกเดียว โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง   ไม่ค่อยพูดคนอื่นมากนัก และพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง หากแต่ถ้าเป็นเรื่องการ์ตูนที่ชอบก็จะพูดแบบไม่หยุด ชอบสะสมฟิคเกอร์ หรือสั่งซื้อบลูเรย์ลิมิตอิดิทชั่นของเรื่องนั้นมาเก็บสะสม (แถมสินค้าบางอย่าง สั่งที 3 ชุด ชุดแรกเอาไปใช้ ชุดสองสะสม และสำรอง)

    แม้โอตาคุเป็นพวกไม่ค่อยเข้าสังคม แต่ในโลกอินเทอร์เน็ตถือว่าเป็นโลกที่โอตาตุปลดปล่อยอารมณ์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเว็บบอร์ดการ์ตูนอนิเมะและมังงะ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และพวกเขาก็มีศัพท์เฉพาะ ศัพท์แสลงที่เกี่ยวข้องกับการ์ตูนมากมาย อย่างไรก็ตาม หากมีใครมากล่าวว่าร้ายแก่อนิเมะเรื่องโปรดจะเกิดอาการโกรธลุกเป็นไฟจนแทบจะกินเลือดกินเนื้อ

    สมองส่วนใหญ่ของโอตาคุเหล่านี้ จะใช้จดจำแต่ข้อมูลที่ไม่เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันอย่างเต็มแน่นเอี๊ยด ซึ่งอาจไม่มีเรื่องที่มีสาระอยู่เลย  เป็นต้นว่า เชี่ยวชาญกางเกงในผู้หญิง ขนาดหน้าอกของผู้หญิง (แน่นอนผู้หญิงที่ว่าต้องเป็นตัวละครในการ์ตูน ไม่ใช่หญิงในชีวิตจริง)

    สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้กลายมาเป็นพวก โอตาคุ ส่วนมากจะมาจาก การที่ไม่สามารถสมหวังในความรัก (อกหัก, สาวไม่แล) ดังนั้น จึงต้องมาปลอบประโลมตัวเองด้วยโลกสมมุติที่ตัวเองสร้างขึ้นจากความใฝ่ฝันและหลงใหลในตัวละครของการ์ตูนและอนิเมชั่น เรียกได้ว่า พวกนี้คือพวกที่บ้าการ์ตูนนั่นเอง

    และที่กล่าวมาทั้งหมดนี่คือ  ภาพรวมของโอตาคุที่หลายคนรู้จัก และนอกจากนี้ยังมีการจัดระดับขั้นโอตาคุเข้าไปอีก ไม่ว่าจะเป็นระดับขี้ข้า, ไพร่, ขุนนาง ไปจนถึงเทพ แน่นอนว่าหากอ่านดูแบบคร่าวๆ จะพบว่าโอตาคุนี้ช่างเป็นบุคคลที่ไม่น่าคบเสียเลย ในการ์ตูนญี่ปุ่นที่มักนำเสนอตัวเอกที่เป็นโอตาคุ มักมีภาพพจน์ที่เป็นคนไม่ได้เรื่อง สาวไม่แล เพื่อนไม่ค่อยคบ คบแต่เพื่อนที่มีรสนิยมเดียวกัน แถมหน้าตาออกไปธรรมดา ค่อนไปทางน่าเกลียดด้วยซ้ำ

    ยิ่งถ้าเป็นการ์ตูนสายมืดแล้วใหญ่ วาดโอตาคุออกมาในลักษณะน่าเกลียด  น่ากลัว และมีนิสัยชอบข่มขืนสาวในชีวิตจริง และบางครั้งก็ทำตัวชั่วๆ ลงแขกผู้หญิงด้วย (ยกตัวอย่างโดจินสายมืด น้องสาวไม่น่ารักแบบนี้หรอก มีคิริโนะโดนโอตาคุอ้วนหลายคนโดนรุมข่มขืน ขณะไปมิตติ้ง)

    แม้ว่าโอตาคุที่เราให้ในสื่อจะเป็นการแต่งเติมเสริมแต่งให้ดูน่าประหลาดแบบเวอร์ๆ แต่ในโลกแห่งความจริงในประเทศญี่ปุ่นก็ยังมีอยู่บ้าง โดยเฉพาะในอากิฮาบาร่า ชนิดที่ดูก็รู้เลยว่าเป็นโอตาคุชอบการ์ตูน (การแต่งตัวมันบ่งบอก)

    (สาเหตุที่โอตาคุแต่งกายเสื้อยืดลายการ์ตูนสาวน้อยน่ารัก กางเกงยีนส์ รองเท้าแตะ แบกเป้ มักนิยมแต่งกายในฮากิบาฮาร่า หรืออากิบะ-เคย์-บอย หรือ เอ-เคย์  Akiba-Kei-Boy หรือ A-Kei) โดยมาจากการแต่งกายเลียนแบบในลักษณะฮิปฮอปนักร้องผิวดำ)

    อย่างไรก็ตาม ยังมีโอตาคุหลายคนไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะบางคนมองไม่ออกเลยว่าชอบการ์ตูน มีชีวิตการงานปกติ มีลูกมีเมีย บางคนมีฐานะทางสังคม ขณะที่บางคนปกปิดตัวตนที่แท้ขริงไม่ให้ใครรู้ว่าตนเองเป็นโอตาคุ (เหมือนอย่างการ์ตูนหลายเรื่อง เช่น น้องสาวของฉันไม่น่ารักเลย คิริโนะปกปิดไม่ให้ครอบครัวรู้ว่าตนเป็นคนชอบเกมเอโรเกะโป๊)

    คำว่า โอตาคุเป็นคำที่เป็นได้มากกว่าความหมาย เพราะมันยังส่งกระทบต่อความรู้สึกและจิตใจใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็นโอตาคุ หรือไม่โอตาคุก็ตาม   ในลักษณะแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นเชิงลบ เชิงบวก  

    ส่วนมาก โอตาคุนั้นเป็นคำพูดเชิงไม่ดี (จนดูเหมือนดูถูก) มากกว่าจะเป็นคำชม ทำให้คนชอบการ์ตูนส่วนมากมัก (รวมถึงคนธรรมดา) ปฏิเสธที่จะยอมรับเป็นโอตาคุ  ในขณะที่ใครบางคนคิดว่าโอตาคุเป็นคำยกย่อง คำชม และผู้รู้เรื่องการ์ตูนอย่างชำช่อง ยืดอกคำว่าเป็นโอตาคุอย่างไม่เกรงกลัวสายตาใคร\

     

     

    โอตาคุตัวจริง

    http://www.amakanata.com/2012/10/blog-post_9.html

     

    สำหรับประเทศไทยไทย ปัจจุบัน คำว่า โอตาคุเริ่มเข้ามามีบทบาทต่อสังคมไทยมากขึ้น เนื่องด้วยอิทธิพลการ์ตูนญี่ปุ่นในปัจจุบันมีมากขึ้น คนไทยไม่ได้อ่านจัมป์เสมอไป  อีกทั้งการมีอยู่ของอินเทอร์เน็ตทำให้ทันข่าวสาร (ดูการ์ตูนอนิเมะและมังงะเร็วมากขึ้น จนไม่ได้ต้องรอลิขสิทธิ์) และเป็นช่องทางหนึ่งในการติดต่อสื่อสาร การตั้งเว็บบอร์ดเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการ์ตูนญี่ปุ่นมากขึ้น

    กระแสโอตาคุนั้นอาจน้อยกว่าเมื่อเทียบประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เกลียดโอตาคุและ ความเข้นข้นของดราม่า (ใครจะไปเทียบได้กับประเทศต้นตำรับได้ล่ะ)

    แต่อย่างไรก็ตาม โอตาคุ ยังคงเป็นหัวข้อที่เหมาะแก่การดราม่าของประเทศไทยมากที่สุด แต่........คนมาตอบในกระทู้ดราม่านั้นดูยังไงก็ไม่ใช่โอตาคุ!!

    โดยภาพรวมๆ โอตาคุประเทศไทยค่อนข้างมีน้อย (แน่นอนจากความรู้สึกของผม เพราะมันไม่เคยมีการจัดดันดับ หรือออกแบบสอบถามดุสิตโพส ) โอตาคุที่ว่าคือประเภทนักสะสม เพราะว่าสินค้าหลายสินค้านั้นส่วนมากเป็นของเมืองใหญ่  ตามห้าง หรือแหล่งขายเฉพาะ ในขณะที่บ้านนอก เขตไกลกรุงเทพนั้นเป็นไปได้ยากที่จะได้เจอมังงะ ฟิคเกอร์-ขายแน่นอน  และนอกจากนี้คนเป็นโอตาคุต้องมีทุนหนาพอสมควร อีกทั้งต้องมีสถานที่เก็บต้องกว้าง ประเทศไทยแดนร้อน บ้านแคบๆ กับรายได้ประชาชนต่ำคงไม่ไหวแน่นอน (ยกเว้นคนในเมือง)

    แม้โอตาคุ (ระดับเวอร์ๆ สะสมโหดๆ) บ้านเรามีน้อย แต่ความจริงที่ว่าคนชอบการ์ตูนบ้านเราก็ยังมีมากอยู่ดี สังคมนั้นย่อมมีความหลากหลาย สังคมการ์ตูนก็เช่นกัน ย่อมมีผู้รู้มาก รู้น้อย รักมาก รักน้อย ไปจนถึงคนธรรมดา  แน่นอนว่ารวมถึงเกรียนเข้าไปด้วย (บุคคลสร้างสถานการณ์ ด่าแบบไร้เหตุผล)

    ส่วนใหญ่แล้วบ้านเราไม่ได้เกลียดโอตาคุรุนแรงเท่าที่ญี่ปุ่น ที่บางที บางสังคมญี่ปุ่นหากรู้ว่าใครเป็นโอตาคุจะไม่คบ และบอยคอตเลยก็มี  โอตาคุบางคนก็โดนไถเงินหรือกลั่นแกล้ง (แบบในการ์ตูน) แต่บ้านเราส่วนมากเรามักจะเห็นความเกลียดชังที่ว่าทางอินเทอร์เน็ต (ส่วนการแสดงออกทางสังคมจริงๆ ไม่ค่อยมี)

    ความเกลียดโอตาคุ  ส่วนใหญ่เกิดมาจากความไม่รู้ มาจากการรับรู้เรื่องสื่อ ข่าวสาร ที่ออกมาด้านลบ (ที่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีมูลความจริงสักเท่าไหร่ หรือข้อมูลผิดพลาดเป็นส่วนมาก) และคนรู้ข่าวสารไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น  เกิดมาจากรู้สึกหมั่นไส้คนที่ชอบการ์ตูนทำอะไรเวอร์ๆ (สะสมเวอร์, แบกสแตนด์เวอร์, แต่งงานกับตัวการ์ตูน, คอสเพลย์ เป็นต้น)

    ส่วนมากการแสดงออกความไม่เข้าใจ ความหมั่นไส้ ความเกลียดนั้น ไม่ได้แสดงในลักษณะรุนแรง อย่างมากแค่มองโอตาคุไทยด้วยสายตาประหลาด สงสัย   หรือไม่ก็พูดต่อหน้าแบบดูถูกคนชอบการ์ตูนว่า ชอบการ์ตูนปัญญาอ่อน  แต่ความรุนแรงทางกายภาพอะไรนั้นไม่มีมาก (คงไม่มีจำพวกเห็นโอตาคุแบกสแตนด์เกิดความรู้สึกหมั่นไส้เอามีดมาไล่ฟันหรอกมั้ง) 

    ดังนั้นสิ่งที่เราเห็นการแสดงทางอินเทอร์ จำพวกระทู้ดราม่า หรือไม่ก็ตั้งเพจด่าโอตาคุเท่านั้น (ซึ่งผมก็ไม่เห็นใครมาตั้งอีเวนท์ นัดพบคนเกลียดโอตาคุสักราย)

                 แน่นอน ในสังคมอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นกระทู้หรือเว็บบอร์ดที่ไหน ก็ย่อมมีบุคคลหลายประเภท ไม่จำเป็นต้องมีแต่โอตาคุ (แท้), คนชอบการ์ตูน, คนบ้าการ์ตูนเสมอไปที่มาแสดงความเห็น ยังรวมไปถึงคนธรรมดา คนภายนอก  คนที่ไม่รู้การ์ตูนก็เข้ามาด้วย (ส่วนเข้ามาเพื่ออะไรไม่รู้) และที่ขาดไม่ได้ก็คือ เกรียน และพวกตามน้ำ ซึ่งพวกเกรียนนั้นเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดดราม่าบ่อยครั้ง

    กระทู้ดราม่าส่วนใหญ่ ที่ด่าโอตาคุนั้น เกิดจากเกรียนตั้งกระทู้เพื่อล่อเป้า อยากเห็นโอตาคุ (และคนไม่ใช่โอตาคุ) มาดิ้นพล่าน เถียงไปเถียงมา (แต่ส่วนมากคนตั้งกระทู้มักหนีเป็นส่วนใหญ่)  เมื่อกระทู้ดัง คนนอกก็เริ่มสนใจ แห่กันเข้ามา และมีเกรียนโยนระเบิดเข้าไป ให้มันร้องแรงมากขึ้นไปอีก นี่คือภาพรวมของการเกิดกระทู้ดราม่า

     


    ยัยคิโม่ยยย (
    Kimoi Girls)

     

    นอกจากเว็บบอร์ดตามเว็บทั่วไปแล้ว ในเฟสบุ๊คถือว่าเป็นหนึ่งในเว็บที่มีชื่อเสียง และคนไทยเข้ามามากที่สุด  แน่นอนว่าว่ายังเป็นที่แสดงความคิดเห็น การแลกเปลี่ยน การ์ตูนด้วย ซึ่งมีหลายคนตั้งเพจคนชอบการ์ตูนญี่ปุ่นมากมาย หลายแบบ ขึ้นอยู่กับแนวที่ตนชอบ เพื่อหาคอเดียวกัน และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เช่น เพจซึนเดเระ, เพจคูลเดเระ, อวยนางาโตะ ยูกิ เป็นต้น

    และที่น่าสนใจคือนอกเหนือจากเพจการ์ตูน หาคอการ์ตูนแล้ว ยังมีเพจด่าโอตาคุโดยเฉพาะอีกต่างหาก แม้จะมีไม่มากเท่าเพจอวยการ์ตูนก็เถอะ

    ส่วนใหญ่ชื่อเพจค่อนข้างเป็นคำหยาบ ประมาณว่า พวกโอตาคุฟ่อตาย”, คิโม่ยโอตาคุ”,  สาววายฟ่อตายหมด”, อวยแล้วได้ H ไหม ส่วนมากเนื้อหาเพจ จะเป็นการตั้งแบบยั่วยุให้เกิดดราม่า ระหว่างเจ้าของเพจ (แอดมิน) กับพวกโอตาคุ (แต่เท่าที่ดู ผมว่ามีแต่เกรียนเข้ามาดราม่ามากกว่า)

    เพจจำพวกนี้ไม่ได้รับความนิยมมากนัก ไม่ถึงขั้นส่งผลกับวงการการ์ตูนเท่าไหร่  แต่อย่างไรก็ตาม  ผมก็สนใจเกี่ยวกับเนื้อหาเพจนั้น ว่าเขามีอะไรมาด่าโอตาคุบ้าง  (ช่วงแรกๆ ก็ให้ความคิดเห็นอยู่หรอก แต่ดูแล้วไม่เห็นมีใครสนใจ เลยเลิกเขียนดีกว่า)

    หลังจากดูมาพักหนึ่ง ผมก็ไปพบศัพท์หนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งผมก็ไม่รู้มาก่อนว่ามีศัพท์นี้มาด้วย นั่นคือ คิโม่ยโอตาคุ (kimoi ) เป็นคำญี่ปุ่น   แปลว่า ความรู้สึกแย่ รู้สึกไม่ได้ เป็นคำที่เวลาเห็นคนและสิ่งของที่มีอะไรบางอย่างที่ดูแล้วรู้สึกขยะแขยง น่ารังเกียจ ก็จะพูดคำว่า คิโม่ย

    พูดง่ายๆ คือคิโม่ยโอตาคุ คือคำที่เพจนั้นด่าว่า คนชอบการ์ตูนที่มีนิสัยและพฤติกรรมน่ารังเกียจต่อสังคมนั้นเอง

    คำว่าคิโม่ยนั้น คือเป็นปรากฏการณ์ Meme ญี่ปุ่นมาพักหนึ่ง คือมันมีมุกหนึ่งคือ  Kimoi Girls (ยัยคิโม่ยยย) โดยมุกที่ว่าเป็นภาพหนึ่งมาจากการ์ตูนโป๊เรื่อง “Pay Back” แต่งโดย Jun Nitta เผยแพร่เมื่อเดือนกรกฏาคม 2002 โดยเป็นภาพนักเรียนหญิงคนหนึ่งกำลังหัวเราะเมื่อพบว่านักเรียนชายคนหนึ่งเป็น เชอรี่บอย” (ไม่มีประสบการณ์ทางเพศ)

    อะไรน่ะ นายบริสุทธิ์อยู่เหรอ?” (What, really, you're a virgin!?)

    น่าสงสาร” (How pathetic!)

    โรงเรียนไม่ยอมรับคนอย่างนายที่เป็นเชอร์รี่บอยหรอก (Being a virgin is totally unacceptable past grade school.)

    ฮ่าฮ่าฮ่า!” (Hahaha!)

    (ถ้าผมจำไม่ผิด ยัยสองคนนั้นลากเชอรี่บอยไปขึ้นครู สรุปว่า ใครคิโม่ยกันแน่เนี้ย เพราะหลังจากนั้น คนเขียนก็วาดยัยคิโม่ยยย หลายตอนเหมือนกัน ดูแล้วยัยสองคนนี้แรดยังเรียกพี่เลย)

    แน่นอนว่าต้นกำเนิดมุกนี้มาจากเว็บสองจัง (2channel) เมื่อวันที่ 2003 หลังจากนั้นเป็นต้นมามุกนี้ได้กลายเป็นว่า มันห่วย มันอ่อนในลักษณะเยาะเย้ยคนที่ทำอะไรห่วยๆ (ล้มเหลว)

    และในขณะเดียวคนที่พูดว่าคนอื่นคิโม่ย ก็คิโม่ยไม่แพ้กัน!! (พูดไม่ดูตัวเอง) ดั่งมุกสาวคิโม่ยยยนั้นแหละ สองสาวว่าคนอื่นอย่างโน้นอย่างนี้ ในขณะที่พวกเธอนั้นทำตัวรกสังคมยิ่งกว่าอีกเสียอีก (เชอรี่บอยไม่ได้ทำให้สังคมเสื่อมโทรม แต่สองสาวนี้เสื่อมสังคมของแท้เลย!!)

     

     

    โอตาคุบ้านฉันไม่ได้น่ารักแบบนี้หรอก

    Yamucha

     

                    คนเกลียดโอตาคุ ด่าโอตาคุเรื่องใดบ้างฦ หลังจากที่ผมเข้าไปดูเพจพวกนี้พักหนึ่ง ผมเชื่อว่า ผมเชื่อว่าคนตั้งเพจนั้นน่าจะเป็นบุคคลที่ชอบการ์ตูนเหมือนกัน (หากไม่ชอบ ก็คงไม่สามารถอธิบายได้ว่าพวกเขานั้นจะเข้าบอร์ดการ์ตูนเพื่ออะไร?) แต่ไม่ค่อยมีความรู้แตกฉานการ์ตูนมากนัก  เชื่อว่าจะอายุยังน้อย ไม่ได้บรรลุนิติภาวะ  สิ่งที่เอามาเขียน เอามาพูดถึง ส่วนมาก มาจากการ การยกข้อความ-ภาพ จากเพจคนชอบการ์ตูน, บอร์ดพันทิปการ์ตูน และบอร์ดตรุกี ซึ่งเป็นบอร์ดเกี่ยวกับการ์ตูนที่ดังที่สุด

                    และปัจจุบันเพจด่าโอตาคุ หรือพวกตำหนิโอตาคุ ชนิดสามารถพูดรายละเอียด หรือมีเหตุผล ไม่ค่อยมีนัก ส่วนมากตั้งขึ้นเพื่อล้อเป้าอะไรมากกว่า

                    คราวนี้มาดูสิ่งที่เพจด่าโอตาคุบ้างว่า ส่วนมากสิ่งที่ออกมาด่าโอตาคุนั้น จะเป็นพวกคอมเม้น, รูปถ่าย (ซึ่งไม่ได้มาจากเจ้าตัวถ่ายจริง หรือไปพบเห็นโอตาคุตัวจริงๆ ) ซึ่งเห็นแล้วเกิดความรู้สึกคิโม่ย ความจริงผมก็แอบเห็นด้วยนิดหน่อยๆ  คือมันน่ารังเกียจจริงๆ แหละ  แต่ในขณะที่บางอย่างผมก็ไม่เห็นด้วย

    -ด่าว่าพวกโอตาคุไม่สามารถแยกจริงกับโลกการ์ตูนไม่ออก เกิดความรู้สึกหมั่นไส้คนแบกสแตนและหมอนข้างลายการ์ตูนออกมาข้างนอก  (แต่เท่าที่ผมดูไม่เห็นสร้างความเดือดร้อนสังคมนะ แต่คนลอบข้างมองในลักษณะทางลบแน่นอน)

    -ด่าว่าโอตาคุเป็นพวกไม่เข้าสังคม พูดคนอื่นไม่เป็น (ความจริงแล้ว ปัจจุบันไม่เพียงโอตาคุ คนชอบการ์ตูนหรอก หากแต่เป็นสังคมไทยภาพรวมเลย ที่คนอื่นเริ่มสื่อสารกับคนรอบข้างลดลง เพราะเราสนใจแต่การสนทนาทางอินเทอร์เน็ต ทำให้มีปัญหาเรื่องการสื่อสารด้วย)

                    ตรงส่วนนี้ คือการด่าโอตาคุในภาพลักษณ์ที่เห็นในสื่อ แต่โอตาคุในชีวิตจริง ผมว่าแทบไม่ได้เห็นด้วยซ้ำ

    -ด่าว่าคอสเพลย์ (สมัยก่อนงานคอสเพลย์จัดในโรงพยาบาลใหญ่ๆ ทำให้หลายคนออกมาบ่นว่าสร้างความเดือดร้อน ซึ่งปัจจุบันผมก็ไม่รู้ว่างานคอสเพลย์ไทยเขาเลิกจัดกันในโรงพยาบาลหรือยัง)

                    ส่วนมากมักด่าโอตาคุนิสัยไม่ดี เห็นแก่ตัว (คนไทยก็ใช่ว่าจะนิสัยดีทุกคน) โอตาคุโรคจิต อันนี้ผมก็ไม่เห็นด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าคนที่คุณว่าโอตาคุนั้น เป็นโอตาคุจริงๆ หรือเกรียนกันแน่ ในโลกอินเทอร์เน็ตเราไม่สามารถแยกได้เลย

    -ด่าเพจการ์ตูนโป๊ ปัจจุบันเพจบุ๊คเริ่มเอาการ์ตูนโป๊มาเผยแพร่ ไม่ว่าจะเป็นแปลไทย หรือโหลด อันนี้ผมก็อธิบายยากเหมือนกัน แต่ผมเห็นว่าเรื่องการ์ตูนโป๊เราควรทำไมโจ้งแจ้ง อีกทั้งเฟสบุ๊คเป็นเว็บคนเข้ามามาก ผมว่าไม่ควร

    -ด่าว่าฮาเร็ม ซึ่งผมก็โครตสงสัยเหมือนกัน ว่าทำไมชอบยกการ์ตูนแนวฮาเร็มมาเป็นหัวข้อด่าว่า เป็นการ์ตูนไร้สาระ เอาแต่โชว์เนื้อหนังมังสา และทำไมสาวๆ ถึงรุมชอบอะไรพระเอก อะไรไม่ดี ชอบเหมารวมฮาเร็มตลอด  โดยไม่ดูด้านดีเนื้อหาการ์ตูนแนวฮาเร็ม (แน่นอนว่าการ์ตูนแนวฮาเร็มหลายเรื่องขายเอจจิมากกว่าการดำเนินเรื่อง) ทำไมไม่พูดการ์ตูนจัมป์ หรือแนวอื่นบ้าง (จัมป์น่ะ มีทั้งรุนแรง ตบตีฆ่าฟันกัน ทำไมไม่ยกมาพูดถึงบ้าง ถ้าผมจำไม่ผิด ในมุมตอบจดหมายวันพีช เคยมีคนถามคนแต่งว่าหน้าอกของนามิมีขนาดเท่าไหร่ นี้ไม่ได้เรียกคิโม่ยเหรอ ส่วนมากก็ด่าฮาเร็มตามกระแสอะไรมากกว่า)

                    ปกติแล้วสิ่งที่เราเห็นบ่อยๆ ของสะสมโอตาคุที่เรามักจะเป็น จะเป็นพวกเกมจีบสาว (บวก 18) และนอกจากนี้จะเป็นฟิคเกอร์ หนังสือการ์ตูน โปสเตอร์ หมอนข้าง ก็มาจากการ์ตูนเกมจีบสาว ไม่ก็แนวโมเอะ ผลคือฮาเร็มจึงกลายเป็นเป้าอย่างดีในการด่าว่า แทนที่จะเอาการ์ตูนจัมป์ หรือกัมดั้มมาพูดถึง

    -โอตาคุหื่น เนื่องจากของสะสมของโอตาคุ (เท่าที่เห็นในสื่อ) เป็นสินค้านำเข้าแพงๆ และส่วนใหญ่เป็นภาพตัวละครสาวเกือบเปลือย และเห็นกางเกงใน อีกทั้งการแสดงออกของโอตาคุ จึงทำให้หลายคนมองว่าโอตาคุอยากเอาตัวละครในการ์ตูนมาเป็นแฟน (รักยิ่งกว่าแฟน) ไม่สนสาวในชีวิตจริง ความจริงเรื่องนี้ไม่ได้แปลกแต่อย่างใดหากเราดูมุมมองของมนุษย์คนหนึ่งที่ชื่อชอบศิลปะ  หลงใหลในวรรณกรรม คนรักละคร ชอบดาราเกาหลี ไปจนถึงภาพวาดศิลปะดังๆ อย่างโมนาลิซ่า ก็มีให้เห็นออกบ่อยๆ ที่เราจะแสดงออกในความรักอะไรบางอย่างบ้างให้คนอื่นได้เห็น

     

     

    อากิฮาบาร่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่โอตาคุต้องมายืนสักครั้งในชีวิต

    http://proudtobeasian12.blogspot.com/2013/04/otaku.html

     

                    นอกจากนี้เพจเกลียดโอตาคุ ยังยก (ออกไปทางประจานมากกว่า) บุคคลที่เป็นคิโม่ย ซึ่งส่วนเป็นการพิจารณาจากเนื้อหา ดูเม้น ข้อความ และกระทู้ (ซึ่งคนเม้นก็ไม่รู้ว่าเป็นโอตาคุจริงๆ หรือเปล่า) ซึ่งส่วนมากจะเป็นเพจในฟุสบุ๊ค, ตรุกี  และพันทิป ส่วนเด็กดีนั้นไม่ยักมี โดยหลักๆ บุคคลในอินเทอร์เน็ตที่ถูก (อ้าง) ว่าเป็นคิโม่ยโอตาคุมีดังต่อไปนี้

                    -บุคคลที่ชอบโพสภาพตัวละครหญิงน่ารักในลักษณะเปลือย (หรือเกือบเปลือย), กางเกงใน, หรือเน้นภาพนม  (ส่วนมาก ตัวละครหญิงที่ว่ามาจากอนิเมะ การ์ตูนแนวฮาเร็ม หรือคอเมดี้ของผู้ชาย เรื่องดังประจำซีรีย์ ซึ่งมักจะมีฉากเอจจิ เด่นๆ ให้หลายคนโพสอวย)

                    -บุคคลที่ชอบเล่นมุกหื่นๆ (คือมุกสองแง่สองง่าม และภาพตัวละครหญิงน่ารักที่เน้นจุดนมเป็นหลัก) ซึ่งส่วนมากเป็นมุกฉากเอจจิแนวฮาเร็มหรือไม่ก็คอเมดี้ญี่ปุ่น (อีกแหละ) และมุกค่อนข้างไม่ตลก (เน้นหื่น)

                    -บุคคลที่ชอบเม้นเอาเรื่องการ์ตูนปนกับเรื่องจริง มักเปรียบเทียบการ์ตูนกับชีวิตจริง เช่น พูดถึงแฟนสาวของตนว่าเป็นสาวซึนเดระ หรือไม่ก็น้องสาวไม่น่ารักเหมือนตัวการ์ตูน 

                    อืม....ขอยกตัวอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ คือมีดราม่าหนึ่ง เกี่ยวกับแสดงความคิดเห็น ข่าวว่าจะมีกฎหมายโลกอาหรับ ประเทศอีรักที่ออกกฎหมายให้ผู้ใหญ่ชายสามารถแต่งงานกับเด็กหญิงอายุ 9 ขวบได้ (ความจริงโลกอาหรับเรื่องแต่งงานดับเด็กอายุน้อยมีมานานแล้ว เป็นประเพณีที่ฝังลึกมาก แต่อีรักทำเป็นกฎหมายเท่านั้น)  แน่นอนเมื่อข่าวนี้เมื่อไปอยู่เพจการ์ตูน บอร์ดการ์ตูน ต้องไปโยงกับการ์ตูนโลลิกับชีวิตจริง และมีเม้นเป็นต้นว่า ไทยเราน่าจะมีกฎหมายแบบนี้บ้าง”, “เดี๋ยวตรูเปลี่ยนสัญชาติบินไปอีรักดีกว่า”, เดี๋ยวพาน้องสาวไปอยู่อีรัก  เป็นต้น แน่นอนคนภายนอก (หรือคนที่จริงจัง) เข้ามาเห็นก็เกิดดราม่าจนได้

                    รายละเอียดดราม่า (เว็บจ่า)  ไปอีรักเพราะรักเด็ก!!”

                    -บุคคลที่อวยตัวละครเวอร์ อวยจนน่ารำคาญ และแขวะตัวละครตัวอื่นๆ (ที่ตนไม่ได้อวย) เช่น คนนี้เป็นนางเอก”, “ผมทองนางเอก  ซากินางเอก, “โซโกะขอมดำดิน ซึ่งมักมีกระทู้ประเภทสงครามอวย หรือไม่ก็โพสหระทู้สปอย หรือกระทู้เกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องนั้น จนทำให้เพจคิโม่ยออกมาพูดว่า อวยแล้วได้ H ไหมและอวยอะไรหนักหนา หรือไม่ก็ไม่ได้อวยจะตายให้ได้เหรอ

                    ฯลฯ

                    นี่คือเนื้อหาหลักๆ ที่เพจเกลียดโอตาคุบอกว่านี้คือคิโม่ยโอโตกิ ส่วนนอกนั้นก็พูดถึง ปลิง ที่ชอบโวยวายเวลาอนิเมะเรื่องนั้นมิลิขสิทธิ ก็ไม่ได้น่าสนใจเท่าไหร่ (ปลิงไม่ใช่โอตาคุนะครับ อย่างเช่นผมเป็นต้น.... อย่างอย่าง บ้านเราเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์นั้นยังเป็นปัญหาที่ยังคงอยู่)

                    คำถามคือ? เพจด่าโอตาคุเจตนาต้องการอะไรกันแน่?เจตนามีอย่างเดียว หาแนวร่วมด่าโอตาคุ แต่ปัญหาคือทำแบบนี้จะทำให้โอตาคุหมดจากประเทศไทยไหม เป็นไปไม่ได้แน่นอน (และผมก็ไม่เคยเห็นมิตติ้งชมรมคนเกลียดโอตาคุให้เห็นสักครั้งเลย หรือไม่เจอมั้ง)

     

     

    ห้องโอตาคุ

    http://proudtobeasian12.blogspot.com/2013/04/otaku.html

     

                    แน่นอนว่าผมก็มีอะไรบางอยากฝากสำหรับคนเกลียดโอตาคุ หรือผู้ทำเพจ, ยูทูปคนเกลียดโอตาคุด้วย (ส่วนเกรียนนั้นก็แล้วแต่) ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาคงไม่สนใจสิ่งที่ผมเขียนหรอก

                    -อย่าเหมาว่าทุกคนเป็นโอตาคุหมด คนโพส คนเกรียน คนดราม่า อาจไม่ใช่โอตาคุเสมอไป และคนเรามีหลายอายุ เด็กมาก ผู้ใหญ่ก็เยอะ

                    -ที่สำคัญไม่ว่าในบอร์ดไหน ก็ใช่ว่าจะเป็นคนเชี่ยวชาญการ์ตูนไปหมดทุกคน หากเข้าบอร์ดนานๆ ก็น่าจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว 

                    -ขอให้เข้าใจว่าความหื่นของมนุษย์เป็นของคู่กัน และมุกตลกหื่นนั้นก็มีอยู่ ไทยเราใช่ช่วยที่ไหน การ์ตูนไทยสมัยก่อนนี้ มีทั้งชู้ เล่นเมียชาวบ้าน ก็มี

    -โอตาคุที่ดียังมีอีกมาก และเป็นคนปกติเหมือนเรา พวกเขาชอบการ์ตูน รักการ์ตูน สะสมการ์ตูน มันเป็นธรรมดาของมนุษย์ ที่มีงานอดิเรกทำ ใช้เวลาว่างเป็นประโยชน์ ส่วนเงินนั้นบางครั้งก็อาจจะใช้เงินจากพ่อแม่บ้าง  แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเดือดร้อนต่อสังคม 

    -ต่างคนต่างอยู่ และเข้าใจซึ่งกันและกัน 

    -สิ่งทำอยู่นั้น (ตั้งเพจด่าโอตาคุ, ดราม่าอะไรต่างๆ)  ไม่ต่างอะไรกับว่าคนอื่นครับ ดั่งสุภาษิต ว่าคนอื่นบ้า ตัวเองก็บ้าเหมือนกันแหละ

    -และอย่าเอาการ์ตูนฮาเร็มไปเปรียบเทียบละครหลังข่าวไทย (พระเอกฮาเร็มไม่โง่ และเขาทำทุกอย่างเพื่อทุกทุกคนมีความสุข)

    -อย่าเอาแต่ยกการ์ตูนแนวฮาเร็มอย่างเดียว

                    -อันนี้ ผมอยากฝากถามคนที่เกลียดโอตาคุ หรือคนที่ตั้งเพจโอตาคุคือ ในเมื่อคุณเกลียดโอตาคุ แล้วคุณจะเข้าไปกระทู้หรือบอร์ดคนชอบการ์ตูนทำไม? เข้าไป ก็เห็นสิ่งที่เรียกคิโม่ย หากไม่ชอบ ทำไมไม่พูดต่อหน้าเขา ไม่เตือนสติเขา (พูดด้วยคำสุภาพ ไม่ใช่เกรียน) แต่เอามาประจานเพจ ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกครับ 

                    -คำถามต่อมา แล้วปัจจุบัน การ์ตูนที่คิดว่าดี จรรโลงสังคม คืออะไร? การ์ตูนแต่ละเรื่องก็มีด้านดี และด้านไม่ดี อย่าง Shool Day เป็นการ์ตูนที่ออกเวอร์ๆ บ้าง แต่มันก็สอนอะไรหลายอย่างแก่วัยรุ่นไทย (ผมไม่เคยเห็นคนเกลียดโอตาคุ โพสการ์ตูนดี น่าดู สักเรื่อง อย่าบอกว่าไม่ชอบการ์ตูน ถ้าไม่ชอบ จะเข้าบอร์ดการ์ตูนเพื่ออะไร?)

                    -ทำไมไม่พูดถึงด้านดีการ์ตูนบ้าง (เห็นแต่กัดการ์ตูนอย่างเดียว  หรือไม่ก็กัดโอตาคุ)

                    -การที่โอตาคุ (ซึ่งผมไม่เชื่อว่าเป็นโอตาคุ) ดิ้นอะไร อยากให้ดูเหตุผลที่ดิ้นด้วยครับ เช่น ปลิงดิ้นเรื่องลิขสิทธิ์นั้น ไม่ใช่โอตาคุ แต่เป็นปลิง เป็นต้น หรือเรื่องเซ็นเซอร์ชุดว่ายน้ำของช่อง 9 มันไม่เกี่ยวคิโม่ยอะไรหรอกครับ มันหงุดหงิดมากกว่า มันก็เหมือนเซ็นเซอร์บุหรี่ หรือเซ็นเซอร์ป้านเหล้าโฆษณานี้แหละ และเซ็นเซอร์ชุดว่ายน้ำนั้นสุดหงุดหงิดเลย เพราะมันเซ็นเกือบทั้งจอ

                    -สุดท้ายผมก็คงไม่สามารถห้ามเพจเกลียดโอตาคุได้ ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้ฝากให้คิดบ้างจะด่าอะไร ก็ขอให้ทำการ์บ้านบ้างเถอะะ ก่อนที่จะโพสอะไร บางเรื่องข้อมูลผิดเต็มๆ การที่จะเกลียดอะไร เราก็คงรู้จักสิ่งที่เราเกลียด อาจไม่ละเอียด แต่ก็น่าจะมีความรู้บ้าง ด่าการ์ตูน (ซึ่งก็ไม่เข้าใจทำไมต้องฮาเร็ม) แล้วไม่เคยดูมาก่อน ไม่ได้ศึกษามาก่อน

                    -และสุดท้าย ของสุดท้าย หากคุณไม่มีเหตุผล สิ่งที่ได้ก็คือความไม่มีเหตุผล หากคุณแสดงความเกลียดก็ได้ความเกลียดกกลับมา ฉันนั้น

     

     

    ห้องโอตาคุ

    http://proudtobeasian12.blogspot.com/2013/04/otaku.html

     

    และฝากถึงคนโพส จนโดนหาว่าคิโม่ย ซึ่งความจริงผมก็อยากพูดมานานแล้วละ แต่ผมกลัวดราม่า ซึ่งผมก็ไม่สามารถทำให้หลายคนเลิกพฤติกรรมแบบนี้ไม่ได้ เพราะมันเป็นสิทธิส่วนบุคคล เป็นโลกออนไลน์ที่หลายคนจะทำอะไรก็ได้ แต่กระนั้นผมก็อยากให้คนโพสคิดสักนิดก่อนจะโพส แม้อาจเป็นอะไรเล็กๆ ที่จะอาจทำให้ขยายวงกว้างกลายเรื่องใหญ่ในอนาคตข้างหน้าได้ และผมเชื่อว่าใครบางคน ณ ที่นี้เคยทำอะไรคิโม่ยอะไรมาบ้างแล้ว (ซึ่งผมก็เคยโชว์คิโม่ยเหมือนกัน ฮ่าๆ)  จึงขอให้คิดมากๆ หน่อยครับเวลาจะโพสอะไรไป

    -โอตาคุไม่ใช่คำชมครับ และโอตาคุจริงๆ เขาจะไม่พูดว่าตนเองเป็นโอตาคุ (งั้นตรูเป็นเหรอนี้) เห็นหลายคนใช้คำว่า คนบ้าการ์ตูน ไม่ก็มาเนีย หรือแฟนพันธุ์แท้ (ส่วนผมคงพันทาง หางดาบ ผสมบลูด็อก)

    -อย่าไปตามเกม กระทู้เกลียดโอตาคุ เพราะส่วนใหญ่มักตั้งโดยเกรียนที่จะหวังดราม่า เห็นคนดิ้น

    -บางอย่างถ้าเงียบได้ ก็จะดีมากครับ อยากพวกการ์ตูนโป๊ หรือพวกไม่มีลิขสิทธิ์

    -เรื่องเพจการ์ตูนโป๊ ผมไม่สนับสนุนน่ะ เฟจบุ๊คนั้นคนเข้าเยอะครับ ยังไงก็ต้องมีคนนอกมาเจอบ้าง เรื่องแบบนี้ควรพูดในที่ลับๆ ตาคนอะไรมากกว่า  (ทำอย่างกับเอ็งไม่พูดในที่ลับอย่างงั้นแหละ)

    -หากพบเห็นเพจโอตาคุ หรืออะไรที่บอกว่าเกลียดโอตาคุ เกรียนอยากดราม่า วิธีเดียวที่จะตอบโต้คือให้เงียบ ทำเป็นไม่สนใจ แล้วมันก็จะหายไปเอง (ผมซึ้งกับวิธีนี้มาก)

                    -เวลาโพสอะไร ขอให้คิดมากๆ ครับถึงผลที่ตามมา ไม่ว่าจะโพสนม กางเกงใน หรือเล่นมุกหื่นสองแง่สองสาม (แถมมุกแป๊กอีกต่างหาก)  โอเค มันแค่ขำๆ (อย่างที่หลายคนให้เห็นเหตุผล)  เว็บที่โพสเป็นเว็บปิด ให้คนสนิทดู แต่อย่างลืม เว็บปิดที่ว่าคนเข้าเยอะครับ โลกอินเทอร์เน็ตมันกว้าง หลายคนมีความคิดไม่เหมือนกัน บางคนอาจขำ บางคนไม่ขำ และหลายคนที่มาเห็นสิ่งดังกล่าว ก็แสดงความรังเกียจ อีกอย่างมันทำให้หลายคนมองแนวฮาเร็มลบอีกต่างหาก (ปกติก็ลบอยู่แล้ว) ผลคือมันกลายเป็นความเกลียดชัง คุณอาจไม่แคร์ แต่ความเกลียดชังมันอาจลุกลามใหญ่โตไปในอนาคตข้างหน้าได้ (และอีกอย่าง อย่าลืมว่าคนที่เข้ามาในบอร์ดมีผู้หญิงด้วย ไม่ใช้ผู้ชายอย่างเดียว เวลาเห็นมุกหื่นๆ ขอนม ขอหอย ผู้หญิงไม่ชอบแน่นอน)

                    -เรื่องอวยตัวละคร อันนี้เป็นประเด็นกันมานาน ไม่ว่าจะอวยเล่น หรืออวยจริงๆ จัง หรืออวยเวอร์ก็ตาม แต่ผมขอบอกว่ามันมีผลทำให้บางคนหมั่นไส้ มันไม่ได้ช่วยให้เรียกให้คนมาดูการ์ตูนเรื่องนั้นได้หรอกครับ  กลับทำให้ใครบางคนเกลียดการ์ตูนเรื่องนั้นด้วยซ้ำ (ทั้งที่ยังไม่ได้ดู) และเกิดความรู้สึกไม่สบายใจแก่คนรักการ์ตูนเรื่องนั้นด้วยครับ (ไม่ว่าอวยเล่นหรือจริงจังก็ตาม) อย่างผมเวลาจะดูฮาเร็ม ผมรักตัวละครทุกคนในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นพระเอก ส่วนตัวละครหญิงทุกคนเป็นนางเอกหมด ทุกคนทำให้เรื่องนี้มีสีสัน ทำให้เราติดตาม อย่างชมรมไร้เพื่อน หากไม่มีโซโยระ เรื่องนี้คงจืดแน่นอน และเซนะคงไม่ได้ดังจนถึงบัดนี้  การอวยนั้นไม่ผิด แต่ควรอวยให้ถูกที่ถูกเวลาด้วย

                    -สิ่งที่ผมอยากเห็นในบอร์ดต่างๆ คือการสอดแทรกสาระจากการ์ตูนที่ได้ดูบ้างครับ มากกว่าสปอยภาพ (ที่ส่วนใหญ่เป็นภาพหื่นๆ) หรืออวยตัวละครอย่างเดียว การ์ตูนหลายเรื่องต่างมีข้อคิดสอนใจในแต่ละตอนครับ แม้แต่การ์ตูนฮาเร็มก็เช่นกัน ซึ่งมีข้อคิดเยอะมาก ผมอยากเห็นคนดูการ์ตูน หยิบประโยชน์มาจากการ์ตูน มาเล่าสู่กันฟังเยอะๆ มากกว่า

                    ยกตัวอย่าง สเตฟ จาก No Game No Life  เราจะเห็นแต่คนโพสรูปหื่นๆ ของเธอ ไม่ว่านมใหญ่บ้างละ ไร้กางเกงในบ้างละ เธออาจเป็นตัวฮ่าของเรื่อง แต่ความจริงแล้วเธอเป็นตัวละครปิดทองหลังพระอย่างแท้จริง หากตัวเอกที่มาจากต่างโลกไม่มีสเตฟคงทำอะไรไม่เป็นบนต่างโลกไปนานแล้ว เพราะสเตฟทำงานอยู่เบื้องหลัง คอยประสานงานโดยตลอด จนทำให้ผมประทับใจบทบาทของสเตฟ ที่เธอเชื่อใจพวกตัวเอกจนหยดสุดท้าย แม้มีบางครั้งที่เธอลังเลบ้างก็ตาม สิ่งเหล่านี้ผมอยากให้คนอื่นเอามาแชร์ อยากให้คนอื่นรับรู้

                    แต่โอกาสเป็นไปได้ยากแหละ ที่จะสอดแทรกสาระในการโพสการ์ตูน เพราะอย่างที่รู้ว่า เล่นมุกหื่นๆ โพสนม โพสกางเกงใน เพราะมันได้รับความนิยม ส่วนเรื่องสาระ คงเป็นไปได้ยากเหมือนกัน (อีกทั้งไม่ค่อยมีใครมีความรู้เกี่ยวกับการ์ตูนสักเท่าไหร่ด้วย)

                   

    สุดท้ายนี้ ก็ฝากสำหรับคนกลาง ที่ งง ว่าทำไมคิโม่ยโอตาคุ และทำไมเกลียดโอตาคุ ทำไมต้องดราม่า ก็ตอบง่ายๆ ว่ามันเป็นเรื่องปกติ สังคมไหนก็ต้องมีเรื่องขัดแย้งบ้าง  ดราม่าเกิดความไม่เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย และความไม่รู้ คนเกลียดโอตาคุก็ไม่ได้เข้าใจโอตาคุแท้จริง คนคิโม่ยก็รู้ไม่ถึงการ (ก็พวกเขาบอกแล้วว่ามันสนุก) นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของบุคคลที่เรียกว่าเกรียน ปลิง เข้ามาร่วมด้วย ผลก็ออกมาให้เห็น

    นอกจากนี้เพราะสังคมอินเทอร์เน็ต ต่างฝ่ายต่างไม่เห็นหน้ากัน ไม่ทราบอายุของอีกฝ่าย และไม่รู้จักตัวตนของอีกฝ่าย ทุดกฝ่ายต่างเป็นคนแปลกหน้า ไม่ใช่คนสนิท แต่ต้องแสดงความคิดเห็น แน่นอนว่าเมื่อความคิดเห็นตรงกัน ก็ย่อมมีเรื่องผิดใจเป็นธรรมดา และดราม่าประเภทนี้ก็ยังคงอยู่คู่ในสังคมอินเทอร์เน็คต่อไปอีกนาน

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×