[Fic] Just Listen - [Fic] Just Listen นิยาย [Fic] Just Listen : Dek-D.com - Writer

    [Fic] Just Listen

    บนโลกที่ไร้เสียง ขอแค่เพียง "ให้เธอเป็นคนเดียวที่ได้ฟัง"

    ผู้เข้าชมรวม

    129

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    129

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 พ.ค. 55 / 00:49 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      Chapter 1.  (เปิดเพลงไปด้วยก็ดีนะคะ ><)


      [SF] Listen to….YOU

       

       

      “ เอาล่ะ วันนี้เอาไว้พอก่อนก็แล้วกันนะ พรุ่งนี้ค่อยซ้อมกันใหม่....ตรงเวลาด้วยล่ะ”

       

      ไม้คอนดักเตอร์ที่เคยชูเหนือขึ้นระดับศีรษะเพื่อคุมจังหวะค่อยๆ ลดลงเป็นสัญญาณว่าการบรรเลงดนตรีได้จบลงพร้อมกับเสียงถอนหายใจของเหล่านักดนตรีที่บ่งบอกถึงความโล่งอกที่การซ้อมวันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี อาจารย์ซึงฮวานมักจะกำชับลูกศิษย์ด้วยคำพูดแบบนี้ทุกครั้งที่การซ้อมสิ้นสุดลงจนกลายเป็นสิ่งที่เหล่านักศึกษาเอกภาควิชาการบรรเลงและการขับร้องต่างก็จำได้จนขึ้นใจ....

       

      “ คยูฮยอน เธอยังทำได้ดีทุกครั้ง อาจารย์ยินดีกับเธอด้วยนะ“ ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งยิ้มรับอย่างนอบน้อม

       

      “ แล้วเรื่องเพลงที่แต่งมา อาจารย์จะดูให้ก็แล้วกัน คนมีฝีมืออย่างเธอ ทางมหาวิทยาลัยยินดีสนับสนุนแน่นอน “

       

       

      “ เราไปหาอะไรกินกันดีวะเย็นนี้ ซ้อมเป่าซะเมื่อยปาก” เยซองเดินเข้ามากอดคอเพื่อนรักแรงๆ ตามประสาคนร่าเริงและอารมณ์ดี คยูฮยอนหันไปยิ้มรับกับเพื่อนแต่ก็เขาก็เอ่ยปฏิเสธ

       

      “ กินข่าวอย่างเดียวนะเว้ย ไม่ต้องตบท้ายด้วยแอลกอฮอล์ล่ะ พรุ่งนี้ไม่มีแรงเป่า อาจารย์ซึงฮวานเป่าสมองแกดับแน่” เยซองเบ้หน้าอย่างเบื่อหน่ายที่ถูกเพื่อนรักเดาใจออก ชายหนุ่มกอดอกมองเพื่อนสนิทแล้วก็ส่ายหน้าไปมา

       

      “ ทำไม ต้องเป็นเด็กดี เลิกเรียนแล้วกลับบ้าน กินข้าว ปะแป้ง อาบน้ำให้ซองมินตบตูดนอนเหมือนนายน่ะเหรอ ไอ้คนรักครอบครัว หมั่นไส้ชิบ “

       

      “ คยูฮยอน  นายไม่ไปกับพวกเราหรอ”

       

      “ ฉันนัดกับซองมินไว้ พวกนายไปเถอะ แต่มีอะไรก็โทรหาได้....ฉันไปล่ะ เดี๋ยวซองมินรอนาน “ โบกไม้โบกมือลากลุ่มเพื่อนแล้วก็รีบวิ่งไปทันที ซีวอนยิ้มมองเพื่อนแล้วก็พึมพำออกมา

       

      “ ฉันว่านะ ที่ไอ้คยูมันร้องเพลงดีขึ้นทุกวันๆ นี่เพราะมันมีซองมินเป็นกำลังใจให้แน่ๆ เลย ว่าไหม “

       

      “ คนสวยที่มันเคยพามาฟังเราซ้อมเมื่อสองสามเดือนก่อนใช่ไหม”  ซีวอนพยักหน้า

       

      “ แต่....ซองมิน...เป็น...เอ่อ...พูดไม่ได้ ”  

       

      “ ไอ้คยูมันรักของมันนะเว้ย “

       

      “ เออน่า.....ถึงจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ....ถ้าเขารักกัน....ต่อให้เป็นแค่อากาศก็สื่อกันถึง” ทุกคนพยักหน้ายอมรับในสิ่งที่ซีวอนพูด พลางนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว

       

      “ จำวันนั้นที่เราไปเล่นดนตรีได้ไหม”

      .

       

      .

       

      .

       

      .

       

      “ สถานสงเคราะห์ผู้พิการทางหู.....ทำไมอาจารย์ให้มาทำโปรเจคที่นี่วะ “ เยซองมองไปรอบๆ อย่างไม่คุ้นตา

       

      “ นายเคยได้ยินเรื่องดนตรีบำบัดไหม......เสียงเพลงหรือทำนองดนตรีจะช่วยให้คนที่สูญเสียประสาทการรับรู้หรือการได้ยินมีพัฒนาการที่ดีขึ้น รวมไปถึงคนป่วยทุกประเภทที่เค้าพยายามหลีกเลี่ยงการรักษาด้วยยาให้หันมาใช้ดนตรีบำบัดแทน “ ทุกคนพยักหน้าด้วยความเข้าใจก่อนจะแยกย้ายกันไปเตรียมตัวก่อนขึ้นแสดงจริง

       

      “ คนเยอะชิบ ฉันตื่นเต้นพอๆ กับตอนเราแสดงที่มหาลัยเลยว่ะ “

       

      “ ใจเย็น น้องๆเค้าก็รอฟังเหมือนกัน เราต้องทำออกมาให้ดีที่สุด ว่าแต่...แล้วไอ้คยูไปไหนล่ะ “

       

      “ ไปนั่งรวบรวมสมาธิที่ไหนสักแห่ง เดี๋ยวมันก็มา เราซ้อมเพลงกันไปพลางๆก่อนก็แล้วกัน “

       

       

      ชายหนุ่มเดินถือโน้ตเพลงออกมาจากห้องรับรองที่เพื่อนๆ นั่งรอกันอยู่ เสียงฮัมเพลงเบาๆ ดังขึ้นเป็นการวอร์มเสียงทุกครั้งก่อนที่จะขึ้นแสดงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ชายหนุ่มนั่งลงตรงม้าหินในสวนเล็กข้างโรงอาหารที่ใช้ถูกจัดขึ้นมาเป็นเวทีขนาดย่อม 

       

      “ ลา....ลา.....ลา..... ล๊า “ โน้ตหลายดังถูกขับขานออกมาต่อเนื่องไล่ระดับสูงต่ำตามคีย์ร้องในมือ ชายหนุ่มหลับตาลงเบาๆ เปล่งเสียงออกมาในระดับที่ดังพอสมควรต่อเนื่องกันหลายๆครั้ง เมื่อรู้สึกพอใจแล้วเก็บกระดาษโน้ตเพื่อจะกลับไปหาเพื่อนที่นั่งรออยู่

       

      ผลั่ก!

       

      ร่างสูงโปร่งเซไปเล็กน้อยเมื่อถูกแรงปะทะ แม้จะไม่มากนักเพราะคนที่ชนเขาก็ไม่ได้ตัวใหญ่แต่เพราะความไม่ทันได้ระวังก็ทำให้เขาเซจนเกือบล้ม แต่คนที่เดินมาชนเขาก็ยังนั่งนิ่งอยู่ที่พื้นอยู่ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าคงจะเจ็บเอาการ

       

      “ คุณ เป็นอะไรไหม” ถามพร้อมประคองคนที่นั่งก้มหน้าอยู่  ร่างบางยึดมือชายหนุ่มเอาไว้ก่อนจะค่อยๆ ยันตัวเองขึ้น แฟ้มสมุดในมือถูกยื่นคืนให้หลังจากที่คยูฮยอนเป็นคนเก็บมันขึ้นมา

       

      “ ของคุณครับ ผมต้องขอโทษอีกครั้ง “ เอ่ยขอโทษไว้ก่อนตามมารยาท ร่างบางเงยหน้าขึ้นมองอย่างขอบคุณ

       

      “...........”  แม้คยูฮยอนจะมองตอบแต่ก็ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ เพราะถูกสะกดด้วยแววตาหวานซึ้งที่มองเขาอย่างขอบคุณอยู่ในดวงตาคู่กลมอันเปล่งประกายภายใต้สีเคลือบลูกแก้วอันดำสนิท  ไม่รวมถึงแพขนตาหนาที่ไล่แซมตามขอบดวงตายิ่งทำให้กรอบใบหน้าหวานยิ่งเพิ่มความหวานเข้าไปอีก  พวงแก้มนิ่มอิ่มยุ้ยเป็นสีชมพูจางๆ และกลีบปากอิ่มนิ่มที่วางนิ่งสนิทแต่เผยอขึ้นเล็กน้อยอวดไรฟันสีขาวสะอาดตา

       

      “ เอ่อ.....ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ “ คนถูกถามยิ้มแต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบใดๆ ชายหนุ่มออกจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยก่อนที่ทุกอย่างจะเฉลยออกมาด้วยตัวของมันเองเมื่อคนตรงหน้าเขียนอะไรบางอย่างลงในกระดาษ

      “ ขอโทษที่ซุ่มซ่าม คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ”  คยูฮยอนอ่านลายมือน่ารักแล้วก็ก่อนจะมองร่างบอบบางตรงหน้าอย่างสนใจ แม้จะรู้สึกเสียดายไม่น้อยที่คงไม่มีโอกาสได้ยินคำพูดแต่เขาก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้

       

      “ คุณ.....พูด...เอ่อ.... “ กำลังจะถามต่อแต่แล้วก็เปลี่ยนใจเป็นเขียนประโยคต่อมาลงในพื้นที่กระดาษที่ว่างข้างลายมือของร่างบางแล้วยื่นส่งคืนให้

       

      “ ไม่ครับ.....ผมมาเล่นดนตรี ชื่อ โจ คยูฮยอนครับ” ร่างบางอมยิ้มเมื่ออ่านลายมือของชายหนุ่มแล้วก็เขียนตอบกลับไปเหมือนกัน

       

      “ ฉันจะรอฟัง”  ฉีกกระดาษแผ่นนั้นออกยื่นใส่มือชายหนุ่มแล้วก็รีบวิ่งไปท่ามกลางรอยยิ้มของชายหนุ่มที่มองตามไปจนสุดสายตา  คยูฮยอนสอดกระดาษแผ่นนั้นใส่ไว้ในสมุดโน้ตอย่างทะนุถนอมก่อนจะรีบเดินไปหากลุ่มเพื่อนทันที

       

      การแสดงดนตรีจบลงด้วยดีท่ามกลางความสุขของเด็กๆ และทุกคนที่รอฟังด้วยความตั้งใจ คยูฮยอนร้องเพลงจบพร้อมกับเสียงบรรเลงที่ค่อยๆเงียบลงตามมาด้วยเสียงปรบมือที่ทำให้เหล่านักดนตรีหนุ่มถึงกับยิ้มด้วยความปลื้มใจ

       

      “ เจ๋งไปเลย วู้ววว” เยซองเป่าปากอย่างมีความสุขเมื่อน้องๆ ต่างก็เอาดอกไม้มามอบให้ สร้างความปลื้มปีติให้กับหนุ่มๆ เป็นอย่างมาก

       

      “ คยู...แกเป็นขวัญใจของเด็กไปแล้วว่ะ “ ชายหนุ่มยิ้มปลื้มแต่ก็คอยมองหาใครบางคนท่ามกลางกลุ่มคนกลุ่มใหญที่ยืนออกันตรงด้านล่างของเวที ชายหนุ่มเดินเลี่ยงออกมาจากเวที ไถ่ถามเอาจากคนที่ทำงานที่นี่แล้วก็ต้องผิดหวังอีกครั้งเมื่อไม่ได้รับคำตอบตามที่ต้องการ

       

      คุณคนนั้นไปไหนน้า......

       

      “ มีความสุขว่ะ ดีกว่าการไปเล่นตามผับเป็นไหนๆ “

       

      “ เราเล่นดนตรีบำบัดน้องเค้า....แล้วก็บำบัดจิตใจของตัวเองด้วย”

       

      “ ซีวอน นายกำลังด่าฉันหรือเปล่า “ หนุ่มร่างโย่งยาวส่ายหน้ายิ้มๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะของอีกหลายคนที่ดังขึ้นมาพร้อมกันยกเว้นเสียแต่คยูฮยอนที่เดินตามมาด้านหลังอย่างเงียบๆ

       

      “ เค้าหัวเราะกัน ไอ้นี่ก็ซึมเป็นเสาหินเลย....เห็นตั้งแต่ตอนเก็บของละ เป็นไรไปวะ” กอดคอเพื่อนอย่างเอาใจ แต่คยูฮยอนก็ได้เพียงแค่ยิ้มบางๆรับเท่านั้น

       

      “ เปล่าหรอก สงสัยฉันคงเหนื่อย” พูดแล้วก็เดินเลี่ยงไปคนเดียวทิ้งให้เพื่อนๆ ทุกคนมองตามด้วยความเป็นห่วง แล้วทั้งหมดก็ต้องหันไปมองด้านหลังอีกครั้งเมื่อได้ยินฝีเท้าที่เร่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

       

      “ อ้าว น้อง....”  มองด้วยความสงสัยแล้วก็ต้องยิ่งสงสัยมากกว่าเดิมเมื่อเด็กน้อยคนนั้นวิ่งผ่านตนเองไปก่อนที่จะหยุดอยู่ตรงหน้าคยูฮยอน มือเล็กกระตุกชายเสื้อชายหนุ่มเอาไว้ก่อนที่คยูฮยอนจะย่อตัวลงนั่ง

       

      “ ครับ.....”  มือหนาถูกนิ้วมือเล็กของเด็กน้อยน่ารักจับขึ้นมาก่อนจะวางดอกกุหลาบที่แนบด้วยกระดาษแผ่นเล็กติดไว้ตรงก้าน พร้อมกับทำมือชี้ไปที่ตึกใหญ่ทางด้านหลังแต่ก็หาทำให้ชายหนุ่มเข้าใจภาษามือนั่นไม่ คยูฮยอนยิ้มรับแต่ในใจก็ยังเต็มไปด้วยความสงสัยก่อนจะเปิดกระดาษออกอ่าน

       

      “ ขอบคุณที่ทำให้เด็กๆ มีความสุข เสียงของคุณเพราะมาก ”  แม้จะไม่ได้ลงชื่อคนเขียนแต่ความน่ารักของลายมือที่เขาจำได้ติดตากระตุกหัวใจของชายหนุ่มให้พองจนล้นอก มือหนาเก็บดอกกุหลาบสีขาวเสียบเอาไว้ที่แฟ้มโน้ตเพลงอย่างทะนุถนอมพร้อมเขียนอะไรบางอย่างด้านหลังโน้ตเพลงแผ่นที่เขาใช้ร้องยื่นคืนให้เด็กน้อยพร้อมกับชี้มือไปทางตึกด้านหลังเช่นเดียวกัน

       

      ทุกคนไม่เคยลืมว่าดอกกุหลาบสีขาว 1 ดอกและกระดาษโน้ตแผ่นนั้น

      คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่างในวันนี้

       

       

       

      “ ซองมิน รอผมนานไหม”  มือหนึ่งแตะลงเบาๆ ตรงลาดไหล่บางที่นั่งอยู่ท่ามกลางเด็กๆ ซองมินหันมายิ้มให้พร้อมกับส่ายหน้าก่อนจะหันไปทำสัญลักษณ์มือบางอย่างกับกลุ่มเด็กน้อย และก่อนที่เด็กทุกคนจะแยกย้ายกันกลับบ้านก็มีเด็กน้อยน่ารักคนหนึ่งเดินเข้ามากอดคยูฮยอนเหมือนทุกครั้ง ชายหนุ่มประคองอ้อมกอดกลับก่อนจะจูบไปที่แก้มนิ่มกลับด้วยความเคยชิน  พร้อมกับส่งภาษามือบางอย่างให้

       

       “ วันนี้จีมินแต่งตัวสวยมาก”  เด็กน้อยยิ้มกว้างด้วยความดีใจที่ได้รับคำชม มือเล็กจับมือของคยูฮยอนกับซองมินให้เกี่ยวกันไว้ก่อนจะวิ่งไปรวมกับกลุ่มเพื่อน คยูฮยอนกระชับมือตอบก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูที่ทำให้ซองมินถึงกับหน้าแดง

       

      “ แต่วันนี้ซองมินของผมน่ารักกว่า”

       

      แม้ว่าซองมินจะพูดไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่พิเศษและเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับคนที่สูญเสียการได้ยินคือ ซองมินจะได้ยินเสียงพูดเหมือนคนทั่วไปเพียงแต่ไม่สามารถโต้ตอบด้วยคำพูดได้ ทำให้เวลาสื่อสารจำเป็นจะต้องใช้ภาษามือเหมือนกับคนที่หูหนวก และความจริงในข้อนี้เองที่คยูฮยอนก็เพิ่งจะมารู้ในวันที่เขาสารภาพรักกับซองมิน เพราะตลอดเวลาที่รู้จักกันชายหนุ่มเข้าใจมาตลอดว่าซองมินคงจะไม่ได้ยินที่ตนพูดเหมือนกับคนอื่น

       

      “ วันนี้เหนื่อยไหมซองมิน “

      (( ไม่เลย แล้วคุณล่ะ ))

       

      “ ไม่เลย แต่ว่าเจ็บคอนิดหน่อยเพราะว่าซ้อมหลายรอบ”  ซองมินพยักหน้าซ้ำๆก่อนจะหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กซับไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มอย่างเบามือ คยูฮยอนยิ้มพร้อมกับจับมือของซองมินเอาไว้

       

      “ หายเหนื่อยแล้วล่ะ “ 

      (( แล้ววันนี้จะทานอะไรกันดี ))

       

      “ เอ.....ซองมินอยากทานอะไรล่ะ” ไม่ทันจะได้คิด เสียงโทรศัพท์ของคยูฮยอนก็ดังขึ้น ชายหนุ่มหยิบมือถือยื่นให้ซองมิน ร่างบางกดรับก่อนจะยกโทรศัพท์แนบหู เสียงปลายสายดังโหวกเหวกขึ้นเล่นเอาซอง มินกลั้นยิ้มแทบไม่ทัน

       

      “ นั่นแน่....เงียบๆ แบบนี้ ซองมินแน่เลย....สวัสดีครับซองมิน ผมขอคุยกับคยูฮยอนหน่อยครับ ”

       

      “ ซองมิน วันนี้ไปทานข้าวกับเพื่อนผมนะ มันโทรมาตามกันแล้ว”

      .

      .

      .

       

      “ ซองมินไม่ได้มาทานข้าวกับเพื่อนผมนานแล้วเนอะ”

      (( ก็คยูฮยอนไม่พาฉันมาเอง))

       

      “ กลัวซองมินอึดอัดนินา....ดูเพื่อนผมแต่ละคนสิ แสบๆ ทั้งนั้น”

      (( ฉันว่าพวกเค้านิสัยดีนะ แล้วก็ใจดีมากด้วย ))

       

      “ อ้าว ชมเพื่อนผมแบบนี้ แล้วผมล่ะ น้อยใจนะเนี่ย” ปล่อยมือออกจากมือบาง จากนั้นจึงหันไปกอดอกตัวเองไม่ยอมเดินตาม ร้อนถึงซองมินต้องตามไปง้อถึงที่

      (( คิดว่าน่ารักหรอ....งอนเป็นเด็กๆ ไปได้ ))

       

      “ ซองมิน!!!!

      (( ให้ฉันทำยังไงดีล่ะ ))

       

      มือบางเข้าไปกอดเอวชายหนุ่มอย่างเอาใจ ใบหน้าหวานกดลงซ้ำๆที่แผ่นอกแกร่งเล่นเอาหัวใจชายหนุ่มเต้นเร่าไปกับร่างนุ่มนิ่มที่แทบจะจมลงกับอกเขา ชายหนุ่มประคองกอดซองมินเอาไว้ในอ้อมแขน จูบแผ่วเบาไปที่เรือนผมสีน้ำตาลอุ่น

       

      “ ผมมีความสุขมากที่ได้อยู่กับซองมิน.....ผมอยากให้เรากอดกันไปอย่างนี้ทุกวัน ยิ้มให้กันทุกวัน ซองมินคิดเหมือนผมไหม”

       

      ร่างบางยืนนิ่งไร้คำตอบได้แต่แนบใบหน้าลงกับอกของชายหนุ่มอย่างอบอุ่น มือเล็กทั้งสองข้างกอดรัดแน่นไปที่เอวก่อนจะเลื่อนไปโอบพักไว้ที่ต้นคอระหง เรียวนิ้วมือนิ่มไล้เล่นไปเบาๆ กับกลุ่มผมที่คลอเคลียท้ายทอยของคนรัก

       

      “ กอดผมอย่างเดียวก็ไม่รู้ว่าจะคิดเหมือนกันรึป่าวน้า”  ปลายนิ้วเรียวของชายหนุ่มแตะไปเบาๆที่ปลายจมูกเล็ก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหลับตาพริ้มรอ  ซองมินหันซ้ายขวาเมื่อเห็นว่าปลอดคนแล้วจึงเขย่งปลายเท้าขึ้นแต้มจูบนุ่มนวลไปที่กลีบปากอิ่มชื้นแล้วก็ผละออกด้วยความเขินอาย  คยูฮยอนลืมตาขึ้นมองคนตัวเล็กที่กำลังหน้าแดงระเรื่อก่อนจะโอบร่างบางมาไว้ในวงแขนอีกครั้ง ขยับเสื้อโค้ทของตัวเองให้กระชับร่างของซองมินมากขึ้นเพื่อคลายความหนาวเย็นของอากาศช่วงปลายฝนต้นหนาวที่พัดมาแตะต้องผิวเนื้ออุ่น สันจมูกโด่งก้มลงไล้ไปเบาๆที่ข้างแก้มนิ่ม

       

      “ แต่ที่ผมกอดคุณ มันตีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย รู้หรือเปล่า “

       

      “ นอกจากคำว่า ผมจะรักคุณแบบนี้ตลอดไป ”

      กระดาษสีขาวหลายแผ่นถูกฉีกพร้อมกับขยำอย่างไม่ไยดีนักเมื่อมันหมดประโยชน์ลงวางทิ้งข้างๆมือที่ยังคงจดจ่ออยู่กับเนื้อเพลงที่เฝ้าคร่ำเคร่งกับโน้ตดนตรีทั้งที่เวลาก็เลยมาจนตีสองกว่า รอยดินสอที่ขีดฆ่าข้อความก็ยังเปรอะอยู่จนเต็มสมุด ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเมื่อรู้สึกว่า งานของเขายังไปไม่ถึงไหน

       

      “ อ่า....คิดไม่ออกเลย ” พึมพำออกมากับตนเองเสมอยามที่ต้องเค้นความคิดลงในเนื้อเพลง คยูฮยอนมักจะใช้เวลาในช่วงกลางคืนการแต่งเพลงเพื่อสักวันหนึ่งเขาอาจจะได้เป็นนักแต่งเพลงตามที่ได้เคยวาดฝันไว้

       

      ใช่.....เขาเคยอยากจะเป็นนักร้อง

      แต่นั่น.....คือก่อนที่เขาจะมาเจอซองมิน

       

      “ ทำไมไม่ลองไปออดิชั่นเป็นนักร้องเอง นายไปได้สวยแน่”

       

      “ ฉันอาจจะชอบขีดเขียนมากกว่าก็ได้มั้ง”

       

      “ ลืมไป....เมื่อก่อน เวลาจะคุยกับซองมินก็ต้องเขียนเอานี่หว่า สงสัยจะเคยชินล่ะมั้ง”  ยิ้มรับกับคำแซวของเพื่อนแต่ก็ไม่ได้ถือสาเพราะตนก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องน่าอายแต่อย่างใดกับวิธีการสื่อสารที่เขาใช้กับซองมิน แม้จะเคยโดนคนอื่นนอกจากเพื่อนค่อนขอดมาก็เยอะ แต่เขาก็เลือกที่จะมองข้ามไปเพราะเหนือสิ่งอื่นใดที่มีค่าและมีความหมายมากกว่านั้นก็คือความรู้สึกของคนรักอย่างซองมิน

       

      “ ฉันเก็บเสียงของฉันไว้คุยกับซองมินดีกว่า”

       

      นึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในวันวานก็ทำให้คยูฮยอนเผลอยิ้มออกมาอีกครั้ง  จุดเริ่มต้นระหว่างเขากับซองมินก็ยังคงตราตรึงอยู่ในทุกความรู้สึกตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกัน  ความรู้สึกของเขาแทบจะมองข้ามในสิ่งที่ซองมินขาดไปเพราะถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นแต่ก็น้อยคนนักที่จะเข้าใจ  แม้แต่ช่วงแรกที่เขาสารภาพรักกับซองมิน  ก็ดูเหมือนว่าจะโดนปฏิเสธและตนเองก็ไม่คิดว่าซองมินนั้นจะเข้าใจคำพูดทุกอย่าง

       

      “ ซองมิน....ผมชอบคุณ “ กระดาษแผ่นเล็กถูกส่งมาให้คนตรงหน้าอ่าน ซองมินมือสั่นระริกไม่แพ้แววตาที่เอ่อคลอขึ้นมาด้วยน้ำตา มือบางเขียนตอบกลับไป

       

      (( มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ.....ฉันไม่สามารถคุยกับคุณได้ปกติเหมือนกับคนอื่น ))

       

      “ คุณก็เป็นคนปกติคนหนึ่ง....ซองมิน....คุณไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างจากคนอื่นเลย”

       

      (( ยอมรับความจริงว่าฉันไม่เหมือนคนอื่นสิ....ยอมรับมันซะที!!! ))

       

      เขียนตอบกลับไปทั้งที่น้ำตายังคลออยู่เต็มดวงหน้า มือเล็กยามจับปากกาสั่นระริกดูไร้เรี่ยวแรงเต็มที ข้อความที่ทั่งคู่เขียนตอบกลับกันนั้นเกือบจะเต็มแผ่น ชายหนุ่มฉีกกระดาษแผ่นใหม่หวังจะเขียนต่อแต่ซองมินก็รั้งเอาไว้พร้อมเขียนตอบกลับไป

       

      (( เรื่องของเรามันก็เหมือนกับกระดาษแผ่นนี้แหละ....ถ้ามันเต็ม ทุกอย่างก็จะจบ....))

       

      ตัดพ้อความตั้งใจของชายหนุ่มลงอย่างสิ้นเชิงจนคยูฮยอนเองก็ทนไม่ไหว  มือที่เคยจับปากกาก็เปลี่ยนมารั้งไว้ที่ลาดไหล่อย่างอย่างแน่นหนา ดวงตาคู่คมจ้องมองคนตัวเล็กด้วยความแน่วแน่

       

      “ ผมไม่รู้ว่าคุณจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน...ผมไม่แคร์อะไรทั้งนั้น....สิ่งที่ผมแคร์คือความรู้สึกของตัวเอง”

       

      “ แล้วตอนนี้ทุกความรู้สึกทั้งหมดบอกผมว่า.....ผมชอบคุณ ชอบ....ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน”

       

      ซองมินน้ำตารื้นขึ้นมาและบางส่วนก็ถูกปลายนิ้วอุ่นจัดแตะซับให้ ชายหนุ่มละมือออกจากคนตัวเล็กอย่างสิ้นหวัง ปลายนิ้วที่เคยเกลี่ยซับน้ำตาให้ซองมินก็เปลี่ยนมาเช็ดไปที่ใบหน้าของตัวเองอย่างลวกๆ ดวงตาคู่คมฉ่ำคลอไปด้วยหยดน้ำตาไม่แพ้กัน

       

      “ ผมอยากให้คุณได้ยินสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่  แต่ตอนนี้ ผมไม่อยากให้คุณได้ยินคำว่าลาก่อนจากผมเลย”

       

      “ ลาก่อนซองมิน ขอโทษสำหรับทุกอย่างในวันนี้  ผมจะไม่มาเจอคุณอีก “ เดินคอตกกลับไปด้วยความเสียใจ ซองมินยืนนิ่ง  น้ำตายังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่องเมื่อเสียงฝีเท้าค่อยๆไกลออกจากตัวจนแทบจะกลืนหายไปในความมืด ทุกเสียงยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทรับความรู้สึกของซองมินตลอดเวลา

       

       “ผมชอบคุณ ชอบ....ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน”

       

       

      “ผมชอบคุณ ชอบ....ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน”

       

      แสงไฟยามค่ำคืนยังคงสาดส่องให้ความสว่างไปทั้งบริเวณถนนทั้งสองข้างทางให้ไม่ดูเปลี่ยวจนเกินไป แต่ตอนนี้ ความมืดหม่นในหัวใจของคนที่ต้องเดินคนเดียวท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยคู่รักดูช่างทรมานจนแทบจะขาดเสียให้ได้

       

      คยูฮยอนไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้วที่เขาแยกตัวมาจากซองมิน รู้เพียงแค่ว่า แต่ละนาทีที่เข็มนาฬิกาเดินไปช่างดูยาวนานแถมสร้างรอยแผลเป็นอันเจ็บปวดไปทั่วทุกอณูของความรู้สึกจนไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเมื่อไรที่หัวใจของเขาจะผ่านช่วงเวลาทรมานนี้ไปเสียที  กระดาษที่ถูกฉีกออกมายังถูกฝ่ามือของเขากำไว้แน่น ข้อความทุกตัวอักษรยังคงปรากฏความหมายในตัวมันอย่างชัดเจน

       

      “ เรื่องของเรามันก็เหมือนกับกระดาษแผ่นนี้แหละ....ถ้ามันเต็ม ทุกอย่างก็จะจบ....”

       

      มือหนึ่งขยำกระดาษจนมันแทบจะแหลกคามือ อยากจะเขวี้ยงมันทิ้งออกไปจากความรู้สึกก็ดูจะเปล่าประโยชน์เต็มทีเพราะในเมื่อเขากลับจำมันได้แม่นยำทุกตัวอักษร

       

      ไหนจะเพราะมือที่โดนรั้งไว้จากใครบางคน....

       

      “ ซองมิน ” เรียกเสียงแผ่วปลายเต็มทีแถมยังคราเครืออยู่ในลำคอ ร่างบางค่อยๆ คลี่กระดาษในมือของ คยูฮยอนออก ข้อความมากมายยังคงเรียงอยู่อย่างเต็มแน่นในพื้นที่จนแทบไร้ที่ว่าง  มือบางค่อยๆพลิกกระดาษอย่างระมัดระวังจนเจอข้อความสุดท้ายที่ตัวเองเป็นคนเขียนไว้

       

      “ เรื่องของเรามันก็เหมือนกับกระดาษแผ่นนี้แหละ....ถ้ามันเต็ม ทุกอย่างก็จะจบ....”

       

      มือเล็กจับปากกาอย่างมุ่งมั่นก่อนจะขีดลากทับตรงข้อความนั้นหลายๆครั้งจนแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม ลายมือน่ารักกำลังเบียดขอเนื้อที่อย่างที่สุดก่อนที่ข้อความใหม่จะถูกเขียนอย่างสมบูรณ์ ซองมินส่งกระดาษคืนให้

       

       

      “ ถ้ามันเต็ม.....ฉันก็จะขีดทุกอย่างทิ้งไปให้หมด เพื่อให้เราได้เริ่มต้นกันใหม่”

      “เมื่อกี๊ฉันฟังคุณ ตอนนี้ก็ฟังฉันบ้างนะ ว่า ฉันก็ชอบคุณเหมือนกัน”

      รอยยิ้มฉายชัดบนใบหน้ายามที่ได้นึกถึงเรื่องราวในอดีต ไหนจะเสียงพลิกตัวที่ดังมาจากเตียงนอนนุ่มที่วางอยู่ข้างโต๊ะเขียนหนังสือ  คยูฮยอนหันไปมองร่างบางที่นอนหลับสนิท มือหนาค่อยๆเลื่อนผ้าห่มที่หลุดออกจากตัวให้คลุมทับมาถึงหน้าอกเหมือนเดิม มือหนาปัดปรอยผมที่ตกระกัลใบหน้าหวานใสอย่างเบามือก่อนจะประทับริมฝีปากไปเบาๆ ที่หน้าผากเนียนอีกครั้งก่อนจะลุกออกจากเตียงเพื่อให้ซองมินได้นอนหลับอย่างสบาย ชายหนุ่มเติมเต็มเนื้อเพลงอีกครั้งโดยที่ไม่ต้องอาศัยรอยขีดฆ่าทิ้งจากของเดิม เพราะเขาไม่มีวันที่จะลบข้อความนี้อีกเด็ดขาด

       

      แม้จะกินข้าว แม้ตอนเวลาหลับ บ้าไปแล้วจริงๆ ก็มองแต่เธอเท่านั้น

      ไม่ว่าเมื่อไหร่ ทุกๆวันฉันก็อยู่ไม่ได้เมื่อไม่มีเธอ เกลียดจริงๆ

      ทำอย่างไง ฉันจะทำอย่างไง มันมากกว่าการได้รักเธอนะ

      ถึงเพื่อนๆจะล้อฉัน หัวใจของฉันทั้งหมดก็อยากจะฟังแต่เธอเท่านั้น.....

       

      รอยยิ้มฉายชัดขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อชายหนุ่มจรดปากกาเขียนคำสุดท้ายจนจบเนื้อความ จวบจนเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบจะถึงตีสี่แล้ว ร่างสูงโปร่งเก็บข้าวของบนโต๊ะไว้อย่างเดิม ก่อนจะค่อยๆ ทิ้งตัวลงเบียดร่างเจ้าของที่นอนที่ยังคงหลับตาสนิท ชายหนุ่มโอบกระชับวงแขนไปรอบๆ ผิวกายอุ่นอย่างเบามือที่สุดเพราะกลัวว่าซองมินจะตื่น เลื่อนผ้าห่มผืนหนาคลุมกระชับร่างทั้งสองเอาไว้

       

      “ รักคุณนะซองมิน” จูบแผ่วเบาไปทีเปลือกตาทั้งสองข้างพร้อมกับร่างของซองมินที่เผลอพลิกตัวเข้าหาแผ่นอกของเขาอย่างอัตโนมัติ เปลือกตาบางใสยังคงปิดสนิทมีเพียงลมหายใจที่ทอดยาวอย่างต่อเนื่องเท่านั้นที่คยูฮยอนได้ยิน ชายหนุ่มยิ้มพร้อมปิดเปลือกตาลงโดยที่มีร่างนุ่มนิ่มที่ซุกกายเข้าหา มือหนากอดประคองแผ่นหลังเนียนบางไล้ไปเบาๆ ก่อนที่จะเข้าสู่ภวังค์นิทราไปพร้อมกัน

       

      เมื่อผ่านคืนนี้ไป แล้วก็ผ่านไปอีกคืน แล้วก็อีกคืน และก็ผ่านความทรงจำที่ขี้ขลาดของฉัน...

      .

      .

      .

      .

      .

       

      “ ขอโทษนะครับ คุณคยูฮยอน ใกล้ถึงเวลาแล้วครับ” เสียงเคาะประตูพร้อมกับคำกล่าวอย่างนอบน้อม ร่างสูงโปร่งหันกลับไปมองเด็กหนุ่มที่เป็นผู้ช่วยของเขาก่อนจะจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อยอีกครั้ง

       

      ประตูห้องจัดงานถูกเปิดออกพร้อมกับกองทัพนักข่าวที่ต่างกรูกันเข้ามาตรงประตูทางเดิน ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มที่เดินมาคู่กับหญิงสาวสวยเรียกความสนใจของกล้องถ่ายรูปนับร้อยที่ถูกยกขึ้นอย่างอัตโนมัติ แสงไฟจากบนเวทีส่องมาที่คนทั้งคู่ก่อนจะถูกเบี่ยงเบนความสนใจจากพิธีกรในงาน

       

      “ วันนี้เราได้รับเกียรติจากคุณ ปาร์ค มินฮเย ศิลปินที่มาแรงที่สุดในตอนนี้นะครับ ตอนนี้เธอมาพร้อมกับซิงเกิ้ลใหม่ล่าสุดที่กำลังไต่อันดับบนชาร์ตของเรา...”

       

      “แต่สิ่งที่พิเศษสุดๆ ในวันนี้ก็คือ เราได้รับเกียรติจากนักแต่งเพลงหนุ่มไฟแรงที่อยู่เบื้องหลังงานเพลงของเธอมาร่วมพูดคุยกับเราด้วย ขอเสียงปรบมือให้กับคุณ โจ คยูฮยอนด้วยครับ “ แสงแฟลชนับร้อยสาดไปรวมกันจุดเดียวเมื่อชายหนุ่มยืนขึ้นทักทายสื่อมวลชนก่อนที่งานทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามลำดับ

       

      “ แล้วการร่วมงานกันในครั้งนี้เป็นยังไงบ้างครับ หลังจากที่คุณทั้งสองคนเคยร่วมงานกันมาแล้ว”

       

      “ เป็นเกียรติมากๆ ค่ะ ที่มีโอกาสได้ร้องเพลงที่คุณคยูฮยอนเป็นคนแต่งขึ้นมา เหมือนเป็นการร่วมการกันกับเพื่อนเก่าเลยค่ะ “ สาวน้อยมินฮเยกล่าวอย่างอารมณ์ดีก่อนที่คยูฮยอนจะเป็นฝ่ายตอบบ้าง บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการพูดคุยอย่างเป็นกันเอง จนมาถึงคำถามที่ทุกคนต่างให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ

       

      “ มาถึงเพลงที่ตอนนี้กำลังเป็นที่สนใจของทุกคนนะครับ....Listen to you….เพลงนี้มีที่มายังไงครับ ตอนผมฟังยังรู้สึกถึงความรักที่มันดูอบอุ่นมากๆ คุณช่วยเล่าถึงที่มาที่ไปให้เราฟังได้ไหมครับ” ชายหนุ่มยิ้มเมื่อถูกยิงคำถามอย่างตรงประเด็น

       

      “  เป็นเพลงที่ต้องมอบให้คนรักครับ แล้วผมก็เขียนเพลงนี้ขึ้นมาให้คนรักของผม” ตอบออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวเล่นเอาสื่อมวลชนส่งเสียงฮือ ยกเว้นมินฮเยที่ส่งยิ้มให้ราวกับรู้กันเป็นอย่างดี

       

      “ หมายความ คุณมีคนรักแล้วหรือครับ แล้วใครคือผู้โชคดีคนนั้น” ยิงคำถามต่อเพื่อไม่ให้ประเด็นที่ทุกคนกำลังสนใจขาดช่วงไป

       

      “ คนรักของคุณคือคุณมินฮเยหรือเปล่าครับ” พิธีกรในงานจุดประเด็นคำถามตรงประเด็นอีกครั้งในเรื่องความสนิทสนมของทั้งคยูฮยอนและมินฮเยคือสิ่งที่ทุกคนต่างให้ความสนใจ หลายคนเชียร์ให้ทั้งสองคนเป็นคู่รักกันจริงๆแต่ก็น้อยคนนักที่จะรู้ความจริงบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังเรืองราวเบื้องหน้าที่ทุกคนต่างกำลังให้ความสนใจอยู่ในเวลานี้

       

      “ ไม่ใช่แน่นอนค่ะ เราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน แต่ที่เราสนิทสนมกันมากก็เพราะว่า ฉันและคุณคยูฮยอนเราเคยร่วมวงดนตรีของทางคณะดุริยางค์ที่มหาวิทยาลัย ส่วนเขาก็เป็นนักร้องนำของวงด้วยค่ะ “ คำตอบของมินฮเยยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน แม้กระทั่งตัวพิธีกรเอง

       

      “ ถ้าไม่เชื่อ...เราลองมาฟังเสียงของคุณคยูฮยอนกันดีไหมคะ....” มินฮเยยื่นไมค์ให้ชายหนุ่มที่กำลังยืนอึ้งด้วยความคาดไม่ถึง แต่ก็รับไมค์จากมือของมินฮเยมาถือไว้ หญิงสาวตบบ่าชายหนุ่มให้กำลังใจ

       

      “ เขียนเพลงให้ฉันมาเยอะแล้ว นายลองร้องเองบ้างนะคยูฮยอน”  

       

      เสียงเพลงดังขึ้นหลังจากที่มินฮเยเดินลงจากเวทีไป ทำนองที่คุ้นหูที่เขาเป็นคนแต่งเองมากับมือกำลังรอน้ำเสียงของเขามาเติมเต็มหลังจากที่คยูฮยอนละทิ้งหน้าที่ของการเป็นนักร้องนำไปเกือบสามปี....มือของชายหนุ่มกำไมค์แน่นราวกับไม่ได้จับมาหลายปี ลมหายใจอุ่นถูกระบายออกมาจากปากเพื่อลดความตื่นเต้น ก่อนที่เนื้อเพลงท่อนแรกจะส่งถูกส่งออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ

       

      แม้จะดูตื่นเต้นนักกับการที่ได้กลับมาร้องเพลงอักครั้ง แต่ด้วยพรสวรรค์ด้านดนตรีที่มีอยู่รอบด้านทำให้ทุกคนต่างทึ่งไปกับน้ำเสียงอันนุ่มนวลและอบอุ่นที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างมีพลัง เสียงปรบมือดังกึกก้องเมื่อเสียงดนตรีจบลง คยูฮยอนยิ้มและรู้สึกอิ่มเอมใจอยู่ไม่น้อยที่ได้กลับมาทำในสิ่งที่ตัวเองชอบอีกครั้ง

       

      “ ว้าว....ผมทึ่งกับคุณจริงๆ....เสียงของคุณไพเพราะมากๆ “ พิธีกรในงานกลับขึ้นมาบนเวทีอีกครั้งพร้อมกับมินฮเยที่ปรบมือแสดงความชื่นชม ก่อนที่การสัมภาษณ์จะเริ่มต้นอีกครั้งในเวลาต่อมา

       

      “ แล้วเนื้อหาในเพลงละครับ....มันเหมือนกับว่า เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นระหว่างคนรัก...หมายความว่า คุณเขียนเนื้อเพลงนี้จากชีวิตส่วนตัวใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มยิ้มพยักหน้าลงซ้ำๆ

       

      “ ครับ...เนื้อเพลงทั้งหมด เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตผมโดยมีเขาเป็นแรงบันดาลที่สำคัญที่สุด”

       

      “ พอจะบอกได้ไหมครับว่า คนรักของคุณอยู่ในงานนี้หรือเปล่า....มันคงเป็นเรื่องที่ดีมาก ถ้าเธอมาร่วมงานและเป็นกำลังใจให้คุณในเวลานี้” ดวงคู่คมมองไปที่ด้านข้างของเวที ประสานกับดวงตาคู่กลมที่จ้องตอบ วูบหนึ่งคยูฮยอนรู้สึกถึงความระริกไหวที่อยู่ประกายของดวงตาคู่นั้น ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนก่อนจะลงจากเวทีท่ามกลางความตกใจของทุกคนในงาน

       

      “ ซองมิน” คว้าแขนคนตัวเล็กเอาไว้ขณะที่กำลังเดินหนีเพราะรู้ว่าคยูฮยอนกำลังจะทำอะไรบางอย่าง ซองมินส่ายหน้าอย่างหวาดกลัว มือเล็กพยายามสะบัดออกให้พ้นจากการเกาะกุมแต่ชายหนุ่มก็อาศัยแรงที่เหนือกว่ารั้งเอาซองมินให้เดินตามขึ้นมาด้วย

       

      “ นี่แหละครับ แรงบันดาลใจของผม” แนะนำอย่างภาคภูมิใจท่ามกลางสายตานับร้อยคู่ที่มองมาอย่างชื่นชม ไม่เว้นแม้พิธีกรในงานเองที่ปรบมือขึ้นต้อนรับ…..เห็นจะมีแต่ซองมินคนเดียวที่ทำหน้าไม่ถูกกับสถานการณ์ที่กำลังบีบคั้นเช่นนี้

       

      “ ถือว่าเป็นเกียรติมากเลยนะครับ ที่เรามีโอกาสได้พบกับแรงบันดาลใจของนักแต่งเพลงฝีมือเยี่ยมคนนี้เอาเป็นว่า แนะนำตัวหน่อยครับ” ซองมินยืนนิ่งขณะที่มือหนึ่งกำแน่นจนแทบจะจิกลงไปในเนื้อฝ่ามือ คยูฮยอนเห็นอาการคนรักแล้วก็เป็นฝ่ายตอบแทนเอง

       

      “ คนรักของผมชื่อ อี ซองมิน.”

       

      “ เค้า......ไม่สามารถตอบคำถามของทุกท่านได้ “

       

      “ สิ่งที่เราคุยกันในทุกวัน คือการใช้แค่แววตาและภาษามือเท่านั้น” เสียงอื้ออึงดังขึ้นจนซองมินร้องไห้ออกมา ร่างบางก้มหน้านิ่งหลบอยู่ด้านหลังของคยูฮยอนเมื่อแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปสาดเข้ามาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ชายหนุ่มกระชับมือคนรักแน่น แววตาคู่คมแฝงไปด้วยความอ่อนโยนและเด็ดเดี่ยว

       

      “ ครับ.....แม้ว่าเค้าจะไม่สามารถพูดกับผม หรือกับใครได้.....แต่สิ่งที่ทำให้เราอยู่ด้วยกันมาจนถึงวันนี้คือความรักและความเข้าใจ ”

       

      “ ผมคิดอยู่เสมอว่า เค้าคือคนปกติคนหนึ่ง และการที่ซองมินไม่สามารถสื่อสารทางคำพูดกับใครได้ไม่เคยทำให้ผมคิดว่า คนรักของผมต่างจากคนอื่น”

       

      “ แต่ซองมิน คนรักของผมมีความพิเศษมากกว่าคนอื่นอยู่อย่างหนึ่ง....ทุกคนอยากรู้ไหมครับ” เสียงที่เคยอื้ออึ้งเงียบสนิทลงทันทีราวกับใครกดสวิทซ์เอาไว้ คยูฮยอนมองไปรอบๆ ก่อนจะเฉลยคำตอบออกมา

       

      “สิ่งที่ว่านั้นก็คือ ในโลกของความเงียบงันที่คนรักของผมเผชิญอยู่ คงจะมีแต่ความรู้สึกของผมเท่านั้นที่ได้ยินมัน”

       

      “ เพลงนี้อาจจะจบอย่างไม่สวยงามเลยถ้าขาดซองมิน.....คนที่ทำให้ผมเติมเต็มเนื้อเพลงนี้ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ “

       

      “ เป็นกำลังใจให้เราสองคนด้วยนะครับ”  โค้งคำนับอย่างนอบน้อมท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง คยูฮยอนน้ำตาคลอแต่มือก็ยังจับมือของซองมินเอาไว้แน่น บรรยากาศในงานมีแต่ความชื่นมื่นและมีความสุขอย่างที่สุด ไม่เว้นแม้แต่พิธีกรในงานที่น้ำตาคลอไปกับเรื่องราวความรักของคนทั้งคู่ ไม่นานงานแถลงข่าวก็จบลงท่ามกลางเสียงปรบมือของทีมงานทุกคนที่ยินดีกับความสำเร็จในครั้งนี้

       

      “ ขอบคุณทั้งมินฮเยแล้วก็คยูฮยอนด้วยนะที่ทำให้งานของเราผ่านพ้นไปได้ด้วยดีมากๆ

       

      “ ขาดไม่ได้เลย.....พี่ขอบคุณซองมินที่ทำให้พี่รู้สึกว่า ความรักมันยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใดจริงๆ” คำขอบคุณถูกส่งผ่านออกมาจากปากของโปรดิวเซอร์ที่อยู่เบื้องหลังงานในวันนี้

       

      “ เป็นเกียรติมากๆ ที่ผมได้มีโอกาสได้พบกับคนรักของคุณนะ “ ชายหนุ่มยิ้มให้ ไม่เว้นแม้แต่ซองมินที่ส่งยิ้มให้เช่นกัน

       

      “ คยูฮยอน นายเล่นเซอร์ไพรส์แบบนี้ ถ้าฉันร้องไห้ไม่หยุดจะทำยังไง” เสียงแซวยังดังไม่เลิกเมื่อมินฮเยเอ่ยปากขึ้นมาบ้าง ทีมงานบางส่วนก็ยังคงเข้ามาแสดงความยินดีกันอย่างไม่ขาดปากโดยเฉพาะซองมินที่กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนในวันนี้ แม้จะยังตื่นเต้นกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ทุกคนก็ให้กำลังใจจนซองมินรู้สึกดีขึ้นมา ทั้งหมดอยู่คุยกันจนเวลาล่วงมาพักใหญ่ คยูฮยอนก็พาซองมินกลับโดยมีสายตานับสิบคู่ที่มองทั้งสองคนด้วยความชื่นชม

      .

      .

      .

       

      ใจกลางกรุงเมืองหลวงอย่างโซลในยามค่ำคืนช่างดูสวยงามราวกับความฝัน.....แสงไฟหลากหลายสีส่องประกายวับวาวราวกับอัญมณีที่สร้างเสน่ห์อยู่บนท้องฟ้ากว้าง....ดวงตาคู่กลมทอดมองออกไปด้านนอก นึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาในชีวิตแล้วก็เผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

       

      “ ออกมายืนแบบนี้อีกแล้ว “ ผ้าคลุมผืนบางถูกคลี่ออกมากระชับแผ่นหลังเลยมาถึงด้านหน้าจากมือของร่างสูงโปร่งที่ยืนซ้อนอยู่เบื้องหลัง ชายหนุ่มวาดวงแขนโอบกอดซองมินเอาไว้ให้ร่างบางได้เอนพิงอย่างอุ่นใจ

       

      “ โกรธผมไหม เรืองวันนี้” กระซิบเบาๆ ข้างหู ซองมินส่ายหน้าไปมายิ้มๆ ก่อนจะพลิกตัวเองให้หันหน้ามามองคนรัก

      (( ฉันกลัวที่จะต้องแสดงตัวให้ใครรู้ ))

       

      (( ฉันอาย....อายที่ทุกคนรู้ว่า คุณมีคนรักเป็น......แบบนี้ ))  มือไม้ที่กำลังขยับไปมาหยุดลงเมื่อคยูฮยอนจับมือของคนรักให้หยุดพร้อมกับก้มลงปิดปากของซองมินด้วยเรียวปากสีสดของตัวเอง.....ชายหนุ่มแตะย้ำไปมาบนกลีบปากนุ่มบนล่างเบาๆ ก่อนจะผละออก

       

      “ สำหรับผม สถานะเดียวที่ผมอยากให้คุณนึกเอาไว้เสมอก็คือ....

       

      “ อี ซองมินคือคนรักของ โจ คยูฮยอน “

       

      “ ตั้งแต่วันที่ผมสารภาพรักกับคุณ จนมาถึงวันนี้.....แล้วก็ตลอดไป “ ข้อนิ้มแกร่งเกลี่ยซับน้ำตาให้คนรักอย่างอ่อนโยน ซองมินแนบใบหน้าลงกับแผ่นอกกว้างด้วยความอุ่นใจ มือบางวางทอดไปรอบเอวของร่างสูงโปร่ง คยูฮยอนดันร่างของซองมินออก จูบเบาๆ ที่หน้าผากเนียน

       

      (( ฉันอยากพูดกับคุณ....))

      (( อยากให้คุณได้ยินในสิ่งที่ฉันพูดเหมือนกับที่ฉันได้ยินคุณในทุกๆวันที่เราอยู่ด้วยกัน ))

       

      “ ผมก็เคยคิดว่า วันหนึ่งคุณจะต้องกลับมาพูดได้อีกครั้ง ผมอยากทำทุกวิถีทางเท่าที่จะได้ทำได้”

       

      “ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วต้องแลกมากับการที่คุณต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างเพื่อผม ผมจะล้มเลิกทุกอย่างให้หมด ผมไม่ต้องการเลย”

       

      ชายหนุ่มน้ำตาคลอเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสามเดือนที่แล้ว ซองมินตัดสินใจไปทำการรักษาที่อเมริกา แต่ทุกอย่างก็ล้มลงกลางคันเมื่อคยูฮยอนตัดสินใจพาซองมินกลับทั้งที่การรักษาเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น

       

      “ ผมขอโทษที่ล้มความตั้งใจของคุณ แต่ผมทนไม่ได้ที่เห็นคุณต้องอยู่โรงพยาบาลเป็นเดือนๆ ต้องฝึกโน่นฝึกนี่ ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ”

       

      (( ฉันอยากทำทุกอย่างเพื่อคุณบ้าง ))

       

      “ แค่คุณอยู่ข้างๆผมเท่านี้ก็พอแล้วซองมิน  ผมไม่ต้องการอะไรอีกเลย”  ซองมินสะอื้นออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินคำพูดของคนรัก คยูฮยอนประคองกอดร่างบางเอาไว้ในวงแขน มือหนากดศีรษะให้แนบกับอกอุ่นของตัวเอง ลูบไปที่เรือนผมนุ่มสีดำสนิทเบาๆพร้อมกับแต้มจูบแผ่วปลายไปที่ต้นคอระหง

       

      “ ต่อให้คุณเป็นแบบไหน  และแม้จะต่อให้เราต้องพูดกันผ่านคำพูดของผมแค่ฝ่ายเดียวหรือผ่านทางภาษามือของคุณ.....ผมก็รักที่คุณเป็นแบบนี้”

       

      “ ผมจะฟังคุณไปอย่างนี้ทุกวัน.....ผมสัญญา”

       

      (( คยูฮยอน.....))

       

      ผละออกจากอ้อมอกอุ่นเพื่อมองคนรักอย่างเต็มตา มือเล็กประคองใบหน้าคมมาไว้ในอุ้งมือก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปที่แก้มนุ่มทั้งซ้ายขวา คยูฮยอนยิ้มมองซองมินด้วยความรักอย่างที่สุด

       

      “ ผมรักซองมินนะ.....รักมาก.....แล้วซองมินล่ะ รักผมไหม”  หลบสายตาเมื่อถูกถามตรงๆ ร่างเล็กหันหลังหนีแต่ก็ไม่เกินสุดปลายแขนของชายหนุ่มที่รั้งเอาเอวบางมาจูบไปเบาๆที่แก้ม ซองมินวางทาบฝ่ามือลงบนหน้าอกข้างซ้ายของชายหนุ่ม ไล้ไปมาบนเนื้อผ้าก่อนจะเงยหน้ามองตอบ

       

      “หืม...”

       

      กลีบปากอิ่มค่อยๆ เผยอออกจากกัน ซองมินกำมือแน่นพยายามนึกถึงตอนที่ฝึกออกเสียงเวลาที่มีคนสอนตอนที่อยู่โรงพยาบาล....เรียวลิ้นเล็กแตะที่เพดานปากบนพยายามออกเสียงให้มากที่สุด ลมอุ่นแผ่วเบาค่อยๆถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากจนคยูฮยอนต้องก้มลงมาฟังใกล้ๆ

       

      “ ระ.....ระ...รัก “ ลมหายใจถูกปล่อยออกมาจนสุดราวกับแทบหยุดหายใจ ซองมินถอนหายใจออกมา อย่างถี่รัวเพราะต้องออกแรงในการพูดเป็นอย่างมาก

       

      “ ซองมิน....” มองคนรักน้ำตาคลอ ซองมินเองก็น้ำตาคลอเช่นเดียวกัน

       

      “ พอแล้ว.....พอแล้ว มากเกินพอแล้ว ”

       

      ซับน้ำตาออกจากใบหน้าหวานของคนรักอย่างเบามือ ชายหนุ่มก้มศีรษะลงอีกเล็กน้อยเพื่อวางเรียวปากให้ประทับลงบนกลีบปากนุ่มของร่างบางอีกครั้ง  เปลือกตาบางใสหลับพริ้มลงอย่างช้าๆ เมื่อเกลียวลิ้นอุ่นจัดแทรกผ่านไรฟันสีขาวเข้าไปแตะกับเรียวลิ้นเล็กของตนที่เผยอตอบอย่างว่าง่าย  มือเรียวเล็กทั้งสองข้างค่อยๆ เลื่อนมาพักไว้ที่ต้นคอของชายหนุ่ม เคล้าคลึงกลุ่มผมนุ่มตรงบริเวณท้ายทอยพร้อมกับเบียดร่างของตัวเองเข้ามาแนบกับแผ่นอกกว้างอย่างอัตโนมัติ    คยูฮยอนถอนริมฝีปากออกช้าๆ ก่อนจะแตะซ้ำไปที่กลีบปากบนล่างอีกครั้งและปิดท้ายด้วยการรั้งเอาร่างบอบบางของคนรักเข้ามากอดไว้แน่น  ผ้าห่มผืนเดิมหลุดร่วงลงไปกองไว้ที่พื้นโดยปราศจากการเหลียวแลอีกต่อไปเมื่อมีอ้อมกอดและวงแขนที่ทำหน้าที่โอบล้อมทั้งสองคนเอาไว้ด้วยความรู้สึกที่เติมเต็มซึ่งกันและกันอย่างเต็มเปี่ยมเข้ามาแทนที่  ภายใต้เงาของแสงสียามค่ำคืนจากแสงไฟใจกลางเมืองหลวงยังคงสะท้อนภาพของทั้งสองคนที่ยังคงมอบความรักให้กันและกันอย่างไม่รู้เบื่อตัดกับภาพของความวุ่นวายกลางเมืองใหญ่ได้อย่างสอดคล้องและประสานกันได้อย่างลงตัวจนยากที่จะแยกทั้งคู่ออกจากกันได้

       

       

      เนิ่นนาน....

      และตลอดไป....

       

      แม้เวลาไม่หยุดและ ทำอะไรไม่ถูก เธอเท่านั้นที่หัวใจฉันเรียกหา

      รอยยิ้มที่สว่างไสว ท่าทางของเธอ มือของเธอ ทำให้หัวใจของฉันมีความสุข

      ไม่ว่าเมื่อไหร่ รอยยิ้มของหัวใจในดวงตาของฉันก็ไม่จากเธอไปไหน ตลอดไป

      หัวใจของฉันฟังแต่เธอ ตั้งแต่หัว จนถึงปลายเท้า

      แม้โลกของเสียงหัวเราะทั้งหมด หัวใจของฉันทั้งหมดก็อยากจะฟังแต่เธอเท่านั้น

      หนึ่ง สอง สาม ตอนที่เธอหัวเราะ ลมหายใจฉันก็เหมือนจะหยุด

      อาจเป็นช่วงเวลานั้นของเธอ ทำให้ฉันรักเธอและจูบเธอทุกๆวัน ตลอดไป



      Love you Love you Love you
      Love you Love you Love you Oh my baby my love

       

      END

       
      เจอกันตอน chapter 2. ค่ะ ^^

      ฟิคอาจจะไม่ใหม่นะคะ สำหรับคนที่เคยอ่านในเวบเมนหลักคู่นี้มาก่อน เช่น kmth / kyuminworld  ไรท์เตอร์ก็ยังเป็นเจ้าเดิมค่ะ แต่ชื่อเสียงเรียงนามอาจจะ re-name นิดนึง เผื่อเบื่อชื่อเก่ากันเเล้ว

      ปล. อยากอ่านคอมเมนต์ของรีดเดอร์ที่นี่จังเลย เพื่อเป็นกำลังใจกัน ขอบคุณค่ะ


       

       

       

       



       

       

       

       

       

       

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×