คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
เกริ่นเรื่อง
เรื่องราวมันช่างยุ่งวุ่นวายอะไรอย่างนี้ ทั้งๆที่ฉันไม่รู้เรื่องอะไรแท้ๆ ต้องมาอยู่ท่ามกลางพายุหมุนแบบนี้ จะไม่ให้เปรียบเทียบว่าพายุหมุนได้ยังไงล่ะ คนอะไรขี้โมโหชะมัด แล้วแถมยังเรื่องบ้าๆนี่อีก เดี๋ยวเถอะ ถ้าฉันหนีไปนายคง
คงจะไม่มีทางตามฉันอย่างแน่นอน แงแงๆๆๆๆ
บทนำ
“มิ้นน้องรักของพี่ ช่วยไปแทนพี่หน่อยนะๆๆๆ ถ้าอยากได้อะไร พี่จะให้หมดเลย นะจ๊ะน้องรัก”
พี่สาวแสนดีของฉัน กำลังขอร้องฉันให้ทำอะไรซักอย่าง ที่ฉันไม่อยากทำเอาซะเลย
“พี่โมคะ มิ้นไม่ใช่เด็กๆนะคะ ถึงจะต้องเอาของต่างๆมาล่อ แล้วนี่มิ้นก็ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยนะคะ มิ้นเพิ่งออกจากสนามบิน ไม่ได้ทันได้พัก พี่โมก็มาขอร้องมิ้น ให้ไป มิ้นไม่อยากออกไปไหนทั้งนั้นคะ มิ้นจะนอน”
“โธ่ จะมามัวนอนทำไมล่ะจ๊ะ ต้องออกไปเที่ยวสิ ไปอยู่ต่างประเทศตั้งหลายปี ออกไปเยี่ยมชมเมืองไทยบ้างสิจ๊ะ”
“พี่โมจะมายกเหตุผลอะไรมาอ้าง ให้มิ้นออกไปข้างนอกมิ้นไม่ไปทั้งนั้นคะ มิ้นจะนอน มิ้นง่วง” ทรมานบนเครื่องบินตั้งหลายชั่วโมง ยังต้องมาทรมานทนฟังเสียงบ่นพี่สาวตัวแสบอีก คนอะไร นัดคนอื่นไว้ แล้วไม่อยากไป ให้เราไปแทน
“นะนะ ถ้าเราไม่ไปแทนพี่ พี่จะฟ้องคุณพ่อคุณแม่นะว่าเรา แอบไปมีแฟนอยู่ต่างประเทศ” “มิ้นไม่มีซักหน่อย ทำไมมิ้นต้องกลัวด้วยคะพี่โม.....” ฉันลากเสียง ชื่อพี่โม เพราะมันเป็นความจริง ก็ฉันไปต่างประเทศ เพื่อไปศึกษาต่อสายที่ชอบ และรัก และตั้งใจจะเรียนอย่างเดียว ผู้ชายหน้าไหนมาจีบ อย่าหวังเลย ส่งสายตาดุใส่ อย่าได้มาเข้าใกล้ ก็นะ คนมันมีฉายา สาวโสดตาดุ เพื่อนๆก็ช่างตั้งให้เหลือเกิน ดีไม่ตั้งสาวโหดตาดุ เกิดเป็นผู้หญิง ไม่เห็นต้องให้คนมาเอาใจเลย มีมือมี... (คำหยาบ) เท้าจะ ไปไหนมาไหนเองได้ พวกมาจีบ มีแต่คอยตามรับตามส่ง รำคาญชะมัด ไปเรียนก็ไปเรียนสิ ไม่เห็นต้องมีแฟนเลย แต่ถ้าจะมี ก็นะดีไม่ดี มีแฟนเป็นผู้หญิง สบายใจกว่าอีก ไม่น่ารำคาญเหมือนผู้ชาย น่าเบื่อ
“ยัยมิ้น ทำไมมองพี่แบบนั้น”
(แผนขู่ขั้นที่ 1ยังไม่ได้ผล ต้องใช้แผนขู่ขั้นที่สอง)
“พี่โมจะเอาอะไรไปฟ้องคุณพ่อคุณแม่ละคะ” ฉันถามพี่โมจอมเจ้าเล่ห์ แล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง
“ก็ได้ยัยมิ้น งั้นพี่จะเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณพ่อคุณแม่ดูสิ ท่านจะไม่เทศน์เธอ หรืออย่างดีก็ คิดเอาเองล่ะกัน”
“อย่าบอกนะว่า พี่โมรู้” ฉันกระเด้งขึ้นนั่งบนเตียง แบบว่าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพี่สาวตัวดีรู้ และคิดถึงเรื่องที่ปิดบังพ่อกับแม่อยู่
“อ๊ะๆ แล้วน้องมิ้นคิดว่าเรื่องอะไรล่ะ ก็มีอยู่เรื่องเดียวแหละ”
ก็เรื่องที่โมจะเอาไปฟ้องเนี่ยนะ มันเป็นเรื่องที่เราเถียงกันก่อนไปต่างประเทศ เรื่องนั้นไง
“มิ้นลูกแม่ แม่ไม่ให้ลูกไปนะ ที่จะไปเรียนต่อพวกออกแบบน่ะ แฟชั่นอะไร แม่ไม่ให้ลูกเรียนนะ”
“โธ่คุณแม่ขา ก็มิ้นชอบทางด้านนี้นี่คะ”
“คุณพ่อคะ มิ้นอยากเรียนทางด้านนี้จริงๆนะคะ”
“พ่อก็แล้วแต่แม่นะ”
“โธ่คุณพ่อคะ คุณแม่คะ ให้มิ้นเรียนเถอะนะคะ มิ้นได้ทุนเรียนนะคะ มิ้นจะไม่รบกวนคุณพ่อคุณ
“ลูกมิ้น ลูกก็รู้ว่า พี่สาวเราก็ไม่ได้เรื่อง ดูซิ แม่ให้ไปเรียนด้านบริหารธุรกิจ แต่ดันไปเรียนฝ่ายบัญชี รู้ทั้งรู้ว่า เรียนจบแล้วต้องออกมาช่วยพ่อแม่ทำงาน มาเป็นผู้บริหาร รับช่วงต่อกิจการของพ่อกับแม่ แล้วเราจะเอาโอกาสสุดท้ายไปทิ้งหรือลูก”
“โธ่.....คุณแม่ขา ก็ให้พี่โมต่อโทสิคะ”
“เห็นทีคงจะยาก รายนั้น หลังจากเรียนจบด้านที่ตัวเองชอบ วันๆไม่รู้จักทำการทำงาน มาช่วยแผนกบัญชีที่บริษัทก็ยังดี ดูซิๆ ได้แต่แต่งตัว ออกไปเที่ยวข้างนอก มีแต่รถมารับมาส่ง เห็นทีจะยาก นะจ๊ะลูกแม่ แม่เหลือลูกคนเดียวแล้ว เรียนบริหารต่อนะจ๊ะ”
“คุณแม่ขา ไม่เห็นต้องยกตัวอย่างโมเลยนี่คะ โมก็แค่ ออกไปหาความสุขบ้าง ไม่ทุกวันซักหน่อย โมก็อยู่บ้านนะคะ แถมโมยังแต่งเพลงส่งค่ายเพลงอีกนะคะ”
“ก็ชีวิตเราน่ะไร้สาระ จริงๆ”
“คุณแม่คะ ว่าโมอีกแล้ว โมไม่พูดด้วยแล้วคะ” แล้วพี่สาวตัวดีก็เดินเข้าครัวไป
ปล่อยเราสามคน แม่และฉันต่อยมวยกัน เอ่ย เถียงกันเรื่องคณะที่จะเรียนต่อ ส่วนคุณ
“คุณแม่ขา มิ้นอยากเรียนนี่คะ นะนะคะ ให้มิ้นเรียนเถอะนะคะ”
“มิ้น แม่ไม่พูดกับลูกแล้ว ถ้าเรายังพูดไม่รู้เรื่อง หรือไม่ยอมทำตามที่แม่พูดก็ไม่ต้องมาพูดกัน” คุณแม่พูดสั่งเสียงขาด
“เรื่องนี้สำคัญต่อแม่และพ่อ ตัดสินใจให้ดีๆ ถ้ายังเห็นแม่เป็นแม่อยู่”
แล้วคุณแม่ก็ลุกออกจากโซฟา ที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่กลางห้อง รีบเดินออกจาห้องนั่งเล่น เดินขึ้นบันได มุ่งหน้าไปยังห้องนอนอีก ทีนี้ก็เหลือ ฉันกับพ่อ ฉันเลยต้องมาหาแนวร่วมแล้ว
“คุณพ่อขา ช่วยพูดกับคุณแม่หน่อยสิคะ”
“พ่อก็บอกแล้วไงว่าแล้วแต่แม่ แต่พ่อว่านะ ลูกเชื่อแม่จะดีกว่านะ เอาไว้เรียนจบตามที่แม่ต้องการแล้ว อยากต่ออะไรก็ต่อเถอะลูก”
“โธ่คุณพ่อขา โอกาสอย่างนี้ไม่ใช่ได้มาง่ายๆนะคะ”
“ลูกมิ้น ครอบครัวเราก็ฐานะร่ำรวย แล้วลูกจะเอาโอกาสนั้นมาทำไมล่ะลูก ปล่อยให้คนที่เขาไม่มีดีกว่านะลูก ถ้าลูกอยากได้ทุน พ่อจะส่งให้ เรื่องเงินไม่สำคัญแต่ความสุขของแม่สำคัญกว่านะลูก”
“คุณพ่อคะ งั้นมิ้นขอเวลาคิดหน่อยแล้วกันนะคะ”
“ก็ตามใจ ลูกแต่พ่ออยากบอกไว้ว่า ตามใจแม่เขาเถอะลูก”
คุณพ่อนะคุณพ่อ อะไรก็ตามใจแต่คุณแม่ พี่โมเลยได้นิสัยคุณแม่มาเลย เหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูก เราจะแหกคอกหน่อยก็ไม่ให้แหก ทีพี่โมล่ะก็ เห็นบ่นๆอย่างเดียว รายนั้นไม่ยักยื่นคำขาด ตัดแม่ตัดลูก เฮ่อ.... แล้วคนสวยๆหล่อๆอย่างเราจะทำยังไงเนี่ย
แล้วในที่สุด ฉันก็ตัดสินใจ ก็มิ้นซะอย่าง ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล อิอิ
“คุณแม่ขา คุณ
“จะลูก แม่ดีใจนะที่ลูกคิดได้” แล้วคุณแม่ก็หอมแก้มฉันกลางแอร์พอร์ท หลังจากคุณแม่หอมแก้มฉันเสร็จฉันก็กราบท่านทั้งสองที่อก น้ำตาไหล ที่จริงก็ไม่อยากร้องไห้หรอกนะ ก็ลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้ แงแง น้ำตาไหลอีกแล้ว
“ไม่ต้องร้องนะลูก โตแล้วก็ดูแลตัวเองๆดีๆ ขาดเหลืออะไรก็บอก โทรมาหาแม่บ้างนะลูก
“แล้วก็ถึงที่นู่นแล้ว ก็โทรกลับมาด้วยนะลูกพ่อ พ่อเป็นห่วง”
“คะพ่อ” ฉันรับปากว่า ถ้าถึงแล้วฉันจะโทรกลับมาทันที
“มิ้นสัญญาคะว่าจะโทรหาบ่อยๆ แล้วก็จะเรียนให้จบไวๆคะ”
“ดีมากลูก”
“ทำตัวดีๆด้วยนะจ๊ะยัยมิ้น” พี่สาวแสนดี๊แสนดี ที่ยืนเงียบตั้งนานก็เปิดปากพูดเสียที นึกว่าจะไม่ลากันซะแล้ว
“ยัยมิ้น พี่รู้ทันนะ” พี่โม กระซิบข้างหูฉัน ฉันแอบขยิบตาให้พี่โม พร้อมกับกระซิบบอกพี่โมว่าขอให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับเด็ดขาด แบบว่าลับสุดยอด ไม่ให้บอกพ่อกับแม่
“ยัยมิ้น ถ้าไม่อยากให้พี่บอกสัญญานะว่า ถ้าพี่ขออะไรเราต้องทำตาม”
“ก็ได้คะพี่โม พี่สาวแสนดี๊แสนดี”แอบประชดเล็กน้อย
“พี่ถือว่าเราสัญญากันแล้วนะ
“คะ มิ้นสัญญา” แล้วเราสองคนพี่น้องก็กอดกัน พร้อมกับต่างช่วยกันเก็บความลับมาจนกระทั่งบัดนี้
บัดนี้ที่พี่โมพูดขึ้นว่าจะเอาความลับไปบอกพ่อกับแม่หากฉันไม่ทำตามสัญญาที่รับปากไว้ที่สนามบิน
“โธ่พี่โม”
“แค่พี่ให้ไปนัดแทนพี่แค่นี้ ไม่เห็นต้องให้พี่ขุดเรื่องเก่ามาพูดเลย”
“ก็มิ้น”
“เอาเป็นว่า ตกลงไป”
“มิ้นตกลงไปแทนพี่โมค่า” พี่โมพูดแทนฉันนะ ประโยคนี้ ก็ฉันไม่ได้พูดออกจากปากซักคำ ว่าจะไป พูดแค่ว่า ก็มิ้นเองง่ะ
“ไปแต่งตัวซะ เสร็จแล้วคอยพี่ที่ห้องนั่งเล่น พี่จะบอกสถานที่ พร้อมกับคำพูดที่จะต้องไปสนทนากับเขา เข้าใจนะยัยมิ้น แล้วก็ห้ามแอบหนีไปไหนซะละ”
“อ่อ อีกอย่าง แต่งตัวให้มันดูเป็นผู้หญิงด้วย ล่ะ ถึงยังไงเราก็เป็นผู้หญิงนะ ดูแต่งตัวเข้าสิ ทอมชัดๆ”
ก็ใครว่าไม่ใช่ทอมล่ะ อิอิ เสื้อผ้าแบบนี้กำลังอินเทรนด์เลย ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครออกแบบ
มิ้นเองคะ อิอิ แบบว่าภูมิใจ อยากบอกว่า มีแต่สไตล์แบบนี้เต็มตู้เสื้อผ้าเลย
“ยัยมิ้นเสร็จหรือยังเดี๋ยวสายนะ”
“มาแล้วค่า มาแล้ว”
“โห....ดูแต่งตัวเข้าสิ ทำไมแต่งตัวแบบนี้”
“ก็มิ้นมีแต่แบบนี้นี่คะ”
“เอาล่ะ ขึ้นไปเปลี่ยน”
“โห พี่โม ถ้าให้มิ้นขึ้นไปเปลี่ยนอีกมีหวัง นัดพี่โมสายแน่ เผลอๆมิ้นอาจจะหลับคาเตียง หลับคาเสื้อผ้าเลยก็ได้นะคะ” แล้วฉันก็ยักคิ้วให้พี่โม
“เออ ๆก็ได้ เอานี่กระดาษที่นัดหมาย ร้านอาหารนี่นะ เขาจองไว้แล้ว แล้วก็นี่จดหมาย ในนี้เป็นสิ่งที่พี่จะบอกเขา อ่อ ยื่นให้เขาอ่านเองล่ะ”
“ทำไมต้องทำเป็นความลับด้วยล่ะคะพี่โม แล้วก็อีกอย่าง ทำไมพี่โมไม่ไปบอกเขาเอง คุยกับเขาเอง เรื่องสำคัญไม่ใช่หรอคะ”
“ก็พี่ไม่อยากเจอหน้าเขาแล้ว แค่นี้พอใจไหม”
“อย่าบอกนะว่า”
“ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้นแล้วก็ไม่ต้องเดาด้วย ทำตามที่พี่บอกก็พอ เข้าใจไหม”
“ก็ได้คะ”
“แล้วอีกอย่าง นะ ถ้าเขาไม่พูดอะไรก่อนก็ยังไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แต่ถ้ามันนานเกินไป ก็ก็ยื่นจดหมายให้เขาเลยนะ เอาละ อ่อ คนที่พี่จะให้ไปพบคือ....”
หลังจากตกกระไดพลอยโจนแล้ว เอ่ย รับปากพี่สาวไว้ว่าจะทำภารกิจให้เสร็จ ฉันก็ขับรถคู่ใจของพี่สาวโลดแล่นออกสู่ถนนของมหานครกรุงเทพ
แฟนพี่โมมาหรือยังนะ จะหน้าตาเป็นไงเนี่ย หล่อ ดำ เตี้ย หรือสูงขาว นะ เฮ่อ แล้วก็ไม่เอารูปมาให้ดูหน่อยนะ ตัวเองก็รู้อยู่ว่าเราไม่เคยเห็นหน้า
หลังจากจอดรถเข้าที่จอดรถของโรงแรมแล้ว ก็เดินเข้าไปในลิฟท์
“เอ่อ คอยด้วยครับ” แล้วฉันก็กดลิฟท์คอยเขา แล้วชายหนุ่มร่างสูงก็เดินเข้ามาในลิฟท์ หมอนี่ทำให้ลิฟท์โดยสารดูเล็กลงมาทันตาเลย แงแง อิจฉาคนตัวสูง
“ชั้นไหนคะ” ฉันถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“อ่อ ครับ ชั้นเดียวกันกับคุณครับ” แล้วลิฟท์ก็เปิดประตูออกหลังจากมาถึงชั้นที่เป็นชั้นของร้านอาหารของโรงแรมหรู
“เฮ่อ .......หายอึดอัดซักที”
“เออ คุณว่าอะไรนะครับ”
“ อ่อ เปล่าคะ” แล้วฉันก็เดินไปที่โต๊ะบริการลูกค้า เพื่อไปหากัปตันที่ดูแลเรื่องการจองโต๊ะอาหาร
“เอ่อ จองไว้แล้วคะ โมรียา คะ” โมรียา เป็นชื่อพี่สาวของฉันเอง ส่วนฉันนะหรอ ชื่อ มิษรา ก็ไม่รู้ความหมายเหมือนกันนะ รู้แต่ว่า เพราะใช้ได้ พ่อแม่เราก็ตั้งชื่อลูกเก่งเหมือนกันแฮะ อิอิ อมยิ้มอยู่คนเดียว บ้าไปแล้วเรา
“คุณครับๆ พนักงานเรียกฉัน ขอโทษนะครับ คือว่า โต๊ะที่จองไว้”
“คะ”
“เดินตรงไป โต๊ะซ้ายมือครับ”
“คะ”
แล้วฉันก็เดินไปยังทางที่พนักงานบอก แต่เอ๊ะ ไม่เห็นมีที่ว่างซักที่เลย หรือว่าพนักงานบอกผิด โต๊ะซ้ายมือหรอก็ตรงนี้สิ ฉันชี้ไปที่โต๊ะที่มีชายหนุ่ม รูปร่างคุ้นตานั่งอยู่
“เอ่อคุณครับ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
ชายหนุ่มคนนั้นยืนขึ้น อ๋อ ก็คนที่เจอในลิฟท์ไง
“คือว่า พนักงานบอกว่าโต๊ะซ้ายมือ คือว่าดิฉันว่าคุณกำลังนั่งโต๊ะที่ดิฉันจองไว้คะ”
“คุณ
เอ.... ฉันไม่ได้ชื่อโมลียานะ นั่นมันชื่อพี่สาวฉัน
“คือว่า ดิฉันเป็น...”
“รับอะไรดีครับ น้ำส้มซักแก้วไหมครับ”
นี่หรอแฟนพี่เรา หล่อดีเหมือนกันแฮะ เอ่ย ไม่ใช่ เสื้อผ้าที่เขาใส่ก็คุ้นๆนะ ถือว่ามีรสนิยมในการแต่งตัว ใช้ได้ๆ
“คุณโมครับ คุณโม”
เอ๋ แต่ทำไมแฟนพี่ถึงจำพี่เราไม่ได้ล่ะ หรือว่า หมอนี่จำแฟนตัวเองไม่ได้ ความจำเสื่อมหรือเปล่านะ
“คุณ
“นี่คะ จดหมาย”
“จดหมายอะไรครับ”
แฟนพี่เราทำไมต้องให้จดหมายกับเราด้วยแฮะ แล้วแถมทำไมจำแฟนตัวเองไม่ได้ ความจำเสื่อมหรือเปล่านะ ฉันไม่มีอะไรจะพูดคะ
“ได้โปรดอ่านจดหมายนี้นะคะ เมื่ออ่านจบก็เสร็จธุระของฉันแล้ว ฉันจะได้ขอตัวลากลับ”
“เอ่อ คุณโมครับ คือว่า.....”
“อ่อ... อีกอย่างฉันไม่”
“ผมขอให้คุณหยุดพูดแค่นั้นครับ”
คนอะไรไม่มีมารยาท ขัดเขาพูดอยู่เรื่อย ยังไม่ทันบอกความจริงเลย หน้าตาดีซะเปล่า ถึงว่านิสับแบบนี้พี่โมไม่อยากมาคุยด้วย
“ขอโทษนะครับ คุณโม เมื่อผมอ่านจดหมายนี้จบ แม้ว่าตอนนี้ผมไม่รู้อะไรในจดหมาย แต่ผมต้องขอบอกให้ทราบว่า ถึงผมอ่านจบแล้ว คุณก็ยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น เพราะพี่ผมยังไม่มา”
“ทำไมฉันต้องคุยกับพี่คุณด้วยคะ แล้วพี่คุณเป็นใคร”
แม่สาวคนนี้จะมาใช่เล่ห์เหลี่ยมอะไรอีกเนี่ย ทำมาเป็นไม่รู้จัก แฟนตัวเองแท้ๆ คือว่า
“ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวก่อน ผม พีระดล น้องชาย พี่เฟร แฟนคุณ อีกอย่างที่คุณไม่รู้จักผม ผมไม่ว่า เพราะเราเพิ่งรู้จักกันครั้งแรก แต่อย่าทำมาเป็นไม่รู้จักพี่ผม”
แล้วใครจะมารู้จักฟะ หน้าตาก็ไม่เคยเห็น ชื่อก็ไม่เคยได้ยิน เอ๋ แต่ชื่อมันก็คุ้นๆอยู่นะ เฟร หรือว่า นาย
แล้วไม่เห็นต้องขึ้นเสียงเลย คนคุ้นเคยไม่ใช่ อายคนอื่น เขานะหันมามองกันทั้งร้านแล้ว
“เอ่อ เบาๆก็ได้คะ คุณ เออ”
“พีระดล อีกอย่างกรุณาจำชื่อผมแม่นๆด้วยนะครับ ในเมื่อคุณเป็นแฟนพี่ผม เราก็ต้องทำความคุ้นเคยกันไว้ ใช่ไหมครับ”
“เอ่อ ชะ ใช่มั้งคะ”
ใครอยากจะรู้จักกับนายกันเล่า
“อ่อ อีกอย่าง ที่ผมมาวันนี้ คือว่าพี่ผมมีธุระกะทันหัน จะมาสายหน่อยเขาเลยให้ผมมาอยู่เป็นเพื่อนกับคุณก่อน”
อ่อ ไม่เห็นอยากรู้เลย พูดในใจนะคะ
“หรอคะ พี่คุณนี่ใจดีจังเลยนะคะ”
ยัยนี่ทำเหมือนไม่รู้จักแฟนตัวเอง พี่เราสุภาพบุรุษตัวจริงเลย
“คุณพูดเหมือน”
“เอ่อ คือว่า” ฉันจะบอกว่า แล้วคำพูดกูกกลืนลงไปในลำคอ
“ขอโทษนะครับ น้ำส้มที่สั่งได้แล้วครับ”
“ครับ”
“คะ” ตาบ๋อยนี่มาขัดจังหวะ กำลังจะบอกความจริงอยู่เชียว
“คือว่า เอ่อ...”
“ดื่มน้ำส้มก่อนสิครับ”
“คะ คะ ก็ได้คะ”
“งั้นผมขออนุญาตอ่านจดหมายก่อนนะครับ”
รีบๆอ่านซะ จะได้กลับ ว่าแต่พี่โมจะให้ใครอ่านจดหมายนี้กันแน่ แต่มันคงไม่ใช่ความลับอะไรหรอกมั้ง อ่านๆไปสิ คนกำลังคิดอะไรเพลินๆ มองอยู่ได้
(ถึงเฟร โมนะคะ โมขอโทษ)
เอ๋ ทำไมเจ้าตัวไม่ขอโทษเองล่ะ นั่งอยู่ตรงหน้าแท้ๆ อยากรู้ต้องอ่านต่อ
(เฟรอย่าเสียใจนะคะ โมว่าเราเข้ากันไม่ได้ เข้ากันไม่ได้ แล้วเรื่องระหว่างเราขอให้จบกันแค่นี้ ที่ผ่านมาโมขอให้คุณลืมโมซะ แต่โมจะไม่ลืมเฟร โมจะเก็บเฟรไว้ในส่วนลึกของหัวใจ เก็บเป็นความทรงจำที่ดีๆระหว่างเรา
แล้วอีกอย่างนะคะ เรื่องความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่เราเคยมีร่วมกัน เฟรอยากบอกคุณว่า คุณน่ารักมาก ขอบคุณที่คุณรักโมอย่างจริงจัง แต่โมอยากบอกว่า ขอโทษนะคะ โมอยากให้เรายุติความสัมพันธ์ไว้แค่นี้ เฟรดีเกินไปสำหรับโม)
ดีเกินไปเหรอ ขอโทษ อย่าเสียใจเหรอ นี่มันอะไรกันเนี่ย คุณโมจะบอกเลิกเฟร เฟรก็พี่ชายเรา ยอมไม่ได้ ต้องถามเหตุผลให้รู้เรื่อง
“คุณโม นี่มันหมายความไง”
“เอ๊ะ อะไรคะ”
นายบื้อ นายหมายความว่าไง ถามอย่างนี้ ใครจะไปรู้เรื่องล่ะ ข้อความในจดหมายเป็นไง ฉันยังไม่รู้เลย พูดกันไม่รู้เรื่อง ฟังก็ไม่ฟัง ขี้เกียจพูดด้วยแล้วนายพีระดล
“ขอโทษนะคะ ก็หมายความอย่างที่เขียน ที่สำคัญมันก็คงอธิบายไว้ชัดเจนแล้ว ฉันก็คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก”
“ขอโทษนะครับ ถ้าเป็นเรื่องนี้ ผมคงส่งจดหมายให้พี่เฟรอ่านไม่ได้ คุณคงต้องไปพูดกับเขาเอง ขอย้ำนะครับ ว่าคุณต้องบอกด้วยปากของเขาเอง เห็นทีจดหมายฉบับนี้ผมต้องขอทำลายทิ้ง” แล้วหมอนั่นก็ฉีกจดหมายที่พี่โมฝากให้ เฟรอะไรนี่แหละฉีกทิ้งเป็นชิ้นเล็ก ๆ
“ทำไมคุณต้องทำแบบนี้ด้วย คุณไม่มีเหตุผล”
“คุณนั่นแหละที่ไม่มีเหตุผล มีปากคุณก็ต้องพูดกับเขาเอง ผมหวังว่าคุณคงเข้าใจนะครับ”
แล้วหมอนั่น ก็ลุกไป พร้อมวางเงินไว้ที่โต๊ะ
แหม ๆไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย ขออย่าได้มาเจอกันอีกเลย
สาธุ สาธุ
“ยัยโม ลงมาเดี๋ยวนี้ มาพูดกับพี่ก่อน พูดให้รู้เรื่องนะ ไม่งั้น ไม่ต้องไปนอนเลยนะ ยัยโม ลงมาเดี๋ยวนี้”
“อะไรอีกล่ะคะ พี่โม มิ้นไม่หนีไปไหนซักหน่อย มิ้นยังอยู่กับพี่โมอีกนานนะคะ”
“ยัยมิ้น ไม่ต้องมาพูดดีเลย” พี่ใครวะเนี่ย เอาแต่ใจชะมัด
“ก็ได้ๆคะ”
“มาเล่าให้พี่ฟังซะดีๆ ว่าเจอหรือยัง”
“เจอใครล่ะคะ พี่หรือน้อง”
“ก็ ...”
“ไม่ต้องก็เลยคะ แค่บอกจะให้ไปพบแฟนพี่ก็สิ้นเรื่องไม่เห็นต้องทำเป็นความลับเลยพี่โม”
“ก็แค่จะให้ไปพบผู้ชายคนนึง”
“ผู้ชายคนนึงของพี่โมเนี่ย เขาบอกว่าให้ไปพูดกับพี่เขาเอง”
“ เอ๊ะยัยมิ้น พูดให้รู้เรื่องสิ”
“ก็มิ้นไปพบน้องชายแฟนพี่โมมาคะ รู้สึกว่าชื่อ พีระ พีระดลอะไรประมาณนี้คะ”
“ เอ๋....เฟรมีน้องด้วยหรือเนี่ย ตอนคบกันก็ไม่ยักบอก”
“พี่โมไม่ถามเขาเองมั้งคะ”
“เออน่า แล้วไงต่อ”
“สรุปว่าพี่โมตั้งใจให้มิ้นไปพบแฟนพี่ที่ชื่อเฟรหรือให้ไปพบคนที่ชื่อพีระดลกันแน่คะ”
“ก็พี่ให้เราไปพบเฟร์น่ะสิ แล้วไม่เจอเฟร์หรอ”
“ไม่เจอคะ”
“จดหมายล่ะ ก็ให้นายนั่นน่ะ”
“นายไหนล่ะ”
“ก็นายพีระดลน่ะสิคะ”
“อ่าวเป็นเรื่องแล้วสิ แล้วเขาบอกว่าไงบ้าง เขาอ่านจดหมายหรือยัง”
“อ่านแล้ว แล้วก็ฉีกจดหมายทิ้ง แถมยังบอกว่าให้มิ้นไปบอกกับปากเอง ให้ไปบอกพี่ชายเขาเอง เขาไม่รับส่งสารประมาณนี้แหละคะ ที่สำคัญ นายนี่พูดไม่รู้เรื่อง แถมยังเข้าใจผิดว่า มิ้นเป็นพี่โมอีกต่างหาก”
“แล้วทำไมมิ้นไม่บอกเขาล่ะ”
“ก็จะบอกแล้ว แต่หมอนั่นไม่เปิดโอกาสให้มิ้นพูดเลย มิ้นก็เลยตามเลยน่ะสิคะ”
“โห.... อย่างนี้มันก็ยังไม่จบน่ะสิ”
“อะไรคะที่ยังไม่จบ”
“ก็ไม่มีไรหรอก ไปนอนเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนี่เราน่ะ”
“อ่อ อีกอย่าง พ่อกับแม่รู้แล้วนะว่าเรากลับมาแล้ว ท่านบอกว่า อีกอาทิตย์จะพาเราไปที่ทำงาน เห็นจะเปิดตัว อะไรนี่แหละ แล้วก็เลี้ยงฉลองลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนตัวแสบที่กลับมาจากต่างประเทศ”
“โหพี่โมก็พูดไป”
“อีกอย่างนะ พ่อกับแม่ตอนนี้ไปต่างประเทศแล้ว คงจะได้ไปเจอกับเราในวันเปิดตัวเลยนี่แหละ”
“โห คิดถึงแย่เลย อุตส่าห์รีบเรียนจบไว จะได้กลับมาเจอพ่อกับแม่แท้ๆ พอกลับมาก็ยังไม่ได้เจอหน้าให้หายคิดถึง งั้นมิ้นไปนอนนะคะ บาย
“ราตรีสวัสดิ์จะน้อง”
“ฮัลโหล พี่เฟรเหรอครับ ฟาร์ขับรถอยู่ครับ เพิ่งออกจากโรงแรมเมื่อซักครู่นี่เอง”
“อ่าว เหรอคือว่า พี่จะโทรไปบอกว่าพี่ไปตามนัดไม่ได้ เลยอยากจะให้เราเลี้ยงข้าวคุณโมเขาหน่อย”
“คงไม่ได้เลี้ยงแล้วครับเราแยกกันแล้ว”
“แล้วไปคุยกับเขาเป็นไง น่ารักไหม คนนี้พี่จริงจังเลยนะ พี่ยังไม่ได้แนะนำเขาอย่างเป็นทางการให้พ่อแม่รู้เลย แต่คนนี้ พี่รักมากนะ เคยพาไปบ้านด้วย พ่อแม่ก็ชอบเธอ พี่อยากจะแนะนำเธอให้เรารู้จักเหมือนกัน”
“ครับ”
“แต่ว่าเราน่ะสิ ไปเรียนต่างประเทศ เพิ่งจะกลับมา ติดต่อก็ยาก”
“เอ่อ ผม”
“ไม่ต้องเลยนะ โทษฐานที่เราไม่ค่อยได้เจอกัน ไว้เย็นนี้เรามาคุยกัน”
“ครับพี่เฟร์”
“เออยังไม่ได้บอกเลยว่าน่ารักไหม”
“เอาไว้เย็นนี้คุยกันดีกว่าครับ”
“อือ ก็ได้ๆ ตอนนี้พี่ประชุมเพิ่งเสร็จ แล้วจะรีบกลับ บาย”
“ครับ”
“หวัดดีครับพี่เฟร์ น้อยเอาน้ำให้พี่เฟร์หน่อย”
“คะ คุณฟาร์”
“เหนื่อยเลยสิครับพี่”
“มีประชุมตั้งแต่เช้า”
“อืม มีเรื่องนิดหน่อยนะ เรื่องปัญหาผลิตภัณฑ์ที่เราออกแบบ ดันไปซ้ำกับคู่แข่ง”
“ก็แบบนี้แหละครับ ธุรกิจ กลโกง และการแข่งขันมันของคู่กัน”
“พี่กะว่าจะหานักออกแบบคนใหม่ คงต้องเปิดรับสมัครคนมีฝีมือซะแล้ว”
“ครับ พี่ แล้วคนเก่าล่ะครับ”
“ก็จะให้ย้ายไปอยู่ฝ่ายอื่น แทนแผนกเก่า เพราะแผนกเก่า มันสำคัญมาก มันเกี่ยวข้องกับเงินที่จะเข้าบริษัทมหาศาล”
“ครับพี่ งั้นผมจะช่วยพี่อีกแรงแล้วกันนะครับ”
“ดีมากๆ สมแล้วที่เป็นน้องพี่ ว่าแต่ เรื่องที่ฝากไปทำเป็นไงบ้าง เล่ามาให้ละเอียดเลยนะ”
“พี่เฟร์ก็จุกจิกเป็นผู้หญิงไปได้”
“ครับๆ ไม่เห็นต้องส่งสายตาหวานมาให้เลย...พี่เรา”
คนอะไร หล่อขนาดนี้ ยังมีสาวมาขอเลิก หน้าที่การงานก็ดี นิสัยก็ดี อีกต่างหาก
ที่ว่าพี่เฟร์หล่อ ขนาดเราต้องชม ก็แค่ ผมสีน้ำตาลอ่อน หน้าหวาน แต่ก็สมชายอยู่ จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปาก ชมพู รูปร่างสูง สมส่วน ถ้าเราเป็นผู้หญิงมีหวังจีบพี่เฟร์แน่ แต่เสียดาย ดันเป็นผู้ชาย แถมเป็นน้องพี่เฟร์ซะได้ เข้าขั้นโรคจิตแล้วเรา
“คิดอะไรอยู่”
“หึ ก็แค่.. ไม่มีอะไรครับ”
“เล่ามา ตั้งแต่พี่ถามเรายังไม่ได้พูดอะไรซักคำเลยนะ เกี่ยวกับคำตอบเนี่ย”
“ก็ถามมาสิครับ ง่า...จะเอาคำตอบแบบไหน”
“อืมก็ได้”
“น่ารักไหม”
“คิดดูก่อนนะพี่”
“ทำไมต้องคิดด้วย ก็พูดอย่างที่เห็นนี่แหละ”
“ออกจะดูทอมๆมั้ง อย่าบอกนะว่าพี่หันไปชอบของแปลก”
“ทอมเหรอ คุณโมออกจะเป็นสาวหวาน อมเปรี้ยว”
“พี่รู้รสด้วยเหรอ” หลังจากถามแล้วก็มองหน้าพี่ชาย แถมคิดลึกอยู่
“อืม”
“พี่มีอะไรกับเขาแล้วเหรอ”
“ อืม”
“เป็นไงบ้างพี่”
“อะไรเป็นไง”
“ตัวเองก็ลองมีแฟนบ้างดิ น่ารักขนาดนั้น”
ก็นะ พี่เฟร์ซะอย่าง สาวไหนจะรอด
“แต่คนนี้พี่จริงจังนะ จริงอยู่ที่สาวมาให้เลือกมากหน้าหลายตา แต่คนนี้จริงจัง พี่ถึงรวบรัดเขาไง”
“รวบรัด ขนาดนั้นเชียว ใช่ พี่กลัวเขาจะบอกเลิกพี่น่ะสิ คุณ
“ครับๆ” ก็คนมันรักไปแล้วนี่
แล้วเราจะบอกเรื่องนั้นยังไงเนี่ย
“ที่จริงพี่กะว่าจะให้เขาท้องก่อนแต่งซะด้วยซ้ำ”
“โห ขนาดนั้นเลย”
“แล้วไปเจอเขา เขาว่ายังไงบ้าง โกรธไหมที่พี่ไม่ได้ไปตามนัด”
“ก็ดูเหมือนเขาจะงงนะที่เจอผม”
“เหรอ”
“ครับ พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่”
“อ่าวทำไมเป็นงั้นล่ะ”
“ก็เขาพูดอะไรก็ไม่รู้ ก็ก็ แค่เน๊ย ผมขี้เกียจฟังแล้ว เลยแย่งพูด”
“นั่นเขาจะเป็นพี่สะใภ้เราในอนาคตนะ เขาอาจจะเหนื่อยอยู่ก็ได้ แล้วเราน่ะสิใจร้อนง่าย หงุดหงิดง่าย”
“ก็ผมเป็นของผมแบบนี้นี่ครับ”
“แล้วดูการแต่งตัวเข้าซิ เขาไม่หาว่าน้องชายของเฟร์สุดหล่อ เป็นเกย์ไปหรือไง ใส่ไปได้ไง เสื้อผ้าแบบนี้”
“โหพี่... ที่ต่างประเทศกำลังฮิตเลยนะครับ รู้สึกว่าเป็นฝีมือนักศึกษาไทยที่ไปเรียนที่โน่นออกแบบ แต่ผมยังไม่เคยเห็นตัวจริงหรอกนะครับ”
“หรอ ดีจริง พี่ชักอยากเห็นตัวแล้วสิ ว่าแต่ มาคุยเรื่องแฟนพี่ต่อ”
“ครับพี่”
“แล้วเขาพูดอะไรอีกไหม”
“อืม คิดก่อนนะ”
“อ่อ เขาบอกว่าอยากพบพี่แล้วก็อยากคุยกับพี่”
(ประโยคนี้นายพูดเองไม่ใช่หรอ นายฟาร์ )
“หรอ สงสัยจะเรื่องสำคัญ ไว้พี่จะติดต่อกับเขาเองแล้วกัน ขอบใจนายมากนะ ฟาร์”
“ไปพักผ่อนไป ดึกมากแล้ว”
“โห พี่เฟร์ เพิ่งสองทุ่มเอง”
“พรุ่งนี้พี่มีประชุมแต่เช้าที่บริษัทคุณพ่อของคุณโมเขา
“เหรอครับ”
“หวังว่าพี่เฟร์คงไม่เจอยัยเฉิ่ม เอ่ย แฟนพี่เฟร์นะ ที่ชื่อโมนั่นน่ะ”
ไม่งั้นมีหวัง เรื่องไม่จบง่ายๆแน่ เธอแน่มากนะที่กล้าเหยียบจมูกเสือ ให้มันรู้ซะบ้างยัยทอม บังอาจมาบอกเลิกพี่เฟร์ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน ให้มันรู้กันว่า ยัยทอมอย่างเธอที่พี่เฟร์ชมว่า เปรี้ยวๆหวานมันจะได้คลุกเคล้าความเค็มซะบ้าง ก็น้ำตาไงล่ะ 5555 สะใจโว๊ย....
ความคิดเห็น