ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    *****มนต์รักข้าวสารเสกและดอกเก็กฮวย****

    ลำดับตอนที่ #1 : เปิดตัว

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ย. 49


    บทที่1

    “ไป ไป ไม่เอา” เสียงหญิงเจ้าของร้านไล่
     
    “เออ...เจ๊คะ  ไม่ซื้อไม่เป็นไรค่ะ ฟังก่อนคะหนูมาแนะนำเฉยๆ” เสียงใส ใส ที่เจือปนไปด้วยความเหนื่อยหอบตอบกลับ  
      
      “ไม่เอา ฟังเธอพูดชั้นก็ไม่ซื้ออยู่ดี ไปเหอะจะได้ไม่เสียเวลา”ลูกค้าแย้ง
     
    “โธ่...เจ๊คะ”เสียงแทบจะไม่ใสตอบกลับ

     “ไปไป พูดไม่รู้เรื่อง ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น”เจ้าของร้านยังคงไล่

     “งั้นก็...หนูฝากเอกสารไว้ให้ดูนะคะเผื่อจะเปลี่ยนใจ” คนถูกไล่บอกพร้อมกับวางเอกสารแนะนำสินค้าไว้บนโต๊ะ

     “หนูลาล่ะค่ะ สวัสดีค่ะ ขอบคุณมากนะค๊ะ อาม่า”คนถูกไล่ยกมือไหว้ลาอาม่าเจ้าของร้านที่ตัวเองเรียกแล้วเดินออกมา

     “ไอ้หย่า...มาเรียกชั้นว่าอาม่า”เจ้าของร้านพึมพำน้ำเสียงโกรธจัดที่ถูกหาว่าแก่ 

     แสงแดดเจิดจ้าของเวลา 13. 00 น.ส่องกระทบผิวขาวนวลเข้าอย่างจัง ดีที่เจ้าตัวทาครีมกันแดดค่าเอสพีเอฟสูงไว้ป้องกันแล้ว แต่ก็นั่นแหละหล่อนทาของหล่อนมาตั้งแต่เช้าป่านนี้มันคงละลายหายไปกับเหงื่อแล้วล่ะมั้ง บ่ายโมงแล้วหล่อนเพิ่งเข้าพบลูกค้าได้เพียง 2 เจ้า แถมยังไม่มีออร์เดอร์สินค้าในมือเลยสักแผ่น!!ก็ กว่าจะออกจากออฟฟิศก็ สิบโมงครึ่งแล้ว เจ้านายเรียกประชุมให้นโยบายทุกเช้าอย่างไม่มีเหตุผล เข้าไปนั่งฟังเจ้านายด่าๆอย่างวันนี้ก็โดนเรื่องที่ ผ่านมา 10 วันของเดือนแล้ว ยอดขายยังเข้ามาไม่ถึง 30 % ก็เศรษฐกิจสมัยนี้ล่ะนะใครๆจะอยากสั่งออร์เดอร์ไปตุนตั้งแต่ต้นเดือนล่ะ ยอดขายที่เหมือนบัวพ้นน้ำของเดือนที่แล้วน่ะ มันอัดเต็มอยู่แน่นสต๊อกลูกค้าบานตะไท เจ้านายก็ช่างไม่เข้าใจซะเลย...หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดกับความคิดและอากาศที่ร้อนจนแทบระอุตอนนี้

     ยัยอาม่า ร้านเมื่อกี๊ ก็ช่างกะไร ยังไม่ทันพูดอะไรเลย ก็ไล่เธอออกมาซะอย่างนั้น แก่จะตายอยู่แล้ว ตีนกาก็กากบาทซะเต็มหน้า  ที่เรียกเจ๊ไปน่ะบุญเท่าไหร่แล้ว  หล่อนแค่หวังจะขายของแต่เมื่อขายไม่ได้ ถูกไล่ออกจากร้าน  หล่อนจะแคร์ทำไม อย่างน้อยก็น่าจะพูดดีๆกับหล่อนบ้าง หล่อนแค่มาขายของเท่านั้นไม่ซื้อก็ไม่เห็นต้องปิดประตูตายขนาดนี้

     “Oh no no no อย่างนี้ไม่ดี
    Oh no no no อย่างนี้สงสัยไม่ดี
    Oh no no no อย่างนี้น่ากลัว คงจะเป็นฝันร้าย”

    เสียงเพลงโทรศัพท์ ที่เธอตั้งไว้ดังขึ้น เธอตั้งเพลงนี้ไว้สำหรับเบอร์โทรจากออฟฟิศเท่านั้น เพราะทุกครั้งที่เธอออกตลาดมาหาลูกค้า ถ้าเกิดมีสายเรียกเข้าจากออฟฟิศเข้ามา ไม่เคยสักครั้งที่จะไม่ทำให้เธอปวดหัว ไหนจะส่งสินค้าไม่ทัน ไหนจะลูกค้ามีปัญหาเรื่องคุณภาพสินค้าโทรมาโวยวายกับทางออฟฟิศ แล้วออฟฟิศก็โทรมาแจ้ง(ด่า)หล่อนอีกที

    โอ้ย...ไม่อยากจะรับเลย มีเรื่องอะไรอีกนะ หล่อนคิด ไวเท่าที่ใจคิดมือก็กดปุ่มรับสายขึ้นมา

    “สวัสดีค่ะ”หล่อนกรอกเสียงลงไป

    “แหม...เสียงสวยเชียวนะยะ ยัยปิ่น”เสียงทางโน้นแซวกลับ “นึกว่าหนุ่มที่ไหนรึงัยจ๊ะ”

    “โธ่...เจ๊ปลา เบอร์ออฟฟิศโชว์หราอย่างนี้ ทำไมปิ่นจะไม่รู้” หล่อนทำเสียงเล็กเสียงน้อยตอบกลับ

    “มีไรอีกล่ะ”หล่อนถามน้ำเสียงเบื่อหน่าย

    “จะมีอะไร ก็เรื่องเดิมๆ นั้น”ฝ่ายโน้นเย้า

    “เรื่องเดิมๆน่ะอะไร ก็มันมีหลายเรื่องเดิมๆเหลือเกินนี่”

    “ก็คืออย่างนี้...ขนส่งส่งของไม่ทันเพิ่งโหลดของขึ้นเมื่อกี๊นี้เอง ที่นัดไว้น่ะเลื่อนเวลาออกไปหน่อยนะ ถึงร้านลูกค้ารายสุดท้ายก็ประมาณ 3 ทุ่ม”เจ๊ปลาตอบกลับ

    “3ทุ่ม!!!” “ลูกค้าที่ไหนมันจะเปิดร้านรอ  2 ทุ่มเค้าก็ปิดร้านขึ้นไปนอนกกเมียหมดแล้ว”

    “หล่อนล่ะก็...ปากไวจริงนะ...ก็รู้ๆกันอยู่ ส่งไม่ได้หล่อนก็โทรไปเลื่อนซิยะ...เลื่อนเป็นส่งวันเสาร์ไปซะ แล้วเดี๋ยวชั้นจะโทรบอกขนส่งให้ว่าลูกค้าสัก 4 รายหลังเลื่อนไปส่งวันเสาร์แทน จะได้ไม่มีปัญหาทั้งขนส่ง ทั้งลูกค้า เข้าใจ๋” เจ๊ปลาร่ายยาว

    “เอางั้น...ทิ้งกันง่ายๆอย่างนี้นะ ให้ปิ่นโทรไปเลื่อนลูกค้าอีกแล้ว”ปิ่นท้วงอย่างเซ็งๆ

    “ก็จะมีวิธีไหนจะดีไปกว่านี้ละจ๊ะ...แม่ปัญชิกา” “ตกลงตามนี้นะเคลียร์ด้วยล่ะ บ้ายบาย” แล้วเจ๊ปลาก็วางสายไปทันที

    โอ้ย...แม่เจ้า...ทิ้งปัญหาไว้ให้ชั้นแก้อีกแล้ว ปิ่นหรือปัญชิกาคิด โทรไปเลื่อน โทรไปเลื่อน นึกว่ามันง่ายๆนักรึไง หล่อนต้องชักเพลงดาบแม่น้ำร้อยสายมาหว่านล้อม เฮียคะ..เฮียขา เจ๊คะ..เจ๊ขา กว่าลูกค้าจะยอมเข้าใจค่าโทรศัพก็กินหัวกินตัวหล่อนไปเยอะแล้ว ท้ายสุดหล่อนต้องรับฟังคำประชดประชันจากบรรดาเจ๊ๆเฮียๆที่เขี้ยวลากดินเป็นประจำ

    ‘สั่งสินค้าจากเธอเหมือนสั่งน้ำมูก สั่งหาย สั่งหาย’
    ‘โอ้ยแม่บริษัทเทวดา ต้องรอสินค้าหล่นลงมาจากฟ้าถึงจะได้’
    ‘ของน่ะ...จะขายวันนี้นะไม่ได้ขายพรุ่งนี้ สินค้าหมดแล้ว ลูกค้าเค้าก็มารอของจะให้ชั้นทำไง’
    ‘เอายี่ห้ออื่นมาลงเลยดีมั้ย’

    สุดแล้วแต่บรรดาเจ้าของร้านที่ผิดหวังในเรื่องการส่งสินค้าทั้งหลายจะสรรหามาประชดประชัน ประมาณว่าในเมื่อของไม่ได้ก็ขอด่าซะหน่อยก็ยังดี  

     “!!!เวรกรรมอะไรของชั้นนะ!!!” ปิ่นตะโกน

     “บ้ารึเปล่า”หญิงเก็บของเก่าที่กำลังก้มหน้าเก็บขยะจากถังขยะเงยหน้าขึ้นมาถาม

     “เอ่อ...ขอโทษนะคะ”ปิ่นโค้งให้หญิงคนนั้นแล้วรีบเดินต่อไป

     “สงสัยท่าจะบ้าจริง”หญิงเก็บของเก่าพึมพำไล่หลังหญิงสาวมา

     บ่ายโมงกว่าแล้วเลยเวลาอาหารเที่ยงมา 1 ชั่วโมงกว่าแต่ชีวิตของหล่อนตั้งแต่ทำงานเป็นพนักงานขายมาน้อยครั้งมากที่จะได้กินข้าวตรงเวลา หิวแล้ว แต่ยังเหลือร้านลูกค้าที่หล่อนต้องไปอีก หล่อนจึงเปิดสมุดบันทึกขึ้นเพื่อดูรายชื่อลูกค้าที่นัดไว้
     “เหลืออีกตั้ง 6 ร้าน อ้อ...ร้านต่อไปเป็นร้านสยามโภชนา ดีล่ะ เดี๋ยวเราแวะกินข้าวหมูกรอบร้านพี่บัวไรเลยดีกว่า”ปิ่นพึมพำ
      *******************************************************************

     คนงานที่กำลังยกป้ายขึ้นติดหน้าร้านตามคำสั่งของเฮียไชย ปาดเหงื่อที่หยดพราวบนใบหน้า เนื่องจาก 15 นาทีกว่าแล้ว ยังติดไม่ตรงใจนายจ้างเลยแม้แต่น้อย เดี๋ยวเอียงซ้าย เดี๋ยวเอียงขวา พอติดได้ที่ก็ให้เลื่อนขึ้นไปอีก หากพอเขาติดเรียบร้อยแล้ว เฮียไชยก็บอกให้เลื่อนลงมาที่เดิม เพราะเกรงว่าจะเสียฮวงจุ้ยไป

     “เฮียคร้าบ...ผมว่าเฮียไปดูฮวงจุ้ยให้ดีดีก่อนดีกว่า แล้วผมค่อยคิดมาติดให้ใหม่”หนึ่งในคนงานที่ยกป้ายอยู่ตะโกนลงมาจากชั้นสองของร้านที่เขาปีนขึ้นไปติดป้าย

     “ไอ้คุณเหลี่ยม...ทำไป...อย่าบ่น ลื้อติดตรงนั้นน่ะดีแล้ว อั้วไม่เปลี่ยนใจแล้ว มันต้องดีดีหน่อยสิโว้ย ลูกชายเปิดร้านทั้งที”เฮียไชยตะโกนตอบอย่างขำขำและ
    อารมณ์ดี

     “วิลเลี่ยม ครับเฮีย วิลเลี่ยม”วิลเลี่ยม หรือ เหลี่ยมตะโกนลงมาอย่างแกล้งไม่พอใจ

     “บอกว่าอยู่กรุงเทพให้เรียกวิลเลี่ยม วิลเลี่ยม เรียก เหลี่ยม อยู่ได้”

     “เออ...เออ...ไอ้คุณวิลเหลี่ยม”ผู้เป็นนายตอบกลับ

     วิลเลี่ยม หรือ เหลี่ยม ติดสอยห้อยตามเขามาจากภาคอีสานเพื่อมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงและกำลังหลักให้ลูกชายของเขา ถึงมันจะทะเล้นทะลึ่งตึงตังไปบ้างแต่เขาก็รู้ว่ามันป็นคนดี รักเจ้านายเท่าชีวิต ก็เพราะเขาเก็บสองแม่ลูกมาจากกระท่อมหลังวัดแถวบ้าน พ่อของวิลเลี่ยมตายด้วยอุบัติเหตุรถสิบล้อประสานงาหลังจากกลับส่งข้าวสารให้กับบริษัทๆหนึ่งในกรุงเทพ พ่อของวิลเลี่ยมจากไปทันที่ที่เกิดอุบัติเหตุทิ้งให้สองม่ลูกอยู่ลำพัง เมื่อเมียของเขาไปแจ้งข่าวนั้น แม่ของไอ้เหลี่ยมก็แทบไม่เป็นอันทำอะไร นอกจากพร่ำรำพันถึงผัวของนางอย่างเดียว  หลังจากที่เฮียไชยจัดงานศพให้ผัวของนางแล้ว เมียของเขาก็รับสองแม่ลูกเข้ามาทำงานในบ้านตั้งแต่นั้น

     เหลี่ยม แม้จะเพิ่งอายุได้ 8 ขวบ ก็รับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น และรู้สึกได้ว่าเขาต้องกตัญญุต่อนายของพ่ออย่างถึงที่สุด เพราะนอกจากที่อยู่ที่กินและเงินเดือนที่แม่ได้รับแล้ว เฮียไชยและเมียยังช่วยสงเสียให้เขาได้เรียนหนังสือจนจบ เขาเลือกที่จะเรียนต่อที่วิทยาลัยเกษตรหลังจากจบ ม.3 แล้วและเลือกที่จะเรียนภาคค่ำเพื่อกลางวันจะได้ทำงานช่วยงานเฮียชัยได้ เมื่อเฮียไชยและคุณนิ่มมีลูก เขาก็คอยช่วยดูแลนายน้อยของเขาเสมอ

     
    นายน้อย หรือ นภธีส์ ของเขาเกิดขึ้นมาหลังจากที่ เหลี่ยมกับแม่เข้ามาอาศัยใบบุญเฮียไชยได้ 2 ปี เมื่อเขาอายุ 15 คุณธีตามที่เขาเรียกอายุได้เพียง 5 ขวบ ซึ่งขณะนั้นกำลังซนได้ที่ วันหนึ่งคุณธีส์ของเขาถีบจักรยานเด็กเล่นอยู่ภายในบริเวณโรงสีใหม่ที่กำลังก่อสร้างแทนโรงสีหลังเก่าเพื่อรองรับเครื่องสตาเก้ หรือเครื่องขัดข้าวที่เฮียไชยสั่งเข้ามาใหม่ ขณะที่คุณธีถีบจักรยานเล่นอยู่นั้น นั่งร้านของช่างก่อสร้างหล่อนลงมาตรงนั้นพอดี เหลี่ยมอยู่ใกล้ๆแถวนั้นจึง วิ่งไปอุ้มคุณธีของเขาออกมาแต่ไม่พ้น ขาของเขาถูกทับด้วยไม้ที่สร้างเป็นนั่งร้านทับพอดีทั้งที่เขายังกอดนายน้อยของเขาไว้มั่น เหตุการณ์ตอนนั้นทำให้เหลี่ยมขาหัก  1 ข้าง เมื่อได้รับการเข้าเฝือกแล้ว เหลี่ยมก็ยังเขยกขาเดียวตามคุณหนูของเขาไปทั่ว จนเฮียไชยต้องคอยห้ามและให้ไปพัก

     การเอาชีวิตเข้าเสี่ยงครั้งนั้นของเหลี่ยมทำให้เฮียไชยรักและไว้วางใจเขามากขึ้น เมื่อเห็นเหลี่ยมมาแต่เล็กแต่น้อยทุกสิ่งที่เหลี่ยมทำบ่งบอกถึงความกตัญญูทั้งสิ้น ต่อมาเรื่องเงินๆทองๆที่ต้องนำไปฝากธนาคารหากเฮียไชยไม่ว่างก็อาศัยไหว้วานเหลี่ยมไปทำแทนเสมอ เหลี่ยมก็ทำได้ไม่เคยบกพร่อง 

     ครั้งนี้ก็เหมือนกันเมื่อ นภธีส์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเฮียไชยจบการศึกษาระดับปริญญาโทแล้ว นภธีส์ได้ขออนุญาตผู้เป็นพ่อเปิดร้านขายข้าวสารในกรุงเทพเพื่อศึกษาการทำตลาดสมัยใหม่และเล่ห์กลโกงของบริษัทต่างๆ เมื่อผู้เป็นพ่ออนุญาตเขาก็หาทำเลโดยเฮียไชยส่งเหลี่ยมมาเป็นองค์รักษ์และที่ปรึกษา ต่อมาเมื่อได้ทำเลร้านเป็นหลักแหล่งแล้วเฮียไชยก็ส่งเหลี่ยมมาช่วยดูแลลูกชายแบบถาวรไม่ต้องกลับไปช่วยเขาที่อุบลอีก

     อีก 3 วันจะเป็นวันเปิดร้าน วันนี้เฮียไชยและลูกชายจึงระดมลูกน้องช่วยกันตกแต่งร้านเพื่อให้ทันวันเปิดร้านที่ใกล้จะถึงนี้ 

     “พ่อครับ พ่อเข้ามาในร้านเถอะครับ ข้างนอกแดดร้อน” นภธีส์เดินมาเรียกพ่อของเขาให้กลับเข้ามาในร้าน

     “มัวไปยืนทะเลาะกับพี่เหลี่ยมเอ้ย...วิลเลี่ยมเขาอยู่ได้  ปล่อยเขาทำกันเองเถอะครับ พ่อแค่บอกตำแหน่งก็พอ”

     “ก็กลัวมันติดไม่ดีผิดฮวงจุ้ย ที่ซินแสเค้ากำหนดได้ ...ขอบใจลูก”ประโยคหลังกล่าวขอบใจลูกชายที่ส่งแก้วน้ำเก๊กฮวยเย็นๆมาให้

     “แล้วนี่แม่ไปไหนล่ะเนี่ย”เฮียไชยถามลูกชาย

     “แม่ออกไปกับยัยนุ่นครับพ่อ เห็นว่าจะไปเดินเล่นที่ห้างใกล้ๆ”นภธีส์ตอบ
    นุ่นคือน้องสาวที่เกิดมาตอนที่เขาอายุได้ 10 ขวบ เป็นลูกหลงของพ่อและแม่ หล่อนจึงเป็นน้องสาวตัวน้อยของเขาที่มีแต่คนรักคนเอาใจด้วยเหตุที่ว่าตอนเกิดมาตัวเล็กนิดเดียวน้ำหนักไม่ถึงเกณฑ์มาตราฐาน จึงต้องเข้าไปอยู่ตู้อบอยู่นานหลายวัน 

     “พอกัน ใจแตกกันทั้งแม่ทั้งลูก หลงกรุงเทพกันทั้คู่”เฮียไชยหัวเราะ

     “ใครใจแตกกันจ๊ะ เฮีย” นางนิ่ม หรือคุณนนทรี ทักขึ้นขณะเลื่อนประตูกระจกเข้ามาภายในห้องที่จัดไว้เป็นห้องทำงานของลูกชาย

     “ใครใจแตก...ไม่มี๊..”เฮียไชยลากเสียงสูง ส่ายหน้าไปมา

     “ก็เมื่อกี๊ นุ่นได้ยินนะคะ “นุ่นพูดขณะเกาะแขนแม่อยู่ข้างหนึ่ง

     “บ๊ะ...ไอ้ลูกคนนี้ ไม่ช่วยพ่อมันเล้ย”เฮียไชยบ่นอย่างเอ็นดู

     “ว่าไงล่ะจ๊ะเฮีย...ใครใจแตก”นางนิ่มถามย้ำแบบทีเล่นทีจริง

     “ธี...ว่าไง”แม่หันมาถามขา

     “เออ...เออ...พี่เหลี่ยมครับ” นภธีส์ตอบเมื่อเห็นพี่เหลี่ยมยกบันไดเดินผ่านห้องทำงานเข้าไปข้างหลัง

     “ใช่มั้ยครับพ่อ”นภธีส์โยนไปให้พ่อบ้าง

     “เอ่อ...เอ้อ...ใช้...อะ...อะ..ไอ้เหลี่ยม...จ้าแม่นิ่ม”เฮียไชยรับต่อ

     “คือไอ้เหลี่ยมน่ะมันเข้ากรุงเทพมาได้หน่อย มันก็ไม่ให้พวกเราเรียกไอ้เหลี่ยมอีกแล้ว มันบังคับเราให้เรียกมันว่า วิลเลี่ยมจ๊ะแม่นิ่ม” “ไอ้เหลี่ยมเนี่ยมันใช้ไม่ได้เลยนะ เม่นิ่ม เฮียถึงว่ามันใจแตกไง ใช่มั้ยพ่อธี” ประโยคหลังหันหาหน่วยสนับสนุนกับลูกชาย 

     “ครับแม่อย่างที่พ่อว่านั่นแหละครับ”ลูกชายช่วยเสริมเมื่อเห็นพ่อหันมา

      “เฮ้อ...ช่างมัน... เรียกมันเหลี่ยมๆ มันคงอายสาวน่ะ ก็เรียกมันวิลเลี่ยมไปแล้วกันรักษาหน้ามันหน่อย”นางนิ่มว่า

     “หยุดหัวเราะได้แล้วยัยนุ่น หัวเราะคิกคักอยู่ได้”นางนิ่มหันมาเอ็ด

     “เอานี่ ทั้งพ่อทั้งลูก แม่ซื้อของมาฝาก”นางตัดบท แล้วยื่นถุงทั้งหมดให้คนที่เป็นที่รักทั้งสอง

     *********************************************************************

     ร้านสยามโภชนา ป้ายชื่อร้านสีแดงของบริษัทน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่งเป็นผู้จัดทำให้ สีแดงซีดๆบ่งบอกถึงความเนิ่นนานของร้านที่เปิดขาย ด้วยข้าวหน้าเป็ดและข้าวหมูแดงหมูกรอบสูตรประจำตระกูลที่ขึ้นชื่อ และมีลูกค้าประจำที่กินกันมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า ทำให้ร้านนี้มียอดสั่งซื้อข้าวสารกับบริษัทของปัญชิกาเดือนละนับ 10 กระสอบ

     วันนี้ปัญชิกาแวะเข้ามาเยี่ยมลูกค้าหลังได้รับโทรศัพท์ไปต่อว่าเรื่องข้าวที่ดูเหมือนว่างวดนี้จะแฉะเกินไปจากบัวไรลูกสาวอาโกตามที่ใครๆเรียกกันทำให้หล่อนเองพลอยเรียกจนติดปากไปด้วย 

     “สวัสดีค่ะอาโก สวัสดีค่ะพี่บัวไร”ปิ่นยกมือไหว้เจ้าของร้านทั้งสอง

    “อาปิ่น ข้าวลื้องวดนี้แฉะนะ”อาโกเจ้าของร้านสยามโภชนาบอกกับปัญชิกา

     “รบกวนอาโกลดน้ำลงหน่อยนะคะ”ปิ่นตอบ

     “อาปิ่น ลื้อก็บอกอั๊ว อย่างนี้ทุกที ข้าวแข็งก็เพิ่มน้ำ ข้าวแฉะก็ลดน้ำ ทำไมบริษัทลื้อไม่ทำออกมาให้มันพอดีล่ะ อั๊วล่ะหน่าย” อาโกบ่น

     “โธ่...อาโก...มันเป็นสินค้าเกษตร มันควบคุมยาก มีปัญหาทีไร ปิ่นก็รายงานบริษัททุกครั้งนะ”ปิ่นแก้ตัว

     “เปลี่ยนมั้ยล่ะอาโก ปิ่นจะแจ้งเปลี่ยนให้”

     “ ไม่ล่ะ เสียเวลา ขนส่งลื้อไม่แน่ไม่นอน เดี๋ยวอั๊วไม่มีข้าวขาย”   

     “วันนี้กินอะไรดีล่ะ อาปิ่น”อาโกถาม

     “ข้าวหมูกรอบอย่างเคย อาโก ขอน้ำเก็กฮวยเย็นๆแก้วหนึ่งด้วยนะคะ”ปิ่นตอบ

     “นี่ปิ่น วันนี้พี่ทำขนมบัวลอยด้วยล่ะ ปิ่นเอาสักถ้วยมั้ย”บัวไรหันมาถาม

     “ยกมาเลยค่ะ...ปิ่นหิวจะแย่แล้ว...ต้องแต่เช้ายังไม่กินอะไรเลยนอกจากน้ำขวดเดียว”ปิ่นพูดพลางยกน้ำเปล่าขวดขนาดที่ขายกันทั่วไปให้บัวไรดู

     “อาปิ่น อั๊วว่าลื้อทำงานหนักไปรึเปล่า วันไหนพาเจ้านายมาอั๊วจะชมลื้อให้ ลื้อจะได้เงินเดือนขึ้นเยอะๆนา”อาโกปลอบ

     “หนักอะไร อาโก แค่นี้เจ้านายยังว่าเราไม่ทุ่มให้บริษัทไม่เต็มที่เลย”ปิ่นพูดปนหัวเราะ

     “นี่ถ้าไม่ได้ออร์เดอร์จากอาโกล่ะก็ปิ่นเศร้าแน่”ปิ่นประจบ

     “พูดอย่างนี้ แสดงว่ายังไม่ได้ออร์เดอร์สักแผ่นสิ”บัวไรทักอย่างรู้ทัน

     “แหม...พี่บัวไรก็...รู้ทันอย่างนี้ปิ่นก็แย่สิ”

     “งั้นเอามาให้อั๊ว  10 กระสอบแล้วกัน อาทิตย์นี้อั๊วยังไม่ได้สั่งเลยใช่มั้ย”อาโกถาม
    ขณะที่ยกจานข้าวหมูกรอบที่ปิ่นสั่งกินประจำมาให้

     “ขอบคุณค่ะ ปิ่นงี้รักร้านสยามโภชนาที่สุดเลย”ปิ่นพูดอย่างเอาใจและยิ้มประจบโดยไม่ได้เสแสร้ง

     หลังจากที่ปิ่นกินข้าวเสร็จแล้วก็อยู่คุยกับอาโกและพี่บัวไรสักพักจึงขอตัวลาเพื่อไปเยี่ยมลูกค้ารายอื่นๆต่อไป                                         

     ***************************************************     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×