คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : พี่ชาย
5
พี่ชาย
แค่วันแรกก็เป็นอย่างนี้ซะแล้ว แล้ววันต่อๆไปล่ะ...ฉันรู้สึกท้อเหลือเกิน ไม่มีกำลังใจที่จะทำอะไรอีกแล้ว...ฉันเหนื่อย...วันต่อๆไปคงจะมีเรื่องยุ่งเหยิงเกิดขึ้นกับฉันมากกว่านี้แน่ ไหนจะเรื่องยัยชะนีทรีโอนั่นอีก (ฉันมั่นใจว่าฉันจะต้องโดนเอาคืนแน่ๆ) แล้วฉันจะต้องปิดบังทุกคนไปอีกนานแค่ไหนกัน
ฉันเดินไปตามฟุตบาทริมถนน โดยที่ไม่สนใจคนรอบข้างแม้แต่น้อย ฉันเดินไปเรื่อยๆจนไม่รู้ว่าฉันเดินมาไกลเท่าไรแล้ว ไม่รู้ว่าจะกลับบ้านยังไงด้วย แล้วฉันก็ได้เจอพี่วินมอไซค์คนเมื่อวาน
“ทำไมวันนี้คอตกจังล่ะน้อง”
“ยังไม่ได้กินกล้วยน่ะพี่”
นี่ฉันคิดว่าตัวเองเป็นลิงไปแล้วใช่ไหม (เพราะนายคนเดียวเลยไอ้หน้าชา) =_=
“จะไปไหนล่ะเดี๋ยวจะไปส่ง วันนี้ไม่คิดตังค์ด้วย”
“ที่เดิมพี่”
“ขึ้นมาเลยไอ้น้อง”
แล้วฉันก็ขึ้นมอไซค์พี่คนนั้นไปโรงพยาบาลที่ยัยฟ้ารักษาตัวอยู่
“ขอบคุณมากนะพี่”
“คราวหน้าคราวหลังใช้บริการพี่ได้เสมอเลยนะ ไอ้น้อง พี่ถูกชะตากับน้องวะ”
“อืม
”
มาไทยไม่กี่วันก็มีพวกแล้วเหรอเรา...
แล้วฉันก็เดินเข้าโรงพยาบาลไป แต่ในระหว่างทางที่ฉันเดินไปเนี้ยะสิ มันมีสายตาเป็นร้อยๆคู่หันมามองฉันเป็นตาเดียว ก็แน่ละสภาพของฉันตอนนี้มันเหมือนไม่ใช่คนแล้ว แต่มันเหมือนมนุษย์ขยะมากกว่า มอมแมมไปทั้งตัวฉัน แต่ฉันไม่สนใจหรอก
แต่สิ่งที่ฉันสนใจมากกว่าก็คือ วันนี้ฉันจะต้องถามยัยฟ้าในทุกๆเรื่อง ทั้งยัยชะนีทรีโอนั่นว่าทำไมยัยพวกนั้นต้องไม่ชอบยัยฟ้า แล้วก็เรื่องนายดัชด้วยว่ามันกวนประสาทยัยฟ้าขนาดนี้เลยเหรอ แล้วก็เรื่องนายบาสอีก แล้วก็อีกหลายๆเรื่องที่ฉันอยากรู้
“อ้าวพี่ขวัญ ฟ้านึกว่าพี่จะไม่มาแล้วซะอีก”
ฉันชื่อขวัญเหรอเนี้ยะ นึกว่าชื่อยัยลิงซะอีก
“โฮ...นี่พี่ไปแย่งขยะกับหนูมาหรือไง สภาพถึงได้เป็นแบบนี้”
“พี่ไปฟัดกับคนขายน้ำแข็งมาต่างหาก”
“ใคร”
“จะใครก็ช่างแต่พี่มีเรื่องที่จะต้องคุยกับเรายาวเลย”
แล้วฉันจะเริ่มจากเรื่องอะไรก่อนดีล่ะ เอาเรื่องยัยชะนีทรีโอนั่นดีกว่า
“ในโรงเรียนมีพวกที่ไม่ชอบฟ้าด้วยใช่ไหม”
พอจบคำถามของฉันรอยยิ้มบนใบหน้ายัยฟ้าก็หายไปทันที
“พี่ถาม ตอบสิ”
“ใช่ ที่ยัยกิ๊ฟ ยัยเกรซ แล้วก็ยัยริซ่า ก็เพราะว่ายัยพวกนั้นชอบบาสกับดัชอยู่”
เรื่องผู้ชายนี่เอง ไร้สมองกันจริงๆ ฉันว่าเอาสมองไปคิดว่าจะตายเมื่อไร แล้วจะมียมทูตชื่ออะไรมารับ ยังจะมีประโยชน์ซะกว่า
“ว่าแต่ไอ้หน้าชา เอ้ย!นายดัชมันน่าชอบตรงไหน ปากก็ร้าย”
“หะ!ฟ้าว่าพี่คงจะเข้าใจอะไรผิดแล้วละ ดัชเนี้ยะนะปากร้าย วันๆเขาพูดไม่เคยเกินสิบประโยค”
“พันประโยคเลยน่ะสิไม่ว่า นี่พี่เพิ่งจะออกกำลังกายปากกับนายนั่นมาด้วย”
“พี่คงจะเป็นคนแรกที่เขาพูดด้วยเกินสิบประโยคแน่ๆเลย ขนาดฟ้าคบกับเขามาตั้งเกือบสิบปี พูดกันยังไม่เคยเกิน สิบประโยคเลยนะ”
“เว่อไปหรือเปล่าจ๊ะน้องรัก นายนั่นจะพูดปีล่ะประโยคเลยหรือไง”
สงสัยกลัวจะพูดแล้วเกิดมีอะไรมาเดินชมโรงเรียนน่ะสิ (สุนัขน่ะ)
“ฟ้าพูดจริงๆนะดัชเขาเป็นคนพูดน้อยนะ โดยเฉพาะกับพวกสามคนนั้นนะเขาไม่เคยพูดด้วยเลยสักคำ เขาไม่ชอบผู้หญิงแบบนั้น”
ถ้าฉันเป็นผู้ชายฉันจะไม่ใช่แค่ไม่พูดด้วย แต่ฉันจะดีดยัยชะนีทรีโอนั่นให้กระเด็นออกไปนอกโลก ทะลุผ่านจักรวาร ไปยืนรอรถเมล์ที่โลกหน้าไปเลย
“ฟ้าว่าดัชจะต้องชอบพี่แน่ๆเลย”
“ไม่มีวัน นายนั่นยังด่าพี่ว่าเป็นลิงอยู่เลย แถมยังจะให้พี่กลับไปนอนกินกล้วยด้วยซ้ำไป”
“จริงเหรอ ฟ้าว่าพี่คงจะมีบุญมากเลยแหละที่ดัชเขาพูดด้วยขนาดนี้”
น้องฉันหรือนี่~ T_T
“แต่พี่ว่าชาติก่อนพี่คงจะไปแย่งนายนั่นกินกล้วยแน่ๆ ชาตินี้พี่เลยต้องมาเป็นลิงในสายตานายนั่น แล้วที่สำคัญพี่ว่าฟ้ามีบุญกว่าพี่เยอะที่นายดัชไม่พูดด้วย พูดกับนายนั่นทีไรปวดกระบาลทุกที นึกคำด่ากลับแทบไม่ทัน”
“คิกๆๆๆๆ”
ดูน้องฉันสิ นั่งขำจนไม่เห็นดาวไม่เห็นตะวันเลย มีความสุขมากใช่ไหม ที่พี่เป็นแบบนี้
“เออมีอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องที่ฟ้าเป็นตัวแทนภาคเกาหลีน่ะ แล้วทำไมต้องมาเป็นกับนายดัชด้วย”
T-T
“อ๋อ พอดีเขาเห็นว่าฟ้าเป็นลูกครึ่งเกาหลีน่ะ ก็เลยคิดว่าฟ้าเหมาะที่จะเป็นตัวแทนภาคเกาหลี”
แล้วก็คิดว่านายดัชเคยอยู่เกาหลีมาก่อนเลยคิดว่าคงจะเก่งเกาหลีแน่ๆเลย
“แล้วเรื่องนายบาสล่ะ”
ยัยฟ้าหน้าซีดไปเลย
“ทำไมเหรอพี่”
“เปล่า พี่กลัวว่านายนั่นจะทนพี่ไม่ได้แล้วเกิดบอกเลิกขึ้นมาน่ะสิ แล้วอีกอย่างนะฟ้าก็รู้ว่าพี่ไปชอบคนที่ชอบตาม พี่ไม่รูว่าพี่จะทนไปได้นานแค่ไหน”
ฉันสังเกตเห็นว่าหน้าของยัยฟ้าดูเหงาไปทันที หลังจากที่ฉันพูดจบ นี่ฉันไม่ควรจะพูดเลยใช่ไหม ไม่ควรจะพูดให้ยัยฟ้าเป็นกังวลเลยจริงๆ
“แต่พี่ไม่มีวันให้มันเป็นอย่างนั้นเด็ดขาด”
ฉันพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม ที่ข้างในมันไม่ค่อยจะยิ้มเท่าไร แต่มันเป็นคำพูดที่มาสจากความรู้สึกรักน้องของฉัน ฉันไม่อยากให้ยัยฟ้าไปโดยไม่สบายใจ
“ฟ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะพี่น่ะฝีมือระดับนี้แล้ว”
“ฟ้าขอบคุณพี่ขวัญมาก มากจริงๆ”
แล้วยัยฟ้าก็โผกอดฉันเอาไว้...
ฉันรู้สึกว่ายัยฟ้ายังเป็นเด็กขี้แยเสมอในสายตาของฉัน ถ้ายัยฟ้าเป็นอะไรไปฉันก็คงจะเสียใจมาก ดังนั้นฉันจะไม่มีวันยอมเสียยัยฟ้าไปเด็ดขาด ฉันจะทำทุกทางที่สามารถทำให้ยัยฟ้าได้อยู่กับฉันตลอดไป
“เออ...ฟ้าพี่มีเรื่องให้เราช่วยน่ะ”
“เรื่องอะไรเหรอพี่”
“คือว่า...ฟ้าก็รู้ว่าพี่เขียนไทยไม่ค่อยเก่งใช่ม้า...”
“อ๋อ...ฟ้าเข้าใจแล้วละ วิชาภาษาไทยใช่ไหมละเอามาสิเดี๋ยวฟ้าเขียนให้”
สมกับเป็นน้องฉันจริงๆ
(Duch Talk)
ตอนนี้ผมกำลังเดินกลับบ้าน หลังจากที่ผมอธิบายเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ไอ้บาสฟังไปแล้ว เท่าที่ผมดูแล้วไอ้บาสมันก็รู้สึกผิดเหมือนกัน มันรู้สึกผิดที่มันไม่เชื่อใจคนที่มันรัก แล้วก็รักมัน
ผมเดินคลำปากของผมไปด้วย ไอ้บาสนี่มันหมัดหนักไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะเนี้ยะ เล่นเอาซะปากผมระบมเลย
~เธอเป็นใครกันแน่~
นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่ตอนนี้ ผมรู้สึกว่าเทียนฟ้าวันนี้ไม่ใช่เทียนฟ้า แล้วเธอเป็นใครถ้าไม่ใช่เทียนฟ้า หรือว่าฟ้ามีฝาแฝด แต่ผมเคยไปบ้านฟ้าสามครั้งผมก็ยังไม่เคยเห็นฝาแฝดของฟ้าเลยสักครั้ง
สิ่งที่ผมคิดอยู่ตอนนี้มันทำให้ผมคิดมากจริงๆ ผมคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก
แต่ให้ตายเถอะ!!
ผมรู้สึกว่าเธอคนนี้เป็นคนที่ผมอยากพูดด้วยที่สุด ผมรู้สึกว่าผมอยู่ใกล้เธอแล้วมีความสุขถึงคำพูดที่เราพูดออกมานั้นมันไม่เคยจะดีเลยสักครั้งก็ตาม ผมรู้สึกว่าผมไม่อยากให้เธอคนนี้หายไป
แต่ผมก็ไม่สามารถคิดอะไรไปได้มากกว่านี้แล้ว จนกว่าผมจะรู้ว่าเธอเป็นใคร แล้วถ้าเธอคือเทียนฟ้า ผมก็ไม่อยากจะแย่งแฟนของเพื่อนหรอก แต่ถ้าเธอไม่ใช่...
แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจเหมืนกันว่าผมรู้สึกยังไง ผมกลัวว่าเธอกำลังโกหกพวกเราอยู่ แล้วสิ่งที่ผมเกลียดมากที่สุดก็คือการโกหก...
~นี่ผมเป็นอะไรไป~
(Teankwan Talk)
หลังจากที่ฉันให้ยัยฟ้าเขียนภาษาไทยให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันก็นั่งรถแท็กซี่กลับมาที่ร้านแต่ครั้งนี้ฉันกลับไม่รู้สึกเซ็งเลยทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่าฉันมีเรื่องให้คิดอีกเยอะ ดีกว่ามานั่งเซ็งกับอาการรถเสียเป็นเวลานับชั่วโมงกันทั้งกรุงเทพ
‘ฟ้าว่าดัชจะต้องชอบพี่แน่ๆเลย’
คำพูดของยัยฟ้ามันติดอยู่ในหัวสมองของฉันทุกเวลา แม้ว่าฉันอยากจะลืมมันซักเท่าไรก็ตาม ทั้งๆที่ฉันก็รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ทั้งๆที่ฉันรู้สึกเกลียดประโยคประโยคนี้เป็นที่สุด แต่ฉันกลับรู้สึกดีที่ได้ยินมัน
ฉันรู้สึกว่าฉันรู้สึกดีที่ได้พูดกับนายนั่นถึงแม้ว่าสิ่งที่เราพูดกันมันไม่เคยออกมาดีเลยสักครั้ง แต่ฉันกลับมีความสุขที่ได้พูดแบบนั้นออกไป
~นี่ฉันเป็นอะไรไป~
ฉันไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้เลยเหรอ ฉันรู้แต่ว่าฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครเลย แล้วทำไมอยู่ๆมันถึงความรู้สึกบ้าๆนี่กับฉันได้ ใครก็ได้ให้คำตอบกับฉันที
ก่อนที่ฉันจะคิดอะไรไปมากกว่านี้ฉันก็รีบตัดมันออกไปจากความคิดของฉันซะ
ฉันบอกกับคนขับแท็กซี่คนนั้นให้จอดลงที่หน้าวินมอไซค์ของพี่คนนั้น
ฉันไม่รู้นะว่าทำไมฉันต้องลงไปหาพี่คนนั้น ฉันรู้แต่ว่าถึงฉันจะไม่รู้จักเขาอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่ฉันก็รู้สึกไว้ใจเขาและเป็นคนๆเดียวที่ฉันสามารถพูดด้วยได้ในตอนนี้
“อ้าว ไอ้น้องว่าไง”
พี่คนนั้นทักฉันหลังจากที่เห็นฉันเดินลงมาจากแท็กซี่
“วี๊ด...วิ้ว...วววว”
นี่ไม่ใช่สียงของพี่เขาหรอก แต่เป็นเสียงของไอ้พวกที่พ่อแม่เป็นนก เลยต้องมาหาเลี้ยงชีพตัวเองด้วยการมาเป็นมอไซค์รับจ้าง
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับพี่น่ะ ว่างมะ”
“ว่างเสมอสำหรับน้องสาวคนนี้”
ฉันมีแต่น้องสาวนะเฟ้ย...แต่ไม่เป็นไรฉันก็อยากมีพี่ชายเหมือนกัน(ถึงเขาจะเป็นแค่วินมอไซค์ก็ตาม)
“เฮ้ย!กูจะไม่ย้อนกลับมาแล้วนะเว้ย”
“แหมไอ้พี สาวมาทีทิ้งงานเลยนะเมิง”
ชื่อพีเหรอเนี้ยะ ฉันเพิ่งรู้~
แล้วฉันก็เดินไปนั่งที่สวนสาธารณะแถวๆนั้นกับนายพี ที่นี่ตอนเย็นก็มีคนมาเยอะเหมือนกันเหะ บางคนก็มานั่งกับคู่รัก บางคนก็มากับครอบครัว บางคนก็มาออกกำลังกายตอนเย็น
ฉันหันไปมองหน้านายพีที่เดินอยู่ข้างๆฉัน
พอถอดเสื้อวินออกแล้วนายนี่ก็ดูดีเหมือนกันนะ ตัวสูงกว่าฉันไม่มากนัก คงจะสูงสักร้อยเจ็ดสิบได้มั้ง(สรุปคนที่ฉันรู้จักทุกคนสูงกว่าฉันหมด) หน้าตาก็พอไปวัดไปวาได้(ฉันเพิ่งเคยเห็นหน้าชัดๆก็ตอนนี้แหละ เพราะนายนี่จะใส่หมวกกันตายเวลาขับมอไซค์น่ะ)
ทำไมฉันถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าเคยรู้จักนายนี่มาก่อนด้วยนะ
“ฉันชื่อพี”
นายนั่นแนะนำตัวกับฉัน ตอนที่เรานั่งลงที่ม้านั่งตัวหนึ่งในสวน
“เออ...รู้แล้วละเห็นไอ้พวกลูกนกทั้งหลายมันเรียกนายแล้ว”
“ฉันว่าฉันเป็นพี่เธอสักสามปีได้นะ”
“แต่ฉันไม่เคยมีพี่ชาย แล้วก็ไม่ค่อยอยากเรียกใครว่าพี่ด้วย มันขัดๆปาก เอาเป็นว่าฉันจะนับถือนายเป็นพี่ไว้ในใจแล้วกัน”
นายพีมองฉันงงก่อนที่จะพูดอะไรออกมา
“ตรงดีนี่ ฉันก็ไม่ชินเหมือนกันที่จะให้เธอมาเรียกว่าพี่ ว่าแต่ชื่อไร”
“ยูฮาจิน”
ฉันบอกชื่อเกาหลีของฉันไป
“เป็นคนเกาหลีเหรอ”
“อืม...ครึ่งนะ” ฉันตอบไปพร้อมกับมองสำรวจสวนไปเรื่อยๆ
“ไม่มีชื่อไทยเหรอ”
“ขวัญ”
“แล้วมีไรจะพูดกับฉัน”
นายพีถามพร้อมกับหันมามองหน้าฉัน
“ไม่มีแต่มันเซ็งๆ”
“งั้นก็ทิ้งความเซ็งมันไว้ตรงนี้แหละ”
แล้วนายพีก็ลากฉันไปที่ไหนสักแห่งก็ไม่รู้ แต่ฉันก็ยอมตามไปโดยไม่ขัดขืน ซึ่งฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงไม่ขัดขืนนายนั่นทั้งๆที่เมื่อก่อนฉันจะไม่มีวันให้ใครมาลากฉันไป นอกจากฉันจะเป็นลากไปเอง
“เดี๋ยว” ฉันเรียกเอาไว้
“หึ” นายพีหันมาถามฉันงงๆ
“นายจะพาฉันไปไหน ถ้าไม่บอกฉันจะไม่ไป”
ฉันถามนายพีด้วยสีหน้าหยิ่งสุดๆ
“กลัวเหรอ”
“ไม่เคยมีคำว่ากลัวอยู่ในสมองของฮาจินคนนี้”
ฉันตอบออกไปด้วยความมั่นใจ แต่มันกลับทำให้นายนั่นปล่อยก๊ากออกมา
“ฉันจะพาเธอไปตรงแม่น้ำแถวนี้เอง เดินตรงไปอีกนิดก็ถึงแล้ว ฉันไม่พาน้องสาวของฉันคนนี้ไปฆ่าหมกสวนหรอกน่า”
นายพีตอบฉันแบบยิ้ม
ฉันรู้สึกดีจังที่มีคนมาเรียกฉันว่าเป็นน้องสาว แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันจะต้องตอบกลับไปว่า ‘ฉันเป็นลูกคนเดียว’ เพราะฉันรู้ว่าไอ้พวกนั้นมันไม่ได้คิดกับฉันแค่น้องสาว แล้วก็กับสาวคนอื่นๆด้วยที่มันเรียกว่าน้องสาว แต่กับนายพีฉันกลับรู้สึกว่าคำว่าน้องสาวที่มันออกมาจากปากของนายนี่มันดูมีความจริงใจ ไม่เหมือนกับที่ฉันเคยได้ยินมา
“เฮ้ย!เดี๋ยว”
ฉันเรียกนายพีไว้เป็นครั้งที่สอง
“อะไรอีกล่ะไอ้ตัวเล็ก”
“ฉันชื่อฮาจินหรือว่าจะเรียกว่าขวัญแต่ต้องไม่ใช่ไอ้ตัวเล็ก แล้วคนอย่างฉันก็ไม่มีวันให้ใครมาลากไปง่ายหรอก เพราะฉันจะต้องเป็นฝ่ายลาก”
แล้วฉันก็ดึงมือนายพี่ไปตามทางที่นายนั่นบอก ฉันไม่รู้นะว่านายนั่นรู้สึกยังไงกับประโยคประโยคนั้นของฉัน แต่ฉันก็ได้ยิงเสียงหัวเราะ ออกมาจากลำคอของนายนั่น
โห...ที่นี่มันสวยมาก สวยกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะ แม่น้ำที่นี่ดูไม่ใหญ่มากนัก แต่มันก็สวยมาก มากจนทำให้ฉันหลงเสน่ห์มันไปซะแล้ว ฉันจะต้องมาที่นี่อีกให้ได้ฉันคิดในใจ
ในน้ำมันมีแสงสะท้อนเต็มไปหมด เพราะตอนนี้เป็นเวลาค่อนข้างเย็นแล้ว บนพื้นน้ำมีสีทองแวบๆวาวๆเต็มไปหมด
“สวยใช่ไหม”
นายพีถามฉันทั้งๆที่ตาของเขายังมองไปที่แม่น้ำนั่น
“อืม...สวยมากด้วย ฉันชอบที่นี่จังเลย”
ฉันก็ตอบไปทั้งที่ตาของฉันก็มองไปที่แม่น้ำนั่นเหมือนกัน
แล้วเราก็นั่งลงที่เก้าอี้สีขาวตรงนั้น แล้วก็ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาจากปากของเราทั้งสองคน ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันควรจะสูดอากาศที่บริสุทธิ์นี่เข้าไปขจัดอากาศที่ฉันสูดเข้ามาทั้งวันก่อนนะ ไม่งั้นพอกลับไปเกาหลีคราวนี้ฉันจะต้องเป็นโรคปอดดำตายแหงๆ
“ที่นี่เป็นที่ๆฉันกับน้องชอบมานั่งเล่นด้วยกันบ่อยในตอนเย็น”
นายพีเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนหลังจากที่เราเงียบกันมานาน
“แล้วตอนนี้น้องของนายอยู่ไหนล่ะ”
ฉันหันไปถามนายพี แต่ฉันกลับเห็นแววตาเศร้าๆของนายนั่น แล้วสักพักมันก็มีรอยยิ้มขึ้นมาแทนที่ แววตาคู่นั้น
“น้องสาวฉันก็อยู่ข้างๆฉันนี่ไง”
นายพีหันหน้ามาพูดกับฉัน
“เท่าที่ฉันจำได้ ฉันเพิ่งเคยเจอนายครั้งนี้เป็นครั้งที่สามนะ”
ฉันพูดออกไปแบบงงๆ
“เหอะๆ ฉันคิดอยู่แล้วว่าฉันต้องได้คำตอบแบบนี้ออกมาจากปากของเธอ”
แล้วนายพีก็เงียบไปอีกรอบ แต่ฉันกลับรู้สึกว่าในใจของนายนี่กำลังร้องให้นะ ไม่รู้ว่าทำไม... แล้วฉันก็รู้ว่าสิ่งที่นายนี่จะพูดออกมาอีกมันต้องเป็นเรื่องเศร้าแน่ๆ
“เธอจำได้ไหม ว่าที่ฉันเคยบอกเธอว่าฉันถูกชะตากับเธอน่ะ”
“แน่นอน ฉันไม่ใช่ปลาทอง”
“หึ...ฉันเคยมีน้องสาวอยู่คนหนึ่งหน้าของน้องสาวฉันเหมือนกับเธอมาก มากจนฉันเองก็ตกใจแต่ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะว่าคนบนโลกนี้มันมีคนที่หน้าตาเหมือนกันเป็นล้าน”
~น้องสาวของนายคือยัยฟ้าแน่ๆ~
“แต่ที่ทำให้ฉันรู้สึกถูกชะตากับเธอมากขึ้น ก็เพราะว่านิสัยของน้องฉันมันเหมือนกับนิสัยของเธอเด๊ะ น้องฉันเป็นคนที่ไม่ยอมใคร พูดจาตรงๆ แล้วก็ไม่ชอบที่จะทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง น้องฉันไม่เคยใส่หน้ากากเข้าหาใคร น้องของฉันบอกว่าฉันจะคบกับคนที่หัวใจ และเขาก็จะเอาหัวใจมาคบกับทุกๆคน ถึงแหมว่าหัวใจของเธอจะไม่ครบก็ตาม น้องของฉันเป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่เด็ก ฉันจึงรักและเป็นห่วงเธอมากด้วยเหตุที่ว่าเธอเป็นคนที่ชอบทำอะไรโผงผาง ทุกครั้งที่เธอร้องไห้เธอก็จะต้องมาที่นี่ และพวกเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปที่สถานีตำรวจเวลาที่เธอหายไปนานๆเพราะเธอจะมาอยู่ที่นี่ และด้วยฐานะทางบ้านของฉันไม่ค่อยดีเธอจึงไม่มีโอกาสที่จะได้หายเป็นปกติ จนวันหนึ่งเธอก็จากเราไป แต่ก่อนที่เธอจะจากเราไปเธอบอกกับฉันว่าให้พาเธอมาที่นี่เธอรักที่นี่มากเธอจึงอย่างจะตายที่นี่ตายตรงที่ที่เธอรัก และก่อนที่เธอจะตายเธอบอกกับฉันว่าเธอจะต้องกลับมาหาฉันอีกและจะอยู่กับฉันตลอดไป และถ้าเธอกลับมาให้พาเธอมาที่นี่ไม่ว่ายังไงก็จะต้องพาเธอมาให้ได้ ตอนแรกฉันก็รอคอยเวลาที่เธอกลับมาจนวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่าเธอก็ยังไม่กลับมาสักที จนวันหนึ่งฉันได้พบกับเธอไงฮาจิน ฉันจึงรู้สึกเหมือนกับว่าเธอกลับมาตามคำสัญญาแล้ว”
ฉันว่าฉันพอจะเข้าใจความรู้สึกของนายพีนะ
ตอนนี้สีหน้าของนายพีดูเศร้ามากๆ ฉันเห็นว่าในดวงตาของเขาเอ่อไปด้วยน้ำใสๆที่พร้อมจะไหลออกมาทุกเวลา
“นายร้องไห้ออกมาเถอะ”
“ฉันไม่อยากให้ผู้หญิงเห็นน้ำตาของฉัน”
นั่นคือความรู้สึกของผู้ชายแทบทุกคนที่ไม่อยากเสียฟอร์มต่อหน้าผู้หญิง แต่ฉันก็ไม่สงสัยหรอกว่าทำไม เพราะฉันเองก็ไม่อยากเสียน้ำตาให้ใครเห็นเหมือนกัน
“นายเคยร้องไห้กับน้องของนายไหม”
ฉันถามออกไป
“ก็มีบ้าง แต่นานๆครั้ง”
“งั้นนายก็ร้องออกมาเถอะ ในเมื่อฉันก็คือน้องสาวของนายไม่ใช่เหรอ”
นายพีหันมามองหน้าของฉัน เท่านั้นแหละน้ำใสๆที่เขาพยายามกลั้นเอาไว้มันก็ไหลออกมา โดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดไหล ฉันคงทำอะไรมากไม่ได้นอกจากให้นายพียืมไหล่ไว้ร้องไห้
ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าฉันมีสมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้นอีกคนแล้วละ
สักพักหนึ่งนายพีก็เช็ดน้ำตาหยดสุดท้ายออกไป แล้วก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มอีกครั้ง
“นี่นายรู้ไหมว่านายมีน้องสาวสองคนเลยนะจะบอกให้”
“หมายความว่ายังไง”
นายพีถามฉันงงๆ
“ก็เพราะว่าฉันมีฝาแฝดน่ะสิ แต่ฝาแฝดของฉันร่างกายของเขาเป็นเหมือนกับน้องสาวของนายทุกอย่าง”
“เธอหมายความว่าฝาแฝดของเธอเป็นโรคหัวใจงั้นเหรอ”
“ใช่ ฉันก็ไม่เข้าใจนะว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ ฉันกับน้องเราแยกกันตั้งแต่ เก้าขวบ โดยที่ฉันไปอยู่กับพ่อเกาหลีแต่น้องสาวฉันอยู่กับแม่ที่นี่ แต่พอฉันกลับมาอาการของน้องฉันก็กำเริบขึ้นมา ฉันเลยจะส่งน้องไปรักษากลับพ่อที่เกาหลี นายรู้ไหมว่าบางครั้งฉันก็เคยคิดเหมือนกันนะว่าฉันกับน้องเราคงไม่มีวันได้อยู่ด้วยกัน”
“นี่มันเป็นเรื่องแปลกมากในชีวิตของฉันเลยแหละ”
“แต่น้องของฉันไม่ได้มีนิสัยเหมือนน้องนายหรือว่าฉันหรอกหรอก แต่มันต่างกับน้องนายและฉันยังกะฟ้ากับเหวเลย ประมาณว่าถ้าฉันกับน้องเราไม่มีหน้าตาที่เหมือนกันอย่างกับแกะก็ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าเราเป็นพี่น้องกัน”
“หึ”
“ฉันว่านี่มันก็เย็นมากแล้วฉันขอตัวกลับบ้านก่อนนะ”
ฉันพูดพร้อมกับลุกขึ้น
“ให้ฉันไปส่งไหม”
“ไม่ต้องหรอก ฉันจำทางกลับบ้านได้แล้ว”
“งั้นก็กลับดีๆล่ะไอ้ตัวเล็ก”
“นายเรียกน้องนายว่าไอ้ตัวเล็กงั้นเหรอ”
“อืม...”
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฉันเนี้ยะอยู่ๆก็มีพี่ชายโผล่ขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ก็ดีเหมือนกันฉันก็อย่างมีคนที่สามารถระบายอารมณ์ไว้สักคนเหมือนกัน ว่าแต่ลืมถามไปเลยว่าทำไมไอ้พี่ชายของฉันมันจึงมาเป็นวินมอไซค์ทั้งๆที่อาชีพมีเป็นล้าน เอาไว้คราวหน้าค่อยถามแล้วกัน หึ ฉันหัวเราะในลำคอ แล้วก็เดินกลับบ้านอย่างสบายอารมณ์
~อ๊ากกกกกกก !!!!!!!~
นี่มัน เจ็ดโมงสามสิบนาทีแล้วเหรอเนี้ยะโรงเรียนเข้าตอนเจ็ดโมงห้าสิบ แล้วฉันจะไปทันไหมเนี้ยะ แม่นะแม่ไม่ปลุกกันบ้างเลย ฮือๆๆๆ ไปโรงเรียนวันที่สองก็สายซะแล้วเรา แต่ฉันคงจะไม่มีเวลามานั่งอวดโครญหรอก ฉันวิ่งเข้าห้องน้ำไปทันที รีบอาบน้ำ แปรงฟัน สระหัวแต่เอ...มันคงจะไม่ทันแน่ๆเอาไว้ตอนเย็นค่อยสระแล้วกัน แล้วฉันก็รีบออกมาแต่งตัว แล้วฉันก็ทำกิจวัตรตอนเช้าเสร็จภายในสิบนาที แล้วฉันก็รีบวิ่งออกมาจากบ้านด้วยท่าทางทุลักทุเลสุดๆ แล้วจะทันไหมเนี้ยะ นี่คือความคิดของฉันตอนนี้ ฉันวิ่งออกมาจากบ้านโดยที่ไม่มีเวลาไปหาแม่ที่ร้านเลย วันนี้ลูกสายแล้วนะจ๊ะแม่จ๋า
ฉันวิ่งไปตามฟุตบาทโดยที่ชนใครไปบ้างก็ไม่รู่ฉันสนใจอย่างเดียวคือต้องไปให้ทันโรงเรียนเข้า
~ปรื๊น..นนนนนนนน..~
โอ้ย ไอ้บ้าใครมาบีบแตรวะ ที่ฉันวิ่งอยู่บนฟุตบาทแล้วนะ จะให้ฉันขึ้นไปวิ่งบนต้นไม้หรือไง ฉันไม่ใช่ลิงนะ TT_TT
~ปรื้น..นนนนนนนน~
โอ้ย ใครวะคนยิ่งรีบๆอยู่ เดี๋ยวแมร่งจะวิ่งไปชนรถให้บุบซะเลยนี่
“อันนยองฮาเซโยไอ้ตัวเล็ก ขึ้นมาสิจะไปส่ง”
พอได้ยินคำว่าไอ้ตัวเล็กนั้นมันทำให้ฉันหยุดกึกทันที
ฉันค่อยๆหันหลังไปมอง
รถสปอร์ตสีดำมันจอดอยู่ด้านหลังฉันค่ะ
ฉันจะต้องหูฝาดไปแน่ๆ แล้วฉันก็กำลังจะหันกลับไปวิ่งต่อแต่...
“นี่ไอ้ตัวเล็กฉันบอกให้ขึ้นมา”
ครั้งนี้ไม่ได้มาแต่เสียงค่ะแต่มันมาทั้งคนเลยค่ะ นั่นมันนายพีนิ่ แต่นายพีมันขับมอไซค์นะ ไม่ใช่นั่นไม่ใช่นายพี แค่หน้าตาคล้ายกันเฉยๆสิ ไม่ มันเหมือนกันมากเลยแหมกระทั่งความสูง
ฉันไม่สนใจแต่หันกลับไปวิ่งต่อ แต่นายนั่นกลับมาดึงแขนฉันเอาไว้
“ถ้าไม่อยากตายก็ปล่อยมือฉันซะ ฉันรีบ”
ฉันพูดออกไป ทั้งๆที่ไม่หันมามองหน้า
~โป๊ก~
ไอ้บ้านั่นมันเป็นใครถึงได้กล้ามาเขกหัวฉัน
ฉันหันหน้ากลับไปเผชิญกับมัน
“ไอ้บ้าแกเป็นใคร ถึงกล้ามาเขกหัวฉัน แล้วถ้าไม่อยากโดนทำหมันสดก็ปล่อยมือฉันซะ”
“ไหนเมื่อวานบอกว่าไม่ได้สมองปลาดาวไง”
นายนั่นรู้ได้ไง
“นายรู้ได้ไงว่าฉันพูดแบบนั้น หรือว่านายไปแอบดูฉันกับนายพีคุยกัน”
นายนั่นไม่ตอบค่ะ แต่มันกลับปล่อยก๊ากออกมาแทน
“ไอ้บ้า ฉันไม่ใช่ตลกคาเฟ่นะ หยุดขำได้แล้ว”
ฉันตะโกนออกไปด้วยอารมณ์ที่บูดสุดๆ
“ฉันก็คือนายพีของเธอนั่นแหละยัยตัวเล็ก”
อึก!!!! O_O
ฉันมองนายนั่นกับรถสปอร์ตที่จอดอยู่ข้างทางนั่นสลับกันไปมา
ไม่ ไม่ใช่ นายนั่นไม่ใช่นายพี~
“เมื่อวานฉันพาเธอไปที่แม่น้ำแห่งหนึ่ง ที่ฉันกับน้องชอบไปบ่อยๆ แล้วเธอก็มีฝาแฝดเป็นโรคหัวอยู่คนหนึ่ง พอหรือยังฉันขี้เกียจพูดแล้ว แล้วอีกอย่างถ้าขืนเธอไม่ขึ้นรถฉันเธออาจจะไปสายก็ได้นะ”
TT_TT อึ้งค่ะ
ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดอะไรนายนั่นก็ลากฉันไปขึ้นรถทันที แต่ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่เคยให้ใครลาก ฉันจึงสลัดมือออกจากมือนายนั่น แล้วก็เปิดประตูขึ้นรถไปนั่งทันที
“แล้วจะยืนขำอยู่ตรงนั้นหรือไง ถ้าฉันไปโรงเรียนไม่ทันนายตายแน่”
ฉันลดกระจกไปพูดกับนายพี(ที่ฉันไม่ค่อยจะแน่ใจว่าใช่หรือเปล่า) แต่ฉันจะต้องไปให้ทันให้ได้
“เร็วด้วยเหลือเวลาอีกสี่นาทีห้าสิบเก้าวินาที”
ฉันสั่งนายพีทันทีที่เราขึ้นมาอยู่รถ
“หึ ก็มันช้าเพราะใครล่ะ”
“ไม่ต้องมาพูดเลย แล้วนี่มันอะไรกัน ฉันงงไปหมดแล้วนะ เมื่อวานนายยังเป็นวินมอไซค์อยู่เลย แต่วันนี้กลับมาขับรถสปอร์ต ต่อให้เป็นเทวดาก็งง”
“หึ ก็ฉันไม่ได้เป็นวินมอไซค์นี่”
O_O
“มะ...หมายความว่าไง”
นี่ฉันงงไปหมดแล้วนะ นายพีไม่ได้เป็นวินมอไซค์งั้นเหรอ
“งั้นก็แปลว่าเรื่องที่นายเล่ามาทั้งหมดมันก็เป็นเรื่องโกหกทั้งหมดน่ะสิ ไอ้บ้าแกตายแน่”
~พลั่ง~
ฉันปล่อยหมัดไปที่หน้านายนั่นด้วยความโมโห
โชคดีนะที่รถไม่เสียหลัก ไม่งั้นฉันได้ไปฆ่านายนั่นที่นรกแน่ๆ
“เฮ้ย! ใจเย็นสิ ฟังกันบ้าง”
“ไม่ฟังโว้ย จอดรถฉันจะลง”
ฉันโวยวายเสียงดั่งลั่นรถ จนคนที่อยู่ในรถข้างหันมามองฉันกับนายนั่นกันด้วยความงง แล้วก็คงจะคิดว่าเดี๋ยวไอ้สองตัวนี้จะต้องย้ายบ้านไปอยู่นรกกันแน่ๆ
“นี่ฟังกันก่อนได้ไหม”
“ปล่อยฉัน”
นายนั่นจอดรถข้างทางแล้วมันจับมือฉันไว้ แต่แรงเยอะชะมัดเลยเล่นเอาซะข้อมือฉันแดงไปหมดเลย
“ได้ฉันจะฟังนายก็ต่อเมื่อนายออกรถไปก่อน แล้วก็เร็วๆด้วย”
แล้วพอฉันพูดจบนายพีก็ออกรถไปเลย
“เธอต้องฟังฉันก่อนนะยัยตัวเล็ก ฉันไม่ได้โกหกอะไรเธอทั้งนั้น ทุกเรื่องที่ฉันพูดเป็นความจริง ฉันไม่ได้โกหกเธอเลยสักครั้ง สิ่งที่ฉันพูดเป็นความจริง แต่ที่ฉันต้องปลอมเป็นวินมอไซค์ก็เพราะว่าฉันอยากจะทำงานที่ไปได้ในทุกๆที่เพื่อที่ฉันจะได้เจอน้องสาวของฉัน และฉันก็ได้เจอจริงๆ”
“แล้วนี่ถ้าน้องสาวนายบอกว่าจะเกิดมาเป็นลูกคนขายขยะ นายไม่ต้องปลอมเป็นคนขับรถซาเล็งหาขยะขายหรือไง” ฉันถามไปด้วยอารมณ์ฉุนๆ >_<
“หะๆๆ ก็ไม่แน่”
“แล้วนี่นายทนมากี่ปีแล้วเนี้ยะ”
“ตอนแรกไม่ต้องทนหรอก เพราะฉันทำอาชีพนี้จริงๆ แต่พอน้องจากฉันกับแม่ไปพ่อก็มาตายไปอีกคน แล้วห้าปีต่อมาแม่ก็ได้รักกับมหาเศรษฐีคนหนึ่ง เค้าเป็นเจ้าของโรงแรมน่ะ เค้าก็รับฉันกับแม่ไปเลี้ยง เค้าก็ไม่มีลูกเค้าก็เลยรักฉันเหมือนลูกแท้ๆ และฉันก็รักเขาเหมือนพ่อของฉันมาตลอด เพราะว่าเขาจะเข้าใจในทุกๆสิ่งที่ฉันทำมาตลอด”
“เลยยอมให้ปลอมเป็นวินเนี้ยะนะ”
“อืม...”
“ฉันจะลองเชื่อใจนายดูอีกสักครั้ง แต่ถ้าฉันรู้ว่านายโกหกละก็ นายจะไม่มีชีวิตอยู่ทดแทนพระคุณแม่ต่อแน่”
ฉันไม่รู้นะว่าทำไมฉันถึงพูดแบบนั้นออกไป แต่ฉันก็อยากจะลองเชื่อใจนายนั่นดูอีกสักครั้งว่าจะมาไม้ไหน และถ้าฉันจับนายนั่นว่ามันโกหกฉันจริงๆล่ะก็ มันจะต้องแหลกคามือฉันแน่
“เออ...เดี๋ยวเมื่อกี๊นายพูดภาษาเกาหลีนี่นา นายรู้ได้ยังไง”
“อ๋อ...ตอนที่เค้ารับฉันเป็นลูกใหม่ๆแป็นช่วงที่ฉันยังไม่ได้เรียนหนังสือเค้าก็เลยส่งฉันไปเรียนที่เกาหลีตั้งแต่ตอนประถมปลายน่ะ แล้วก็กลับมาตอนเรียนม.ปลายจบ”
เฮ้อ...ในที่สุดฉันก็มาทันโรงเรียนเข้าภายในเสี้ยววินาทีจนได้
“นี่...ลิงไปนอนกินกล้วยเพลินหรือไงถึงได้มาสาย”
มีคนเดียวในโลกแน่ๆ แล้วทำไมมันจะต้องมาขัดเวลาแห่งความสุขของฉันอยู่เรื่อยเลย
“แล้วนายล่ะ ไปขายน้ำแข็งเพลินหรือไง ถึงได้มาสาย”
“เปล่าฉันอยากมาสายเองต่างหาก”
“โรคจิต”
“อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าจิตพิสดารอย่างเธอแล้วกัน เป็นคนดีๆไม่ชอบ ชอบเป็นลิง”
“ไอ้ดัช แกอยากตายแต่เช้าใช่ไหม”
แล้วฉันกับนายดัชก็วิ่งไล่กันเป็นกิจวัตรยามเช้าไปอีกวัน แล้วฉันก็คิดว่ามันคงจะเป็นอย่างนี้ไปทุกๆวัน
“ไอ้บ้าดัชแกตายแน่ๆ”
“ไอ้บ้าดัชฉันจะฆ่าแก”
“ไอ้บ้าดัชฉันเกลียดแก”
“ไอ้บ้าดัช ไอ้ลูกคนขายน้ำแข็ง”
ฉันวิ่งไล่นายดัชไปเรื่อยๆ จนไปถึงชั้น 3 ฉันทั้งวิ่ง ทั้งด่า แล้วก็เอากระเป๋าฝาดมันด้วย แต่ฉันก็ยังวิ่งไม่ทันมันซักที แน่ละนายนั่นขายาวยังกะตะเกียบ ส่วนขาฉันสั้นเป็นตะเกียบหักสามท่อนเลย
“ยัยลิงอุรังอุตังฉันก็เกลียดเธอเหมือนกันนั่นแหละ”
นายดัชวิ่งไปแล้วก็หันหน้ามาด่าฉันไป
“เฮ้ย!....หยูด.........”
~พลัก~ มะ...ไม่ทันแล้ว เรียบร้อยไปแล้ว
ตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกว่ารังสีอำมหิตมันกำลังปกคลุมไปทั่งโรงเรียน
“อะ...อะ...จารย์”
หะๆๆๆเล่นเอานายดัชแผ่นสะดุดเลย
“พวกเธอเห็นโรงเรียนเป็นสนามซ้อมวิ่งกันหรือไง”
อาจารย์รังนกพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เออ....”
เล่นเอาซะพวกฉันพูดไม่ออกเลย ฉันกับนายดัชมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
~เอาไงดี เพราะนายคนเดียวเลย~
~ไม่รู้เหมือนกัน และก็เพราะเธอต่างหาก~
ฉันทะเลาะกับนายดัชด้วยสายตา (นี่ขนาดปากพูดไม่ได้ยังเอาสายตาทะเลาะกันอีก นี่ถ้าเป็นปลากัดฉันคงท้องไปแล้ว)
“พวกเธอคงจะออกกำลังกายตอนเย็นไม่พอใช่ไหม งั้นออกตอนเช้าด้วยก็ได้นะ ฉันอนุโลมให้หนึ่งคาบ พวกเธอไม่ต้องเข้าคาบฉันแต่...นู้น”
อาจารย์รังนกชี้ไปที่สนามบาสอันโคตรจะกว้าง(โรงเรียนนี้จะต้องเคยเป็นกรุงศรีอยุธยามาก่อนแน่ๆเลย)
~หวังว่าคงจะไม่ได้ให้ไปวิ่งนะ~
“ฉันว่าพวกเธอคงจะรู้นะ”
ฉันล่ะเกลียดร้อยยิ้มที่ข้างนอกสงบนิ่งเป็นน้ำแข็ง แต่ข้างในนี่ร้อนแทบตายจริงๆเลย
“แต่...ถ้าจะให้วิ่งแบบธรรมดาๆมันก็คงไม่ใช่ฉันน่ะสิ”
อาจารย์เป็นคนพิสดารเหรอนี่
“พวกเธอจะต้องเอาเชือกผูกขาแล้วก็วิ่งไปด้วยกัน”
“เหวอ...”
อาจารย์คนนี้พิสดารจริงๆด้วย
“ไม่ต้องมาทำหน้าปวด รีบๆไปสิจ๊ะ”
อาจารย์อย่ายิ้มแบบนี้ได้ไหม ช้าน....ขอร้อง
แต่ฉันกลับนายดัชก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรับเชือกมาจากมือพี่แก(รู้สึกว่าจะเตรียมพร้อมนะ) แล้วก็เดินลงบันไดไป ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง >_< ฉันอยากวิ่งใจจะขาดแล้วนะ =_=
“เพราะนายคนเดียว ไอ้หน้าชา”
“เพราะลิงอย่างเธอนั่นแหละ”
“ไม่ต้องมาพูดเลย ถ้านายไม่ว่าฉัน แล้วก็ไม่วิ่งหนีฉันแล้วฉันจะวิ่งตามนายไหม”
“มีลิงวิ่งตาม ไม่หนีก็บ้าแล้ว”
“หือ...ไอ้บ้าแกยังไม่เข็ดใช่ไหม นี่ถามหน่อยเหอะตาบอดวิ่งชนอาจารย์แบบนี้ขายน้ำแข็งได้ไง”
“มันคือความสามารถพิเศษของฉัน”
“ประสาท โรคจิต วิปริต ตาบอด”
“ยัยบ้า หน้าลิง”
แล้วฉันกับนายดัชก็เถียงกันไปจนถึงสนามบาส
“นั่งสิ ไม่นั่งแล้วจะผูกเชือกได้ยังไง ยืนเป็นเสาไฟฟ้าอยู่ได้ ถ้าไฟช็อตฉันนะ ฉันจะมาหลอกหลอนแกทุกวันเลย” ฉันสั่งนายดัชที่ยืนเป็นเสาไฟฟ้าอยู่ข้างๆ
“ไม่เห็นจำเป็นที่จะทำตามที่พี่แกบอกเลย”
“ฉันก็ไม่อยากทำเหมือนกันนั่นแหละ ฉันไม่ได้อยากจะวิ่งกับเด็กขายน้ำแข็งหรอก แต่ฉันก็กลัวว่ากระถางต้นไม้มันจะหล่นมาโดนหัวฉันมากกว่า”
“กระถางต้นไม่เนี้ยะนะ ฮะๆๆๆ”
ฉันล่ะเกลียดนายนี่หัวเราะชะมัด เพราะถ้าฉันอยู่ข้างๆนายนี่ตอนที่หัวเราะบ่อยๆสักวันฉันจะต้องเข้าไปนั่งสมาธินายปากนายนั่นแหงๆ
“ไม่ต้องมาขำ ดูโน่นสิ”
แล้วนายดัชก็มองไปตามที่ฉันบอก
“เอิ๊ก...”
“พูดไม่ออกน่ะสิ”
“ใครจะคิดล่ะว่าพี่แกยังมองอยู่”
แล้วฉันกับนายดัชก็ต้อมาอยู่ในสภาพสองคนสามขา ด้วยกันจนได้ มันช่างเป็นสภาพที่น่าเวทนาจริงๆ ตอนนี้คนทั้งสนาม และทั้งตึกกำลังจ้องมาที่ฉันกับนายดัชเป็นตาเดียว ตั้งแต่ฉันมาอยู่โรงเรียนนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นดาราดังไปแล้ว
“จะเอาขาไหนก่อน”
“ขวา”
“โอเค”
หนึ่ง...สอง...สาม...
~ตุ๊บ~
~อ๊าก...โอ้ย...~
“ฮะๆๆๆ”
แล้วเสียงของเด็กทั้งโรงเรียนก็กลายเป็นเสียงเดียวกัน
แน่นอนค่ะไม่ขำก็บ้าแล้ว ก็ฉันกับนายดัชเล่นอยู่ในท่าที่ทุเรศที่สุดในชีวิตกันทั้งคู่ ปากของฉันแทบจะจูบถนนอยู่แล้ว ฉันไม่ได้คิดพิศวาสถนนหรอกนะ มันล้มต่างหาก ก็นายดัชเล่นก้าวข้างที่โดนผูก ส่วนฉันดันก้าวขาที่ไม่โดนผูก มันก็เลยล้มไม่เป็นท่าแบบนี้
“ไอ้บ้า ขาขวาสิ แกก้าวขาซ้ายทำไม”
“จะบ้าเหรอขวาฉันก็นี่ไง”
แล้วนายดัชก็ชี้ไปที่ขาข้างที่ถูกมัดอยู่
เออ...ใช่สิขาขวานายดัชถูกมัดอยู่นี่นา
“งั้นขาซ้ายแล้วกัน”
หนึ่ง...สอง...สาม
~ตุ๊บ~ เอาอีกแล้ว
“ฮะๆๆๆๆ”
“ก็บอกว่าขาซ้ายไงเล่า”
นายดัชโวยบ้าง
“ก็ขาซ้ายไงเล่า”
“ฮะๆๆๆๆ”
“กินเห็ดหัวเราะกันมาหรือไง ถ้าไม่อยากตายก็หุบปากซะ”
“อุ๊บ”
ทุกคนยกมือปิดปากกันหมด ถือว่าคำขู่ของฉันยังได้ผล
“เกิดมาเพิ่งเคยเห็นลิงโมโหก็วันนี้แหละ ฮะๆๆๆ”
“นายก็เหมือนกัน หุบปากไว้ด้วย ไม่งั้นฉันเห็นนายเป็นต้นไม้แล้วปีนขึ้นไปบนหัวนายแล้วจะหาว่าไม่เตือน”
“ก้าวขาที่ไม่ได้โดนผูกแล้วกัน”
หนึ่งสอง หนึ่งสอง หนึ่งสอง......
แล้วฉันกับนายดัชก็ได้กลับไปเป็นเด็กอนุบาลที่นับเลขได้แค่สองตัวอีกครั้ง...จะบ้าเหรอ ฉันนับเพื่อให้จังหวะการก้าวต่างหากล่ะ ไม่งั้นละก็ฉันได้ล้มไม่เป็นท่าเป็นรอบที่สามแน่ๆ
เกิดมาฉันยังไม่เคยทำอะไรที่น่าอายแบบนี้มาก่อนเลย ฮือๆๆ แม่จ๋าช่วยลูกด้วย T_T
แต่ถึงฉันจะคร่ำครวญอะไรไปตอนนี้มันก็คงจะไม่มีประโยชน์แล้วละ เพราะไหนๆตอนนี้ฉันก็วิ่งเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว
ฉันกับนายดัชนั่งกันอยู่ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งในโรงเรียนนี่แหละ แต่รู้สึกว่าที่อาจารย์เคยบอกไว้ว่าต้นไม้จะช่วยทำให้เราสดชื่นตอนนี้มันคงจะไม่เป็นจริงแล้วละ เพราะว่าตอนนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยสุดๆไปเลย มันเหนื่อยกว่าตอนที่ฉันวิ่งมาโรงเรียนซะอีก แล้วอีกสามเดือนที่เหลือนี่ฉันจะโดนอะไรอีกเนี้ยะ เฮ้อ...
“ฉันรู้สึกว่าตั้งแต่ชีวิตของฉันมาเจอคนอย่างนายเนี้ยะ ชีวิตของฉันมันก็ยุ่งเหยิงเป็นผมยัยเผิงไปเลยนะ”
“มันไม่เกียวอะไรกับฉันซะหน่อย มันเป็นความซวยของเธอเองต่างหาก ชีวิตของใครที่เจอฉันเนี้ยะนะมันเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลยต่างหาก”
“โฮะๆๆ ขึ้นสวรรค์สองนาที ตกนรกสองชาติสิไม่ว่า”
เกิดมายังไม่เคยเจอใครหลงตัวเองเท่านายนี่มาก่อนเลย ไม่รู้ว่าถูกพ่อแม่เลี้ยงมาแบบไหน
“ปากเหรอนั่น”
“แน่นอน นั่นมันคือปากของฉัน”
“ฉันว่าปากของเธอน่าจะเอาไปขัดส้วมได้เลยนะ มันคงจะสะอาดน่าดู”
“ปากของนายก็น่าจะเอาไปตัดทิ้งได้เลยนะ มีไปก็รกใบหน้าทุเรศๆของตัวเองไปเปล่าๆ”
“เธอสวยตายล่ะ”
“สวยกว่านายแล้วกัน อ๋อหรือว่านายสวยกว่าฉัน งั้นฉันจะช่วยประกาศให้นะ เจ้าข้าเอ๋ย นายดัชที่ผู้หญิงหลงนักหลงหนาบัดนี้ได้กลายเป็น...”
~พรึบ~
“ไอ้อ้าเอาอือเอ็มๆอ๋องแอออกไออากอากอั๋นเอยอะ(ไอ้บ้าเอามือเค็มๆของแกออกไปจากปากฉันเลยนะ)”
ความคิดเห็น