คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : บทที่ 12
“พี่โม นี่มิ้นนะคะ เปิดประตูให้มิ้นหน่อยสิ”
ไม่มีเสียงตอบรับ คนเป็นน้องจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าห้องนอนพี่สาวโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต
เธอเห็นพี่สาวนั่งเหม่อออกไปนอกหน้าต่างๆ ซึ่งผิดวิสัยหญิงสาวที่มีแต่ความกระฉับเฉง และมั่นใจในตัวเอง ต้องมีเรื่องไรแน่ๆ เธอคิดในใจ
คนเป็นน้องเดินไปหาพี่สาวที่กำลังนั่งเหม่อลอย ฝ่ามือบางประทับบนบ่าคนเป็นพี่อย่างแผ่วเบา เพื่อแสดงถึงความห่วงใย
“มิ้นเหรอ” เมื่อคนเป็นพี่ที่กำลังคิดเรื่องที่ทำให้ยุ่งยากใจ ได้เอ่ยปากขึ้น เมื่อรู้สึกตัวว่ามีคนเข้ามาในห้องและมาปลุกเธอออกจากห้วงความคิด
“มิ้นเอง พี่โม เป็นอะไรหรือเปล่า ท่าทางไม่สบายใจ บอกมิ้นได้นะ”
“ขอบใจมากมิ้น แต่พี่ไม่เป็นไรหรอก พี่อยากอยู่คนเดียว”
“แต่มิ้นว่า ที่พี่โมเป็นแบบนี้ เพราะคุณเฟร์ใช่ไหม”
เมื่อได้ยินชื่ออดีตแฟนหนุ่ม เธอถึงกับสะอึก
“มิ้น
.” พี่สาวกำลังจะเอ่ยต่อ แต่คนเป็นน้องได้พูดขัดเสียก่อน
“พี่โม ไม่ต้องปิดบังมิ้นเลยนะ”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่พี่โม เป็นแบบนี้ ลองทบทวนตัวเองดูสิพี่โม อย่าปล่อยให้ตัวเองเหี่ยวเฉาแบบนี้ แล้วอีกอย่างมันเกิดอะไรขึ้นก็บอกมิ้นสิ มิ้นทนไม่ได้นะที่เห็นพี่โมเป็นแบบนี้ และถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้ ท่านจะเสียใจแค่ไหนที่ลูกสาวสุดที่รักเอาแต่นั่งซังกะตายอยู่ในห้อง” ขณะที่เธอพูดจบเธอก็ได้หันหลัง จะเดินออกจากห้อง
คนเป็นพี่จึงพูดขึ้นก่อนที่เธอจะเดินพ้นประตูไป
“ขอบใจมากมิ้น แต่เรื่องนี้พี่จะจัดการเอง และไม่ต้องให้ทุกคนไม่สบายใจไปมากกว่านี้ เพราะเรื่องของพี่”
“ก็ได้พี่โม”
เมื่อคนเป็นน้องเดินออกจากห้องไป หญิงสาวที่นั่งอยู่เพียงลำพังก็เดินลุกไปที่เตียงหนา ซบใบหน้าลงกับหมอน พร้อมทั้งปล่อยให้น้ำตาไหลรินกับเสียงสะอื้นไห้ที่ออกมาจากหัวใจ ไม่รู้เพราะเหตุใดเธอถึงเสียใจมากมายกับการะกระทำของตัวเอง แล้วเขาล่ะ จะเสียใจแค่ไหน เธอรู้ว่าเขาไม่ใช่คนผิด เธอเองที่ผิด ที่หัวใจของเธอมันช่างอ่อนไหวและกลัวที่จะสู้กับความจริงที่จะเกิดขึ้นเสียเหลือเกิน
ชายหนุ่มร่างสูงกับชุดสูททำงาน เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศในบริษัทกับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายออกแบบ วันนี้เขาจะเข้าบริษัทเพื่อไปตรวจความเรียบร้อยหลังจากที่มีความรู้สึกว่าห่างหายไป เพื่อให้ทุกย่างเรียบร้อยก่อนที่พี่เฟร์จะกลับมาทำงาน และอีกอย่างงานที่เขารับไว้ ในวันนี้จะเป็นวันสัมภาษณ์เพื่อให้ได้นักออกแบบฝีมือดีมาทำงานที่บริษัทเรา ดังนั้นสมควรที่จะพิถีพิถันเป็นพิเศษ
ทันทีที่รถยนต์คันงามมาจอดยังที่จอดรถที่ถูกเตรียมไว้สำหรับผู้บริหาร ชายหนุ่มก็ได้กดรีโมทล๊อกประตูด้วยท่าทางที่ดูกระฉับกระเฉง วันนี้เขามาถึงบริษัทเร็วกว่าปกติที่เคยมาประมาณ ครึ่งชั่วโมง ซึ่งทำให้เขามีเวลาอ่านแฟ้มประวัติของผู้ที่จะมาสัมภาษณ์ในวันนี้
โต๊ะทำงานของชายหนุ่มถูกจัดไว้ในบริเวณที่มีความเป็นส่วนตัวค่อนข้างมาก เพราะเขามีพี่ชายซึ่งมีตำแหน่งสูงถึงระดับผู้บริหารและเป็นประธานบริษัทแห่งนี้ทำให้ชายหนุ่มไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมากนักนอกเสียจากการทำให้บริษัทก้าวหน้าและแบ่งเบาภาระงานของพี่ชายได้บ้าง เนื่องจากเขาเพิ่งจบมาหมาดๆทำให้เขายังขาดประสบการณ์ในหลายๆอย่างและต้องเริ่มเรียนรู้จากเรื่องเล็กน้อย นั่นคือการเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับคนอื่น
ในที่สุดแฟ้มประวัติของคนที่มาสัมภาษณ์ก็ใกล้จะถูกอ่านและพิจารณาได้หมดในเวลาไม่ช้า จนเหลือแฟ้มประวัติเล่มสุดท้าย ที่มีใบสมัครและรูปถ่าย
ชายหนุ่มอ่านประวัติและคิดว่าคนๆนี้ธรรมดามาก เพราะข้อมูลที่เธอให้มากรอกไว้เพียงรายละเอียดคร่าวๆ ส่วนจุดที่ดึงดูดก็ไม่มีเลย เว้นแต่ที่เขาสนใจคือรูปถ่าย หญิงสาวในรูปนี้มีใบหน้าที่เขาคุ้นเคยและคนคนนั้นคือเธอ หญิงสาวที่เขาจงเกลียดจงชัง นับแต่ครั้งแรกที่ได้พบหน้า หากแต่ ชื่อและนามสกุลที่เธอกรอกกลับเปลี่ยนเธอให้เป็นอีกคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก แต่ในสายตาของเขา เขาย่อมจำคนไม่ผิดแน่ ชายหนุ่มคิดในใจ
มันต้องมีอะไรซักอย่างแน่ หรือว่ายัยนี่จะใช้แผนขอกลับคืนดีกับพี่เฟร์นะ หรือว่าต้องการมาทำร้ายพี่เฟร์กันแน่นะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาปล่อยไว้ไม่ได้แน่ เห็นทีต้องจัดการอะไรซักอย่าง หรือขั้นแรก ควรจะรู้เป้าหมายของเธอเสียก่อน ว่ามีจุดประสงค์อะไรกันแน่
ถ้าพบหน้ากันซึ่งๆหน้าเห็นทีจะไม่ได้การ ยัยนี่คงจะคงจะถอยและเราไม่อาจรู้แผนการ ดังนั้น ควรจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และเอาเธอคืนกลับสิ่งที่เธอทำกับพี่เฟร์อย่างสาสม
ทันทีที่เขาคิดได้ เขาได้ต่อสายให้เลขาเปลี่ยนแผนจากการสัมภาษณ์เป็นการทดสอบภาคปฎิบัติ เพื่อทดสอบความสามารถของยัยนี่ไปในตัวและอีกอย่าง หากเธอผ่านมาได้จริง เราคงได้ทำงานร่วมกันอย่างเป็นสุขเป็นแน่ ชายหนุ่มยิ้มอย่างมีเลศนัย โดยเฉพาะเป็นยิ้มของคนที่คิดว่าตนเองเป็นฝ่ายมีชัยเป็นแน่
หลังจากออกมาจากห้องพี่สาว เธอรู้สึกว่ามันช่างไม่สดชื่นเอาเสียเลย เห็นพี่สาวเป็นแบบนี้ ใครจะไปมีอารมณ์ไปสัมภาษณ์งาน แต่เมื่อเธอตัดสินใจทำอะไรแล้วเธอก็ต้องทำให้ถึงที่สุด เพราะนี่เป็นสิ่งที่เธอรัก เธอไม่อาจทิ้งมันไปได้
ว่าแล้วเธอก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยชุดที่ทะมัดทะแมง ซึ่งหากใครไม่รู้คงไม่เชื่อแน่ว่ามันเป็นชุดที่จะใส่ไปสัมภาษณ์งาน และคงตัดชื่อเธอออกเป็นคนแรกแน่
เธอคิดว่าของอย่างนี้มันไม่ควรดูกันที่ภายนอก หากแต่ควรตัดสินใจจากภายใน และความรับผิดชอบมากกว่า ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่อาจเป็นช่างศิลป์ที่มีแต่คนชื่นชมและยอมรับ ปละขนานนามในวงการนักออกแบบเป็นแน่ ของอย่างนี้ควรวัดกันที่ฝีมือ เธอคิดเช่นนั้นเสมอมา
ทันที่ที่ถึงบริษัทเธอก็จอดรถ ในลานจอดรถ เธอหยิบเพียงกระเป๋าใบเล็กที่บรรจุไปด้วยดินสอคู่ใจไปด้วยเท่านั้น มันคือของคู่กายของเธอที่ขาดไม่ได้
เธอกดลิฟต์ยังชั้นที่จัดเตรียมไว้เพื่อการสัมภาษณ์นี้โดยเฉพาะ ทันที่ลิฟท์ได้ให้สัญญาณซึ่งบ่งบอกว่าถึงแล้ว ประตูลิฟต์ก็ได้เปิดออก ขาเรียวยาวที่สวมทับด้วยกางเกงยีนขาดๆก็ได้ก้าวออกมาด้วยความมั่นใจ แว่นตากันแดดที่คาดไว้บนศีรษะตั้งแต่ขณะที่ยังขับรถยนต์ก็ได้ถูกมือบางหยิบออกมาพับเก็บไว้ที่กระเป๋าเสื้อด้านหน้า
ร่างบางมาหยุดยังหน้าห้องที่มีประตูบานใหญ่ปิดอยู่ เธอเหลือบไปเห็นประกาศที่ทางบริษัทได้ติดไว้ไม่ไกลจากประตูนัก ซึ่งมีข้อความว่า ขออภัย ทางบริษัทขอเปลี่ยนจากการสัมภาษณ์มาเป็นทดสอบภาคปฏิบัติ ขอบคุณ
ทันทีที่เธออ่านป้ายประกาศจบ ใบหน้างามกลับมีความคิดว่า มันช่างเป็นโอกาสพิเศษอะไรเช่นนี้ เพราะหากตัดสินแค่การสัมภาษณ์เธอคงไม่มีอะไรดึงดูดในกรรมการเป็นแน่ เพราะประวัติเจ้ากรรมที่เธอกรอกไปอย่างลวกๆนั่นเอง ซึ่งต่างจากความคิดของหญิงสาวคนอื่นๆ ที่วิพากษ์วิจารณ์การเปลี่ยนแผนครั้งนี้ ว่ามันเป็นปัญหาใหญ่สำหรับตนเอง
เธอนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่ไม่ไกลนัก เพราะหญิงสาวที่เข้าไปในห้องเข้ารับการทดสอบภาคปฏิบัติได้เข้าไปก่อนหน้าเธอ และเธอคงจะออกมาอย่างรวดเร็วเหมือนรายอื่นๆ ทำให้การสอบภาคปฏิบัตินี้ใช้เวลาไม่นานนัก เพราะเมือเทียบกับเวลาที่เธอก้าวเข้ามาในบริษัทตั้งแต่เช้านั้น ก็เพิ่งผ่านไปแค่ 2 ชั่วโมงครึ่งเอง ซึ่งเมื่อหญิงสาวคนดังกล่าวได้ก้าวออกมาจากห้องสอบ เธอก็ผลักประตูบานใหญ่เข้าไป ซึ่งเมื่อเข้ามาภายในนั้นมีโต๊ะออกแบบอยู่เพียงตัวเดียว และมีเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาเป็นกรรมการคุมการสอบเพียงแค่สองคน ซึ่งจากความชำนาญของเธอ คนหนึ่งในนี้ต้องเป็นพนักงานฝ่ายออกแบบที่มีความสามารถในการทดสอบเป็นแน่
เธอได้หัวข้อมา ซึ่งเป็นหัวข้อที่เธอคิดว่าง่ายมากๆ เธอหยิบดินสอบคู่ใจออกมาลงมือทันทีบนกระดาษที่ถูกเตรียมไว้ให้ ใช้เวลาไม่นานเหมือนผู้เข้าสอบคนอื่นๆเช่นกัน ได้สำหรับเธอต่างกัน เพราะเธอทำมันได้ดีที่เดียว เมื่อเสร็จงานแล้ว ด้วยความเผลอคิดว่าตนกำลังออกแบบผลงานชิ้นเอกของช่างศิลป์ เธอได้เซนลายเซนประจำด้วยดินสอไส้เข็ม แต่เมื่อเธอนึกขึ้นได้ในภายหลัง เธอได้ใช้ยางลบลบมันออกอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้มีใครเห็น เพราะหากมีใครเห็น มันคงเป็นเรื่องใหญ่แน่
ทันที่ที่ออกจากการสอบภาคปฏิบัติ หญิงสาวได้มุ่งหน้ากลับบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน เพราะวันนี้แม้จะเจอหัวข้อที่ไม่ค่อยท้าทายความสามารถมากนัก แต่ก็เจอกับปัญหาที่เธอแก้ไม่ตกของพี่สาวที่เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง
เมื่อการสอบภาคปฏิบัติเสร็จสิ้น ผู้จัดการฝ่ายออกแบบได้เรียกประชุม เพื่อตัดสินผลงานทันที และเมื่อถึงการพิจารณาผลงานที่ได้รับการเห็นชอบว่าดีเลิศที่สุด เป็นของหญิงสาว นามว่า
มิษรียา เมื่อชายหนุ่มได้ยินชื่อเขาถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่า อดีตแฟนพี่ชายจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ชื่นชมเธอไปมากกว่านี้ เพราะคดว่ามันอาจเป็นเหตุบังเอิญ และหัวข้อก็อาจจะง่ายเกินไปก็ได้
ซึ่งเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มคิดผิด พนักงานฝ่ายออกแบบได้เลือกหัวข้อการออกแบบที่หินที่สุดมาใช้ในการทดสอบเพื่อรับสมัครคนเข้าทำงาน เพื่อให้ได้นักออกแบบฝีมือดีที่สุด และนี่บริษัทก็ได้สมใจ เพราะเธอเป็นถึงช่างศิลป์ ที่เป็นที่ต้องการของบริษัทที่ต้องการผลิตสินค้าส่งออก ด้วยไอเดียที่สร้างสรรค์ แปลก และไม่เหมือนใคร ทั้งยังอนุรักษ์ความเป็นไทยได้อย่างลึกซึ้ง
ทุกคนที่ประชุมต่างชื่นชมความสามารถของหญิงสาว เมื่อเห็นเช่นนั้น ก็คงไม่อาจค้านได้ และนี่เองก็อาจเป็นทางที่พระเจ้าเลือกให้เขาได้แก้แค้นแทนพี่ชายเป็นแน่ โมลียา คุณเสร็จแน่ ... เพราะผมรู้ว่าคุณเป็นใคร และคุณเป็นคนยังไง ชายหนุ่มเดินออกจากที่ประชุมหลังจากกล่าวปิดและยิ้มให้กับความคิดอันแยบยลของตนเอง
ทางด้านชายหนุ่มที่ร่างกายซูบผอมไปมาก เนื่องจากกินอะไรไม่ค่อยลง นับตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมาเขาก็ยังไม่ได้ไปทำงานที่บริษัท แต่ด้วยความที่เป็นคนเห็นงานสำคัญ เพราะเขาต้องดูแลพนักงานเป็นร้อยๆคน ด้วยความรับผิดชอบเช่นนี้ ทำให้เขาตัดสินใจที่จะเริ่มทำงาน หลังจากที่มีความรู้สึกห่างหายมานานจากการเข้าตรวจงานที่บริษัทและติดต่อประสานงานที่ค้างไว้ ครั้นเมื่อก่อนป่วยเข้าโรงพยาบาล ได้ยื่นเรื่องเซนสัญญากับบริษัทคู่ค้าไว้แล้ว เหลือเพียงนัดตกลงเพื่อยืนยันอีกรอบเท่านั้น งานสำคัญที่จะพบเฉพาะผู้บริหาร และทางโน้นเองก็เข้าใจ ทำให้เขาหายห่วงไปได้ด้วยเหตุผลป่วย
เมื่อตัดสินใจเช่นนั้นแล้ว พรุ่งนี้เขาจะเข้าบริษัทตอนบ่ายๆ เพื่อเตรียมเอกสารก่อน และให้น้องชายเข้าบริษัทไปก่อน เมื่อคิดตกแล้ว เขาก็ได้โทรหาเลขา ให้จัดการเอกสารทันที และให้เรียกประชุมหัวหน้าทุกแผนก เพื่อรายงานความก้าวหน้า เมื่อสั่งงานเสร็จและวางโทรศัพท์ลงหัวเตียงเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากเตียงนอน ปราศจากการจัดให้เรียบร้อย แล้วเดินออกจากห้องนอนส่วนตัวไปยังห้องครัว เพื่อหาอะไรทาน จะได้มีเรี่ยวแรงทำงานในวันพรุ่งนี้
ตกเย็น รถเก๋งคันงามก็ถูกจอดยังบริเวณลานจอดรถ ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ต สวนเนคไท ที่ถูกดึงให้หลวม ก็ก้าวลงมา พร้อมกับไม่ลืม ที่จะหยิบสูทนอก พาดบ่าตนเองลงมาด้วย และผิวปากด้วยความอารมณ์ดี
เมื่อก้าวเข้ามาในบ้านก็ประหลาดใจที่เห็นพี่ชายที่เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องมาหลายวัน ออกมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยท่านั่งไขว่ห้าง สวมเสื้อยืด กางเกงนอน เหมือนไม่ได้อาบน้ำมาทั้งวัน แต่ก็ยังดีที่ออกมาจาห้อง และยืดเส้นยืดสายบ้าง เพราะถ้าเป็นแบบเดิม เขาคงเพิ่มอารมณ์โมโห คนที่อยู่ในหัวใจพี่เฟร์เป็นแน่
เมื่อคนเป็นพี่เห็นน้องกลับบ้านก็ทักด้วยท่าทางปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ทั้งที่จริงๆแล้วไม่ใช่ อย่างที่เห็นแน่
“ไง ฟาร์ เหนื่อยไหม”
“พี่เฟร์ ยอมออกมาจากห้องแล้ว ค่อยยังชั่ว ฟาร์นึกว่าต้องลงทุนลากพี่เฟร์ออกจากห้องนอนเป็นแน่” คนเป็นน้องพูดเชิงติดตลก
“ขอโทษนะที่ทำให้น้องเหนื่อยและต้องมาคอยดูแลพี่” เฟร์พูดขอบใจน้องชาย
“พี่เฟร์ก็นะ” มาโหมดนี้ คนเป็นน้องก็ไม่อยากจะบ่นพี่ชายเลย เพราะท่าทีพี่เฟร์แสดงออก มันช่าง เฮ่อ.. คนแบบนี้เหรอที่สาวๆกล้าทิ้ง ก็มีแต่ยัยนี่สินะ
ดวงตาที่เป็นประกายของพี่ชายที่แสนนุ่มนวล และมีเสน่ห์ย่อมสะกดสายตาขี้เล่นและเจ้าเล่ห์ของคนเป็นน้องอย่างราบคาบ โดยเฉพาะเวลาสำนึกผิด ไม่คิดและๆ
“ไปล่ะ พี่เฟร์ ไม่ต้องคิดมาก ทุกอย่างเดี๋ยวฟาร์จัดการเอง” คนเป็นน้องพูดเชิงเป็นปริศนาให้พี่ชายต้องครุ่นคิด ว่าคนขี้เล่น บวกกับอารมณ์เลือดร้อน แถมวู่วามอย่างน้องชายของเขาคนนี้ คงไม่คิดทำอะไรแผลงๆก็คงไม่ใช่แน่ แต่เขาก็อยากคิดอะไรแง่ร้ายๆเกินไปนัก แค่นี้ชีวิตของเขาก็มีเรื่องร้ายที่มาเสียดแทงหัวใจของเขาจนจะเกินทนแล้ว นั่นคือ การสูญเสียหัวใจไป เธอคนที่เขารัก โม โมลียา.....
ööööö
ความคิดเห็น