ตอนที่ 5 : บรรพ : ๐๔ นิติศาสตร์ปืนใหญ่ (Rewrite)
บรรพ 4
ว่าด้วย...นิติศาสตร์ปืนใหญ่
วันนี้พวกผมมีเรียนภาษาอังกฤษรวมกับคณะอื่นที่ตึกของวิชาศึกษาทั่วไปช่วงเก้าโมงถึงสิบโมงครึ่ง เมื่อเรียนเสร็จจึงมีเวลาพอที่จะออกไปตระเวนหาร้านข้าวแถวๆหลังมอกินควบเช้าเที่ยงไปเลย
พอมองดูนาฬิกาบนมือถืออีกทีก็เหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมงครึ่งกว่าจะถึงบ่ายโมง พวกเราชาวหมาโสด(แต่กิ๊กเป็นกองทัพ) เลยเลือกพากันยกแก๊งมายังร้านที่สามารถหาอะไรทานเล่นๆ รองท้องเพื่อรอเรียนคาบบ่ายแทน
“กูม้ามืดปีนี้คือนิติว่ะ พี่โด้ยังพูดเลย” เป็นไอ้แจ็คนั่นเองที่พูดขึ้นพร้อมกับเปิดประตูรถเบาะหลังลงไปก่อน ต่อด้วยพี่สิงห์และไอ้คีมผู้ทำหน้าที่คนขับ ผมซึ่งเป็นเจ้าของรถ(แต่ไม่เคยคิดจะขับเอง) รีบควานหากระเป๋าสตางค์ได้ก็รีบตามลงไปสมทบ
“หรอ กูว่าเฉยๆ” ผมยักไหล่ แล้วก็โดนพี่สิงห์มันเบิ๊ดกะโหลกไปทีหนึ่ง หัวนี่แทบคว่ำลงไปกระแทกกับทางเดินหินลูกรังหน้าร้านเลย
ไอ้พี่ห่า ชอบใช้ความรุนแรงกับน้องนุ่งตลอด สมองไหลขึ้นมาจะทำไง ผมก็ต้องใช้เรียนใช้คำนวณไหม
“เป็นแค่หมาโง่มึงไม่มีสิทธิ์มาออกความเห็นครับ” เออ กูอ่ะหมาโง่ แต่พวกมึงอ่ะหมาเหี้ย
ก็ได้กลอกตาไปหนึ่งทีหลังฟังตรรกะโง่ๆของพี่มันจบ
อย่าคิดว่ามีแค่ไอ้คีมและไอ้แจ็คที่รู้ พวกแม่งโคตรทำงานกันเป็นทีม เสือกก็เสือกเป็นทีม ล้อก็ล้อกันเป็นทีม สโลแกน ‘แจ็ครู้...โลกรู้’ นี่ก็ใช้ได้ตลอดทั้งปี เมื่อคืนหลังจากที่ผมออกจากแชทไอ้แจ็คไป แชทของพี่สิงห์แม่งก็เด้งขึ้นมารัวๆ แล้วทั้งคาบภาษาอังกฤษผมก็โดนพวกมันล้อมายันตอนนี้เนี่ย
“ดูก็รู้ว่ากาก”
“เชิญถอดหน้ากากอคติออกครับเพื่อนครับ กากของมึงนี่คือเอาชนะบัณฑิตวิทยาลัยรองแชมป์เก่าได้หรอครับ” ไอ้แจ็คทำหน้าเอือมใส่ ก่อนจะเปลี่ยนมายกยิ้มล้อเลียน “เออ แล้วก็ถอดหน้ากากหมาขี้เรื้อนกับหมาโง่ของมึงด้วยนะครับ”
“สาดดดดด”
พอได้ยินมันพูดขึ้นมาสมองเจ้ากรรมก็ดันนึกไปถึงเมื่อคืนอีก
ผมนี่กว่าจะข่มตานอนได้ก็ยันตีสามกว่า โดนไอ้แจ็คมันบิลด์จนต้องไปนั่งขุดดูแชทเก่าๆที่เคยคุยกับไอ้วิศวกรไว้ แล้วผมก็พบว่าไม่มีเหี้ยอะไรเลยนอกจากความกวนตีน เลยเปลี่ยนมานอนไล่ส่องเฟซบุ๊กของมันจนถึงปีที่แล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรอีกที่บ่งบอกว่าชอบผม
นอกจากลิงค์เพลงจากยูทูป รูปจากเพจกีฬาบาสฯ รองเท้าสตั๊ดถักรุ่นใหม่ ไม่ก็ผลบอลที่มันชอบแชร์มา สเตตัสก็ไม่มี รูปภาพเองก็ครึ่งปีอัพครั้งหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นรูปที่ได้มาจากการโดนแท็กมากกว่า ดูๆแล้วมันก็เหมือนมีเฟซบุ๊กเอาไว้ส่งงานอาจารย์ ไม่ก็คุยงานกลุ่มจริงๆครับ
แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ผมค้นพบคือมันคลั่งอาร์เซนอลมาก ภาพหน้าปกของมันยังเป็นอาร์เซนอล คำคมที่แชร์มาจากแฟนเพจนี่เต็มไปหมด ส่วนผมแฟนผีครับ ฟุตบอลยังเชียร์กันคนละทีม อย่าหวังว่าจะญาติดีกับนิติกรได้เลย พวกเพื่อนผมแม่งก็คิดมากไป
ไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไหร่ แต่ยอมรับก็ได้ ไอ้บอมมันเก่งจริงแต่แล้วไงครับ ก็แค่มันกับนักเตะอีกสามสี่คน ถ้าคิดว่าจะสู้แชมป์เก่าอย่างวิศวะเราได้ก็มา ไอ้คีมงี้ นักกีฬามหาลัยอีกตั้งสี่คน นอกนั้นก็ซ้อมบอลกันทุกวันจนเล่นเก่ง นิติน่ะหรอ? คงกากพอๆกับอาร์เซนอลของมันนั่นแหละ
“อืม กูก็ว่านิติม้ามืด เมื่อวานถ้าไม่ได้อยู่ดูก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าบอมมันเล่นดีขนาดนี้ อยู่โรงเรียนมันเล่นแต่บาส”
คราวนี้เป็นไอ้คีมพูดขึ้นบ้าง ไอ้แจ็คกับพี่สิงห์นี่พยักหน้ารับเห็นด้วยทันที สีหน้าเริ่มจริงจังเมื่อพูดถึงเรื่องบอล ส่วนผมได้แต่เดินตามหลังฟังพวกมันไปเงียบๆ ถึงจะอยากคุยด้วยแต่คิดอีกทีไม่เอาดีกว่า ยิ่งหัวข้อสนทนามีไอ้บอมอยู่ด้วยแล้ว ไม่วายวกกลับเข้ามาแซวกูอีกแน่ๆ
“ปีที่แล้วพี่โด้บอกตกรอบตั้งแต่สองนัดแรก ปีนี้เหมือนชมรมแกล้งจับสายให้น็อกเอาท์ไปเลยมั้ง เลยได้มาเจอรองแชมป์กับแชมป์เก่าอย่างเรา แต่นัดแรกก็เสือกชนะแล้ว แม่งเงิบกันทั้งชมรม” ไอ้แจ็คแค่นหัวเราะ คำพูดมันดูติดตลกแต่ผมรู้ว่าในใจแม่งกำลังเครียดและร้องว่าอย่าประมาทคณะนี้ แม้จะเป็นคณะที่เพิ่งตั้งขึ้นมาแค่สิบปีกว่าๆ แต่ทุกปีเขาก็รับนักศึกษาเยอะขึ้นทำให้มีตัวเลือกมากมายไม่ต่างจากวิศวะของเราเลย
“ไม่ได้มีแค่ไอ้บอมเพื่อนมึงนะคีม แต่ที่กูดูๆมาสามปีเนี่ยหลายคนแม่งฝีเท้าดีขึ้นมาก แถมปีหนึ่งที่เป็นกองหน้าอย่าง ใครนะ ชื่อยูหรืออะไรสักอย่างกับไอ้อุนเบอร์ 32 แม่งเล่นเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย โคตรป่วน” พี่สิงห์เสริมทัพ ตัวละครใหม่เพิ่มมาอีกแล้วครับท่านผู้ชม ไอ้อุนเบอร์ 32...
“เมื่อวานก็รุกทั้งครึ่งแรกครึ่งหลัง เห็นแล้วเหนื่อยแทน โค้ชเป็นพี่บัณฑิตไม่พอแม่งเสือกเป็นทีมชาติอีก แม่งมาจริงๆว่ะ”
“รุกมาก็รุกกลับครับ วิดวะไม่เคยกลัวใครอยู่แล้ว” แต่พวกมึงพูดไปลูบแขนไปบ่นว่าขนลุกไปนี่กูก็ว่าไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่เลย...
“เชี่ย...โต๊ะเต็มว่ะพี่”
ไอ้แจ็คชะงักทันทีที่เปิดประตูร้านเข้าไป มองเข้าไปก็เห็นว่าเต็มจริงๆครับ ทุกที่นั่งมีคนจองไปหมดทั้งข้างในและนอกร้าน จะเหลือก็แต่...
“ตายยากจริงๆ” ...ไอ้วิศวกร
คีมมันเลิกคิ้วมองตามสายตาของพี่สิงห์ไปก็เห็นร่างสูงๆของเพื่อนตัวเองอยู่ในร้าน เกิดเสียงผิวปากจากไอ้แจ็คเพื่อนยากขึ้นมาทันที
ก็นั่นแหละครับ เพราะมันเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผมที่ไม่รู้ว่าโลกกลมหรือเพราะโลกมันแคบเกินไปถึงได้โคจรมาเจอกัน คณะมึงก็อยู่ตั้งไกล ทำไมมาโผล่หัวอยู่ที่นี่ได้วะ!
ผมพยายามไม่สนใจมันแล้วมองไปรอบๆร้านเพื่อหาว่ามีโต๊ะว่างพอจะนั่งได้สี่คนอีกไหม มองไปเรื่อยๆก็ต้องกลับมาสะดุดอยู่ที่โต๊ะยาวตรงมุมร้านที่สามารถนั่งได้เกือบสิบคนซึ่งก็เป็นโต๊ะของไอ้บอมนั่นแหละ
เห็นกระเป๋ากับกองหนังสือเป็นกระจุกวางอยู่บนโต๊ะของมันด้วยก็พอจะเดาออกว่ามันมากับเพื่อน แต่ตอนนี้มีมันอยู่คนเดียว นั่งสวมหูฟังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือไม่สนใจใครหน้าไหน แม้แต่ผู้หญิงหลายๆโต๊ะที่ทำท่ายกมือถือขึ้นมาเซลฟี่แต่จริงๆแล้วติดมันด้วย บางโต๊ะจ้องมันแทบจะแดกหัวอยู่รอมร่อ
ทำไมวะ ทำไมผมไม่เอะใจตั้งแต่แรก เมื่อเช้าก็เห็นแวบๆว่าไอ้ยูมันเช็คอินที่ร้านนี้แล้วติดแท็กเพื่อนในกลุ่มของมันอีกสามสี่คน แต่ใครจะไปคิดว่าแม่งจะอยู่ยาวกันถึงเที่ยง ถ้ารู้อย่างนี้ผมไม่มาร้านนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
“กูว่าไปร้านอื่นเถอะ วันนี้แอร์ไม่ค่อยเย็นเลย” ผมตัดบททำท่าจะเดินออกไป
“ไม่ต้องเนียน มึงมานี่” ไอ้แจ็คกระตุกยิ้ม ไม่ใช่แค่ดึงแต่มันกระชากแขนผมเหน็บติดรักแร้ไปด้วยเลย ผมจึงทำได้แค่ถอนหายใจ ยอมเดินตามหลังมันไปอย่างช่วยไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่ากลัวอะไร รู้แค่ผมยังไม่พร้อมจะเจอหน้าไอ้บอมตอนนี้ ไม่มีเหตุผลอะไรมาก ก็แค่ไม่อยากเจอจริงๆ
คือร้านนี้พวกผมชอบมาเป็นประจำครับ เพราะบรรยากาศดีมาก อยู่ติดกับทุ่งนา จิบกาแฟร้อนๆ ดื่มด่ำกับธรรมชาติ ตากลมเย็นๆไป มีหลายเมนูให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็นของคาวหรือของหวาน แถมช่วงเย็นยังสามารถนั่งจิบเบียร์ชิวๆ ดูดเหล้าปั่น ฟังเพลงเพลินๆไปได้อีกด้วย
ถึงตัวร้านจะอยู่ในซอกหลืบหน่อยๆ แต่บอกเลยถ้าอยากเจอของแรร์อย่างพวกผมต้องมาร้านนี้ อ่ะ...นี่ไม่ได้อ่อยนะ แค่รีวิวร้านเฉยๆ
“เฮ้ย! บอม”
ไอ้แจ็คเรียกอีกฝ่ายที่นั่งอยู่บนโต๊ะเพียงลำพัง ผมกลอกตาเป็นรอบที่ร้อยของวัน มองคนถูกเรียกที่เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือประมวลกฎหมายเล่มหนา ไอ้บอมยังคงมีท่าทีนิ่งๆในแบบที่ชอบเป็น ทว่าคิ้วสองข้างเลิกขึ้นแทนคำถาม
“เพื่อนกูไม่มีที่นั่งอ่ะ ขอนั่งด้วยดิ” ผมรีบหันขวับไปมองหน้าแป้นแล้นของไอ้แจ็ค อ้าวไอ้เหี้ย อยากนั่งแล้วทำไมต้องเอากูไปเป็นข้ออ้างด้วย
“เอาดิ” ไอ้บอมก็ไม่ปฏิเสธครับ ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหลือบสายตามามองผมอยู่แวบหนึ่งมันก็ก้มลงไปอ่านหนังสือต่อ
“เว้นไว้สี่ที่นะ เพื่อนกูกลับไปเอาของเดี๋ยวมา” มันว่าต่อโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือเลย หูทั้งสองข้างยังคงสวมหูฟังที่ต่อจาก IPhone7plus เครื่องสีดำซึ่งวางคว่ำหน้าเอาไว้อยู่ แต่ตอบพวกผมได้ แถมยังอ่านหนังสือรู้เรื่องอีก ไม่รู้ว่าเปิดเพลงฟังอยู่จริงๆหรือแค่กลบเกลื่อนเพราะไม่อยากให้ใครเข้ามายุ่งด้วยกันแน่
แล้วความเหี้ยของตอนนี้คืออะไรรู้ไหมครับ ไอ้แจ็คแม่งเล่นนั่งลัดผมทุกที่จนผมต้องมานั่งแหมะอยู่ตรงข้ามไอ้บอมเนี่ย ให้ตายสิโรบิ้น เห็นนะว่าผู้หญิงที่อยู่โต๊ะถัดไปแอบถ่ายรูปด้วย แต่ที่แปลกคือกล้องนั้นเหมือนมันจะจ่อมาทางผมนี่สิ ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่ก็ทำให้รู้สึกชุ่มฉ่ำใจ เวลาอยู่กับไอ้บอมทีไรโดนแย่งซีนตลอด
“กินไร” ไอ้คีมถาม พวกผมทั้งสามคนก็ตอบอย่างพร้อมเพียงกันว่าเหมือนเดิมซึ่งมันน่าจะรู้ดีเลยลุกขึ้นเดินไปยังเคาน์เตอร์
“เดี๋ยวกูออกไปคุยโทรศัพท์” ไอ้แจ็คว่าพร้อมกับสีหน้าที่ดูตอแหลที่สุดในโลก
“เดี๋ยวกูออกไปสูบบุหรี่” ตามมาด้วยพี่สิงห์ และทันทีที่พูดจบพวกมันก็หายหัวกันออกไปเลย สักพักพอผมมองออกไปข้างนอกถึงเห็นว่าพากันยืนสุมหัวสูบบุหรี่คุยอะไรกันอยู่ไม่รู้ แล้วแม่งก็ปล่อยผมเอาไว้กับมันสองคน เจริญพร
ผมหยิบมือถือขึ้นมาเพราะไม่มีอะไรทำเลยนอกจากนั่งรอพนักงานนำเมนูที่สั่งมาเสิร์ฟ ซึ่งก็คงจะดีกว่าการนั่งมองไอ้คนตรงหน้านี้อ่านหนังสือเป็นไหนๆ
พอได้ขลุกอยู่กับโซเชียลทีไรผมก็มักจะติดลมยาว ก้มหน้าก้มตาไถไทม์ไลน์เฟซบุ๊กของตัวเองไปเรื่อยๆอย่างนั้น โดยไม่ลืมที่จะเช็คอินบอกพิกัดเพื่อนในเฟซกับคนติดตามอีกเจ็ดพันกว่าเหมือนที่ชอบทำด้วย
จิน แมนแมนคุยกัน
เมื่อสักครู่
มารับลมเย็นๆตามประสาหมาโสด แต่โดนสังคมทอดทิ้งครับ ที่ — กะขม Coffee กับ K Keam, แจ็คแจ็ค ดุจปีศาจ และ สิงหา จะเป็นคนเลว
ถูกใจ 10 แสดงความคิดเห็น แชร์
นี่แค่วินาทีเดียวคนกดไลค์ก็ปาไปแล้วสิบ สาวๆในสต็อกทักแชทมาเพียบ บางคนบอกว่าเดี๋ยวจะตามมา หูย...คนอะไรฮอตเวอร์~
ผมนั่งยิ้มไปตอบแชทคนคุยไป ก็รู้สึกได้ว่าไอ้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามมันเงยหน้าขึ้นมามองอยู่สองสามครั้ง จนล่าสุดได้ยินเสียงมันถอนหายใจ พร้อมเสียงปิดหนังสือและการถอดหูฟังออกจากหู แล้วมองมาที่ผมนิ่งแต่สายตากวนตีนเหมือนที่ชอบทำ
“อะไร” ผมเงยหน้าขึ้นมาถาม สบตากันอยู่ครู่หนึ่งมันก็หันหนีออกไปชมนกชมไม้ด้านนอกและบอกว่า
“เปล่า” ตอบมาได้หน้าด้านๆ เมื่อกี้ก็เห็นอยู่ว่าจ้องกู จ้องจนคิดว่าถ้าเป็นปลากัดนี่กูท้องไปนานแล้ว
“เปล่า แต่เมื่อกี้มึงมองหน้ากู”
“แล้วมองไม่ได้หรอ”
“ไม่ได้ กูไม่ให้มอง มีปัญหาไรปะ” ยักคิ้วใส่ไปทีหนึ่ง ซึ่งมันถอนหายใจอีกรอบ
“ก็ไม่”
“........” ผมเงียบ รอลุ้นว่ามันจะพูดอะไรต่อเมื่อเห็นว่ามันขยับริมฝีปากขึ้น
“แค่หน้ามึงเหมือนหมาขี้เรื้อนดี”
“ไอ้สัด” คนเขาก็อุตส่าห์รอฟัง ที่ไหนได้แม่งด่าผมนี่เอง ผมก็ไม่เข้าใจนะว่าจะมาคาดหวังเอาอะไรกับคนอย่างมัน เฮ้อ
ผมก้มหน้ากลับไปเล่นมือถือต่อแล้ว รู้สึกปลงกับคำว่าหมาขี้เรื้อนที่นอกจากจะโดนมันด่าแล้ว ไอ้พวกสามคนที่อยู่ข้างนอกมันก็ยังเอามาล้อตามด้วย จนไม่รู้ว่าผมหรือไอ้บอมกันแน่ที่เป็นเพื่อนพวกมัน
พอเหลือบตาขึ้นมาอีกทีก็เห็นว่าคนตรงหน้าก้มลงไปพลิกหนังสือดูไปมา มือก็เขียนอะไรยุกยิกๆใส่กระดาษรายงานเหมือนจะเป็นสรุป แต่ก็เลิกเขียนไปแล้วกลับมาเป็นแบบเดิมอีก...คือนั่งมองหน้าผม
“อ่านไม่รู้เรื่องว่ะ” มันบอก
“เรื่องของมึงสิ” ผมตอบกลับโดยที่ไม่ได้เงยขึ้นไปมองหน้ามัน
“เคยบอกแล้วใช่ไหมว่ามึงคือตัวทำลายสมาธิกู”
ผมถอนหายใจแรงๆออกไป บอกให้รู้ว่ากูหงุดหงิดแล้วนะ นี่ก็เล่นมือถือไม่รู้เรื่องแล้วเหมือนกันเพราะแม่งเนี่ยเอาแต่จ้องอยู่ได้
“ทำลายเหี้ยไร กูก็นั่งเล่นโทรศัพท์ของกูอยู่เงียบๆ มีแต่มึงนั่นแหละที่ชวนคุย” นอกจากจะไม่ยอมรับความผิดของตัวเองแล้วยังโยนมาให้คนอื่นอีกแม่ง
“ไปนั่งตรงนู้นไป” แล้วนอกจากมันจะไม่ฟังผมแล้วยังพยักพเยิดหน้าไปทางเก้าอี้ริมสุดที่อยู่หัวโต๊ะอีกฝั่ง
“คิดว่ากูอยากนั่งตรงข้ามมึงมากหรอ”
ผมคว้ากระเป๋าตังค์ได้ก็ทำท่าจะลุกขึ้น ไอ้แจ็คไม่อยู่ก็ดี ไม่มีใครมายกขาลัดเก้าอี้แล้ว ผมก็ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับมันแล้วเหมือนกัน
แต่จู่ๆก็โดนมันดึงข้อมือเอาไว้ ผมก้มมองหน้านิ่งๆสลับกับข้อมือของตัวเองที่โดนมือสากๆของมันกำอยู่ด้วยอารมณ์ที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหงุดหงิดแค่ไหน
“กูพูดเล่น นั่งตรงนี้แหละ” มันบอกด้วยสีหน้าที่ไม่เห็นเค้าของความพูดเล่นอะไรอย่างที่บอกเลย ซ้ำยังถอนหายใจใส่เหมือนคนไม่เต็มใจจะพูดอีก
“กวนตีน” ผมนั่งลง
ตอนแรกตั้งใจจะไปนั่งตรงนั้นจริงๆเพราะคิดว่าถ้าขืนยังนั่งตรงข้ามมันอยู่อย่างนี้คงได้มีการแลกหมัดกันเกิดขึ้นแน่ๆ แต่เพราะมองเห็นเพื่อนนรกทั้งสามของตนกำลังเดินเข้ามากับกลุ่มนักศึกษาชายอีกสี่คนด้านนอกเลยต้องยอมนั่งลงแต่โดยดี
“วิดวะยกพวกตีกันอีกแล้วหรอใต้ตามึงถึงได้ดำคล้ำขนาดนี้” นั่งไปได้ไม่ถึงวิมันก็เริ่มก่อขบวนการที่เรียกว่าวอนหาส้นตีนของผมอีกแล้วครับ
“ถ้ามึงฉลาดพอก็น่าจะดูออกนะว่าใต้ตาดำกับเบ้าตาช้ำมันต่างกันยังไง กูสาธิตให้ดูเอามั๊ย” ด้วยหมัดของกูกับเบ้าตาของมึงนี่แหละ!
“ไปทำอะไรมา” ก็เพราะมึงไงไอ้ควาย มาทิ้งขี้ไว้ให้กูต้องไปตามเช็ด
ผมได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ เพราะกลัวว่าเรื่องนี้มันจะกลับเข้ามาเป็นประเด็นอีก และแน่นอนว่าผมไม่อยากจะนึกถึงมัน
เรื่องของเรื่องก็คือ...
ว่าแชทเฟซจากไอ้แจ็คกับไอ้พี่สิงห์เหี้ยแล้ว ยังมีแชทจากคนรู้จักที่อยู่ในคอมเมนต์ก่อนหน้านั้นเด้งขึ้นมาถามปนล้อเลียนรัวๆว่า ‘คนนี้ใครวะ’ ‘บอมจีบจินหรอ’ ‘โดนบอมจีบหรอ’ หนักสุดคือ ‘น้องจิน เป็นเกย์ทำไมไม่บอกพี่!’ จนไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืน
แถมตื่นเช้ามาก็ยังต้องมานั่งอธิบายกับเจ๊อารุ่ยเจ้าของเพจ Cute and Cool Boys ในแชทส่วนตัวอีกด้วยข้อหาที่ยัดเยียดให้ว่าคนของมหาลัยกำลังจีบผม ทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย สุดท้ายเลยต้องบอกไปว่าเพื่อนมันแกล้งกันเล่นๆเจ๊ถึงยอมถอยทัพ
เนี่ยมันเหี้ยก็ตรงนี้
“กูก็มีการบ้านต้องทำ มีเรื่องให้ต้องคิดไหมวะ เรียนมหาลัยนะไม่ใช่เด็กประถมจะได้เตะบอลเสร็จแล้วก็แดกนมเข้านอน”
“อืม หน้ามึงก็เหมาะจะเป็นเด็กประถมอยู่ ดื่มนม ตบตูด แล้วก็เข้านอน”
“ฆวยเถอะ”
“หน้าโง่ด้วย”
“มึงก็หน้าด้าน พูดอยู่ได้น่ารำคาญ” ผมกดส่งสติกเกอร์เขินกลับไปให้สาวในแชทที่คุยค้างไว้ แต่อารมณ์จริงแม่งโคตรต่าง สังคมโซเชียลนี่มันน่ากลัวจริงๆ
“แล้วคิดเรื่องอะไร ใช่เรื่องของกูรึเปล่า”
บางทีบทมันจะฉลาดผมก็นึกว่าตอนทารกแม่มันเอาน้ำกรดกรอกปากแทนน้ำนมมาเหมือนกันนะ แต่ฉลาดไปก็เท่านั้น อย่าหวังว่าผมจะบอกเลย
“คิดเรื่องมึงหรอ มึงไม่ได้สำคัญ สมองกูไม่ได้ว่างพอให้มึงเข้ามาอยู่ขนาดนั้นหรอกไม่ต้องห่วง”
มันไม่ตอบอะไรอีกนอกจากก้มลงไปเปิดอ่านหนังสือต่อ พอดีกับที่เพื่อนของมันรวมทั้งเพื่อนผมเดินเข้ามาพร้อมของที่สั่งเอาไว้
โอ้โห พอดูรวมๆแล้วนี่มันใช่คนหรอนึกว่ายักษ์ขมูขี แต่ละสารร่างนี่น่าจะ 180 อัพทั้งนั้น จะว่าไปก็คุ้นๆ เหมือนพวกเดียวกับที่ยกมือไหว้ล้อผมตอนอยู่ที่โรงอาหารคณะนิติเลย
“อ่ะ นี่กาแฟเย็นของมึง ไม่ใส่นม ไม่ใส่น้ำตาล ไม่หวาน กูสั่งให้เอง ไปจ่ายตังค์ด้วย” ไอ้แจ็คกระแท็กแก้วน้ำลงตรงหน้าผมพร้อมหย่อนตัวลงนั่งข้างๆกัน
“มึงไม่เอาเมล็ดกาแฟบดเฉยๆมาให้กูแดกเลยล่ะถ้างั้น”
“เอาไหมล่ะ กูก็นึกว่ามึงอยู่กับไอ้บอมละจะหวานอยู่แล้ว” ไอ้แจ็คฉีกยิ้มแป้น ยักคิ้วกวนๆมาให้หนึ่งดอก แล้วหันไปหาคนที่นั่งมองอยู่เงียบๆ อย่างไอ้บอมที่ไม่หือ ไม่อือ ทำเพียงแค่มองมาด้วยสีหน้าตายๆตามประสาคนอย่างมัน
“ฮิ้วววว” ตามมาด้วยเสียงแซวของเพื่อนมัน เข้าขากันโคตรดี ไปสนิทกันตอนไหนวะ
“ไอ้เหี้ย” ผมด่ามันก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดูดก็ยังรับรู้รสชาติขมอมหวานและกลิ่นหอมๆของกาแฟอยู่ รู้เลยว่าแม่งปฏิบัติการกวนประสาทผมอีกแล้ว
“นี่เพื่อนกู” ไอ้บอมที่เงียบอยู่นานพูดขึ้น ผมกวาดสายตามองผู้มาใหม่ทั้งสี่ที่นั่งส่งยิ้มมาให้ ดูเหมือนพวกมันจะรู้จักกับไอ้แจ็ค ไอ้คีมแล้วก็พี่สิงห์ตั้งแต่อยู่ข้างนอกแล้ว ผมมองข้ามไอ้ยูไปเพราะสนิทกันตั้งแต่ประกวดดาวเดือนเมื่อเทอมที่แล้วและเปลี่ยนสายตามามองที่ไอ้คนสวมแว่นแทน
“นี่ชื่อเจ ส่วนนี่อุน” อ๋อ ไอ้เบอร์ 32 “แล้วก็ซอง”
“ซองที่ออกเสียงสั้นๆ ภาษาอังกฤษแปลว่าเพลงอ่ะครับ” ไอ้คนที่ถูกแนะนำเป็นคนสุดท้ายรีบอธิบายชื่อของตัวเอง
“อ้าวหรอ กูนึกว่าออกเสียงยาวๆแบบซองที่คล้ายซองผ้าป่างี้”
“อือ กูก็คิดงั้นแหละตอนที่เห็นป้ายชื่อรับน้องมันครั้งแรก” ไอ้อุนอือออออกมาสมทบทั้งที่ยังอมน้ำโกโก้ไว้ในปากอยู่
“กูอุตส่าห์โหวตให้มึงตอนดาวเดือน ไม่คิดว่าตัวจริงจะกวนตีน” ซองมันว่าเหมือนจะจริงจังในทีแรกแต่ก็ลงท้ายด้วยการด่าผมกลับอย่างกวนๆ ผมก็เพิ่งรู้เมื่อกี้ว่าตัวเองก็กวนตีนได้เหมือนกัน สงสัยจะติดมาจากไอ้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามแหละมั้ง ถุ้ย
“ขอบใจมาก แต่ถึงมึงไม่โหวตกูก็ชนะอยู่แล้วปะ”
“คะแนนนำโด่งขนาดนั้นไม่ชนะก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”
“เออ” ผมหัวเราะรับเมื่อมันตบมุกการหลงตัวเองให้ผมด้วย
อาจจะดูเข้าข้างตัวเองเกินไปแต่มันก็คือความจริงครับ วัดได้จากเสียงกรี๊ดในวันนั้นเลย จริงๆก็มีไอ้ชาร์ลคณะแพทย์ที่ดูสูสี แต่เพราะมันตอบคำถามได้ไม่ดี ตอบเหมือนคนไม่อยากเป็นแล้วโดนบังคับมาให้ประกวดซึ่งผมก็เหมือนกัน
แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว โดนพี่ว๊ากมันดูถูกเอาไว้เยอะว่ามีดีแค่หน้าตา ชอบมาเข้าเชียร์สาย ผมเลยต้องทำให้ถึงที่สุดเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของตัวเองคืนมา ตำแหน่งคนหน้าตาดีประจำปีหนึ่งก็เลยตกมาเป็นของผมอย่างไม่ต้องสงสัยจนถึงทุกวันนี้แหละ
“ไม่มีใครไม่รู้จักเดือนมหาลัยปีนี้เลย จิน...คณะวิศวะ ชื่อเสียงเรียงนามกระฉ่อนมอ” ไอ้คนใส่แว่นที่ชื่อเจพูด ไม่รู้ว่ากระฉ่อนที่มันหมายถึงนี่กระฉ่อนไปทางไหน ผมเพียงหัวเราะรับให้กับความโด่งดังแบบงงๆของตัวเอง เหลือบมองไปทางไอ้บอมแวบหนึ่งก็เห็นว่ามันยังนั่งมองผมนิ่งๆอยู่เหมือนเดิม
“เย็นนี้นิติจะเล่นเกมไหน รุกหรือรับ” ไอ้แจ็คเป็นคนเปิดประเด็น ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะไม่มีทางบอก แต่ผู้ชายกับผู้ชายพอพูดถึงเรื่องเกม เรื่องหนังโป๊ รวมทั้งเรื่องบอลที่ไรก็ดูเหมือนจะเข้ากันเป็นปีเป็นขลุ่ย
“นิติไม่เคยรับ มึงก็เห็นว่าพวกกูรุกตลอด” ไอ้อุนตอบพลางหยิบเอ็นไก่ทอดที่สั่งค้างไว้นานแล้วเข้าปาก เท่าที่ดูก็เหมือนจะมีแค่ไอ้บอม ไอ้อุนและก็ไอ้ยูที่เป็นนักกีฬาฟุตบอล ส่วนไอ้เจกับไอ้ซอง ผมเคยเห็นมันแวบๆอยู่ในเฟซบุ๊กของไอ้คีม เพราะพวกมันเล่นดนตรีด้วยกัน
“วิดวะก็รับไม่เป็นซะด้วยสิ” พี่สิงห์รีบสวนกลับ
“มาเจอนิติเดี๋ยวก็รับเป็นเองแหละพี่”
“ถุ้ย”
แล้วจากนั้นก็คุยอะไรกันไม่รู้ไปเรื่อยเปื่อย ผมที่ไม่มีบทบาทอะไรเลยก็ได้แต่นั่งเล่นมือถือไปเงียบๆ รอเมนูขอหวานที่สั่งเพิ่มอีกมาเสิร์ฟ ซึ่งรอมาเป็นชาติแล้วก็ไม่มาสักที ผมจะแทะโต๊ะแดกแทนได้อยู่แล้วเนี่ย
“ทำไมเพิ่งมา”
จู่ๆไอ้บอมก็ถามขึ้น เสียงมันไม่ได้ดังเรียกความสนใจของคนทั้งกลุ่มเท่าไหร่ที่ยังไม่เลิกคุยเรื่องบอลกันอยู่ ได้ยินว่าหลังจากเตะบอลเสร็จ คืนนี้มีนัดเชียร์ฟุตบอลแมทซ์แมนยูกับอาร์เซนอลที่ร้านเหล้ากันด้วย เอาเข้าไปสิ เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่ชั่วโมงเอง
“กูจะมาตอนไหนแล้วเกี่ยวไรกับมึง” ผมตอบขณะที่นิ้วรัวแชทกับสาวบริหารคนเดิมที่รู้จักกันในร้านเหล้าเมื่อคืนก่อน
“พวกกูจะกลับแล้ว”
“จะกลับก็กลับดิ กูผูกขามึงไว้กับโต๊ะหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นมาตอบ ก็เห็นเพื่อนมันทำท่าเก็บหนังสือเข้ากระเป๋าจริงๆ แต่ปากยังคุยเรื่องบอลกับเดอะแก๊งของผมไม่ยอมหยุด ดูเวลานี่ก็เพิ่งจะเที่ยงนิดๆ แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าพวกมันมากันตั้งแต่เช้าก็เข้าใจ คงจะนั่งกันตูดชาให้สาวแทะเล็มทางสายตาจนพอใจแล้วถึงได้ฤกษ์พากันกลับ
พอได้ยินคำตอบนั้นของผมมันก็ถอนใจ และก็เป็นไอ้แจ็คที่แอบนั่งหูผึ่งเสือกมานานแล้วแทรกขึ้น
“อะ เดี๋ยวกูตอบแทนให้ จินไม่ได้ผูกขามึง แต่แม่งขึงไว้ทั้งตัวและหัวใจเลยใช่ไหมเพื่อนบอม”
ไอ้เพื่อนเวร ดีนะที่มันแค่กระซิบให้พวกผมได้ยินกันแค่สองคน ไม่งั้นทั้งร้านได้มีแตกตื่นแน่ บอมมันไม่ได้ตอบในคราแรก นอกจากหันหน้าหนีออกไปมองนอกหน้าต่าง ก่อนจะบ่นพึมพำราวกับว่ากำลังพูดกับตัวเองว่า
“ช่วงแรกๆก็ไม่ค่อยอยากยอมรับเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะใช่ว่ะ”
“อั๊ยยะ!” ไอ้แจ็คตบเข่าตัวเองฉ่าใหญ่ ส่วนผมได้แต่รีบเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง ไม่สามารถถือได้อีกต่อไปแล้วเพราะตอนนี้มือไม้มันสั่นไปหมด แถมขนแขนยังรุกชันขึ้นมาอีก จะให้พวกแม่งเห็นไม่ได้เด็ดขาด
“มึงเล่นตำแหน่งไหน” นั่งกำจัดความคิดตัวเองอยู่นาน แล้วมันก็วกเข้ามาที่เรื่องบอลทั้งที่คนอื่นพูดกันจบไปแล้ว
“บอกให้โง่หรอ”
“ก็แค่อยากรู้ว่าหน้าตาอย่างมึงจะเล่นอะไรกับเขาเป็นบ้าง”
“อย่ามาดูถูกกองหลังอย่างกู ตำแหน่งนี้พวกกูเหนียวนะจะบอกให้ บุกมาให้ได้ก็แล้วกัน” ผมรีบสวนกลับไปด้วยความคันปาก มานึกอีกที เอ้า กูหลุด กูบอกมันไปแล้ว!
“วันหลังถ้าจะมาก็มาให้เร็วกว่านี้นะ” มันลุกขึ้นสะพายกระเป๋าขึ้นบ่าพร้อมกับเพื่อนของมันที่เดินออกไปก่อน
“วันหลังถ้ารู้ว่ามาแล้วเจอมึง กูไม่มาดีกว่า”
“แล้วแต่มึงเถอะ”
“รีบๆไปเลย รำคาญ”
“อืม ไปแล้วนะหมาขี้เรื้อน แล้วเจอกันตอนเย็น”
พูดเสร็จก็เอื้อมมือมาขยี้หัวผม แต่อย่าหวังว่าจะเบานุ่มนิ่มเหมือนในละครนะครับ ผมที่กูอุตส่าห์ตื่นเช้าขึ้นมานั่งเซทตั้งครึ่งชั่วโมง ตอนนี้แม่งพังแล้วเพราะมัน!
ทั้งๆที่ผมอยากจะอ้าปากขึ้นมาด่ามันแต่ความเป็นจริงคือทำได้แค่นั่งนิ่งกระพริบตาปริบๆ มองเก้าอี้ที่ว่างเปล่าข้างหน้าเพราะเพิ่งรู้สึกตัวหลังจากที่มันเดินออกไปแล้ว
บังอาจมาก บังอาจมากที่มาจับหัวกู...
ผมหันขวับกลับไปจ้องหน้าไอ้แจ็คพร้อมทั้งส่งสายตาราวกับจะบอกว่า...มึงคิดเหมือนกูใช่ไหมบีหนึ่ง มึงเห็นใช่ไหมว่ามันทำอะไรกู มึงเห็นแล้วใช่ไหมว่ามันหยามกูแค่ไหน ซึ่งไอ้แจ็คก็ทำหน้าที่พยักหน้ารับและยกมือปิดปากพร้อมกับอุทานว่า...
“อุต๊ะ!” อุต๊ะพ่องงงงงงงงง
ผมรีบหันออกไปมองนอกร้านก็เห็นว่าแก๊งของมันทั้งห้าคนซ้อนท้ายมอไซค์กันออกไปแล้ว มีแค่ไอ้อุนที่ขับไปคนเดียว ผู้หญิงนี่เหลียวมองตามจนคอแทบหัก พอหันกลับมาอีกทีก็ตอนที่พี่พนักงานเอาบิงซูเมล่อนมาเสิร์ฟพร้อมกับบอกว่า
“มีน้องคนหนึ่งจ่ายให้แล้วนะคะ เขาบอกว่าชื่อบีบอม” แล้วก็เดินจากไปเลยจ้า ปล่อยให้กูนั่งใบ้แดกท่ามกลางเสียงหัวเราะของพวกเพื่อนๆเป็นรอบที่สอง
“แม่งทำไมมันไม่มาชอบกูวะ กูจะหลอกแดกให้มันเปย์แล้วค่อยเฉดหัวมันทิ้ง” พี่สิงห์พูดติดตลก แต่บอกเลยว่าผมไม่ตลกด้วย ผมยอมสละตัวเองแล้วยกพี่มึงให้มันเปย์เลยอ่ะ
“พี่ต้องเป็นหมาขี้เรื้อนก่อนไง ไม่งั้นเค้าก็ไม่ชอบ”
“แล้วกูต้องเรื้อนแบบไหนหรอเค้าถึงจะเอา”
“แบบที่เมาแล้วทำหน้าอ้อนให้พามาส่งที่โต๊ะไงครับ”
“‘ใครอ้อน หน้าอย่างกูนี่หรอจะอ้อน’”
“สัด เป็นพี่กูก็ต่อยได้นะ” ผมหันไปหาพวกมันทั้งสอง ได้ยินเสียงไอ้คีมหัวเราะมาตามหลัง จึงหันกลับไปยกนิ้วกลางให้มันเป็นของแถม
“เหี้ยจิน” ไอ้แจ็คเรียก
“ไร!” ผมตอบรับพร้อมหันไปมองมันอย่างเคืองๆ
“กูบอกแล้วไม่เชื่อ มันชอบมึง!” มึงก็ไม่ต้องมาย้ำก็ได้ กูรู้แล้ว!
“เอ้าๆ หน้าแดงอีกสาดดดด”
อืม ผมก็ว่าอากาศประเทศไทยนี่ก็ร้อนเกินเหตุอ่ะบอกแล้วครับว่าแอร์ร้านวันนี้ไม่ค่อยเย็น...ไม่อยากกินแล้วบิงซูเนี่ย ไม่อยากกินแต่อยากเอาหน้าจุ่มลงไปให้รู้แล้วรู้รอดแทน
ผมโดนมันเล่นแล้วครับพี่น้อง
**********
ตกเย็น
หลังเรียนเสร็จพวกผมก็ลากสังขารออกจากห้องเรียนมายังสนามกีฬากลางของมหาลัยทั้งยังอยู่ในเสื้อช็อปและอาศัยมาเปลี่ยนที่ใต้อัฒจันทร์เอา
การแข่งจะเริ่มขึ้นที่ 6 โมงตรง มีเวลาให้เราเตรียมตัวและปรึกษากันหนึ่งชั่วโมงครึ่ง อีกครึ่งชั่วโมงกรรมการอนุญาตให้ลงไปวอร์มในสนามได้
“มึงไหวไหมจิน เมื่อวานดูมาแล้วคิดว่าจะสกัดได้ไหม”
พี่โด้หันมาถาม ผมพยักหน้ารับทั้งๆที่ในใจก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้อย่างที่คิดหรือเปล่า จากการที่ดูฝีเท้าของไอ้บอมที่บุกครึ่งหลังแล้วทำประตูไปได้สามลูกรวดก็หวั่นๆอยู่ มองไปเห็นพี่ต้าที่นั่งทำหน้าเซ็งๆ เพราะขาตัวเองก็ใส่เฝือกเลยทำให้ลงเล่นไม่ได้ ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ
“กูว่าเอางี้ เดี๋ยวกูไปแทนต้า แล้วให้จินมันไปเล่นกลางแทนกู คอยช่วยคีม ถ้ามีโอกาสทำประตูได้ก็จัดเลย ตอนซ้อมมึงก็เล่นถือว่าไม่เลวเท่าไหร่ ยังจับลูกแม่นอยู่” พี่สิงห์พูดแทรก บอกแผนการคร่าวๆเสียดิบดี คราวนี้ทุกคนพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
เห็นพี่มันดูเป็นการเป็นงานก็ตอนที่ทุกอย่างเป็นเรื่องของฟุตบอลนี่แหละครับ จริงจังกว่านั้นคือตอนที่วางเงินพนันบอล
“จากที่ดูเมื่อวานเบอร์ 6 มันก็โหดอยู่ แถมเพิ่งแข่งนัดแรก เราดูไม่ออกหรอกว่าพวกมันจะมาไม้ไหนบ้าง”
“ถ้าให้เดากูว่าแม่งบุกหนักครึ่งหลัง”
“จริงพี่ เมื่อวานนิติแม่งเอาไอ้เบอร์ 6 ลงมาครึ่งหลัง”
สีหน้าของแต่ละคนดูจริงจังมาก แต่ก็มีบางครั้งที่ปล่อยมุกออกมาทำให้ไม่ค่อยเครียดเท่าไหร่ เราชนะเศรษฐศาสตร์มา ถ้าแพ้นิติก็ยังไม่ถือว่าตกรอบ และคิดว่ามีโอกาสชนะสูงด้วยเพราะอำนาจของแชมป์เก่ามันช่วยค้ำไว้อยู่ แถมนักกีฬามหาลัยในทีมเราก็มีตั้งหลายคน
เวลานั้นก็ได้แต่นั่งปรึกษาหารือกันไป พร้อมทั้งนวดน้ำมันมวยไปด้วย บางคนเทราดจนแขนขามันเยิ้มถ้าเอาไปตากแดดนี่ผมว่าทอดไข่ได้แน่นอน
และแล้วเวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงลงวอร์มในสนาม
ผมมองไปใต้อัฒจันทร์ก็เห็นว่าดำทมิฬขนทัพเข้ามาแล้ว นิติศาสตร์ปืนใหญ่มาแล้วครับท่าน ไม่ใช่ปืนใหญ่อาร์เซนอล แต่มันคือคำว่า ‘นิติศาสตร์—ปืนใหญ่’ จริงๆที่สกรีนอยู่เสื้อบอลสีดำของแต่ละคน
ซึ่งปืนใหญ่ที่ว่านั่นสำหรับผู้ชายก็จะหมายถึงอะไรไปไม่ได้นอกจากปืนใหญ่ภายใต้กางเกงฟุตบอลสีเดียวกันกับสีเสื้อ ผมกลอกตาไปอีกทีนึงเมื่อมองเห็นแก๊งไอ้บอมที่แต่ละคนผิวขาวสะท้อนแสงแดดตอน 5 โมงเย็น เป็นคนขาวอยู่แล้ว มาใส่สีดำยิ่งขาวเข้าไปอีก
วันนี้กองเชียร์ก็ยังเต็มสแตนด์เหมือนเดิม ซ้ำอาจจะเยอะกว่าทุกรอบที่ผ่านมา ได้ยินเสียงกระหึ่มดังมาจากสแตนด์ของนิติศาสตร์ ผนวกเข้ากับเสียงกรีดร้องจากฝั่งเสื้อช็อปสีน้ำเงินก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาเลยทีเดียว
ก่อนจะลงแข่งจริงก็เป็นต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงที่ประกาศผ่านไมโครโฟนข้างสนามออกมาว่า
“ปีนี้ฟุตบอลมีโครงการแลกเปลี่ยนนักกีฬาระหว่างคณะรึเปล่าครับคุณเต้”
“ทำไมครับคุณเอก”
“ก็ผมเห็นวิศวกรเบอร์ 6 อยู่นิติ แล้วคณะวิศวะก็มีนิติกรเบอร์ 22”
“นั่นชื่อนักกีฬาครับ โธ่”
เล่นเองตบมุกกันเอง ส่วนคนฟังอย่างผมก็ได้ถอนหายใจเพลียๆแล้วเดินลงสนามไป จู่ๆไอ้แจ็คที่เดินอยู่ข้างหน้าก็หยุด ไม่เพียงแค่มัน รวมทั้งไอ้คีมและพี่ที่เป็นตัวจริงอีกสองคนตรงหน้ายังหยุดเดินแล้วหันมามองกัน
“เชี่ยบอมเป็นโกล”
เชร้ดดดดดดดดดดดดดดด
รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของแต่ละคนก็ยืนยันได้เป็นอย่างดี นิติเกิดอะไรขึ้นครับถึงยอมสละกองหน้าที่ดีที่สุดไปเป็นผู้รักษาประตู!
ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย แต่สุดท้ายก็ทำแค่เพียงเดินหล่อๆไปยังตำแหน่งของตัวเอง เต๊ะท่ารอว่าฝั่งไหนจะได้เขี่ยบอลก่อน
พอมองไปยังประตูของอีกฝั่งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไหร่ ก็เห็นว่าไอ้บอมยืนมองมาทางนี้ สายตาของมันดูแปลกไปเหมือนคนกำลังแตกตื่นอะไรสักอย่าง เมื่อตอนกลางวันก็เล่นไปหลุดให้มันรู้ว่าจะอยู่กองหลังไง โธ่ไอ้ควาย ไม่ตามเกมเลย มึงเจอกูแน่ กูนี่แหละจะบุก!
สัญญาณนกหวีดดังขึ้นบ่งบอกว่าเกมได้เริ่มขึ้นแล้ว โดยที่ฝั่งวิศวะอย่างเราเป็นฝ่ายได้จับบอลก่อน ด้วยวิธีเบสิกอย่างการเป่ายิงฉุบ โธ่ จะเอาอะไรมากครับ นี่ก็แค่ฟุตบอลระหว่างคณะ ไม่ใช่ระดับโลก แต่ใครบางคนแม่งก็ทำตัวอย่างกับเป็นนักเตะของโลก เช่น ไอ้แจ็ค ส่วนผมหรอ ก็หล่อระดับโลกไง อิอิ
ผมวิ่งตามขนาบข้างสนามไปกับไอ้คีมที่ยังทำหน้าที่ของมันได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งการเลี้ยงลูก การส่งลูก หรือแม้แต่การรับเอาบอลมาอยู่ใต้เท้าของตัวเอง
สมแล้วครับที่พ่อมันส่งให้เรียนเตะฟุตบอลมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งตอนนี้มันก็สามารถครองบอลและบุกเข้าไปยังเขตจุดโทษของอีกฝ่ายได้สำเร็จ แต่ก็ไม่สามารถผ่านไอ้อุนกับไอ้ยูที่ประกบสองข้างอยู่ตลอดไปได้
คราวนี้ไอ้ยูแย่งบอลมา มันก็รีบพุ่งตรงมายังประตูฝั่งเราทันที สองคนนี้ก็แปลก ดูจากเมื่อวานต่อให้เป็นเขตอันตรายแค่ไหน พวกมันก็ไม่เคยเตะลูกออก ไอ้บอมก็เหมือนกัน
สี่สิบห้านาทีผ่านไปไวเหมือนโกหก วิ่งตามกันจนเหนื่อย ครึ่งแรกก็ยังไม่มีฝั่งไหนทำประตูได้ ต้องออกมานั่งหอบหายใจฟังพี่โด้บ่นแล้วบ่นอีกทั้งๆที่เราเหมือนจะได้เปรียบเพราะในสนามไม่มีไอ้บอมมาวิ่งวุ่นให้ประสาทเสียแล้ว สุดท้ายเลยต้องเปลี่ยนมาวางเกมใหม่
ดูเหมือนครึ่งแรกนิติจะไม่ค่อยบุกหนักเหมือนเมื่อวานซึ่งก็ถือว่าโอเค แต่เกมรับฝั่งนั้นเขาเล่นดีมาก นั่นทำให้พี่โด้ไม่สามารถไว้ใจอะไรได้เลย อีกอย่างนิติแม่งเล่นเปลี่ยนตำแหน่งผู้เล่นใหม่เกือบทุกคนที่ผมได้เห็นเมื่อวาน ที่ช็อคชีนีม่าสุดคือกองหน้าอย่างไอ้บอมไปเป็นโกลนี่แหละ ผมนี่ช็อคสุดๆ แต่ก็ดีใจสุดๆเหมือนกัน
“เอ็นจีเนียร์ สู้!!!”
โดนปลุกใจจากพี่โด้ด้วยคำด่าและเอาโปรเหล้ามาขู่แล้วพวกเราก็ลุกขึ้นมาล้อมวงกันบูม จากนั้นจึงวิ่งกระจายกันเข้าสนามประจำตำแหน่งใครตำแหน่งมัน
อยากตะโกนเหี้ยออกมาดังๆ เมื่อเห็นหน้ามือโกลของนิติศาสตร์เปลี่ยนไป ไม่ใช่ไอ้บอมแล้วครับ แต่เป็นคนเดียวกับเมื่อวาน
“ไอ้สัด ทำไมพวกกวนตีนจังวะ” ไอ้แจ็ควิ่งเหยาะๆผ่านไปประจำที่ของตัวเองแต่ก็ไม่วายหันมาสบถกับผมอย่างหัวเสีย
ผมยักไหล่ ไม่ใช่ว่าปลงหรืออะไร แต่เอาจริงคือมองเกมของอีกฝั่งไม่ออก พวกมันเปลี่ยนระบบกันแล้ว ครึ่งแรกเล่น 4-4-3 แต่ครึ่งหลังเป็น 4-2-3-1 มีไอ้บอมเป็นตัวรุก ส่วนหลังกับกลางแม่งหนาสัด แต่ถึงแผนรับพวกมันจะดี ถ้าเล่นแบบนี้ก็รุกยากเหมือนกันแหละวะ
ผมมองเห็นไอ้บอมที่เดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ตามแบบฉบับเดิมแล้วก็เซ็ง เซ็งวีถีการเล่นของพวกมันแล้วก็ยังมาเซ็งหน้ามันอีก
“ไหนบอกว่าเป็นกองหลัง” มันถามโดยที่ไม่ได้หันมามองหน้าผม แต่สายตากำลังจับจ้องไปยังลูกฟุตบอลที่อยู่ใต้เท้าของกรรมการอยู่
“มึงก็เชื่อกูหรอ?” ผมตอบออกไปติดเสียงเย้ยหยัน จริงๆก็ว่าจะเล่นตำแหน่งนั้น เพิ่งจะมาเปลี่ยนก่อนลงแข่งจริงๆนี่ไง
“ถ้าไม่เชื่อแล้วกูจะไปเป็นโกลทำไม”
“แล้วมึงไปเป็นทำเพื่อก็แค่กูเล่นกองหลัง”
“ไม่อยากเตะอัดมึง”
“........” อะไรของมันเนี่ย “อ...เออ งั้นกูนี่แหละจะเตะอัดมึง เตรียมตัวไว้เลย”
ผมออกแรงวิ่งทันทีเมื่อบอลถูกส่งมาให้ รีบเลี้ยงลูกขึ้นไปยังฝั่งตรงข้าม สายตาก็สอดส่องหาพี่โก้ว่าอยู่ตรงไหน แต่ก็เจอร่างควายๆของไอ้บอมประกบอยู่ไม่ห่าง มองแรงไปทีหนึ่งเมื่อเจอมันยิ้มกวนตีนมาให้
ไอ้ห่าตัวก็ใหญ่ยังมาบังกูอีก สุดท้ายไอ้คีมเพื่อนรักก็เข้ามาช่วยด้วยการยกมือเป็นสัญลักษณ์ให้ส่งออกซ้าย จ่ายออกไปตอนแรกว่าจะพ้นแล้วแต่ก็ไม่เลย โว้ยย
ไอ้บอมยื่นเท้าเข้ามาแย่งเอาบอลไปอย่างคล่องแคล่ว งานหนักทั้งผมและไอ้คีมที่ต้องเป็นฝ่ายวิ่งเข้าไปประกบบ้าง
ลัดหน้าลัดหลังกันไปมา ผมจึงตัดสินใจวิ่งเข้าใส่มันเพื่อหวังแย่งบอลคืนมา ทว่าจังหวะนั้นมันกลับยื่นขาออกมาพอดี ร่างของผมจึงถูกทำให้กลิ้งหลุนๆลงไปกับกองหมดสภาพอยู่บนสนามหญ้า ตามด้วยเสียงเป่านกหวีดของกรรมการดังขึ้นมาบ่งบอกว่าเมื่อกี้เป็นลูกฟาวล์
“ดูเหมือนว่าวิศวะจะได้ฟรีคิกไปนะครับคุณเอก”
“ดูจากจุดแล้วนิติศาสตร์ก็เสี่ยงอยู่เหมือนกันนะครับ มาดูกันว่านิติกรจะทำได้ไหม”
ไอ้บอมเดินนิ่งๆเข้ามาหาผมในสภาพที่เหงื่อหยดเต็มใบหน้า พร้อมกับยื่นมือออกมาให้จับ แต่ผมแค่แตะมันเบาๆและโบกมือปัดๆเป็นการบอกว่าไม่เป็นไรแล้วพยายามพยุงร่างของตัวเองขึ้นมา จู่ๆก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ข้อขากับหัวเข่าขึ้นมาซะได้
ผมสูดลมหายใจ สายตาจ้องมองไปยังลูกบอลที่วางอยู่ตรงจุดฟาวล์ ซึ่งถือว่าไม่ไกลจากประตูเท่าไหร่ มองหาไอ้คีมที่ยืนเบียดอยู่กับผู้เล่นของนิติทางซ้ายมือของประตูก็ตัดสินใจวิ่งเข้าใส่ บอลลอยสูงข้ามหัวกำแพงนักเตะไปทำประตูแรกให้แก่วิศวกรรมศาสตร์ เรียกเสียงร้องจากสแตนด็เชียร์ของวิศวะเราได้เป็นอย่างดี
“โอ้โหยยยย เข้าไปเรียบร้อยแล้วครับกับวิศวกรรมศาสตร์ลูกนี้”
“ตุงตาข่ายไปในนาทีที่ 55 สำหรับนิติกรเบอร์ 22 ทำฟรีคิก ยิงมุมเสยบนขวา ต่อให้มือโกลพุ่งถูกทางก็ไม่มีทางรับได้”
ได้ยินแล้วผมนี่ยิ้มหน้าบานเลยครับ แต่ยิ้มได้ไม่นานเท่าไหร่ เข่าก็แทบทรุด พอดีกับที่ป้ายเปลี่ยนผู้เล่นชูขึ้นมาก็รู้ว่าเป็นผมเองที่ต้องออกแล้วให้พี่กล้าที่รอลงครึ่งหลังเหมือนเมื่อวานเข้ามาแทน
“มึงโอเคไหมจิน” ออกมาอยู่นอกสนามพี่โด้ก็ตบหัวชมผมยกใหญ่ แต่ก็ไม่วายถามอาการเมื่อเห็นท่าเดินของผมแปลกๆ
ผมส่ายหน้าบอกเชิงไม่เป็นไร พอเตะลูกนั้นเสร็จแล้วแม่งก็เจ็บขึ้นมาเฉยๆเลย ถอดถุงเท้าออกดูก็เห็นว่ามีเลือดไหลออกมาด้วย เลยโดนพี่โด้สั่งให้ไปหาหมอที่จุดปฐมพยาบาล มีเพื่อนปีหนึ่งที่เป็นตัวสำรองเหมือนกันพยุงออกไป
อยากอยู่ดูบอลให้จบอยู่ครับ แต่โดนคุณหมอข้างสนามสั่งให้ไปทำแผลที่โรงพยาบาลดีกว่า หลังจากนั้นกว่าจะออกมาจากห้องฉุกเฉินได้ก็ปาไปแล้วเกือบสองทุ่ม โดนเอกซเรย์รอผลตรวจอยู่เป็นชั่วโมง
สรุปว่าไม่มีอะไรมาก แค่เข่าถูกกระแทก เท้าเอ็นฉีกก็ไม่รุนแรงเท่าไหร่ แต่ก็ต้องใช้เวลารักษาราวๆ 2 อาทิตย์กว่ามันจะกลับมาหายดี ช่วงนี้หมอให้งดทั้งเล่นกีฬาและอย่าพยายามเคลื่อนไหวตัวให้มาก ซึ่งมันหมายความว่าผมหมดสิทธิ์ได้ลงแข่งแมทซ์ต่อไป ทั้งที่อุตส่าห์ทำประตูได้อย่างสวยงามแล้วแท้ๆ
(ตายยัง)
และนี่ก็คือคำทักแรกจากแจ็คแจ็คเพื่อนรักทันทีที่ผมกดรับสายมันครับ ก่อนหน้านั้นก็เห็นว่ามีสายที่ไม่ได้รับอยู่เกือบ 10 สาย เป็นของมันไปแล้ว 8 สาย
“ยัง...ยังหายใจอยู่” กรอกเสียงเนือยๆของตัวเองลงไป
(ละหมอว่าไง)
“เข่ากระแทก ช้ำนิดหน่อย แต่เท้าเอ็นฉีก”
(ว้าย อดโชว์พาว มะรืนนี้เตะกับบริหารนะคร้าบ)
“เออ แล้วเป็นไง”
(แพ้ไอ้สัด) คราวนี้เสียงมันดูนอยด์ลงทันที
“เท่าไหร่”
( 4:1 โคตรเหี้ย) ผมถอนหายใจ
ไม่อยากจะยอมรับก็ต้องยอมแล้วว่านิติปีนี้เอาจริงว่ะ ชนะรองแชมป์อย่างบัณฑิตวิทยาลัยได้ ยังมาชนะแชมป์เก่าอย่างวิศวะเราอีก น่ากลัวกว่าว่าสองแมทซ์ที่ผ่านมานิติศาสตร์แม่งมาบุกแรงช่วงครึ่งหลังตลอด แล้วอะไรคือการยิงได้สี่นัดภายในเวลา 45 นาทีวะ มึงบ้าไปแล้ว
“แสดงว่าหลังจากที่กูเตะเข้าก็ไม่มีใครทำประตูได้อีกเลยหรอ ไมกากจังวะ”
(ไอ้สัด มึงไม่มาดู เชี่ยบอมแม่งโคตรบ้า กูขอถอนคำพูดเถอะว่าเก่งและมีน้ำใจนักกีฬา ไอ้ควาย เตะอัดกูไปตั้งหลายรอบ พอกรรมการเป่านกหวีดหมดเวลาแม่งก็เดินออกจากสนามไปเลย ไม่มงไม่มีหรอกคำขอโทษ กูไม่เชียร์ให้มึงได้กับมันแล้ว กูโกรธมาก) เออ แล้วใครให้มึงมาเชียร์ตั้งแต่แรกไม่ทราบครับ
“พอนอกสนามเดี๋ยวพวกมึงก็กลับไปดีกันเหมือนเดิม”
(คืนนี้กูจะให้มันจ่ายค่าเหล้าทั้งหมด) ว่าแล้วไง (แล้วมึงอ่ะเอาไง จะไปไหม)
“ไปดิ” ไม่รู้เป็นอะไร แต่ปากมันพูดออกไปแล้ว
“สามทุ่มมารับกูที่หอด้วย”
(เค)
**********
เสียงเพลงในร้านดังกว่าทุกๆวัน คงเพราะวันนี้คือศุกร์สุดสัปดาห์ที่นักศึกษาไม่ต้องกังวลว่าเมาแล้วแฮงค์จะตื่นขึ้นไปเรียนไม่ไหว เพราะวันต่อไปยังไงก็เป็นวันเสาร์อาทิตย์นอนได้ทั้งวันอยู่แล้วถ้าเกิดไม่มีเมคคลาส
และขึ้นชื่อว่าวันศุกร์ ก็ถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่สุดแล้วที่จะควักเงินออกมาละลายไปในแก้วเหล้า
ผมพยุงตัวเองลงมาจากรถ เดินกระเผลกตามหลังไอ้แจ็คเข้าไปในร้าน ยิ่งดึกร้านเหล้าคนก็ยิ่งเยอะครับ แทบจะเบียดคนเข้ามาข้างในไม่ไหว สักพักก็เห็นไอ้แจ็ควิ่งกระหืดกระหอบออกนอกร้านไป ปากกระซิบกับผมว่าแม่โทรมา
ผมเดินไปนั่งที่โต๊ะซึ่งมีไอ้ยูกับไอ้อุนนั่งอยู่ก่อนแล้ว มองไปยังเวทีก็เห็นไอ้คีมนั่งตีกลองอย่างเมามันส์ แต่ไม่ยักกะเห็นคนที่เคยเป็นนักร้องนำ พอนั่งจิบเบียร์ไปฟังเพลงไปได้ไม่เท่าไหร่ จู่ๆก็มีร่างควายร่างหนึ่งนั่งลงข้างๆผม
พอหันไปก็เห็นว่าเป็นมันนั่นเอง...ไอ้วิศวกร
“วันนี้มึงไม่ร้องเพลง?” ผมพูดออกไปทั้งๆที่ไม่ได้มองหน้าคู่สนทนาด้วยซ้ำ
“มีหมาโง่แถวนี้บอกว่าเสียงกูเหมือนควายออกลูก” มีการมาประชดกูอีก
“รู้ตัวก็ดี” ผมยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบอีก สายตายังคงจับจ้องไปยังเวที พลางโยกหัวตามเพลงคุกเข่าของ COCKTAIL ที่วงไอ้คีมกำลังเล่นอยู่ เดี๋ยวนี้เริ่มทำใจเรื่องของอิมได้แล้วครับ แต่ก็ยังติดถึงอยู่เวลาอยู่คนเดียวหรือว่าเมา
“ขาเป็นไง” มันถามขณะที่ผมรู้สึกได้ว่ามันยังคงจ้องผมอยู่
“ไม่ตายง่ายๆหรอก แค่เอ็นฉีก”
“เจ็บไหม” ผมหันกลับไปมองหน้ามันนิ่งๆ มันไม่รอให้ผมตอบกลับก็แทรกด้วยประโยคที่ทำให้ผมต้องนั่งนิ่งเหมือนคนเป็นใบ้ “ดื้อไม่เข้าเรื่องมึงน่ะ”
เห็นสายตาที่มันมองมาเท่านั้นแหละ เดาออกเลย
มันรู้ครับ มันรู้ว่าผมแกล้งวิ่งเข้าไปขัดขามันเพื่อให้ได้ลูกฟาวล์ วินาทีนี้ก็เลยได้แต่มองหน้ามันกลับไปนิ่งๆ ไม่รู้เลยว่าจะพูดอะไร รู้สึกน้ำท่วมปากไปหมด เหมือนโดนแม่จับได้ตอนป. 4 ว่าแอบขโมยเงินที่หลังตู้เย็นไปซื้อไข่นกกระทาถุงละห้าบาทกิน ตอนนั้นกูก็ว่ากูเนียนแล้วนะ
“มึงโง่เองที่ไม่บอกกรรมการ” ก็ยอมรับออกไปตรงๆนี่แหละ ไม่มีอะไรจะเสียละ จะเหี้ยก็ต้องเหี้ยให้สุดไอ้พี่สิงห์มันสอนไว้ “ใครบอกให้มากวนตีนกูตอนอยู่ในสนามล่ะ”
“มึงแม่งหมาขี้เรื้อนที่โคตรขี้แพ้ชวนตีเลย”
“สักหมัดไหมล่ะ ตีนอีกข้างกูก็ยังพร้อมนะ”
“อยากชนะมึงไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้”
“........”
“กูยอมแพ้ตั้งแต่ที่รู้ว่าเป็นมึงแล้ว”
“...มึงเตะบอลอัดเพื่อนกูทำไม” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องถามโดยที่ไม่ได้มองหน้ามันแล้วหันไปดูไอ้คีมที่ตีกลองอยู่บนเวที พอดูดีๆถึงได้รู้ว่ามือกีตาร์คือไอ้ซอง ส่วนมือคีย์บอร์ดเป็นไอ้เจ
“เพื่อนมึงเอาตัวมาบังเอง”
“แจ็คมันจะเป็นไส้เลื่อนก็เพราะมึงเนี่ย เลี้ยงเหล้ามันเลย”
“กูแค่โกรธตัวเองที่ทำให้มึงเจ็บ”
โอเค...ผมไม่คุยกับมันแล้วก็ได้
แล้วนี่หน้าจะร้อนทำไม เพราะโดนไอ้แจ็คกับพี่สิงห์มันบิลด์นี่แหละ ใจกูเลยเขวเลย ปกติถ้าได้ยินก็คงจะเฉยๆ แต่ตอนนี้ความรู้สึกที่ใช้มองมันไม่เหมือนเดิมแล้วว่ะ ผมควรขยับออกห่างมันมากกว่านี้ ยังไงผมก็ยังชอบนมชอบเข้าทางด้านหน้าอยู่นะ
ไม่นานนักไอ้แจ็คก็เดินเข้ามาพร้อมกับพี่สิงห์
วันนี้วงดนตรีของไอ้คีมขึ้นช่วงแรกคือสองทุ่มครึ่งถึงสี่ทุ่ม พอเล่นจบมันก็เดิมมานั่งรวมกับพวกผมที่โต๊ะ ฟังเพลงเศร้าๆ ที่ร้านเปิดคลอรอวงดนตรีอีกช่วงที่ห้าทุ่ม
ขณะนั้นทุกคนบนโต๊ะต่างก็เงยหน้าขึ้นมองฟุตบอลที่ฉายอยู่บนจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ตรงผนังของร้าน หน้าจอปรากฏคู่ระหว่างอาร์เซนอลปะทะกับแมนยู ผมเองก็ใจจดใจจ่ออยู่กับการแข่งเหมือนกัน
“อ้าวห่า บอลออกข้างสนาม แทนที่มันจะเอาคืนครับกองเชียร์ผี แม่งเสือกเซลฟี่กับลูกบอลเฉ้ย” ไม่ทันไรไอ้ยูก็เปิดปากแซะกองเชียร์ฝั่งผมทันที ตลกดีครับที่พวกมันทั้งห้าคนคลั่งอาร์เซนอลกันหมด ส่วนแก๊งพวกเราก็เทใจไปให้แมนยูหมดเหมือนกัน กว่าบอลจะจบเห็นทีว่าได้มีตีกันตายไปข้างหนึ่งแน่ๆ
“เอาแล้วครับแมนยู! ลากเข้ามาแล้วครับ รูย์นีจ่ายตัด หลุดเข้ามาหน้าจุดโทษ เอ้าๆๆ โดนกระแทกข้างหลังอีก ลูกโทษเลยครับไอ้เหี้ยลูกโทษษษษษษษษษษ แมนยูได้ลูกโทษครับผมมมมมมมมมมม” พี่สิงห์ชูแก้วเหล้าขึ้นแหกปากร้องดีใจ ดูท่าทางจะเริ่มกรึ่มได้ที่แล้ว พี่มันเอื้อมมือไปตบแบงค์ห้าร้อยสี่ใบที่วางอยู่ตรงกลางโต๊ะแปะๆราวกับว่าเงินนี้ต้องเป็นของกู
“แล้วมาฟ้องกรรมการว่าไม่ฟาวล์...ไม่ฟาวล์พ่อง!” ผมยื่นหน้าเข้าไปกระแทกเสียงใส่หูไอ้คนที่นั่งดูเงียบๆอยู่ข้างๆ ผมรู้นะว่ามันเด็กปืน ทำมาเป็นนิ่งที่แท้ก็เชียร์ในใจอยู่ใช่ไหมล่ะ
มันหันกลับมามองผมนิ่งๆ พร้อมขยับปากว่า ‘ฆวย’ แต่ผมไม่สนใจแล้วหันกลับมาเชียร์ต่อ สะใจชิบหาย ตอนเย็นไม่ชนะ กูขอมาชนะพนันบอลก็ได้วะ
“พี่เวย์นวิ่งเข้ามา จังหวะนี้แหละ ยิง!!”
“เรียบร้อยยยยยยยยย” เสียงโห่ดังขึ้นมาทั้งร้านทันทีที่ได้แมนยูยิงลูกโทษได้แล้วนำไป 1 ประตูต่อ 0 โดยกัปตันทีมอย่างเวย์น รูนีย์ฉายาหมูบินของเรา เยี่ยมจริงๆ
“หนึ่งประตูต่อศูนย์ใสๆ ยังเริ่มเกมส์ไปได้ไม่เท่าไหร่เลยยยยยยย” ไอ้แจ็ครีบเย้ย
“ต่อให้ก่อนๆ” ไอ้อุนก็สวนกลับทันที หันไปเงยหน้าขึ้นมองจอก่อนจะแหกปากตะโกนออกมาว่า “จังหวะนี้หล่อเหลาได้บอลครับ สุดหล่อโดนประกบอยู่ ยังไงครับยังไงงง หล่อแตะแล้วหยอดมาได้เจาะๆ อือหือ เรียบร้อยยยยย”
“โอ้โหยยยย มาแล้วว้อย! นี่แหละครับหนึ่งหนึ่ง บอกแล้วกูต่อให้ก่อน!” แก๊งนิติมีการยืนขึ้นยกเว้นไอ้บอมแล้วหันมาเย้ยกลับทันทีที่โอลิวิเยร์ ชิรูด์ทำประตูตีเสมอให้กับอาร์เซนอลได้สำเร็จ ผมกลอกตา ถอนหายใจเมื่อเจอบอมมันหันมายักคิ้วให้
“เหลืออีกสิบนาทีครับผม ยิ่งแม่งเลยไอ้สัด รัวๆ”
“ปืนโตจิ้มหลุดไม่หลุด ยิง! เรียบร้อยครับโอ้โห ไม่เคยผิดหวัง หมูบินนี่มันหมูบินจริงๆ” แมนยูทำประตูได้อีกแล้วครับ ตุงตาข่ายไปอย่างสวยงามมากๆ
“แฟนปืนแดกครับแดก เพียวๆ หมดแก้ว!”
หลังจากการเชียร์สุดมันส์จบลงด้วยที่แมนยูชนะอาร์เซนอลไปด้วยสกอร์สองประตูต่อหนึ่ง ทีมนิติปืนใหญ่ก็ต้องทำการยกหมดแก้วหลังจากที่ได้พนันกันไว้ก่อนหน้านั้น เสียเงินแล้วก็ต้องเสียสติด้วยไม่งั้นมันไม่คุ้ม
ส่วนพี่สิงห์ก็กอบโกยเอาเงินพร้อมทั้งแจกพวกผมคนละใบ พนักงานเสิร์ฟถือเหล้าเข้ามาเสิร์ฟงานนี้ไอ้แจ็คมันพูดจริงครับ โทษฐานที่ไอ้บอมเตะอัดมันเลยต้องเลี้ยงเหล้ามันไปกลมหนึ่ง สมน้ำหน้า
เวลาผ่านไปดูเหมือนพวกมันจะเริ่มเมาได้ที่แล้ว ส่วนผมที่ทั้งเจ็บขาและก็ตั้งใจว่าจะไม่เมา เพราะเดี๋ยวโดนใครบางคนมันล้อว่าเป็นหมาขี้เรื้อนอีก เลยได้แต่นั่งมองไอ้แจ็คแจกเหล้ารอบโต๊ะทั้งๆที่เจ้าตัวหัวแทบจะโหม่งพื้นอยู่แล้ว สงสัยอินกับบอลยังไม่หาย แล้วพอมีฝั่งนิติยื่นแก้วเหล้ากลับมาให้ผมหน่อย ก็โดนมือไอ้บอมยื่นมาฉวยเอาไปแดกเองหน้าตาเฉย
“มึง” ผมเขย่าตัวมันที่นั่งคอพับก้มหน้าอยู่นิ่งๆบนเก้าอี้ดูท่าว่าจะตกแหล่ไม่ตกแหล่ ไอ้บอมเงยหน้าขึ้นมาพร้อมทั้งพยายามปรือตาเยิ้มๆของมันขึ้นจ้องหน้าผม
“เมายังวะ”
“ใคร?”
“กูถามว่ามึงเมายังก็ตอบสิควาย”
“ผมถามว่านี่ใคร”
“ก็กูไง...กู! จิน!”
“จิน...หมาโง่หรอ” เสียงมันอ่อนลง ยื่นหน้าเข้ามาใกล้แถวๆซอกคอของผมพร้อมทำเสียงจมูกฟุดฟิด “อืม มึงจริงๆด้วย”
“ไม่ใช่กูแล้วจะให้กูเป็นใครวะ”
“ตัวมึง...หอม” สัด วันก่อนยังบอกเหมือนน้ำพริกอ่องแถวบ้านอยู่เลย
“มันเมาละมึง เมาแล้วหลุดหมด เดี๋ยวรู้เลย” เป็นไอ้เจที่แตะเหล้าเบียร์น้อยสุดในแก๊งท้วงขึ้นมา เรียกเสียงหัวเราะดังๆจากเพื่อนในกลุ่มของมัน แต่ก็ไม่ยอมหยุดยื่นแก้วเหล้าให้ไอ้บอมสักทีจนผมต้องเอามือไปคว้ามาแทนแล้ววางไว้
คือไม่ใช่อะไร บอมแม่งเมาจนยกหัวไม่ขึ้นแล้ว แถมมันยังจะเอาหัวมาซบผมอีก ตอนนี้ยังไม่ลำบากเท่าไหร่ แต่ผมมันใจว่ามันจะยุ่งยากตอนกลับแน่นอน ก็เล่นเมากันแทบทุกคน ตัวก็สูงใหญ่เกินเด็กปีหนึ่งขนาดนี้ ใครจะไปแบกกลับไหวครับ
“จิน”
“ไร เมาแล้วก็หุบปาก อย่าพูดมาก ”
“มึงเมายัง” มันถามกลับด้วยคำถามเดียวกับผม แน่นอนว่าผมก็ปฏิเสธไปอย่างมั่นใจว่าไม่ มันพยักหน้ารับ ก้มลงมากระซิบ กลิ่นเหล้านี่หึ่งเลย
“ไม่เมาก็ดีแล้ว”
“เออ ขยับออกไปเลย กูอึดอัด”
“ไม่” ไม่ฟังกูอีก บอกทีว่ากูกับมันใครเมาแล้วเรื้อนมากกว่ากัน
“ห้ามเมานะ”
“ไม่ต้องมาสั่งกู”
“ไม่อยากให้ใครเห็นอ่ะ” ปล่อยๆมันบ่นไปงั้นแหละ น่าจะอัดคลิปเอาไว้แล้วเอาโพสต์ลงเฟซให้บรรดาคนที่กรี๊ดกร๊าดมันได้เห็น คราวนี้แหละมึงได้ดับแน่ๆ
“หน้าตอนมึงเมาแม่ง...”
“......”
“โคตรน่าจับแดกเลย” พูดจบปุ๊บมันก็ฟุบลงไปกับหัวไหล่ของผมพร้อมกับสติที่หายไปเลย เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่นด้วย
เหนือสิ่งอื่นใดคืออย่าอ้วกใส่กูนะเว้ย!!
TBC.
ตอนนี้อ่านแล้วอาจจะไม่เขิน แต่ไอ้จินมันเขินนะเว้ย
มันรู้ตัวแล้วนะ คราวนี้บีบอมจะได้ไม่ต้องรุกหนักแล้ว
ขอตัวไปนอนก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาแก้คำผิดค่ะ คิดว่าน่าจะบานเบอะแน่เลย //ตาเบลอ
ฝากคอมเมนต์และติดแท็ก #มนุษย์นิติสังคมและคนรัก กันด้วยนะคะ
ปล. มาแก้คำผิดแล้วนะคะ ผิดตรงไหนท้วงได้นะ อ่านหาเองไม่ค่อยเจอเลย TT
ปล. 2 สุ่มรีทวิตได้มู้ดบอร์ดมา ดีใจมากๆ ชอบมากๆๆ แปะไว้ที่หน้าฟิคแล่ว
ขอบคุณคุณ @13elladonna มากๆนะคะ ><
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไม่ไหวแล้วนะบีบอม...
แฟนนนนนนผี