ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #142 : DMZ Konbini รอยยิ้มกลางสนามรบ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.46K
      1
      10 ส.ค. 54


    ก็ขอยกยอดเรื่อง อักขะสยบมรณะและ 10 อันดับสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึ่งกลัวในการ์ตูน ก่อนนะครับ เพราะอยากเขียนการ์ตูนเรื่องนี้มาก ไม่นานหรอก

     

    ประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่เก่งเรื่องธุรกิจบริการลูกค้าเก่งกว่าประเทศอื่นๆ  โดยเฉพาะธุรกิจการค้าขาย จำพวกห้างสรรพสินค้า หรือร้านสะดวกซื้อ ที่ญี่ปุ่นขยายสาขาเหกล่านี้ไปทั่วโลก และเหตุใดถึงประสบผลสำเร็จ บางทีการ์ตูนเรื่องนี้อาจเป็นคำตอบที่ดีที่จะตอบคำถามดังกล่าว

     

      

    DMZ Konbini

    ตลก สงคราม

     

    DMZ Konbini หรือ Convenience Store DMZ เป็นการ์ตูนตลกและสงคราม ผลงานของคนเขียน SAO Satoru เขียนในปี 2007  มี 5 เล่มจบ และหลังจบผลงานนี้แหละคนเขียนก็ไม่มีผลงานการ์ตูนเรื่องใหม่อีกเลยจนถึงปัจจุบัน โดยผลงานที่ผ่านมาส่วนใหญ่ของเขาเป็นการ์ตูนแนวสงคราม เช่นเรื่อง Jiraiya: Afghanistan Hen, Sensou no Inutachi(มีตัวละครบางตัวจากผลงานเก่ามาแจมในการ์ตูนเรื่องนี้ด้วย) หรือการ์ตูนแนวไลพ์การ์ดทะเลของสำนักพิมพ์บงกตอย่าง Nagisa - The Beach Guardians ซึ่งการ์ตูนส่วนใหญ่ของนักเขียนคนนี้จะเป็นเฉพาะแนวและเน้นสรีระผู้หญิงหุ่นสะบึมหน้าอกใหญ่ๆ และการ์ตูน DMZ Konbini ได้ลิขสิทธิในเมืองไทยของสยามในชื่อ “DMZ ร้านสะดวกซื้อปลอดอาวุธ

    DMZ Konbini เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศยุโรป ประเทศหนึ่ง ที่เกิดภาวะสงครามระหว่างฝ่ายกองทัพสหพันธ์รัฐ กองทัพปฏิวัติ และกองทัพประชาชนอิสระ โดยมีทหารสหประชาชาติและนาโต้ร่วมด้วย ซึ่งรบกันอย่างอีรุงตุนังอย่างไม่รู้จักจบสิ้น และระหว่างที่ทั้งสามรบกันอย่างดุเดือดอยู่นั้นเอง  ณ พื้นที่หนึ่งยังมีเขตปลอดอาวุธ (Demilitarized Zone) เป็นเขตที่ได้รับคุ้มครองจากนาโต้และองค์กรสหประชาชาติ ว่าเป็นเขตปลอดทหาร คนที่เข้าบริเวณดังกล่าวห้ามถืออาวุธเข้ามาเด็ดขาด และพื้นที่แห่งนี้เองยังมีร้านสะดวกสาขาหนึ่งตั้งแบบไม่กลัวตาย โดยภายในเต็มไปด้วยสินค้ามากมายที่พบเห็นในร้าน 7/11 บ้านเราไม่ว่าจะเป็นนิตยสาร ของกิน ของใช้ ให้ทหารทั้งสามฝ่ายเลือกซื้อหาในแต่ละวันและเปิดตลอด 24 ชั่วโมง โดยทั้งร้านมีพนักงานแค่สามคน ประกอบด้วย

    -ยามางุจิ โยอิจิ ผู้จัดการสาขาที่ขยันขันแข็งบริการลูกค้าราวกับ “ลูกค้าคือพระเจ้า” คืออ่อนโยน ยิ้มแย้มอยู่เสมอ ลูกค้าจะเอาอะไรก็หามาให้ได้ หากแต่เมื่อลูกค้าแอบขโมยของหรือไม่มีเงินจ่าย ผู้จัดการจะกลายเป็นยักษ์ที่น่ากลัวทันที สามารถฆ่าคนด้วยรอยยิ้มได้

    -อาเมมิยะ จุน พนักงานสาวสวย หน้าอกใหญ่หุ่นสะบึม มีนิสัยตามแบบพนักงานที่พบใน 7/11 สามารถหยุดการก่อจลาจลในร้านด้วยการแต่งกายเซ็กซี่(โดนผู้จัดการบังคับ)

    -โออิชิ มาซารุ พนักงานชายแสนธรรมดา มีงานอดิเรกคือชอบเอารูปจุน(แอบถ่าย)เอามาเก็บไว้ในคอม และยังเอาเธอมาแบบว่าการ์ตูนโป๊ แถมเป็นที่นิยมในกองทัพทั้งสาม จนถึงขั้นทหารทั้งสามฝ่ายหยุดยิงในวันเปิดตัวการ์ตูนเขามาแล้ว

    ซึ่งพนักงานสามคนต่างต้อนรับลูกค้า(ที่ส่วนใหญ่เป็นทหารทั้งสามฝ่าย)มากมายหลายแบบ พร้อมทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อนั้นก็ติดตามเอาเอง

        

    DMZ Konbini เป็นการ์ตูนตลกเฉพาะกลุ่มครับ อาจไม่ถูกใจใครหลายคน แต่พอดีผมเป็นหนึ่งในเฉพาะกลุ่มที่ว่า ผมชอบครับ คือมันฮ่าและโดนใจผมจริงๆ ครับ เพราะว่า มันเป็นการ์ตูนที่ทำลายจิตสามัญสำนึกของเราโดยสิ้นเชิง โดยใครจะคิดละครับว่าท่ามกลางสนามรบที่เต็มไปด้วยความรุนแรง เต็มไปด้วยกระสุนกระสุน ดินปืน และความตายจะร้านสะดวกซื้อตั้งอยู่ ถ้าเป็นโลกแห่งความจริงนี้มีหวังโดนปืนใหญ่ถล่มราบเป็นที่เรียบร้อย แต่การ์ตูนสามารถทำเรื่องดังกล่าวให้เป็นจริงได้ครับ แถมมันทำได้อย่างมีหลักการ และมีทางเป็นจริงได้ด้วย ไม่เหมือนการ์ตูนตลกบั่นทอนปัญญาเรื่องอื่นๆ ที่ทำลายจิตสำนึกของเราโดยไม่มีเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น(เช่น หุ่นยนตร์มาเรียนในห้องเรา ก็อตซิล่าเดินในเมือง ฯลฯ)

                    โดยตัวการ์ตูนกำหนดไว้ว่า เขตบริเวฯร้านสะดวกซื้อดังกล่าวตั้งอยู่ใน “เขตปลอดทหาร” เขตที่ห้ามพกอาวุธเข้าไปอย่างเข้มงวด โดยในโลกความจริงแล้ว พื้นที่แห่งนี้มักตั้งอยู่กึ่งกลางของทั้งสองฝ่ายครับ ตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดก็คือบริเวณชายแดนเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้บริเวณเส้นรุ้งที่ 38 องศาเหนือ(เส้นขนานที่ 38 องศาเหนือ)อันลื่อชื่อ เพราะที่นั้นเต็มไปด้วยทหารยืนคุ่มกันเข้มงวดตลอดเวลา และจัดเป็นพื้นที่ที่มีการเผชิญหน้ากันมากที่สุดในโลก(นอกจากนี้สถานปลอดอาวุธอีกมากมายในโ,กครับ เช่น เกาะไดโอมิดิส  ภูเขาเอเวอร์เรสต์) โดยสถานที่แห่งนี้มีกฎที่ต้องปฏิบัติกันทั้งสองฝ่ายคือยุติปฏิบัติการทหารและห้ามกระทำการก้าวร้าวใดๆ ทั้งสิ้น หรือแม้กระทั้งเอาอาวุธทุกชนิดเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นหมวกทหาร อาวุธชีวภาพ หรือวัตถุอันตรายทุกชนิด และด้วยเหตุดังกล่าวนี้เองทำให้มีร้านสะดวกซื้อตั้งพื้นที่ดังกล่าวอย่างปลอดภัยอย่างหมดห่วง

    แต่ปัญหาใหญ่หลวงสำหรับลูกค้าที่มาร้านสะดวกแห่งนี้ก็คือ เส้นทางต่างๆ ที่จะเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้มันไม่ใช่เขตปลอดทหารครับ ยังคงมีการสู้รบอยู่  อีกทั้งฝ่ายศัตรูมักวางพวกแม่นปืนเส้นทางดังกล่าวเพราะรู้ว่าทหารฝ่ายศัตรูหลายคนชอบมาสถานที่แห่งนี้กัน หากมาก็จัดการมันตรงนั้นซะเลย อารมณ์ก็เหมือนโอเอซีสที่ตั้งอยู่ในนรกทะเลทรายที่เต็มไปด้วยกับระเบิดดีแหละครับๆ คำถามต่อมาก็คือ เมื่อร้านสะดวกซื้อมาตั้งตรงนี้ใครจะมาเป็นลูกค้ามาอุดหนุนเนี้ย แต่ปรากฏว่าธุรกิจดังกล่าวไปได้สวยครับ แม้ว่าวเส้นทางเดินทางมาร้านสะดวกนี้จะเต็มไปด้วยอันตราย แต่หลายฝ่ายก็พยายามมาให้ได้โดยไม่กลัวตาย เพราะสำหรับทหารที่อยู่ท่ามกลางสนามรบแล้ว มันเป็นที่พักผ่อนทางใจและกาย ไม่ต้องหวาดระแวง มีมิตรหรือศัตรูให้เกลียดกัน ใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งเข้าไปแล้วก็มีหลายสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นในสนามรบให้ซื้อหามามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ขนม ของกิน นิตยสารบันเทิง มาให้เติมเต็มหัวใจเหนื่อยล้าให้กระชุ่มกระชวยขึ้น พูดง่ายๆ คือ มาแล้วคุ้มนั้นเอง และนี้คือที่มาของตลกการ์ตูนในเรื่องนี้แหละครับ

                    สาเหตุอย่างหนึ่งที่เหล่าทหารมาใช้บริการสถานที่แห่งนี้ก็คือความใส่ใจต่อลูกค้าของพนักงานในร้านครับ ที่ต้อนรับอย่างรอยยิ้มและความเป็นกันเองต่อลูกค้าอย่างมืออาชีพ จนลูกค้าติดใจและประทับใจ จนต้องมาใช้บริการอีกครั้งในครั้งต่อไป

                    ญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เชี่ยวชาญการบริการลูกค้าให้เกิดความรู้สึกประทับใจครับ พวกเขาต้องยิ้มแย้มอยู่เสมอ และต้องท่องขึ้นใจว่า “ลูกค้าคือพระเจ้า” ถ้าเป็นบ้านเรานี้คนไทยที่ทำอาชีพนี้หน้าไม่ค่อยรับแขกเท่าไหร่ เพราะไม่ได้ใส่ใจเรื่องแบบนี้นัก ทั้งๆ ที่จริงแล้วการบริการลูกค้าถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ไม่แต่เพียงร้านสะดวกซื้อ แต่เป็นทุกธุรกิจ เพราะมันจะช่วยให้ผูกใจลูกค้าระยะยาว ซึ่งถือว่าเป็นตัวตัดสินใจในยุคที่ลูกค้ามีทางเลือกมากมายอย่างปัจจุบัน

    ถ้าเราดูการ์ตูน เราก็เห็นอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับการบริหารร้านสะดวกซื้อหลายอย่างครับ เช่น เริ่มจากทางร้านมีการศึกษาความต้องการลูกค้าอย่างชัดเจน ดูว่าลูกค้าเป็นใคร อายุ การศึกษา รายได้ ความต้องการอะไร เพื่อที่จะได้สั่งของที่ขายตรงจุด และสามารถขายของได้ ไม่ใช้ขายของแบบมั่วแหลก โดยการ์ตูนดังกล่าวลูกค้าส่วนมากเป็นทหาร ดังนั้นของที่ขายส่วนมากเป็นชุดปฐมพยาบาล อาหารแปลกๆ ใหม่ และพวกยารักษาต่างๆ จากนี้นก็เริ่มหาข้อมูลด้วยว่าลูกค้าพอใจอะไร ไม่พอใจอะไร อันไหนเป็นที่นิยม ไม่นิยม เก็บข้อมูลดังกล่าวเอาไว้เพื่อสามารถวางแผนในครั้งต่อไป

      

    นอกเหนือจากร้านและของซื้อของขายแล้ว สิ่งสำคัญต่อมาก็คือพนักงานครับ พนักงานเป็นตัวกำหนดเลยว่าร้านนี้จะไปรอดหรือไม่รอด หากพนักงานไม่ดีต่อให้ร้านดีขนาดไหนก็ล่มได้ โดยพนักงานในการ์ตูนจะเห็นว่ายิ้มตลอดเวลา การยิ้มนี้ไม่ใช่จะง่ายนะครับ เพราะว่ามันต้องยิ้มทุกเวลา ไม่ว่าจะพูดต่อหน้า หรือพูดทางโทรศัพท์ หรือลูกค้ายั่วโมโหก็ต้องยิ้มเข้าไว้ เพื่อให้ลูกค้าได้ทัศนคติดีๆ ต่อพนักงาน และสุดท้ายก็คือการใช้คำพูดทิ้งทายให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ เช่น โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ เป็นต้น นอกจากนี้บางครั้งพนักงานจะต้องรับมือกับเหตุการณ์ที่ลูกค้าไม่พอใจต่อการบริการของร้านด้วย เช่น ในการ์ตูนมีผู้พันคนหนึ่งหงุดหงิดที่เขามาไม่สามารถซื้อขนม แท่งอร่อย ในร้านได้เพราะมันหมดเสียก่อน เขาเลยด่าพรนักงานในร้าน เป็นเราของโกรธและเถียงเขาใช่เปล่าครับ แต่พนักงานในการ์ตูนเขายังยิ้มและรับฟังลูกค้าอย่างตั้งใจ ไม่โต้แย้ง ขออภัย และดำเนินแก้ไขอย่างเร่งด่วน ทิ้งงานอื่นๆ เพื่อไปซื้อขนมแท่งอร่อยให้ลูกค้าอย่างสุดความสามารถแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าการแก้ไขปัญหาของเขานั้นสำคัญที่สุด ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างความพอใจต่อลูกค้าโดยเฉพาะ

                    อ่านการ์ตูนตรงนี้ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่าประเทศญี่ปุ่นเก่งเรื่องการค้าขายจริงๆ ครับ  ขนาดญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างย่อยยับ จนเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศตกต่ำสุดขีดก็สามารถสร้างตัวอย่างรวดเร็ว จนสามารถแซงประเทศหลายประเทศ(รวมทั้งประเทศไทยของเรา)ได้ ทั้งนี้นอกเหนือจากนโยบายของญี่ปุ่นที่เน้นพัฒนาประเทศด้านอุตสาหกรรม กิจการค้าขายแล้ว พื้นฐานก็อยู่ที่นิสัยของคนญี่ปุ่นด้วยครับ คือความขยัน ซื่อสัตย์ สัญญาจะทำก็ต้องทำ รักและจริงใจ รู้จักการพัฒนาสินค้า พนักงานในการ์ตูนไม่ใช่ฝึกฝนมาอย่างหนักแต่มันมีอยู่ในดีเอ็นเอของพวกเขาอยู่แล้ว

    สิ่งที่ผมขำในการ์ตูนก็คือ การนำเสนอญี่ปุ่นที่เป็นประเทศกล้าคิดกล้าทำ ขนาดประเทศเกิดสงคราม ญี่ปุ่นยังกล้าเปิดร้านสะดวกซื้อ เป็นประเทศอื่นไม่กล้าหรอก แสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นนั้นยังมีความกล้าในการลงทุน กล้าที่จะคิดอะไรที่แปลกใหม่ด้วย ซึ่งเรื่องเหล่านี้ประเทศอื่นไม่กล้าเลียนแบบหรอกครับและด้วยเหตุนี้เองปัจจุบันมีธุรกิจญี่ปุ่นจำนวนมากมายเข้าไปลงทุนเทุกประเทศทั่วโลก ไม่แพ้ประเทศจีนครับ  ขนาดประเทศพม่าเพื่อนบ้านเราที่หลายประเทศแบนไม่อยากทำธุรกิจด้วยยังอุตส่าห์เข้าไปลงทุนเลยคิดดู

                    ส่วนมุกตลกการ์ตูนเรื่องนี้ ส่วนใหญ่เป็นมุกตลกในร้านสะดวกซื้อ และมุกตลกในสนามรบ และหลายมุกโดนใจผมหลายมุกครับ เช่น มุกตอนถูกผู้คุมสอบปากคำเชลย แล้วเอาไข่ต้มร้อนๆ(ที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อ)ยัดเข้าปากเชลยเพื่อทรมาน แล้วเชลยพูดเรื่องข้อห้ามในสัญญาเจนีวานี้ฮ่าได้ใจ เพราะใครที่ดูการ์ตูนแนวการเมืองหรือสงครามหลายเรื่องมักมีมุกแบบนี้สักมุกครับ(อนุสัญญาเจนีวา หรือ Geneva Conventions คือสนธิสัญญาที่วางมาตรฐานในการปฏิบัติต่อผู้เป็นเหยื่อของสงครามอย่างมีมนุษยธรรม ซึ่งหากละเลยจะได้ผลเสียมากมายตามมาแก่ผู้ละเมิด เช่นถูกบอยคอตจากประเทศสมาชิกทั่วโลกที่ทำสัญญา และหากเป็นฝ่ายแพ้จะต้องชดใช้ค่าเสียหาย ส่งผลทำให้ประเทศที่ผิดสัญญาถอยหลังหลายสิบปี) หรือจะมุกเกี่ยวกับร้านสะดวกซื้อที่ผู้จัดการจะต้อนรับลูกค้าราวกับว่า “ลูกค้าเป็นพระเจ้า” หากแต่เมื่อผู้จัดการร้านจับได้ว่าลูกค้าแอบขโมยของหรือไม่มีเงินจ่ายสินค้า ผู้จัดการจะปฏิบัติลูกค้าราวกับว่า “ลูกค้าคือไส้เดือนทันที” ที่นี้ร้านสะดวกซื้อที่เป็นเพื่อนเราทุก 24 ชั่วโมง ก็ได้เป็นศัตรูกับเรา 24 ชั่วโมงแทน นอกจากนี้ยังมีมุกเวอร์ๆ หลายฉากที่ผมชอบ เช่น เสี่ยงตายหลบห่ากระสุนเพื่อมาร้านสะดวกซื้อ หรือพักสนามรบชั่วคราวเพราะตอแถวซื้อการ์ตูนโดจินโป๊ หรือมุกเอาแม่น้ำโข่งมาทำเป็นขวดขายแก่ทหารจนท้องเสียไปทั่วหน้า ฯลฯก็ต้องชมคนเขียนจริงๆ ครับที่สามารถรวมสองสิ่งที่มีนไม่เข้ากัน ให้มันเข้ากันได้ ร้านสะดวกซื้อกับสงครามใครจะคิดว่ามันจะอยู่ร่วมโลกกันได้ แถมยังมีมุกมากมายสารพัดให้เล่นเป็นระยะๆ]

                     

                    ข้อคิดสำคัญอีกเรื่องที่สอดแทรกในการ์ตูน ก็คือ “การปฏิบัติตามกฎ”  ที่ในสนามรับต่างมีสิทธิสัญญา ในร้านสะดวกซื้อก็มีกฎปฏิบัติเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นทหารฝ่ายไหน ยศใหญ่เล็กยังไง เมื่อเข้าร้านจะต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเท่าเทียมกัน จะใช้กฎของตนเอง กฎเฉพาะของกลุ่มตนมาใช้สถานที่แห่งนี้ไม่ได้  ซึ่งร้านออกกฎว่าห้ามเอาอาวุธทุกชนิดเข้ามาในร้าน ซึ่งทหารทุกคนก็ปฏิบัติตามโดยไม่มีบ่น แต่กระนั้นก็มีทหารกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาร้านสะดวกซื้อแล้วแสดงความดื้อด้านไม่ยอมปลดอาวุธออก พร้อมตอบโต้ด้วยคำพูดว่า “มันเป็นกฎของฉัน”  ผู้จัดการที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่มีพิษมีภัยเมื่อได้ฟังก็ คุยกับพวกแหกกฎด้วยรอยยิ้ม(ที่น่ากลัว) ว่า “ความสะดวกสบายของชีวิตประจำวันจะสงบสุขเมื่อทำตามกฎหมาย” และเมื่อผู้จัดการพบเห็นลูกค้าคนดังกล่าวแอบขโมยของในร้านก็ลากมาเทศนาว่า “นี้ไม่ใช่ค่ายผู้อพยพ แต่มันคือธุรกิจ” อันนี้มันช่างโดนใจจริงๆ พับผ่า

                    สังคมทุกวันนี้วุ่นวายเพราะความเอาแต่ใจของแต่ล่ะฝ่าย ที่หลายฝ่ายตั้งกฎขึ้นเอง โดยไม่สนกฎดั้งเดิมที่มีอยู่ก่อน และกฎที่ตนตั้งดันไปขัดใจและอีกฝ่ายที่ไม่ยอมรับกฎดังกล่าว แม้ต่างฝ่ายจะบอกว่านี้คือประชาธิปไตย แต่เป็นเพียงประชาธิปไตยที่เอาแต่ใจของตนเอง ใช้กฎหมู่มากรังแกหมู่น้อย ไม่พอใจก็ปลุกระดมพล หากจะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงจะต้องมีกฎที่หลายฝ่ายยอมรับกันได้ และจะต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด ห้ามโอดอวย หรือโวยวายที่หลัง และเมื่อหากละเลยกฎสังคมจะต้องลงโทษ(รังเกลียด)ผู้ที่แหกกฎดังกล่าวไม่ให้แหกกฎได้อีก และส่งนี้เองทำให้ผู้คนอาศัยในสังคมอยู่อย่างสงบสุขราบรื่น ไม่เพียงแต่ในร้านสะดวกซื้อเท่านั้น ยังรวมไปถึงการแข่งขันกีฬา และสังคมแคบๆ อย่างโรงเรียน สำนักงาน องค์กรต่างๆ อีกด้วย

    สรุปคือการ์ตูนเรื่อง DMZ Konbini เป็นการ์ตูนที่เข้าท่าสำหรับคนชอบมุกอะไรที่แปลกๆ ใหม่ๆ นอกจากนี้ยังสอดแทรกปรัชญาธุรกิจการค้าของร้านสะดวกซื้อว่า ต่อให้ร้านตั้งทำเลไม่ดีขนาดไหน หากทำงานด้วยใจรัก ซื่อสัตย์ วางแผนการจัดการมาดี ไม่นานร้านดังกล่าวก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนั้นได้

     

    “ร้านแสนสะดวกที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า นั่นล่ะคือร้านสะดวกซื้อ”+ +

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×