ตอนที่ 17 : บรรพ : ๑๖ มนุษย์นิติสังคมและคนรัก (END)
บรรพ 16
ว่าด้วย...มนุษย์นิติสังคมและคนรัก
(บีบอม Part)
บ่ายสามจวนจะสี่โมงเย็นที่นักศึกษาค่อยๆพากันทยอยออกมาจากห้องสอบ
หลายคนรีบเดินตรงไปที่ประมวล บ้างก็หยิบกระดาษจดสรุปขึ้นมาดู ไม่ก็เปิดหนังสือหาหน้าที่มาร์กจุดสำคัญเอาไว้เพื่อเช็คให้แน่ใจว่าตรงกับที่ตัวเองได้เขียนลงในสมุดคำตอบหรือเปล่า
จากนั้นก็เริ่มมีเสียงพูดคุยผสมปนเปกับเสียงบ่นดังระงมขึ้นเรื่อยๆตามจำนวนคนสอบเสร็จ
ทันทีที่ผมออกมาข้างนอกมันก็อดไม่ได้เหมือนกันที่จะเปิดดูเนื้อหาซึ่งค้างคาใจขณะอยู่ในห้องสอบระหว่างที่กำลังรอพวกเพื่อนๆซึ่งสอบอยู่อีกห้องถัดไปเสร็จ บางอันรู้ว่าตอบผิด ถึงจะเฟลแต่คิดไปคิดมามันก็ส่งไปแล้ว ทางที่ดีไม่น่าเปิดดูตั้งแต่แรกจะดีกว่า เพราะเครียดไปยังไงสุดท้ายก็แก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี
คิดได้ดังนั้นเลยได้แค่หันกลับมาเก็บข้าวของเข้ากระเป๋า เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นว่าเป็นอิมนั่นเองที่เดินทำหน้าหมดอาลัยตายอยากตั้งแต่ก้าวเท้าพ้นขอบประตูตรงมาทางนี้
“บอม ข้อแรกมึงตอบฟังขึ้นหรือไม่ขึ้นวะ” ทันทีที่เจอหน้าก็เล่นเอาสตันท์ไปเหมือนกัน
ไม่ใช่อะไร ออกจากห้องสอบปุ๊บผมก็ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ในนั้นเลย นอนก็ไม่พอ เวลาจะนึกจะคิดอะไรแต่ละทีก็ยากพอดู ทำข้อสอบได้ทันเวลานี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว ป่านนี้ไอ้จินเองก็ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้จับมือถือเลยตั้งแต่มาถึงคณะ มัวแต่ไปนั่งติวกับพวกเพื่อนๆจนกระทั่งเข้าห้องสอบนั่นแหละ
“ไม่ขึ้นทั้งสองนะ”
“เชี่ย ประเด็นที่สองกูตอบฟังขึ้น”
“ไม่รู้ดิ กูอาจจะผิดก็ได้”
“แม่ง อ่านมาแทบตาย” อีกฝ่ายทำหน้ามุ่ยบ่นอุบพลางก้มลงไปเก็บกล่องดินสอกับชีทเรียนมากมายใส่กระเป๋าก่อนจะหันมาหาผมอีกครั้งพร้อมทั้งเอ่ยปากว่า
“เย็นนี้หมูทะปะมึง สอบเสร็จทั้งที”
ผมทำเพียงพยักหน้ารับกับกิจกรรมที่ต้องทำทุกครั้งหลังจากสอบเสร็จภายในกลุ่มของเรานั่นก็คือการกินเลี้ยง
นี่ก็นานแล้วเหมือนกันที่ผมกับอิมไม่ได้ออกไปไหนมาไหนด้วยกัน อาจด้วยเพราะอีกฝ่ายก็มีแฟนแล้วเหมือนกันและด้วยความที่อิมก็เป็นผู้หญิงอีก สิ่งที่ทำเลยไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกันทุกอย่าง แต่จะว่าแค่อิมคนเดียวก็คงไม่ได้ เพราะแม้แต่เพื่อนผู้ชายในกลุ่มของผมก็ยังมีสิ่งที่ทำไม่เหมือนกัน
อย่างไอ้เจก็เล่นบาสครับ ไอ้อุนกับไอ้ยูก็เตะแต่ฟุตบอล ส่วนไอ้ซองเป็นเด็กดนตรี มีไอ้เจพ่วงมาด้วยบางทีเพราะชอบไปเล่นหาเงินที่ร้านเหล้าด้วยกันกับไอ้คีม จะไปกันเป็นกลุ่ม 5 คนก็มีแค่ช่วงอยู่คณะ ไม่ก็ดูหนัง หรือกินเหล้าอะไรทำนองนี้
“หิวว่ะ ไปหาไรแดกก่อน” ผมหันไปตามเสียงพูดที่ดังมาให้ได้ยินซึ่งก็คือพวกเพื่อนๆนั่นเองที่ทยอยพากันสะพายกระเป๋าเดินตรงมารวมกลุ่มอยู่ที่หน้าห้องผม
ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องที่อิมชวนไปฉลองสอบเสร็จกันที่ร้านหมูกระทะ ซ้ำยังถือโอกาสชวนแจมไปด้วย ไอ้ซองกระดี๊กระด๊าใหญ่เพราะมันเคยบอกว่าปลื้มอีกฝ่าย แม้จะไม่ใช่แบบจริงๆจังๆอะไร แต่ขึ้นชื่อว่าเพื่อนผม เห็นคนสวยๆเข้าหน่อยก็ไม่วายชอบไปหมด
“เดี๋ยวตามไป เอารถไปคืนจินก่อน” ผมบอกอย่างนั้น
“เออ จินมันเป็นอะไรวะ” จังหวะที่พากันเดินไปที่ลานจอดรถ ไอ้ซองก็ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงติดไปทางจะสงสัย
“ทำไมถามงั้น?”
ถ้าจะหมายถึงเรื่องเมื่อคืน ผมก็ว่ายังไม่ได้เล่าให้เพื่อนคนไหนมันฟังนะ ถึงพวกมันจะคอยกำชับนักกำชับหนาว่าถ้าได้ไอ้จินเป็นเมียเมื่อไหร่แล้วอย่าลืมมาเล่าให้ฟังด้วยก็เถอะ แต่ถ้าพวกมันหมายถึงเรื่องนี้จริงๆแล้วทำไมข่าวมันไวจัง หรือว่าพวกมันจะได้รับมาจากไอ้แจ็คอีกที?
“มึงยังไม่ได้โทรกลับหาเค้าหรอ”
“เค้าไหน ยังไม่ได้แตะมือถือเลย เพิ่งออกมาจากห้องสอบเหมือนกัน”
“เอ้า กูนึกว่ามึงรู้แล้วนะเนี่ย”
“ถ้ารู้นะกูว่ามันไม่เหลือเงาอยู่ที่นี่ให้มึงถามหรอก ป่านนี้คงไปโผล่อยู่ที่หอเมียมันละ” ยิ่งไอ้อุนตบประโยคมาอย่างงี้ ยิ่งทำให้ต่อมความอยากรู้ของผมกระตุกเข้าไปใหญ่
“ทำไม”
“ไม่รู้ไงถึงได้มาถามมึง ไอ้ซ๊าด กูก็นึกว่าจะรู้แล้ว” ไอ้ซองทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ผมแต่ก็ยอมล้วงมือเข้าไปควานหาไอโฟนหกของมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงมากด ก่อนจะพูด “แจ็คมันทักกูมาว่ามึงไม่รับโทรศัพท์ ถ้าสอบเสร็จแล้วให้บอกมึงรีบกลับไปดูจินด้วย”
“จินเป็นไร”
“ตกลงมันแฟนมึงหรือแฟนกูวะ ถามกูจะละรู้ไรไหม?”
ทันทีที่คิดได้ผมก็ค้นมือถือในกระเป๋าออกมาเพื่อต่อสายไปยังคนที่กำลังเป็นที่พูดถึงเมื่อครู่
ก่อนหน้านั้นหน้าจอแรกที่เห็นปรากฏเป็นสายไม่ได้รับจากไอ้จินสองสายและแชทจากเฟซไอ้แจ็คที่ส่งมาถามว่าผมอยู่ไหนพร้อมกับแนบรูปไอ้จินที่เหมือนจะนอนหมดสภาพอยู่บนเตียงในห้องของใครสักคน บนหน้าผากมีผ้าชุบน้ำวางอยู่
ผมไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น จริงที่วันทั้งวันแทบไม่ได้แตะต้องโทรศัพท์อย่างที่บอก นับประสาอะไรกับข่าวสารในโซเชียล ไหนจะยังใช้เวลาทั้งหมดในห้องสอบตลอดสามชั่วโมงในช่วงบ่ายจนลืมที่จะโทรไปถามไถ่อาการของไอ้จินเลย
เมื่อไม่มีใครรับสาย ผมจึงลองเปลี่ยนไปโทรหาไอ้แจ็คที่เห็นว่าแชทมันกำลังออนอยู่ ซึ่งมันก็กดรับสายอย่างว่องไวพร้อมกับบอกว่าไอ้จินไข้ขึ้นสูง ดีที่พาไปหาหมอตรงหน่วยปฐมภูมิของมหาลัยแล้ว อาการไม่ได้เป็นอะไรมาก ตอนนี้ก็นอนพักอยู่ที่หอมันกับไอ้คีม
“ทำไมเป็นได้ เมื่อตอนกลางวันนั่งรถมาอาการก็ยังดีๆอยู่”
( ใช่ไง ก่อนหน้านั้นมันก็ปกติ แต่ใครจะไปรู้วะ สอบเสร็จยังมานั่งคุยเล่นๆกับพวกกูพี่โด้พี่ตองเรื่องจะเลือกใครเป็นเฮดกีฬาปีหน้าอยู่เลย พอเสร็จแม่งบ่นง่วงนอนเลยชวนกันไปนอนเล่นตากแอร์เย็นๆที่ห้องสมุด )
“กูบอกมันแล้วว่าถ้าสอบเสร็จให้กลับไปนอนพักที่หอ ทำไมแม่งไม่ฟัง”
( เอาน่า มันก็คงไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นแบบนี้หรอก พวกกูไม่รู้ด้วยว่าแม่งมีไข้มาก่อน กะจะนอนเล่นๆรอให้ถึงเย็นแล้วไปเดินตลาดมอ เห็นมันหลับไปก็นึกว่าง่วงจริง ดูเพลียๆ เหี้ยตรงที่แม่งเสือกไปนอนที่ที่มีอุณหภูมิแอร์ตกใส่อีก มาถึงตลาดมอเดินข้างกันไปได้ไม่ทันไรอยู่ดีๆได้ยินเสียงเรียก ‘แจ็คๆ กูไม่ไหวแล้ว’ แล้วก็วาร์ปเฉยเลยไอ้เหี้ย กูหันไปอีกทีเจอแม่งนอนกองอยู่ที่พื้น โคตรฮา )
“..........”
( โทษๆ คือกูอดไม่ได้จริงๆ ) ไอ้แจ็คว่าไปหัวเราะไป ผมไม่ได้โกรธมันหรอกที่จะตลกกับเรื่องแบบนี้ แต่พูดจริงๆว่าแค่ไม่มีอารมณ์มาขำด้วย
“ขอบใจมากที่บอก เดี๋ยวกูไปรับมัน งั้นแค่นี้นะ”
( เคๆ ตู๊ดดด )
“พวกมึงไปกันก่อนเลยนะ กูตามไปทีหลัง” ผมหันกลับไปบอกกับไอ้ซองที่ยืนรอฟังอยู่
พวกมันยอมพยักหน้าเออออให้ ถึงจะดูอยากรู้มากเท่าไหร่ก็ตามที ส่วนอิมกับแจมก็เข้าใจเลยขอตัวกลับไปก่อน สักทุ่มสองทุ่มค่อยนัดออกไปพร้อมกันอีกที ต่างคนจึงได้พยักหน้าเห็นด้วยแล้วแยกย้ายกันขับรถออกไป
ถึงไอ้แจ็คจะบอกว่าไอ้จินไม่เป็นอะไรแต่ก็ไม่อาจลดความร้อนในใจจนลามไปที่ฝ่าเท้าของผมในตอนนี้ได้เลย
เข็มไมล์ที่เหยียบแทบจะติด 120 ทั้งที่เป็นพื้นที่ในมอ และแน่นอนจากคณะนิติศาสตร์ถึงหลังมอที่รถยนต์ปกติใช้เวลาสัญจรเกือบ 10 - 15 นาที แต่ตอนนี้ยังไม่ 10 นาทีผมก็มาถึงหน้าหอพวกมันแล้ว
เคาะประตูอยู่สองสามทีคีมก็มาเปิดพร้อมพยุงเอาร่างไอ้หมาที่ตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าหมดฤทธิ์ออกมาคืนให้
“เป็นไร” ผมถามพลางเอาฝ่ามือขึ้นไปแนบที่หน้าผากกับจับเนื้อจับตัวที่ขาวจนเกือบจะซีดเพื่อดูอาการก็พอจะรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิร้อนๆที่แผ่ออกมาตามผิวหนังของมัน
“ตัวร้อนมากเลยเนี่ย กินข้าวสักครั้งยัง” ไอ้จินไม่ตอบเพียงแต่ส่ายหัวไปมา ดูท่าว่าจะไม่ไหวจริงๆ
“งั้นไปกินข้าวก่อน หรือว่าจะให้กูแวะซื้อเอาไปกินที่หอ เอาโจ๊กไหม” ผมถามอีกหลังจากรับเอาถุงยาพร้อมทั้งกระเป๋าเป้และโทรศัพท์ของมันมาจากไอ้คีม
เมื่อกี้เหมือนไอ้คีมก็บอกว่ายาที่มีต้องกินหลังอาหารด้วย ส่วนอันที่กินก่อนอาหารมันกินไปแล้ว แต่ที่แย่กว่าการไม่ตอบอะไรเลยคือจินมันเอาแต่ส่ายหน้าให้อย่างเดียว ผมเลยจำต้องดุไปสักหน่อย
“ไม่กินข้าวไม่ได้ มึงต้องกินยา”
“มึง กูไหว้ล่ะ คือกูจะอ้วก กูแดกเหี้ยไรไม่ได้เลย ขอนอนก่อน” ไม่ว่าเปล่าจินมันก็ยกมือขึ้นมาไหว้ผมอย่างที่ปากบอก คงจะถึงจุดที่ไหวแล้วจริงๆ ดีที่มันเป็นคนที่ถ้าอะไรถึงขีดจำกัดแล้วมันจะบอกผมตรงๆ ไม่ฝืนตัวเองหากว่าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องจำเป็นเหมือนการที่ต้องขุดตัวเองออกไปสอบอย่างเมื่อเช้านี้
“กลับกันดีๆ กูไปละ” ไอ้คีมหันมาบอกก่อนจะเดินกลับเข้าห้อง ดูการแต่งตัวก็เหมือนกำลังจะเตรียมออกไปเตะบอลกับพวกไอ้แจ็ค ซึ่งไม่ผิดคาดเพราะไม่กี่วินาทีมันก็ออกมาพร้อมกับมือที่หิ้วสตั๊ดไนกี้สีดำคู่ใจแล้วก็วิ่งลงบันได้ไปก่อนพวกผม
“เดินเองไหวไหม” ผมหันกลับมาถามคนที่อยู่ข้างๆ
“หึ...พยุงหน่อย” มันส่ายหน้า ตอบแค่นั้นก็แทบจะทิ้งนำหนักตัวทั้งหมดลงที่วงแขนของผมเลย
แย่อีกก็ตรงที่ห้องไอ้คีมอยู่ชั้น 4 แล้วหอดันไม่มีลิฟต์นี่แหละ
**********
หลังจากที่ขับรถมาถึงหอและพากันขึ้นมาได้แบบไม่ทุลักทุเลเหมือนตอนลงจากหอไอ้คีมแล้วเพราะหอไอ้จินมีลิฟต์ อีกอย่างเพราะตอนนี้มันดูเหนื่อยมากจนแทบไม่ปริปากบ่นอะไรเลยนอกจากเร่งให้ผมเปิดประตูห้องเร็วๆ ซึ่งก็ถือว่าดีครับ
จะไม่ดีก็ตรงที่ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องแล้วก้มลงเห็นผ่านกระดาษเอสี่ที่จินมันเหยียบอยู่นั่นแหละ ตอนแรกคิดว่าเป็นใบค่าน้ำค่าไฟที่เจ้าของหอเอามาสอดไว้ใต้ประตูเหมือนที่ชอบทำ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่แต่เมื่อเช้าก่อนออกไปก็ไม่ยักเห็นนี่นา
ไอ้จินบอกให้ผมก้มลงไปหยิบขึ้นมา ผมเองก็ทำหน้าที่แฟนที่ดีด้วยการทั้งหยิบทั้งอ่านออกเสียงดังฟังชัดให้อีกฝ่ายได้ยิน ในขณะเดียวกันแขนอีกข้างก็พยุงตัวมันไปด้วย
‘รบกวนช่วยเบาเสียง ‘ขณะทำกิจกรรม’ ลงหน่อยนะคะ พอดีวันนี้มีสอบแล้วเมื่อคืนเราอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเลย เมทเราก็สะดุ้งตื่นหลายรอบ เราอ่านตอนตีสองครึ่งจนถึงตีสี่ก็ยังได้ยินเสียงอยู่ นานมาก เข้าใจว่ามันเป็นฟีลลิ่งอ่ะเนอะ แต่เบาๆลงหน่อยก็ดี ขอบคุณค่ะ -///-
ปล. พรุ่งนี้เราก็มีสอบอีก ถ้าไม่ใช่ห้องของคุณยังไงก็ขอโทษด้วยค่ะ’
“หมาโง่”
“.......” เงียบใส่แบบนี้ ผมเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีละ
“คือ...”
“เพราะมึงเลยไอ้เหี้ย!” พูดไม่ทันจบประโยคมันก็เอากระดาษแผ่นนั้นในมือผมไปขย้ำๆแล้วปาอัดหน้าผมซะแรงเลย แถมยังพยายามสะบัดตัวให้หลุดออกจากการเกาะกุมของผมด้วยแรงอันน้อยนิดนี้อีก ทั้งๆที่จริงจะยืนเองยังแทบทำไม่ได้
“อย่าดิ้น เดี๋ยวล้ม” ล่ำบากผมต้องมาจับมือล็อคแขนไว้ไม่ให้ขัดขืนอีก อารมณ์ขึ้นๆลงๆสุด นี่มึงป่วยจริงๆใช่ไหมเนี่ย
“ปล่อยกู”
“ไหนมึงบอกว่าห้องเก็บเสียง”
“เก็บ แต่มันไม่สนิท!”
“ซะงั้น”
“มองหน้ากูทำไม”
“เปล่า” ขู่ฟ่อๆเลยให้ตาย หน้าที่จากแดงเพราะพิษไข้อยู่แล้ว ตอนนี้ยังมาแดงเพราะเขินอีก
“ไอ้สัด เมื่อคืนมึงทำแรงขนาดนั้นอ่ะ กูเจ็บเหี้ยๆใครมันจะไปอดทนไม่ให้ร้องได้ตลอดเวลาวะ”
“ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”
“เออ วันหลังไม่ต้องทำแล้วถ้าแม่งจะลำบากขนาดนี้”
“มันเป็นครั้งแรก มึงเจ็บ กูก็เจ็บ”
“แต่มันไม่เท่ากัน!”
“ไม่เคยอ่านในพันทิปหรอว่าถ้าอยากให้หายเจ็บมันต้องซ้ำบ่อยๆ เหมือนเวลามึงเตะบอลอ่ะ”
“ไปฝันเอาเถอะ ปล่อ...เชี่ย!!”
“เฮ้ย!”
ตุ๊บ!!!!
“โอ๊ยยยยยยยยยยยย”
แปดหลอดเลยคราวนี้ น่าจะร้องดังยิ่งกว่าตอนทำเมื่อคืนอีกมั้งเนี่ย เห็นแล้วก็ต้องรีบก้มลงไปพยุงมันลุกขึ้น
หลังจากที่มันพยายามขยับตัวออกจากวงแขนของผมเพื่อเดินไปยังเตียงคนเดียวอยู่นาน ที่ไปนอนกองกับพื้นแบบนี้ก็ไม่ใช่เพราะเดินเองไม่ได้ แต่ดันเผลอเดินไปสะดุดเข้ากับกางเกงบอลผ้าลื่นๆของตัวเองที่ถอดทิ้งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน สภาพถึงได้ล้มตึงลงไปจนรู้สึกได้ถึงพื้นห้องสะเทือน
“บอกให้ค่อยๆเดิน จะรีบไปไหน เดี๋ยวกูก็จับทำซ้ำอีกรอบให้แม่งนั่งรถเข็ญไปร้านเหล้าเลยเอาไหม” ตั้งแต่สอบเสร็จแล้ว บอกให้กลับมานอนที่หอก็ไม่ยอมกลับ นึกแล้วก็พลันให้โมโหขึ้นมา เจ็บขนาดนี้แล้วยังไม่ระวังตัวเอง ทั้งดื้อ ทั้งเอาแต่ใจ ยิ่งช่วงป่วยๆแบบนี้ยิ่งโคตรงี่เง่าเอาใจยากกูพูดเลย
เมื่อคืนผมกับมันก็เหนื่อยกันทั้งคู่เลยไม่ทันได้ทำอะไร แถมตอนตื่นยังต้องกุลีกุจอพากันออกไปสอบ ไม่มีแม้แต่เวลาจะจัดเก็บข้าวของให้เข้าที่ จนต้องมาทำเอาตอนที่เห็นว่ามันเผลอไปสะดุดเข้าให้นี่แหละ ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าที่มันเงียบไปเพราะโดนผมขึ้นเสียงใส่หรือเพราะยังเจ็บแผลอยู่
เพราะนอกจากจะไม่เถียงกลับมาตามนิสัยไม่ยอมคนของมันแล้ว มันยังเอาแต่นิ่งแล้วก็ร้องครางฮือๆในลำคอ น้ำตาร่วงเผาะ ขณะที่พยายามโอบไหล่ผมยืนขึ้นเพื่อไปนอนลงที่เตียง
“นอนลงก่อน เดี๋ยวทายาให้” เห็นสภาพกัดริมฝีปากเหมือนอดกลั้นความเจ็บปวดของมันเอาไว้แล้ว พอจะดุอีกแม่งก็ดุไม่ลงจริงๆ
“มึง”
“หืม”
“กูเจ็บ”
“รู้แล้ว เดี๋ยวก็หาย”
“ไม่เอาแล้วนะ กูไม่ทำอีกแล้ว” จนปัญญาจะปลอบแล้วครับ ทำได้แค่นั่งสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตัวให้มันระบายความอัดอั้นตันใจจากเหตุการณ์เมื่อคืนเป็นชุดใหญ่
นอกจากนั้นยังโดนมันโกรธด้วยเหตุผลโง่ๆที่ว่าไปเจอหมอมาแล้วหมอเห็นรอยดูดที่คอเลยถามหาสาเหตุ พอมันตอบไม่ได้ ทำให้เขามองปาดเดียวก็รู้ว่าเป็นแบบนี้เพราะอะไร จังหวะนั้นมันเลยได้ทั้งยาสอด ยาทาแผล ยาแก้อักเสบกับถุงยางอนามัยที่เขาแจกฟรีในศูนย์กลับมา
ได้แต่คิดว่าไว้ให้มันหายป่วยแล้วเลิกงี่เง่าแบบนี้ก่อนค่อยกลับไปง้อทีหลัง เพราะเวลานี้มันดื้อมากจนผมต้องเป็นฝ่ายโอนอ่อน อาจจะด้วยเพราะสาเหตุหลักที่ทำให้มันเป็นแบบนี้ก็คือผม ไม่มีอำนาจใดมาต่อรองได้นอกจากรับเอาความรู้สึกผิดมาไว้กับตัว นั่งฟังมันบ่นไปด่าไปจนสุดท้ายก็ผล็อยหลับไปเอง
ผมหันมาจัดการยัดหมอนใส่หัวอีกฝ่าย ม้วนผ้าห่มไปดันไว้ที่หลังของมันเพราะเหมือนมันจะนอนหงายไม่ได้ ต้องตะแคงข้างเกือบไปทางคว่ำหน้าท่าเดียว ก่อนหน้านั้นก็บอกให้กินข้าวกินยาก่อนแล้วมันก็ไม่เอาสักอย่าง มีแต่บอกจะอ้วกแล้วก็จะนอนอย่างเดียว
เมื่อผมเช็ดตัวอะไรให้มันเรียบร้อยก็แอบอาศัยจังหวะตอนที่มันหลับสนิทสอดยาที่หมอเอาให้พร้อมทั้งทาตามรอยแผลที่ฉีก ปิดแอร์ ห่มผ้าอีกผืน เปิดพัดลมอ่อนๆไล่ยุงไว้ จากนั้นถึงได้เดินลงมาข้างล่าง หวังจะออกไปซื้ออะไรมาแช่ไว้ให้มันทานหลังตื่นขึ้นมา
จนลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านั้นผมก็มีนัดสำคัญอยู่เหมือนกัน เพราะทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกได้ไม่ทันไรสายตาของผมก็ไปปะทะเข้าให้กับร่างของสหายทั้งสี่ซึ่งมายืนออกันพลางยิ้มแฉ่งมาให้อยู่ข้างล่างหอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“พวกมึงมาทำอะไร”
“ไอ้จินเป็นยังไงบ้าง” เป็นไอ้เจที่ถามขึ้น
“ดีขึ้นแล้ว” ผมได้แต่มองหน้าของพวกมันก็รู้เลยว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของแม่งคืออะไร
“ขอขึ้นไปเยี่ยมหน่อยได้ปะ”
“มันหลับอยู่”
“งั้นดีเลย มึงไปแดกหมูทะกับพวกกู”
“โทษที กูไม่ค่อยหิวแล้ว”
“อย่าเนียนไอ้สัด เชี่ยแจ็คบอกพวกกูหมดแล้ว”
ว่าแล้วไง นี่ขนาดไม่ได้บอกอะไรมันแบบจริงๆจังๆ แค่ผมขอให้ดูแลไอ้จินช่วยหน่อยแม่งยังรู้ลึกรู้จริงประหนึ่งเป็นผ้าปูเตียงในห้องขนาดนี้ นับประสาอะไรกับไอ้จินที่ก่อนหน้านี้คงโดนพวกมันซักไซ้จนพรุนไปหมดแล้วแน่ๆ
ผมไม่น่าประมาทนิยาม ‘แจ็ครู้ โลกรู้’ เลย
บีบอม Part
(END)
4 วัน...
4 วันเต็มๆครับที่ผมนิติกรเจ้าเก่าเจ้าเดิมเพิ่มเติมก็เกือบจะเป็นอัมพาตอยู่กลายๆ
เวลาจะเดินไปไหนมาไหนก็ต้องร้องโอดโอยลำบากให้ไอ้บอมมันมาช่วยเหมือนเป็นขาที่สาม ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนจะอาบน้ำ ซึ่งแน่นอนว่าเห็นแม่งหน้าซื่อๆอย่างนั้นจริงๆมันไม่ใช่คนดีอะไรเลย
ขนาดผมเจ็บอยู่แท้ๆมันยังไม่ปล่อยให้การอาบน้ำเป็นแค่การเอาน้ำราดตัวถูสบู่ให้ธรรมดา แต่ยังเสือกหาเศษหาเลยหาจังหวะฉวยโอกาสเอาผลประโยชน์เข้าตัวเองได้อยู่ตลอด ทั้งๆที่ผมเดินเหินลำบากก็ขนาดนี้ บนอ่างล้างหน้ามันยังไม่เว้น เหี้ยก็ตรงที่ว่าผมดันขัดขืนอะไรมันไม่ได้ สุดท้ายก็จำต้องปล่อยเลยตามเลย
เพราะงั้นผมจะไม่พูดถึงมันอีกครับ ครั้งแรกเวรตะไล เราจะข้ามผ่านคืนวันที่เลวร้ายไปด้วยกันนั่นก็ปล่อยให้มันจบๆไปพร้อมกับไฟนอลเถอะ
กลับมาที่ปัจจุบัน
อันที่จริงผมควรที่จะกลับบ้านแล้วเพราะโดนแม่โทรตามตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วว่าทำอะไรอยู่ ปิดเทอมแล้วทำไมไม่กลับบ้านกลับช่อง จะอยู่ผลาญเงินพ่อกับแม่เล่นไปถึงไหน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าดุจปีศาจมันขอเอาไว้เพื่อจะนัดเลี้ยงฉลองกันก่อนแยกย้ายกลับที่ร้านเหล้าคืนนี้ล่ะก็นะ
ไม่ว่าจะอกหัก เศร้า เหงา ดีใจ วันเกิดหรืออะไรก็แล้วแต่ ก็ยังหนีไม่พ้นแดกเหล้าทุกที คราวนี้ยิ่งกว่าครบเซตเลยคือมีตั้งแต่พี่ตองปู่รหัสที่ไม่เคยหนีจากมอไปไหน พี่โด้พี่กีฬา พี่เทค ยันพี่โรงเรียน ส่วนแก๊งนิติก็ไม่น้อยหน้า ไปเหมือนกันแค่อยู่คนละโต๊ะ
ตื๊ดๆ
ขณะที่กำลังนอนกลิ้งไปมาพร้อมกับเปิดเพลงฟังโง่ๆอยู่บนเตียง เสียงแจ้งเตือนในมือถือก็ดังขึ้นทำให้ผมต้องเลื่อนมือกดเข้าไปเช็คข่าวคราวโซเซียลในแอ๊พสีน้ำเงินสักหน่อย ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะเป็นภาพที่ผมเพิ่งจะโพสต์ไปได้ประมาณสองชั่วโมงที่แล้วนี่เอง
จิน แมนแมนคุยกัน ได้เพิ่มรูปภาพใหม่
2 ชม.
คืนนี้อย่าลืมมาดูชัยชนะของแมนยูที่หลังมอด้วยกันนะครับ
แจ็คแจ็ค ดุจปีศาจ, Wisavakorn Bumrungkiat และคนอื่นๆ อีก 753 คนถูกใจสิ่งนี้
ดูความคิดเห็นอีก 14 รายการ
Cute & Cool Boys ผอมมมมมม
แจ็คแจ็ค ดุจปีศาจ แมนยูตลอดกาลครับ
Tong Teerapat ไอ้สิงห์บอกถ้าแมนยูแพ้จะกระโดดลงบึงมหาลัย
แจ็คแจ็ค ดุจปีศาจ แมนยูพารวย แล้วหงส์ล่ะ...บายครับ
อินๆ ไปส่งกูที่บขส.หน่อย ขี้โม้จัง มึงว่าปะ Do Doogding
Wisavakorn Bumrungkiat ลงมา
ก็นั่นแหละ อย่าถามเลยว่าทำไมอีกฝ่ายไม่โทรมา เพราะผมเองก็ขี้เกียจถามมันเหมือนกัน เอาเป็นว่าตอนนี้ผมลงมาใต้หอแล้วเรียบร้อยตามคำเรียกร้องที่คุณหลวงอุตส่าห์มาคอมเมนต์บอกในใต้รูป
จะไปไหนกันนี่เพิ่งจะบ่ายสองกว่าๆเอง คำตอบคือไปดูหนังครับ Avengers: Infinity war ที่บอมมันลงทุนจองตั๋วให้ตั้งแต่เมื่อวันก่อน โชคดีที่จองไว้แล้วเพราะวันนี้ดันระบบล่มพอดี นับว่าเป็นศึกนองเลือดพอๆกันกับตอนที่ช่วยพี่จีนกดบัตรคอน GOT7 เมื่อปีที่แล้วก็ไม่ปาน
ตั้งแต่สอบเสร็จคุณหลวงท่านก็ขนย้ายข้าวของทั้งหมดออกจากหอแล้วเอามาไว้ในห้องของผม ดีที่ไม่เยอะเท่าไหร่ เพราะไม่มีอะไรเลยนอกจากเสื้อผ้ากับหนังสือ เห็นว่าปีหน้าจะมีเด็กปีหนึ่งย้ายเข้ามา มันโชคดีที่ทำกิจกรรมบ่อย คะแนนหอถึง เลยได้อยู่ต่อแค่ต้องเปลี่ยนห้องใหม่
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะไปกันที่น้องๆเขาไว้ทำไมทั้งที่ตกลงกันไว้แล้วว่าจะย้ายออกมาอยู่ด้วยกัน ซึ่งก็ตามคนเข้าใจยากอย่างมันนั่นแหละ ให้เหตุผลแค่ว่าจะเอาไว้อ่านหนังสือช่วงสอบจะได้ไม่รบกวนผม
จังหวะที่ก้าวขึ้นมานั่งบนรถแล้ว เมื่อไม่มีสนทนาใดเกิดขึ้นระหว่างเรา ผมจึงหันไปคว้าเอามือถือขึ้นมาเปิดเพลงเชื่อมต่อบูลทูธเข้ากับรถของตัวเองฟังแทนความเงียบ เปิดดังไปหน่อยก็โดนมันเอื้อมมือมาลดเสียงลงละ นิสัยเหมือนพ่อผมเลย
จะบอกให้รู้ว่าฉันเคยรักใครมาก่อน
จะบอกให้รู้ว่าฉันเคยนอนกอดกับใคร
จะบอกให้รู้ว่าฉันเคย...คิดถึงใคร โว้ว โว~
จะบอกให้รู้ว่าฉันเคยกอดใครมาแล้ว
จะบอกให้รู้ว่าฉันเคยจูบใครมาก่อน
จะบอกให้รู้ว่าฉันเคย...โอ๊ๆๆ โวะโอ~
อยู่ดีๆมันก็วนมาที่เพลงกอดจูบลูบคลำ ของวง L.กฮ. เฉยเลย จำได้ว่าเพลงนี้นักดนตรีในร้านเหล้าชอบเอาไปเล่นมากครับ ไอ้แจ็คกับพี่สิงห์นี่ชอบมาก ได้ยินจังหวะมันส์ๆแบบนี้แล้วมันก็อดโยกหัวขยับปากร้องตามไปไม่ได้จริงๆ
วันนี้ไอ้บอมมันออกไปทำงานกลุ่มวิชาเลือกส่งตั้งแต่เช้าเลย น่าจะเพิ่งเสร็จกันถึงได้กลับมาเอาป่านนี้ พออยู่ด้วยกันบ่อยๆแล้วมันก็เกิดอาการที่เรียกว่าชิน แต่ถ้าถามว่าเบื่อไหม คงตอบได้เลยว่าไม่ครับ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ก็อย่างที่บอก ยังมีอะไรจากมันที่ทำให้ผมประหลาดใจได้เยอะเลย อย่างเช่น
“จริงปะที่บอกว่าครั้งนั้นคือครั้งแรกของมึงอ่ะ”
“จะโกหกทำไม”
“กับผู้หญิงล่ะ”
“ไม่เคย”
“กูไม่เชื่ออ่ะ”
“ก็แล้วแต่” ก่อนเหตุการณ์วันนั้นมันเคยบอกกับผมว่ามันซิงครับ มีจริงๆเว้ยคนที่โสดแถมยังซิงแล้วยิ่งเป็นผู้ชายหน้าตาดีแบบมันด้วย ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่เชื่อ เคยบอกแล้วว่าเห็นหน้าซื่อๆอย่างนี้ จริงๆมันร้ายนะครับ
“แล้วมีนาอ่ะ มึงยังไม่เคยมีอะไรกับเค้าจริงๆหรอ”
“ถ้ากอดจูบอย่างนั้นมันก็มีบ้างตามประสาคนเป็นแฟนกัน แต่ถ้าให้สอดใส่ยังไม่เคยทำ ไม่คิดจะทำด้วย”
“เฮ้ย ทำไมวะ มึงรออะไร สมัยนี้หลายคู่เค้าได้กันก่อนเป็นแฟนด้วยซ้ำนะ”
“อย่าเอาตัวมึงมาเป็นบรรทัดฐานของคนอื่นสิ”
“อ้าว ไอ้เหี้ย”
“ไม่ใช่ว่าไม่อยากหรอก แต่มันมีข้อจำกัดหลายอย่าง อาจด้วยเพราะว่ายังเด็ก กูไม่พร้อมเขาก็ไม่พร้อม มันไม่เหมือนชีวิตมหาลัยหรือวัยทำงานนะที่มีทั้งอิสระ มีทั้งหอพักส่วนตัวเป็นของตัวเองที่จะพาใครมาก็ได้โดยที่พ่อกับแม่ไม่รู้”
“.......”
“จะไปจริงจังอะไรกับมันมากหมาโง่ ก็แค่ความรักของเด็กๆ เวลาที่อยู่ด้วยกันอย่างมากสุดก็ตอนพักเที่ยงมั้ง โชคดีหน่อยก็อาจจะได้อยู่ห้องเดียวกัน พอเลิกเรียนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน มีไปเที่ยวด้วยกันบ้างตามงานเทศกาล ไม่ก็ดูหนัง พอตกเย็นหน่อยแม่ก็โทรตามให้กลับแล้ว”
“.......”
“ไม่รู้นะกูอาจจะเป็นคนนึงที่คิดว่าเซ็กส์มันไม่ได้แลกความรัก แต่มันเป็นแค่สิ่งหนึ่งที่คอยสร้างความสัมพันธ์กับความผูกพันของคนสองคนขึ้นมา หลายคนอาจคิดว่ามันเป็นของคู่กันเหมือนกับที่มึงคิด ซึ่งอาจจะใช่ก็ได้ แต่ถ้าให้เลือกสำหรับกู ยังไงความรักก็สำคัญกว่าอยู่ดี กูขอแค่ได้ใช้เวลาทำเรื่องราวดีๆด้วยกัน มีความทรงจำที่พอหวนนึกถึงแล้วก็ยิ้มได้ มีความสุข ไม่เป็นภาระ ไม่รู้สึกว่าคบกันแล้วเป็นทุกข์ แค่นี้ก็พอแล้ว อย่าลืมดิว่ามันเป็นแค่ความรักในวัยเรียน มันไม่ใช่ชีวิตคู่”
“อ๋อ” แม่ง...จริงจังในแบบที่ผมฟังแล้วยังรู้สึกผิดเลยที่ถามออกไป คนเรามันก็ต้องมีรูปแบบของความรักที่ต่างกันแหละ ไม่เถียงก็ได้ที่มันบอกว่าผมให้ความรักกับเซ็กส์เป็นของคู่กัน แต่อย่างน้อยผมก็รู้จักป้องกัน ระมัดระวังตัวเองอยู่นะ
“พูดงี้แล้วคิดว่าตัวเองหล่อมากปะ”
“ก็พอตัว” เนี่ย จริงๆมันเป็นคนแบบนี้แหละ
“ทำเป็นพูดดี แต่ละอย่างที่มึงทำให้กูนี่ดูชำนาญเหมือนไม่ใช่ครั้งแรกเลยนะ”
“มึงคิดว่าคนเราดูหนังโป๊เอาไว้เพื่อความบันเทิงเฉยๆหรอ”
“คร้าบ สุภาพบุรุษตัวจริงกระทิงแดง”
“ทำไม ไม่ดีใจหรอได้เป็นคนแรกของกู”
“ไม่เลยครับ”
“ดีใจก็บอก”
“จอดตรงนี้ๆ” ผมรีบชี้นิ้วไปยังที่ว่างในลาดจอดรถ ประจวบกับที่บอมมันเลี้ยวเข้าไปพอดี ไม่นานเราสองคนก็มาถึงหน้าโรงภาพยนตร์ที่คนเยอะมากจนไม่มีที่นั่งทั้งๆที่หนังก็เข้าโรงมาสามวันแล้ว เวลาผ่านไปราวๆห้านาทีได้ ไอ้บอมผู้เสียสละไปยืนต่อคิวซื้อของกินก็หอบถังน้ำกับป๊อบคอร์นขนาดบิ๊กไซส์มา
“ไม่น่ารีบเลยว่ะ อีกตั้ง 20 นาที กูว่ากูแดกป๊อบคอร์นหมดก่อนเข้าโรงแน่ๆ ยืนจนปวดขา เอาหลังมาให้ขี่ดิ๊”
“ไว้ไปขี่ที่ห้อง เดี๋ยวอุ้มเลย”
“สัด” ไม่เคยรับมุกเหี้ยอะไรผมให้ดีๆสักอย่างหรอก
“จะดูอยู่หรอ กัปตันตายตั้งแต่ครึ่งแรกเลยนะ”
“สัดบอม หุบปาก”
“ไอรอนแมน...”
“ถ้าพูดอีกคืนนี้กูจะล็อคห้องไม่ให้มึงเข้า จริงจัง”
“กลัวแล้ว พาไปเข้าห้องน้ำหน่อย”
“มีขาก็ไปเองดิครับ” ผมรีบปฏิเสธ รู้ว่ามันไม่ได้จะให้แค่พาไปเข้าอย่างเดียวหรอก ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรนอกจากหัวเราะอารมณ์ดีใส่ก่อนจะเดินหลบไปเข้าคนเดียวอย่างว่า ลืมบอกไป มันมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งนะแถมเก่งมากด้วยคือชอบแกล้งจนทำให้ผมรำคาญได้เนี่ย
อันที่จริงบอมมันมาดูกับพวกเพื่อนๆมันตั้งแต่วันแรกที่หนังเข้าโรงแล้วครับ ตอนแรกผมก็กะจะกลับไปดูแบบ IMAX กับพี่สาวหลังกลับกรุงเทพแหละ แต่ทนความกวนตีนจากมันที่ทำท่าจะสปอยให้ฟังตั้งแต่วันแรกที่ไปดูไม่ได้ก็ไม่รู้หรอกครับว่าที่มันพูดมาอ่ะจริงมากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวเองเลยต้องมาดูให้มันจบๆไป
ต้องดูแบบ 3D อีกเพราะแบบปกติบอมมันบอกว่าดูไปแล้ว
**********
“เฮ้ยๆ”
เสียงโหวกเหวกดังมาให้ได้ยินตั้งแต่ยังเดินเข้าไปไม่ถึงสนาม ผมหอบสตั๊ดลงมาจากรถก่อนเพื่อให้ไอ้บอมเป็นคนเอารถไปจอด
เจ้าแห่งหญ้าเทียมวันนี้ก็ยังคงเป็นพวกเราชาววิดวะที่มาจองกันตั้งแต่ 5 โมงเย็น ในมอเริ่มคึกคักน้อยลงเพราะหลายคนต่างกลับบ้านกันซะส่วนใหญ่แล้ว แต่ถ้าถามว่าส่วนหลังมอเป็นยังไง บอกได้คำเดียวเลยครับว่ายังครึกครื้นเหมือนเดิม
มาถึงผมก็สวมสตั๊ดแล้ววิ่งลงสนามเข้าทีมเดียวกับไอ้แจ็คที่ขาดอยู่หนึ่งคนพอดีเลย มองออกไปข้างนอกเห็นไอ้บอมกำลังแลกเสื้อกั๊กสำหรับซ้อมทีมสีน้ำเงินมาจากไอ้คีมที่มันบอกว่าต้องออกไปซ้อมดนตรีเพื่อขึ้นเล่นหลังมอคืนนี้
สวมถุงเท้ารองเท้าได้อะไรเสร็จสรรพ ไม่นานมันวิ่งเหยาะๆเข้ามาเหมือนจะมาเป็นกองหน้าสู้กับผม แต่สุดท้ายก็ตามสเต็ปเดิมคือวิ่งวกกลับไปขอเปลี่ยนเป็นโกลกับพี่เอฟพี่คณะผมที่อยู่ปีสามแทน
เสียงนกหวีดดังขึ้นจากใครสักคนที่ไม่ได้มีตำแหน่งเป็นกรรมการอย่างจริงจังเพราะเราเล่นเพียงเพื่อความสนุก คงด้วยเพราะสนามตอนนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก ผู้เล่นแต่ละทีมก็มีแค่ 5-6 คน ทำให้การนำพาลูกฟุตบอลไปที่เขตโทษใช้เวลาไม่ถึง 2 นาที
ตอนนี้ผมเป็นคนที่ครองลูกฟุตบอลจนมาถึงเขตหน้าประตูของฝั่งตรงข้ามได้สำเร็จ ไอ้บอมยืนเตรียมรับอยู่ตรงหน้า ไม่มีคำว่าลังเล เท้าซ้ายก็พุ่งแรงใส่ลูกกลมๆนั่นแล้วสาดเข้าที่มุมขวาของโกลอีกฝั่งทำให้ทีมสีแดงของเราทำประตูนำทีมน้ำเงินไป 1-0
เกือบจะสองชั่วโมงเต็มๆที่พวกเราอุทิศเวลานี้ให้กีฬาที่ชื่นชอบ จนสุดท้ายต้องมานั่งเหงื่อไหลไคลย้อยกันอยู่ที่ข้างสนาม
หลายคนแยกย้ายกลับไปอาบน้ำเตรียมตัวสำหรับนัดฉลองปิดเทอมในคืนนี้ ทว่าผมยังนั่งปาดเหงื่ออยู่ที่เก้าอี้ม้าหินอ่อนข้างๆสนาม ส่วนไอ้บอมมันเป็นคนเหงื่อเยอะครับเลยขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อกับกางเกงออกข้างในห้องน้ำก่อน ซึ่งไม่กี่นาทีต่อมามันก็เดินกลับมานั่งยกขวดน้ำกินน้ำอยู่ข้างผม
จู่ๆก็ทำให้นึกถึงบรรยากาศเดิมๆขึ้นมา
หากให้พูดถึง ฟุตบอล ถึงตอนนี้มันก็ยังเป็นกีฬาที่ผมชอบที่สุด ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะตั้งแต่ ป.2 ตอนที่ได้เล่นในวิชาพละศึกษาตามประสาเด็กผู้ชาย ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้เลี้ยงลูกกลมๆลูกนี้ไปตามพื้นหญ้า อย่างที่เคยบอกแม้จะเหนื่อยและเสียเหงื่อแค่ไหน ผมก็ยังมีความสุขทุกครั้งที่ได้เล่น
และตอนนี้คงจะมีความสุขมากขึ้น ถ้าหากว่าในสนามนั้นมีไอ้บอมอยู่ด้วย
“กลับยัง” มันถามขึ้นหลังจากที่เรานั่งเงียบกันอยู่นาน
“อีกแป๊บ กูรู้สึกเจ็บข้อเท้าว่ะ”
“น่าจะเสียหายตั้งแต่วันที่มึงกระโดดเข้ามาขัดขากูแล้วมั้ง”
“สัด ข้อเท้าคนนะไม่ใช่เครื่องจักร” มันไม่สนใจผมนอกจากก้มลงไปคุกเข่าอยู่ที่พื้นตรงหน้าแล้วพยายามดึงสตั๊ดผมออกมาจากเท้าเพื่อดูรอยแดงๆตรงจุดที่ว่า
ผมไม่เถียงอะไรอีกเพราะดูเหมือนจะเป็นอย่างที่มันบอกจริงๆ
“เจ็บๆๆ” เผลอร้องออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่ออีกฝ่ายพยายามพลิกมันไปมา
“ทีหลังก็อย่าวิ่งแรง”
“ช่างมันเถอะ ปะกลับ เหนียวตัวโคตร”
“เดี๋ยว นั่งก่อน” ยังไม่ทันจะได้ลุกไปไหน มันก็ดึงแขนผมเอาไว้ให้กลับลงไปนั่งข้างๆกันที่เดิม ก่อนจะดึงอะไรสักอย่างออกมาจากกระเป๋าตังค์สีน้ำตาลของมันแล้วยื่นให้กับผม
“เฮ้ย! เอามาจากไหน? ของใคร!?”
เกียร์ครับ มันคือเกียร์!!!
หน้าตาคุ้นมาก ถ้าไม่ติดว่าสายไม่ขาดแถมยังใหม่เอี่ยมอ่องขนาดนี้ผมจะคิดว่านั่นมันของตัวเองแล้วนะ
“ของมึงนั่นแหละ”
“จริงปะเนี่ย!”
“เก็บได้นานแล้ว มึงทำหล่นไว้ที่คณะกูตั้งแต่ตอนนั้น”
“โห นึกว่าหายไปแล้ว หาจนท้อ หายังไงก็หาไม่เจอ ทำไมไม่เอามาคืนตั้งแต่แรก”
“ว่าจะคืนตั้งแต่วันไปดูหนังด้วยกันครั้งแรก แต่กูลืม”
“ทำดีมาก” ผมเอื้อมมือไปตบไหล่มันปุๆ
จะว่าดีใจก็ดีใจ กว่าจะได้มามันก็ไม่ใช่ง่ายๆไง ผ่านรับน้องอะไรมาก็เยอะแยะ ลูกพ่อคนเดิมที่สำคัญคือได้สายหนังใหม่มาอย่างมาดี เห็นดังนั้นก็อดรีบรับมาไว้ด้วยความซาบซึ้งตรึงใจไม่ได้ ขอพ่อนั่งชื่นชมตรงนี้สักหน่อย คิดถึงเหลือเกิน
บอมมันอาจจะไม่รู้ว่า ‘เกียร์’ สำคัญแค่ไหน เพราะไม่ได้เรียนวิศวะ แต่ถ้านักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์จะรู้ดีว่าเรามีเกียร์เป็นเหมือนตัวแทน
อย่างที่บอกไปว่ากว่าจะได้มาครอบครองคือทุกคนต้องทำกิจกรรมที่โคตรจะโหด พวกผมถึงได้รักมันมากๆ บางคนเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี บางคนแม่งก็เก็บไว้ดีจนหาย อย่างเช่น พี่สิงห์ที่ดูแลแทบตายสุดท้ายทำหล่นตกน้ำ ส่วนบางคนก็ให้แฟนเป็นของแทนใจเหมือนที่ผมเคยทำ
“ซ่อมให้แล้วก็เก็บไว้ดีๆ อย่าทำหายอีก” มันว่าแล้วหันกลับไปเก็บสตั๊ดใส่ถุงผ้าของตัวเอง
“บอกตัวมึงเถอะ”
“หืม?”
“กูให้” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงพูดไปแบบนั้น รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ผมยื่นเกียร์ในมือคืนกลับไปให้มัน ซึ่งมันก็ยังทำหน้างงใส่อีก คือคุณครับ คือเรื่องเบสิกแค่นี้คุณไม่เข้าใจหรอ คนเขารู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง หรือจะต้องให้ผมพูดเอง
“ให้กูทำไม” มันถามซื่อๆ
“จะไม่เอาใช่ปะ”
“บอกก่อนว่าให้ทำไม”
“ไปหาอ่านเอาในเน็ต” ว่าแล้วก็ยัดใส่กระเป๋าหนังของมันเหมือนเดิม หมดอารมณ์จะเล่นละ ไปหาอาบน้ำเข้าร้านเหล้าคงจะดีกว่าการมานั่งอธิบายเรื่องเกียร์ให้มันฟังว่าไหมครับ
ทุกวันนี้บอมมันเป็นคนไม่ค่อยสนใจอะไรยังไงตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น แตกต่างหน่อยก็แค่วันแรกที่ผมกับมันเจอกัน
ผู้ชายหน้านิ่งๆ ยิ้มไม่เป็น ท่าทางก็เหมือนจะขี้เก๊ก ทักทายคำแรกด้วยการมองเหยียดๆผมประมาณว่าก็แค่แฟนเก่า เห็นที่ไรก็ทำให้คันฝ่าเท้ายิบๆทุกที ยิ่งพอได้คุยกันก็ยิ่งทำให้ผมรู้ว่าไอ้นี่มันกวนตีนจริงๆเว้ย ผมไม่ได้แค่คิดไปเอง ครั้งแรกที่เผชิญหน้ากันในสนามฟุตบอลก็ด้วย ความหมั่นไส้ที่ผมมีนี่ยิ่งทวีคูณขึ้น
แต่ก็น่าแปลกที่มันไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าเกลียดจนไม่อยากจะทำความรู้จักเลย ซึ่งเอาเข้าจริงๆแล้วพอได้รู้จักกัน มันก็ไม่ต่างอะไรจากผู้ชายทั่วๆไป มีนิสัยเหมือนเด็ก ติดเกมบ้าง บางทีก็ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกับอะไร แต่บางทีก็จริงจังเกินไปจนตามไม่ทัน
นั่นทำให้ผมสำนึกได้ว่าการมองคน ไม่ควรมองแค่เพียงภายนอกหรือผิวเผินจริงๆ คนที่เราเกลียดขี้หน้าตั้งแต่วันแรกที่เจอ อาจจะเป็นคนเดียวกับที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเราในวันนี้ก็ได้
แน่นอนว่าไอ้บอมสำหรับผมมันไม่ได้เป็นแค่คนที่มีสถานะให้เรียกว่า ‘แฟน’ แต่ยังเปรียบเสมือนเพื่อนสนิทที่กินเหล้า เที่ยวเล่น ไปไหนไปด้วยกัน ทั้งยังไม่ต่างอะไรจากพี่ชายคนนึงที่คอยให้คำแนะนำในเรื่องที่ผมไม่รู้ และในเวลาเดียวกันก็สามารถเป็นน้องที่มีมุมอ้อนเอาแต่ใจ (ซึ่งส่วนใหญ่จะชอบอ้อนตีนมากกว่า)
นอกจากนั้นมันยังชอบทำตัวเหมือนพ่อคอยสั่งคอยสอนผมในทุกๆอย่างด้วย อารมณ์แบบเป็นทุกอย่างให้แล้วยกเว้นทาส ทำไมน่ะหรอ เพราะทาสผมเป็นให้มันแล้วไง โธ่
แต่ถ้าจะถามว่าผมเสียใจไหมที่ตัดสินใจคบกับมันทั้งๆที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน
หากว่าเป็นช่วงแรกๆ ผมคงยอมรับตรงๆไปแล้วว่าอาจจะยังคิดมากหน่อยกับสายตาของใครหลายคนที่มองมาเมื่อรู้ถึงความสัมพันธ์ของเราสองคน แต่เมื่อเทียบกับตอนนี้ ความรู้สึกตอนนั้นมันกลายเรื่องขี้ปะจิ๋วไปเลย
รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ น้ำตา อาจเป็นช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ได้นาน แต่มันก็มากพอที่จะมีความหมาย มีค่าสำหรับผม และคำตอบก็คือผมไม่เคยเสียใจเลยสักนิดที่ยอมใช้สถานะนั้นกับอีกฝ่าย
จากที่เคยเป็นแค่ความชอบ มีความรู้สึกดีๆให้กัน ตอนนี้คงต้องพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่ามันมากกว่านั้นแล้ว มากกว่าการที่ผมจะเอาคำว่า ‘รัก’ มาแทนค่า เพราะผมมั่นใจว่าผมให้ค่าของมัน มากกว่านั้นเยอะ มากยิ่งกว่าและจะมากขึ้นๆไปอีก
สิ่งที่ผมอยากจะบอกคงไม่ใช่การพูดคำว่าฉันรักเธอ ผมรักคุณ หรือกูรักมึงในแบบที่ละครทีวีหรือนิยายหวานแหวนเขาใช้กัน เพียงแต่เป็นประโยคสั้นประโยคนี้แค่ประโยคเดียวเท่านั้นคือผมอยากขอบคุณ
“ขอบคุณนะเว้ย”
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องเกียร์” และทุกๆอย่าง
“ไม่เป็นไร”
“ขอบคุณนะ”
ขอบคุณที่ทำให้ผมรู้จักกับคำว่ารัก รักที่ไม่มีรูปแบบใดๆเข้ามาเป็นตัวกำหนด รักที่เป็นเพียงแค่ความบริสุทธิ์ของคนสองคน รักที่แทบจะไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย รักที่ไม่เคยคิดจะหวังผลอะไรตอบแทนทั้งนั้น
และทำให้เป็นรักที่เกิดมาจากความรู้สึกของผมกับมันเท่านั้น
END
11 / 05 / 2018
มนุษย์นิติ สังคม และคนรัก
บทส่งท้าย
ในคืนเดียวกัน
ผมมาถึงร้านก็ตอนที่วงดนตรีวงแรกลงจากเวทีแล้ว ซึ่งเป็นเวลา 3 เกือบจะ 4 ทุ่ม ที่นานก็เพราะมัวแต่ไปเถียงกันกับไอ้บอมเรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะแหละ คือผมอยากไปต่อร้านในเมืองกับพวกเพื่อนๆวิดวะแต่มันไม่ให้ไป ให้ทายว่าสุดท้ายจบลงยังไง
เราเป่ายิงฉุบกันครับและผมก็แพ้เลยไม่ได้ไป
เมื่อผมมาถึงที่นี่เพื่อนแต่ละคนก็เริ่มพูดจาไม่รู้เรื่องกันแล้ว ไอ้แจ็คนี่ไปโผล่อยู่โต๊ะสาวบริหารแถวๆหน้าเวทีได้ยังไงก็ไม่รู้ พี่สิงห์พี่ตองพี่โด้เห็นคนอื่นบอกว่าพากันเดินไปเล่นที่อีกร้านเดี๋ยวกลับมา นอกนั้นที่เหลืออยู่ เห็นนั่งนิ่งๆเฉยๆกันแบบนี้ไม่ใช่ไรเลย เมาแล้วก็พากันเล่นเกม RoV
จะเหลือก็แต่พวกนิติศาสตร์นี่แหละที่ยังดูมีสติสมประกอบที่สุด
โต๊ะของผมกับไอ้บอมถึงจะไม่ใช่โต๊ะเดียวกันแต่ก็ไม่ได้อยู่ไกลกันมาก เรียกได้ว่าอยู่ติดกันเลยจะดีกว่า แถมเก้าอี้ผมยังไปอยู่ติดกับเก้าอี้ไอ้บอมมันพอดีอีกต่างหาก เหมือนโดนพวกเพื่อนๆว่างที่เอาไว้ให้ทำร้ายผมอ่ะ นอกจากจะไม่มีทางหนีแล้ว ยังโดนบอมมันประกบไว้แบบไม่ให้ไปไหนเลยอีก
มาเที่ยวทั้งทีก็ปล่อยให้ผมมีอิสระบ้างก็ได้เถอะ
“คนนั้นมองข้างหลังเหมือนมึงเลย” จู่ๆมันก็ก้มลงมากระซิบ เรียกให้ผมต้องหันไปตามสายตาที่ซึ่งไปหยุดอยู่ที่โต๊ะของกลุ่มผู้ชายกลุ่มหนึ่ง ถ้าให้เดาน่าจะเป็นเด็กคณะทันตะ ไม่น่าเชื่อว่าจะเข้าร้านเหล้ากับเค้าเป็นด้วย
“อ๋อ ไอ้บอล เพื่อนกูเอง รู้จักกันตอนประกวดดาวเดือน”
มันพยักหน้ารับแค่นั้นก็หันกลับไปยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ คุยอะไรกันไม่รู้กับเพื่อนๆ ผมเองไม่ได้สนใจ นอกจากเอาแต่นั่งฟังเพลงที่ร้านเปิดรอวงดนตรีของพวกไอ้คีมขึ้นก็ได้ยกแก้วเบียร์เข้าปาก
ประมาณครึ่งชั่วโมงได้ไอ้บอมก็ขอตัวออกไปเข้าห้องน้ำ ก่อนหน้านั้นเห็นว่าเพื่อนมันยื่นแก้วมาให้เยอะอยู่ สอบเสร็จแล้วจะเมายังไงก็คงต้องปล่อยๆมันไป นานๆทีจะเห็นมันกิน
ก็อยากจะเมาให้ลืมเธอ ลืมความรักที่แสนห่วย
ความรักควายควาย ให้เอากลับคืนไปเลยไป...
“กรี๊ดดดดดดดดดด”
เสียงโห่ร้องดังขึ้นตามเพลงเปิดตัวที่ชื่อว่ารักควายๆ ซึ่งถูกใจสาวกคนอกหักในร้านเป็นอย่างดี หนักกว่านั้นคือตามมาด้วยเพลงคนโดนเทของวงเฟลม ที่ผู้หญิงบางคนได้ยินแล้วก็เหมือนจะพอใจมากถึงขนาดกับลุกขึ้นมาเต้นกรี๊ดดังๆใส่หูกันแทบแตกเลยทีเดียว
แต่ไม่เป็นไร ถือซะว่าเป็นสีสัน ไม่มีเสียงกรี๊ด ไม่มีคนเต้นยั่วๆ มันก็ไม่เรียกว่าร้านเหล้าครับ
“โทษนะคะ ขอเฟซได้ไหมอ่า”
จังหวะที่กำลังโยกหัวจิบเบียร์ไปตามเสียงดนตรี จู่ๆก็มีเสียงใสๆหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหู ผมหันไปมองก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงผมสั้น ผิวขาว ใส่เกาะอกสีน้ำตาล ตัวผอมบางหน้าตาน่ารักถูกสเปคมาก เจ้าตัวเดินเข้ามาขอเฟซถึงที่โต๊ะ อายุคงจะเป็นรุ่นพี่ และน่าจะไม่ใช่คนในมอนี้
พูดตรงๆว่าถ้าเป็นแต่ก่อนผมคงให้ไปแบบไม่ต้องคิด ตอนนี้ถึงไอ้บอมจะไม่อยู่แต่เพื่อนมันสี่หน่อเล่นจ้องผมประหนึ่งว่า ‘เอาดิ ถ้ามึงให้กูฟ้องแฟนแน่ กล้าป่าว’ น่ากลัวยิ่งกว่าการทำงานเป็นทีมของพวกเพื่อนผมอีกบอกเลย มีการหยักคิ้วหรี่ตาใส่อีก แว่วๆเหมือนจะมีพนันกันด้วยว่าผมจะให้หรือไม่ให้
“เอาไปทำอะไรอ่ะครับ” ถามฆ่าเวลาไปงั้น ขณะมือก็รับไอโฟนจากสาวเจ้ามาไว้พอเป็นพิธีเพื่อรอคำตอบจากอีกฝ่ายว่าจะเป็นไปตามที่คิดเอาไว้ไหม ถ้าใช่จะได้หาข้อแก้ตัวถูก เหลียวมองไปยังทางเข้าห้องน้ำก็เห็นหัวผู้คุมวิญญาณกำลังเดินมาแล้ว
“เพื่อนพี่ชอบน้องค่ะ”
“อ๋อ ครับ” ยิ้มเขินไปหนึ่งดอก เสียงเพื่อนในโต๊ะนี่ก็โห่แซวกันจัง เกรงใจไอ้คนที่กำลังเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดมาทางกูบ้าง
“ได้เปล่า ไม่ได้ไม่เป็นไรนะ”
“เฮ้ย ได้ครับพี่” ผมกดชื่อเฟซของตัวเองใส่ในช่องค้นหาแล้วยื่นมือถือกลับไปให้อีกฝ่ายก่อนจะบอกว่า
“แต่ผมมีแฟนแล้วนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวยิ้มบางๆให้พร้อมกับหลีกทางไอ้บอมที่กำลังเดินแทรกตัวเข้ามานั่งที่เดิม
เท่านั้นไม่พอมันยังเอามือมาค้ำเก้าอี้ผมไว้จากด้านหลังคล้ายกับกำลังรวบเอวอีก จังหวะพอดีในแบบที่ผมแทบไม่ต้องพูดอะไรมากพี่ผู้หญิงคนนั้นก็น่าจะเข้าใจ ถึงได้รีบเดินจากไปด้วยสีหน้าเหมือนเจอเรื่องอเมซิ่งที่สุดในชีวิตอะไรอย่างนั้น
คาดว่าน่าจะไม่ได้เป็นเพราะช็อคที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชายหรอก แต่คงสตั้นท์หลังจากได้เห็นออร่าของไอ้วิศวกรที่มันใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขาดๆ โทนขาวทั้งตัว แค่นี้ก็กินขาดคนทั้งร้านได้เพียงเพราะว่าเบ้าหน้าดีล้วนๆแล้ว
ทำไมผมต้องมาเจอเรื่องอะไรอย่างนี้ด้วยวะเนี่ย
“แดก มึงเลยแดก”หันกลับมาอีกทีก็เห็นว่าไอ้ยูถูกเพื่อนในกลุ่มบังคับให้ยกเบียร์ขึ้นกรอกรวดเดียวเพราะพนันว่าผมจะไม่ให้
เอาตามจริงที่ให้ไปก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะรับเพื่อนทุกคนอยู่แล้ว ก็ตามสเต็ปเดิมๆคือให้ไปตามมารยาท สุดท้ายก็ต้องมาเลือกว่าจะรับหรือไม่รับอยู่ดี แน่นอนครับว่ากรณีนี้ไม่ เพราะผมเพื่อนเต็ม คิดแล้วก็เศร้า
“เมื่อกี้ใคร กิ๊กเก่าหรอ” ไอ้บอมก้มหน้าลงมาถามพร้อมกับแก้วเบียร์ในมือ
“ไม่รู้ ไม่ใช่ กูไม่รู้จัก”
“เค้ามาทำอะไร”
“บอกว่ามีเพื่อนเค้าชอบกูเลยมาขอเฟซ”
“แล้วให้รึเปล่า”
“ให้ แต่กูบอกไปแล้วว่ามีแฟน” มันเลิกคิ้วให้เหมือนไม่อยากจะเชื่อขณะที่ยังยกแก้วเบียร์ใส่ปาก แต่ก็ไม่ได้พูดมากนอกจากเอื้อมมือมาขยี้หัวผมพร้อมกับพูด
“ดีมาก น่ารักแล้ว” จากนั้นก็หันกลับไปคุยกับเพื่อนต่อ ดูท่าทางก็น่าจะเริ่มเมาๆแล้ว ไม่งั้นตาคงไม่เยิ้มถึงขนาดนี้ สรุปว่างานนี้ คนแบกกลับก็คือผมสินะ
“ไหน คณะไหนที่ปิดเทอมแล้วขอเสียงหน่อย!” เสียงจากนักร้องบนเวทีร้องถามขึ้น ตามมาด้วยเสียงคนในร้านที่ชูแก้วเหล้าขึ้นมาพร้อมกับการขานรับไปในทางเดียวกันว่าปิดแล้ว
“ใครที่กลับบ้านก็ขอให้เดินทางกลับอย่างปลอดภัยนะครับผม ส่วนใครที่ยังอยู่ที่นี่ ร้านและพวกเรายินดีต้อนรับเสมอ สำหรับเพลงส่งท้ายนี้ ‘ขอบคุณที่รักกัน’ ก็ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการปิดเทอม แล้วเจอกันใหม่ในเทอมหน้านะครับ เอ้า ชน!!”
“ชน! เฮ้!”
“ปิดเทอมแล้วโว้ยยยยย” เพื่อนทุกคนที่นั่งอยู่โต๊ะด้วยกันต่างก็ลุกขึ้นยืนกระโดดไปเต้นไปตามเสียงดนตรีที่ดังมา พร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
ผมคิดว่านี่เป็นวันส่งท้ายปิดเทอมที่มีความสุขที่สุดแล้วสำหรับผม เพราะอะไรน่ะหรอ ข้างๆผมมีไอ้บอมอยู่ด้วยยังไงล่ะ
และผมหวังว่าข้างๆเราจะมีกันและกันแบบนี้ตลอดไป...
จบบริบูรณ์.
Talk
จบแล้วค่ะ
กะให้จบพอดีกันกับปีเทอมใหญ่ของมหาลัยปกติเลย 55555555
ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะเขียนจบ คงพูดได้เลยว่ามันเป็นนิยายไม่กี่เรื่องที่เราสามารถจนมาถึงตอนสุดท้ายได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงเพราะได้แรงผลักดันมาจากคนอ่าน ไม่ว่าจะเป็นคอมเมนต์ การสกรีมแท็กทวิตเตอร์ #มนุษย์นิติสังคมและคนรัก เราอ่านมันหมดทุกอย่างจริงๆ ไหนจะยอดกดเฟบ ยอดวิว และยอดให้กำลังใจต่างๆ ยอมรับเลยว่ามันมีอิทธิพลกับเรามากและก็ขอขอบคุณมากๆเลยค่ะที่ให้ความสนใจน้องๆมนุษย์นิติ
ในส่วนของตอนจบที่แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีอะไรเลย แต่ก็นั่นแหละคือสิ่งที่เราอยากให้มันเป็น สิ่งที่เราหวังในตอนจบของเรื่องนี้คือแค่อยากให้เขาสองคนได้เล่นฟุตบอลด้วยกัน ไปดูหนังด้วยกัน ไปร้านเหล้าจิบเบียร์นั่งฟังเพลงข้างๆกัน ทำตามชีวิตที่ผู้ชายทั่วไปทำกันอ่ะ แน่นอนว่าเราคิดเอาไว้แบบนี้ตั้งแต่ต้นเรื่องที่เขียนแล้ว แปลกเนอะที่ดันคิดตอนจบเอาไว้ได้ตั้งแต่ตอนเปิดในขณะที่ตัวเนื้อเรื่องนั้นตันเวอร์ๆ สุดท้ายแล้วมันถึงได้มีฉากของการทำเกียร์หายในตอนแรกและก็ได้เกียร์คืนมาในตอนสุดท้ายซึ่งเอาจริงเราก็ไม่ได้เน้นมากหรอกค่ะและคิดว่าหลายๆคนคงพอจะเดาออกกันอยู่แล้วใช่มั๊ย หรือว่าลืมกันไปหมดแล้ว 555555555
ถ้าสังเกตจะเห็นว่าหลายๆตอนเราไม่ค่อยได้เขียนทอล์คยาวๆเลยนอกจากคำว่าขอโทษที่ช้า ขอโทษที่ให้รอนาน บางทีหายไปหลายเดือนก็ต้องขอโทษจากใจจริงๆค่ะ ด้วยความไม่รับผิดชอบ ติดทำนู่นทำนี่ ติดกงติดเกม ขี้เกียจบ้าง อู้บ้าง คิดไม่ออกบ้างของเราเอง จนทำให้หลายคนที่เคยติดตามอาจจะมีหายไป เราไม่โกรธเลย ซ้ำยังขอบคุณด้วยซ้ำที่ยังเสียเวลาทนมาถึงตรงนั้น แต่ก็ขอบคุณมากๆสำหรับคนที่ไม่เคยทิ้งกันไปไหน คอยมาทวง คอยมาคอมเมนต์ว่ากำลังรออยู่ เชื่อเถอะค่ะว่าเราอยากจะอัพให้ทุกคนได้อ่านใจจะขาด แต่เราไม่มีความสามารถในการคัดกรองมันออกมาเป็นหน้ากระดาษด้วยเพียงแค่ไม่กี่วันจริงๆ ขอโทษด้วยค่ะ
นั่น ยาวอีกละ ปกติเป็นคนที่ชอบเขียนทอล์คนะ แต่เพราะรู้ว่าทอล์คแล้วจะทอล์คยาวแบบนี้เดี๋ยวคนเขาขี้เกียจอ่านเพราะมันไม่ค่อยมีสาระเลยไม่ค่อยได้ทอล์คเท่าไหร่ เอาจริงอยากให้มีเวลามาจับเข่านั่งคุยกันกับคนอ่านมากว่าไม่ชอบตรงไหน อ่านแล้วขัดใจอะไรบ้าง หรือประทับใจฉากไหนที่สุด เราชอบนะเวลาที่มีคนอ่านทักมาถามเรื่องนิยายกับเรา ให้ตอบทั้งวันยังไม่เบื่อเลยไม่รู้ทำไม 55555555
เรื่องตัวละคร เรายอมรับว่ามันยังไม่เพอร์เฟค คงจะมีตอนที่ขัดใจบ้าง ย้อนแย้งบ้าง ก็อย่าถือโทษโกรธน้องๆกันเลย ให้มาลงที่เราดีกว่า เพราะเราเขียนเองยังงงเอง 555555
โห่ย ยาวเกินไปละ มีหลายเรื่องมากที่อยากจะเขียนระบายลงมาให้หมด ต้องทำไงดี ที่เขียนมานี้ยังได้ไม่ถึงครึ่งในใจเลย เอาเป็นว่าขอเวลาไปกลั่นกรองก่อนนะ ส่วนถ้าใครที่มีคำถามค้างคาใจอะไรตรงไหนก็สามารถคอมเมนต์บอก ติดแท็กถาม ไม่ก็ทักไปหาได้เลยนะคะ ยินดีตอบทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องสปอยตอนพิเศษเพราะยังไม่ได้เขียนเลย
อ้อ ถึงจะจบแล้วก็ยังไม่ได้หายไปไหนนะ ยังมีสเปของดุจปีศาจให้ได้อ่านต่อกันอยู่นะ ที่สำคัญขอฝาก #มนุษย์วิศวะกับรักคูลๆ ภาคแยกของเคคีมคนคูลไว้ให้อ้อมอกอ้อมใจด้วยเด้อ ท่าทางน้องคีมก็จะประมาณนี้แหละ 555555555
สำหรับมนุษย์นิตินี้เจอกันในสเปนะคะ ชอบไม่ชอบยังไงอย่าลืมคอมเมนต์ ติดแท็ก #มนุษย์นิติสังคมและคนรัก ให้ได้เห็นกันบ้างเน้อ
ขอตัวไปนอนละ นี่ตื่นมาตอนตีสองกว่าๆ เพิ่งจะออกจากหน้าคอมไปกินข้าวได้ก็เมื่อตอนเกือบจะทุ่มนี่เอง ไปค่ะ มุ่งหน้าเข้าสู่ไฟนอลที่คะแนนอันเวิงว้าง
สวัสดี ชไมเจ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

กลับมาอ่านรอบที่ล้านแปดแล้วก็ยังสนุกเหมือนเดิม
สนุกมากๆงับ บางตอนเขิลไปร้องไห้ไปก็มี จะเป็นไบโพล่าร์ล่ะ55555555 เเต่ใดๆล้วนคือน่ารักมาก จะมีซีรี่ย์เรื่องนี้ด้วยป่ะ ถ้าจำไม่ผิด รอติดตามเลยค้าบ ps.ขอบคุณไรท์ที่เขียนนิยายดีๆมาอ่านนะค้าบ 💗💗💗👍
จะบอกไรท์ว่าบีบอมคล้ายกับคนที่คุยด้วยเลย เป็นคนนิ่งๆ โซเชี่ยลไม่อัพเดทไรเลย คุยน้อยมาก ชอบคุยต่อหน้ามากกว่า เอาใจเก่ง แคร์ความรู้สึกเก่ง เวลามีปัญหาชอบหนีกลับห้องตัวเอง
แต่ต่างกันที่ตอนนี้เลิกกันแล้ว สาเหตุก็เพราะเขาต้องกลับไทย ก็เลยทำให้ห่างๆกัน สุดท้ายก็หายจากกันไป 😭😭😭
#อ่านเรื่องนี้แล้วก็คิดถึงเขา
ยิ่งอ่านถึงตอนนี้คือแบบ ตัวละคร2ตัว นี้ไม่ได้มีความประทับใจในกันล่ะกันเลยมีแต่บรรยายความรู้สึกแย่ๆออกมามากกว่าวิเคราะห์ตัวละครแล้วแบบนี้จะรักกันรอดหรือถามจริง คบกันเป็นแฟนนะเว้ยไม่ใช่คบกันเป็นแค่เพื่อนสนิท พยายามต่อไปนะครับไม่ใช่ไรน์เขียนไม่ดีนะถ้าไม่ดีคงไม่พยายามอ่านมาจนถึงขนาดนี้เพียงแต่อารมณ์ตัวละครมันคือนิยายไม่ใช่ชีวิตหรือชีวะประวัติความสัมพันธ์มันไม่พรุงพริงมันเลยไปไม่สุด มัน อ่านไปแล้วแบบอึนๆ
ชอบมากกก พอเห็นคำว่า END
ละแบบน้ำตาจะไหลง่าไรท์
/แอบติดใจตอนจินวู้บแล้วแจ็คขำอะ มันน่าขำเหรอแจ็คค!!! ถ้าหัวฟาดพื้นน็อคจะทำยังไงงงงง
รักก 🤟🥰
เป็นการเขียนที่ทำไห้เราเข้าถึงตัวละครมากเลยค่ะ ตั้งแต่เราหลายๆเรื่องมา เรื่องเป็นเรื่องที่เขียนให้เราเห็นถาพมากที่สุด เป็นการบรรยายผ่านตัวหนังสือ แต่ทำให้เราเข้าถึงตัวเอกเหมือนเราได้เห็นเค้าจริงๆ จินที่ทำให้เราหลงรักผ่านตัวอักษรของคุณ ดีมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ ที่ทำให้เราได้อ่านนิยายที่ดีแบบนี้ มีผลงานให้เราตามอ่านเยอะๆนะคะ ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ ❤️❤️😊😊😊
ผู้คุมวิญญาณน่ารักอะแง5555 ขอบคุณนะค้าที่ปต่งนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่าน><
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆสนุกๆแบบนี้ค่ะ
ชอบมากกกก