ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    VISION | Haechan X NCT

    ลำดับตอนที่ #1 : เมืองแห่งรัตติกาล

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 50
      3
      1 เม.ย. 64

    1

    เมืองแห่งรัตติกาล

     

    อาทิตย์อุทัยสาดส่องสู่เมืองแห่งสายลม มหานครที่รู้จักกันในชื่อ ‘ชิคาโก’ อากาศร่มรื่นเย็นสบายตลอดทั้งปี ยามเช้าแบบนี้เชื้อเชิญให้ ‘ไวแอตต์’ เด็กหนุ่มวัยมหาลัยออกมายืดเส้นยืดสายบนริมฝั่งทะเลสาบมิชิแกน โดยมีบรรดาผู้คนที่พักอาศัยอยู่ใกล้เคียงทะเลสาบเช่นเดียวกับเขา ต่างก็ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์กันมากมาย

    ร่างกายสมส่วนได้รูปของไวแอตต์อบอุ่นร่างกายจนพร้อมสำหรับกิจกรรมต่อไปแล้ว เขาละจากการวอร์มร่างกายแล้วเปลี่ยนเป็นการวิ่งเหยาะตามเส้นทางริมฝั่งของทะเลสาบ เด็กหนุ่มทำเช่นนี้เป็นกิจวัตรเหมือนกับพ่อของเขา ‘ออสติน’ นักธุรกิจที่แม้จะมีตารางงานแน่น แต่สุขภาพคือสิ่งสำคัญไม่ต่างจากการทำงาน

    45 นาทีผ่านไป ผิวกายเขาชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อหลังจากวิ่งต่อเนื่องเป็นเวลนาน เมื่อครบเวลาที่กำหนด ไวแอตต์มุ่งหน้าไปยังบ้านพักซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบมิชิแกน

    บ้านพักหลังใหญ่สไตล์โมเดิร์นต้อนรับแขกด้วยลานหน้าบ้านประดับประดาไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ต้นไม้ทุกต้นบรรจงปลูกด้วยมือของ “แคทเธอรีน” คุณแม่ลูกหนึ่งของบ้านหลังนี้ ภายในตัวบ้านตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่แฝงความวิจิตรศิลป์ เป็นผลงานจากผู้เป็นแม่อีกเช่นกัน เธอเป็นนักโบราณคดีและชอบสะสมวัตถุโบราณ

    แม้ว่าจะน่าอยู่สักเพียงใดทว่าสิ่งตรงหน้าไวแอตต์ที่เขาเรียกว่าบ้าน กลับมีแต่ความเปล่าเปลี่ยวใจ

    ผู้อาศัยอย่างเขากลับอยู่บ้านมากกว่าคนสร้าง กระนั้นแล้วเขาก็รู้สึกชินชากับความว้าเหว่นี้ และไวแอตต์ก็เข้าใจถึงภาระงานของพ่อแม่เป็นอย่างดี ถึงบรรยากาศจะเงียบเหงาก็ใช่ว่าจะไม่มีคนอยู่เป็นเพื่อนเสมอไป คุณปู่ ‘มิกูเอล’ นี่แหละคือเพื่อนที่ดีที่สุด

    ระยะทางระหว่างปู่กับหลานแม้จะห่างไกล แต่ความสนิทสนมไม่เคยเหินห่าง ไวแอตต์สนิทกับปู่มิกูเอลมากกว่าพ่อแม่ของตัวเองเสียอีก น่าเสียดายที่ท่านอาศัยอยู่ประเทศแซคการี ปู่มิกูเอลไม่เคยมีความคิดที่จะย้ายมาอาศัยที่สหรัฐอเมริกาสักครั้ง เว้นเสียว่ามีคราหนึ่งที่ออสตินเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ แล้วท่านเดินทางมาดูแลพ่อของเขาอยู่ร่วมเดือน

    ไวแอตต์เดินมาหยุดอยู่กลางห้องรับแขก จากนั้นเขาหย่อนตัวลงบนโซฟานุ่ม เขานั่งพักให้ความเหนื่อยคลายลง ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องครัว เมื่อมาถึงเข้าพบกระดาษอยู่แผ่นหนึ่งแปะไว้ที่ตู้เย็น ลายมือบนกระดาษเรียบร้อยสวยงาม เป็นลายมือที่เขาคุ้นเคย

    “สลัดอยู่ในตู้เย็นนะ แล้วก็ฝากวอลนัทให้คุณปู่ด้วย เดินทางปลอดภัยนะลูกชาย ;)

    - จากแคทเธอรีน -”

    “ไปแล้วเหรอ” เด็กหนุ่มถอนหายใจ เมื่อวานแม่ยังอยู่กับเขาอยู่เลย ไปวิ่งไม่นานก็กลับไปทำงานเสียแล้ว

    เที่ยงนี้แล้วสินะที่ผมจะได้กลับไปหาปู่มิกูเอล คิดถึงจะแย่แล้ว ปิดซัมเมอร์นี้คงจะเป็นที่ไหนไม่ได้นอกจากวินเซนต์เบิร์ก เมืองหลวงของประเทศแซคการี เมืองท่าที่ทำเงินสะพัดแก่ราชอาณาจักร แถมทะเลที่นั้นสวยไร้รอยตำหนิ สีน้ำทะเลเขียวปนน้ำเงินกระทบกับแสงแดดสะท้อนเป็นประกายชวนมอง ผมอยากเดินทางไปที่นั่นตอนนี้เลยล่ะ

    มือหนาเคลื่อนไปเปิดตู้เย็น จากนั้นจึงหยิบกล่องสลัดซึ่งถูกจัดเตรียมไว้เป็นอย่างดี ก่อนจะก้าวฝีเท้าไปยังห้องนั่งเล่น เขาทานอาหารเช้าบนโซฟาราคาแพง พร้อมกับเปิดโทรทัศน์ควบคู่ไปด้วย ภาพบนหน้าจอฉายเป็นรายการข่าวเศรษฐกิจทั่วโลก ทันทีที่เห็นข่าวไวแอตต์กดเปลี่ยนช่องอย่างรวดเร็ว เขาไม่ชอบฟังเรื่องเศรษฐกิจเท่าไรนัก เพราะต้องวิเคราะห์หลายอย่าง คิดไปก็ปวดหัวเปล่าๆ

    เขากดเปลี่ยนช่องจนมาเจอรายการข่าวที่นำเสนอเกี่ยวกับการสวรรคตของสมเด็จพระจักรพรรดิลินคอล์น แห่งราชวงศ์เซนเทีย กษัตริย์ของราชอาณาจักรแซคการี ประชาชนต่างไว้อาลัยแด่การจากไปของกษัตริย์ผู้เป็นที่เคารพ และรัฐบาลก็ได้จัดพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอย่างยิ่งใหญ่

    ทางราชสำนักออกแถลงการณ์ถึงว่าที่จักรพรรดิคนต่อไป โดยจะประกาศและแต่งตั้งหลังจากผ่านพ้นช่วงอาลัย สื่อหลายสำนักคาดการณ์ว่าตำแหน่งนั้นมีโอกาสสูงมากที่จะตกเป็นของ เจ้าชายมาเวอริค ในสมเด็จพระจักรพรรดิลินคอล์นกับสมเด็จพระจักรพรรดินีฟิโอน่า เพราะเป็นพระโอรสเพียงผู้เดียวที่ได้รับการปฏิบัติสมกับเป็นรัชทายาทแห่งราชอาณาจักรแซคการี

    เสียงโทรศัพท์แทรกขึ้นท่ามกลางเสียงรายงานข่าว เสียงนั้นดังมาจากโทรศัพท์มือถือของเขาในห้องรับแขก ไวแอตต์เดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางบนโต๊ะคั่นระหว่างโซฟา เมื่อหยิบขึ้นมาได้ ปลายนิ้วของเขาสัมผัสที่หน้าจอเพื่อกดรับสาย

    “ว่าไงครับพ่อ” ลูกชายทักทายปลายสายทันทีเมื่อกดตอบรับ

    “ไวแอตต์ วันนี้พ่อและแม่ไม่ได้ไปส่งที่สนามบินนะ ยังไงก็ขอให้เดินทางปลอดภัยก็แล้วกัน ส่วนเรื่องของฝากที่จะเอาไปให้ปู่ก็อย่าลืมล่ะ”

    “ครับ” เด็กหนุ่มตอบสั้นๆ หลังจากนั้นปลายสายก็ตัดไป

    ทุกอย่างเป็นไปตามที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด งานนี้ผมต้องฉายเดี่ยวอีกแล้ว… ช่างเถอะ ผมไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้แล้ว ผมต้องเตรียมตัวให้เสร็จก่อนสิบโมงเช้า ซึ่งตอนนี้สองโมงเช้าแล้ว! แต่ผมยังจัดการสัมภาระไม่เรียบร้อยอะไรทั้งนั้น

    ภายในห้องนอนที่เต็มไปด้วยของสะสม ไม่ว่าจะเป็นแผ่นวิดีโอเกมส์และรองเท้าผ้าใบหลายรุ่น เด็กหนุ่มยกกระเป๋าเดินทางวางไว้บนเตียง เขาจัดการยัดเสื้อผ้าแบบลวกๆ สิ่งของเครื่องใช้ก็เตรียมไปเท่าที่จำเป็น หลังจากที่จัดการสิ่งของเสร็จ ไวแอตต์จึงหันมาชำระล้างร่างกายตัวเองต่อ

    เสื้อผ้าที่ไวแอตต์สวมในวันนี้เป็นอะไรที่เรียบง่ายและคลาสสิคสุดๆ เขาสวมเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์สีขาว กางเกงยีนส์สีฟ้าอ่อน ตัดกับรองเท้าผ้าใบสีครีม

    เขายกกระเป๋าเดินไปยังห้องโถงหน้าทางเข้าประตูบ้าน ตามมาด้วยจองบริการแท็กซี่อูเบอร์ หลังจากจองเสร็จเขาเดินไปยังห้องครัวเพื่อไปหยิบวอลนัท เมื่อลองเปิดหาในตู้เย็นก็ไม่พบสิ่งที่ตามหา ไวแอตต์เริ่มรู้แล้วว่าต่อจากนี้เขาต้องเผชิญกับอะไร…

    ผมเปิดตู้เก็บวัตถุดิบแล้วเหนื่อยกับสิ่งที่เห็นทันที นั่นคือถุงวอลนัทยักษ์ นี่ผมต้องแบกไปสนามบินจริงๆ เหรอเนี่ย!?

    ไวแอตต์มุ่งหน้าไปยังสนามบิน และแน่นอนว่าเขาแบกมันมาจริงๆ เด็กหนุ่มไปเช็คอินได้ทันท่วงที การเดินทางอันยาวนานถึง 8 ชั่วโมงได้เริ่มต้นขึ้น ช่วงเวลาแสนน่าเบื่อที่ผ่านไปช้าอย่างกับ 8 ปี ทำให้เขาข่มตาหลับยาวจนถึงปลายทาง

    เมื่อเครื่องบินลงจอดสนามบินดีซานเรส ไวแอตต์ยังคงหลับสนิทราวกับกำลังนอนอยู่ที่บ้าน จนแอร์โฮสเตสต้องทำการปลุกเขาให้ลงไปรับสัมภาระที่สายพานในตัวอาคารสนามบิน

    เด็กหนุ่มลงจากเครื่องบินและหยิบกระเป๋าเดินทาง พร้อมกับถุงวอลนัทขนาดใหญ่เดินมารอปู่มิกูเอลที่หน้าทางออกของอาคาร ทั้งที่ยังรู้สึกสะลึมสะลือจากการตื่นนอน ไม่นานรถยนต์สีขาวก็เคลื่อนมาจอดตรงหน้าเขา กระจกค่อยๆ เคลื่อนลงเผยให้เห็นใบหน้าของปู่มิเกล คนที่เขาอยากเจอมาหลายเดือน

    “ขึ้นมาสิไวแอตต์ โอ๊ะ! นั่นวอลนัทของปู่เหรอ” ดวงตาของชายชราเป็นประกายขัดกับไวแอตต์ที่ยังงัวเงีย

    “ใช่ครับ แม่ฝากมาให้ปู่น่ะ”

    “แคทเธอรีนนี่น่ารักเหมือนเดิมเลย” มิกูเอลรู้สึกขอบคุณลูกสะใภ้อย่างสุดซึ้ง เธอดูแลเอาใจใส่เขาเป็นอย่างดี ทั้งยังชอบซื้อของฝากมาให้บ่อยๆ ไม่ฝากไวแอตต์นำมาให้ก็ส่งไปรษณีย์ถึงหน้าบ้าน

    ไวแอตต์จัดการนำสิ่งของบรรทุกไว้ท้ายรถ จากนั้นจึงมานั่งเบาะหน้าข้างๆ คุณปู่ รถยนต์เคลื่อนออกจากสนามบินโดยปลายทางก็คือบ้านของปู่มิกูเอล ซึ่งสร้างติดกับทะเลนอร์ทเรดิอานเต รถยนต์ขับเข้าสู่เมืองแห่งรัตติกาล

    วินเซนต์เบิร์กไม่เคยหลับใหลแม้ฟ้าจะมืดมน นโยบายการค้าเสรีดึงดูดนักลงทุนทั่วโลก นอกจากนี้กาสิโนสำหรับที่นี่เป็นเรื่องถูกกฎหมาย สร้างรายได้เข้ารัฐมหาศาล แต่ผลประโยชน์ตรงนี้กลับเอื้อแค่คนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

    รถยนต์สีขาวเคลื่อนมาจอดอยู่หน้าบ้านวินเทจหลังหนึ่ง ตกแต่งด้วยอิฐดินเผาสีดำทมิฬ ทว่าในตัวบ้านกลับเป็นสีขาวสบายตา

    หลานชายหยิบสัมภาระทุกอย่างที่ท้ายรถ นำไปวางที่ห้องนั่งเล่น ร่างสูงโปร่งทิ้งตัวลงบนโซฟาขนเฟอร์ แม้จะนอนมาแล้วหลายชั่วโมงก็ยังรู้สึกเพลียอยู่ดี ปู่มิกูเอลที่เห็นหลานนอนเป็นผัก จึงหยิบผ้าห่มหนามาคลุมให้

    “เหมือนกันจริงๆ” มิกูเอลพูดทั้งรอยยิ้ม มือเหี่ยวย่นของชายชราลูบผมคนที่หลับสนิท ยามมองหลานทีไรก็นึกถึงบุคคลที่จากไปทุกที ภาพในอดีตผุดขึ้น ความขมขื่นอันแสนเจ็บปวดกัดกินหัวใจชายผู้นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพการตายของคนรักยังติดตาเขาเสมอ แม้ผ่านไปหลายทศวรรษ ทว่าความทรงจำไม่เคยเลือนหายไปตามกาลเวลา

    เป็นอีกคืนที่มิกูเอลต้องนอนร้องไห้ในค่ำคืนที่มีเพียงแสงจันทร์เป็นเสมือนคนปลอบใจของคืนที่ทรมานเช่นนี้...

    เสียงนกร้องเคล้ากับเสียงคลื่นซัดชายฝั่ง เช้าตรู่ในเมืองวินเซนต์เบิร์กคับคั่งไปด้วยผู้คนไม่ต่างจากตอนกลางคืน ช่วงเวลาเร่งด่วนแบบนี้ มิกูเอลอบพายแอปเปิลให้หลานชายสุดรักสุดหวงที่ยังคงหลับสบายอยู่บนโซฟานุ่ม เมื่ออบพายเสร็จกลิ่นของมันโชยมาแตะจมูกโด่งเป็นสันของไวแอตต์เข้า ทำให้เด็กหนุ่มที่อยู่ในห้วงนิทราต้องตื่นทันที

    ผมเดินตามกลิ่นของพายแอบเปิลที่ส่งกลิ่นคละคลุ้งต้อนรับเช้าวันใหม่ จนมาหยุดอยู่ที่ห้องครัว โต๊ะอาหารตรงหน้าผมไม่ได้มีเพียงพายแอปเปิลเท่านั้น แต่ยังมีพาสต้าและไข่กระทะ อาหารโปรดผมทั้งนั้นเลย

    “ตื่นแล้วเหรอไวแอตต์ มากินสิ ปู่ทำไว้ให้หลานเยอะเลย ถ้าไม่อิ่มก็บอกได้นะ” มิกูเอลส่งยิ้มใจดีมาทางไวแอตต์

    “แค่นี้ก็เยอะแล้วปู่” ผมตอบกลับปู่อย่างเกรงใจ ก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้

    “หลานปู่ยังเป็นเด็กกินจุอยู่เลย” มิกูเอลพูดหยอกล้อพร้อมกับเดินมาจับไหล่หลาน ภาพไวแอตต์ที่กินจุตั้งแต่เด็กเขายังจำได้ดี พอหลานชายขึ้นเรียนชั้นมัธยมก็หันมาออกกำลังกายตามออสติน ไม่รู้ว่าที่เริ่มฟิตหุ่นเป็นเพราะอยากทำตามพ่อ หรือเพื่อจีบใครอยู่กันแน่

    “ไม่เอาน่าปู่ ผมอายุ 18 ย่าง 19 แล้วนะ”

    “ถ้าอย่างนั้นปู่จะเรียกหลานว่าเด็กยักษ์ก็แล้วกัน”

    เด็กยักษ์...ผมว่าผมชอบชื่อ เด็กกินจุ มากกว่านะ

    ผมทานอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย ในที่สุดก็หมดทุกจาน...ผมกินจนลืมเรื่องรักษาหุ่นไปเลย อาหารที่ปู่ทำอร่อยขนาดนี้ผมห้ามใจไม่ให้กินไม่ได้ นอกจากว่าจะหนีไปเดินที่ชายหาดแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องอาหารเช้า

    หลังจากทานอาหารเสร็จผมก็นึกถึงเรื่องที่จะไปทำในวันนี้ ผมไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ อย่างน้อยมาต่างประเทศก็น่าจะหาที่เที่ยวสักหน่อย แต่จะเป็นที่ไหนดีล่ะ? วินเซนต์เบิร์กมีที่ที่ผมไม่เคยไปอยู่ไม่กี่แห่ง มีกาสิโนกับทำเนียบรัฐบาล หรือว่าจะเป็น ‘ทำเนียบรัฐบาล’ ที่ปู่โนอาห์เคยทำงานมาก่อนดีนะ

    ทำเนียบรัฐบาลที่ปู่ของผมเคยทำงานอยู่ ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นเพียงความทรงจำที่เปิดให้นักท่องเที่ยวหรือประชาชนทั่วไปเข้ามาเยี่ยมชม ทำเนียบรัฐบาลปัจจุบันได้ย้ายไปอยู่อีกเมืองหนึ่ง เมื่อนายกรัฐมนตรีคนที่ 44 ได้เสียชีวิตลง

    เอาล่ะ ผมตัดสินใจแล้วที่จะไปทำเนียบรัฐบาล ตอนเด็กๆ ปู่มิกูเอลเคยเล่าให้ฟังว่าผมมีปู่ที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นผมตื่นเต้นมาก น่าเศร้าที่ท่านฆ่าตัวตายด้วยการผูกคอเสียก่อน

    ตำรวจและสำนักข่าวสันนิษฐานเป็นสิ่งเดียวกันว่าท่านฆ่าตัวตายก็เพราะความเครียดจากงาน และส่วนหนึ่งก็บอกว่าเป็นเพราะฝีมือการจัดฉากของ ซัลลิแวน ทรอยซ์ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่โกรธแค้นโนอาห์เป็นอย่างมาก เนื่องจากนโยบายที่ไม่เอื้อต่อธุรกิจค้าของเขา โนอาห์ประกาศสงครามกับยาเสพติด และกวาดล้างสิ่งพวกนี้ไปกว่าค่อนประเทศ แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันที่ชัดเจนจากทางสำนักงานตำรวจ

    สุสานเงียบสงัดที่ชานเมืองวินเซนต์เบิร์ก ไวแอตต์ถือช่อดอกลิลลี่สีส้มเพื่ออาลัยต่อการจากไปของปู่ เขาวางช่อดอกไม้บนหลุมศพและยืนสงบนิ่งสักพัก

    - โนอาห์ แกรนด์ แลชเชอร์ เสียชีวิตเมื่อ 24 ธันวาคม 1980 –

    “คุณปู่ทำดีที่สุดแล้วล่ะครับ”

    สิ่งที่คุณปู่พยายามเปลี่ยนแปลงผมรับรู้ถึงมันได้ สมัยรัฐบาลของท่าน นโยบายที่ทำล้วนเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง สวัสดิการต่างๆ มีเสถียรภาพ ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุอะไรที่ปู่เลือกจุดจบแบบนี้ ผมเคารพการตัดสินใจของท่าน

    บนที่ราบสูงห่างจากตัวเมืองวินเซนต์เบิร์กเล็กน้อย อดีตที่ทำการรัฐบาลก่อตั้งอยู่ที่นั่น ทำเนียบรัฐบาลในวันนี้มีผู้คนบางตา อาจจะเป็นเพราะอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ เด็กหนุ่มที่เดินมาถึงเกิดความรู้สึกโหวงใจนิดหน่อย ภาพที่เขาเคยเห็นในอินเทอร์เน็ตต่างจากตอนนี้ไปมากเลยทีเดียว

    สถานที่เที่ยวมีเยอะแยะแต่ผมดันเลือกมาทำเนียบรัฐบาลสะอย่างนั้น จะไปทะเลก็สามารถไปตอนไหนก็ได้ เพราะอยู่ห่างจากบ้านปู่มิกูเอลไม่มาก ครั้นมีความคิดจะเข้ากาสิโนก็นึกถึงหน้าแม่ขึ้นมา แม่ผมคงไม่ปลื้มเท่าไรนัก ถ้ารู้ว่าลูกชายเข้ากาสิโนตั้งแต่อายุ 18 ในสายตาคนอื่นอาจมองว่าผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่แม่ของผมท่านไม่คิดแบบนั้น

    ผมเดินดูห้องต่างๆ ของชั้นแรกจนทั่ว ห้องที่ผมสะดุดตาก็คงจะเป็นห้องครัวประจำทำเนียบนี่แหละ ใหญ่โตอย่างกับภัตตาคาร ผมไม่เคยคิดเลยว่าที่ทำเนียบจะมีอะไรแบบนี้ด้วย

    หลังจากดูชั้นแรกเสร็จ ผมยืนอ่านป้ายบอกรายละเอียดแต่ละชั้นข้างลิฟต์ ณ ทำเนียบรัฐบาลแห่งนี้มีทั้งหมดสี่ชั้น ชั้นแรกหลักๆ จะเป็นห้องครัวและห้องสมุดทั่วไป ชั้นสองจะเกี่ยวข้องกับการประชุม ชั้นสามจะเป็นออฟฟิศทำงานทั่วไป ส่วนชั้นสี่จะเป็นห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี และบุคคลที่มีตำแหน่งสำคัญของคณะรัฐมนตรี

    แน่นอนว่าห้องที่ผมอยากไปมากที่สุดก็คือห้องของคุณปู่ ผมก้าวเข้าลิฟต์และกดชั้นสี่อย่างไม่รีรอ ทันใดนั้นก็มีเสียงชายชราพูดขึ้น

    “ไอ้หนู รอฉันด้วย!”

    ทันทีที่ได้ยินเสียงชายคนนั้น มือผมกดไปที่ปุ่มเปิดอัตโนมัติ ชายชราเดินเร็วเข้ามาในลิฟต์ด้วยอาการหอบเหนื่อย เขายืนพิงผนังลิฟต์ค้ำยันตัวเองไว้

    “คุณตาจะไปชั้นไหนครับ” ผมหันไปถามชายชราที่อาการไม่สู้ดีนัก หวังว่าเขาคงจะไม่เป็นอะไรมากนะ

    ชายชรามองไปทางไวแอตต์ด้วยสีหน้าตกตะลึง ใบหน้าที่คุ้นเคยนี้เขาไม่ได้เจอมาถึง 40 กว่าปี และไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบอีก เพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่จากไป บัดนี้ได้มายืนอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง

    “โนอาห์…เหรอ…” เขาถามเสียงแผ่วเบา เพราะความไม่แน่ใจ

    “ไม่ใช่หรอกครับ ผมเป็นหลานน่ะ”

    คุณตาคนนี้คงเคยเป็นพลเมืองในสมัยรัฐบาลของปู่สินะ จะตกใจก็คงไม่แปลก ขนาดผมยังประหลาดใจเลย พอเทียบเคียงรูปกันแล้ว ใบหน้าผมกับปู่เหมือนกันเป๊ะ

    น้ำเสียงของเด็กหนุ่มที่ตอบกลับเขา ทำให้ชายชราอึ้งไปอีกเท่าตัว นอกจากหน้าจะเหมือนกันแล้ว เสียงยังเหมือนกันอีก รูปพรรณสัณฐานคล้ายคลึงกันมาก เขาที่ทำงานกับโนอาห์มา 2 ปี ยังแยกแทบไม่ออก

    ป้ายบอกชั้นในลิฟต์แปรเปลี่ยนเป็นเลขสี่ ไวแอตต์เห็นแบบนั้น จึงปลีกตัวออกมาจากลิฟต์ ยังไม่ทันที่ชายชราจะซักถาม ประตูลิฟต์ก็ปิดไปเสียก่อน ไม่ว่าชายผู้นี้จะพยายามกดเปิดประตูลิฟต์สักเท่าไร ประตูกลับไม่ยอมเปิดตามคำสั่ง แถมยังพาเขาลงไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง นั่นคือชั้นแรก

    ภายในชั้นสี่ต่างจากชั้นแรกโดยสิ้นเชิง ที่นี่ไม่มีใครสักคนอยู่บนชั้นนี้เลย ทั้งที่น่าจะได้รับความสนใจมากที่สุด ป้ายบอกรายละเอียดห้องต่างๆ ก็ไม่มีสักอัน

    ไวแอตต์เดินไปตามโถงทางเดินที่ทอดยาว ตลอดทางเดินปูด้วยพรมสีแดงกำมะหยี่ บนเพดานติดโคมไฟคริสตัลหรูหรา ปลายทางนั้นเป็นห้องขนาดใหญ่ เขียนป้ายชื่อนายกรัฐมนตรีชัดเจน

    [Noah Grand Lassher]

    นายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายที่ทำงานอยู่ในห้องนี้ ก่อนรัฐบาลชุดหลังจะย้ายทำเนียบใหม่ไปที่เมืองซิลพันเจีย เมืองทางตอนเหนือของประเทศแซคการี

    ว่าที่หลานชายนายกรัฐมนตรีเปิดประตูบานใหญ่ออก แสงสีขาวสว่างจ้าส่องมาที่ใบหน้าคมสัน จนเขาต้องนำมือมาบดบังดวงตา จากนั้นแสงจึงหายไป เผยให้เห็นห้องทำงานที่กว้างขวาง ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย มีห้องสมุดอยู่ในตัวก็ไม่ปาน กระจกบานใหญ่ติดตั้งเสมือนเป็นหน้าต่าง ทำให้เห็นวิวของเมืองวินเซนต์เบิร์กได้สุดลูกหูลูกตา หลังกระจกบานใหญ่มีระเบียงให้ออกไปสูดอากาศอย่างสบายใจ

    ปู่ของผมเคยทำงานอยู่ที่นี่จริงเหรอเนี่ย!? นี่มันห้องทำงานในฝันผมเลย

    ผมเดินดูสิ่งของต่างๆ ภายในห้องราวกับเป็นห้องของตัวเอง ครั้นมองไปยังปฏิทินบนโต๊ะทำงาน ผมอยากชมผู้ดูแลที่นี่จริงๆ ปฏิทินยังคงเป็นปี ค.ศ.1980 แต่…ทำไมถึงเป็นเดือนพฤศจิกายนล่ะ ปู่ของผมเสียเดือนธันวาคมไม่ใช่หรือ

    ด้วยความไม่แน่ใจ เด็กหนุ่มเดินเข้าไปดูปฏิทินใกล้ๆ นอกจากจะเป็นเดือนกันยายนแล้ว แก้วน้ำที่วางข้างๆ น้ำแข็งก็ยังไม่ละลายหมด เหมือนกับว่าเพิ่งมีคนทำงานอยู่ห้องนี้

    “แกเป็นใคร” เสียงเยือกเย็นของชายปริศนาดังขึ้น

    ไวแอตต์กำลังจะหันหน้าไปตามเสียง แต่ก็โดนชายคนนั้นจับแขนของเขาไคว่ไว้ที่หลัง และกดหน้าเขาแนบติดกับโต๊ะทำงาน เด็กหนุ่มอยู่ในอาการตกใจสุดขีดเมื่อสังเกตเห็นปลายปืน ชายคนนั้นถือปืนพกด้วยมือที่กำลังกดศีรษะเขาอยู่!

    “ฉันถามว่าแกเป็นใคร!!” เสียงเขาดุดันพร้อมกับแรงกดที่เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว จนคนที่โดนแรงกดทับต้องร้องโอดโอย

    “โอ๊ย! เจ็บๆๆๆ ผมไวแอตต์ คาลวิน แลชเชอร์ ปล่อยผมได้แล้ว” ผมร้องขอชายคนนั้นด้วยความเจ็บปวด ผมไม่สามารถต้านทานแรงมหาศาลจากเขาได้จริงๆ แม้ว่าผมจะออกกำลังกายเป็นประจำก็ตาม

    “แลชเชอร์อย่างนั้นเหรอ โกหก!” พูดจบ เขาใช้แรงทั้งหมดเหวี่ยงไวแอตต์ลงไปที่พื้น พร้อมกับนำปืนจ่อไปที่หัวของเด็กหนุ่มโดยไม่ฟังคำร้องอะไรทั้งนั้น

    “ผมพูดจริงๆ นะ จะดูบัตรประชาชนผมมั้ยล่ะ!” ผมรวบรวมความกล้าหันไปเผชิญหน้ากับชายคนนั้น ทันทีที่เขาเห็นหน้าผม เขายืนนิ่งและดูพูดอะไรไม่ออก ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ถ้าออกไปจากที่นี่ได้ ผมจะดำเนินคดีเขาอย่างถึงที่สุด

    “เกิดอะไรขึ้นเบรย์เดน” เสียงชายคนหนึ่งแทรกขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอันตึงเครียด

    เดี๋ยวนะ…ผมว่าผมไม่ได้พูดประโยคนนั้นนะ

    ไวแอตต์หันตามเสียงที่คล้ายกับเสียงตัวเอง และภาพตรงหน้าต้องทำให้เขาตกใจอีกครั้ง นั่นปู่ตัวเป็นๆ! เขาขยี้ตาเพราะคิดว่าตัวเองต้องหลอนไปแล้วแน่ๆ แต่คุณปู่ก็ยังยืนอยู่เหมือนเดิม! ชายใส่สูทสีดำที่เดินตามท่านมาทีหลังก็ตะลึงไม่แพ้กันเมื่อเห็นไวแอตต์ นี่มันอะไรกันเนี่ย!?

    “คุณปู่!?”

     

     

     

     

    #vissionhc

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×