ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เปิดตัว
บทที่1
“ไป ไป ไม่เอา” เสียงหญิงเจ้าของร้านไล่
“เออ...เจ๊คะ ไม่ซื้อไม่เป็นไรค่ะ ฟังก่อนคะหนูมาแนะนำเฉยๆ” เสียงใส ใส ที่เจือปนไปด้วยความเหนื่อยหอบตอบกลับ
“ไม่เอา ฟังเธอพูดชั้นก็ไม่ซื้ออยู่ดี ไปเหอะจะได้ไม่เสียเวลา”ลูกค้าแย้ง
“โธ่...เจ๊คะ”เสียงแทบจะไม่ใสตอบกลับ
“ไปไป พูดไม่รู้เรื่อง ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น”เจ้าของร้านยังคงไล่
“งั้นก็...หนูฝากเอกสารไว้ให้ดูนะคะเผื่อจะเปลี่ยนใจ” คนถูกไล่บอกพร้อมกับวางเอกสารแนะนำสินค้าไว้บนโต๊ะ
“หนูลาล่ะค่ะ สวัสดีค่ะ ขอบคุณมากนะค๊ะ อาม่า”คนถูกไล่ยกมือไหว้ลาอาม่าเจ้าของร้านที่ตัวเองเรียกแล้วเดินออกมา
“ไอ้หย่า...มาเรียกชั้นว่าอาม่า”เจ้าของร้านพึมพำน้ำเสียงโกรธจัดที่ถูกหาว่าแก่
แสงแดดเจิดจ้าของเวลา 13. 00 น.ส่องกระทบผิวขาวนวลเข้าอย่างจัง ดีที่เจ้าตัวทาครีมกันแดดค่าเอสพีเอฟสูงไว้ป้องกันแล้ว แต่ก็นั่นแหละหล่อนทาของหล่อนมาตั้งแต่เช้าป่านนี้มันคงละลายหายไปกับเหงื่อแล้วล่ะมั้ง บ่ายโมงแล้วหล่อนเพิ่งเข้าพบลูกค้าได้เพียง 2 เจ้า แถมยังไม่มีออร์เดอร์สินค้าในมือเลยสักแผ่น!!ก็ กว่าจะออกจากออฟฟิศก็ สิบโมงครึ่งแล้ว เจ้านายเรียกประชุมให้นโยบายทุกเช้าอย่างไม่มีเหตุผล เข้าไปนั่งฟังเจ้านายด่าๆอย่างวันนี้ก็โดนเรื่องที่ ผ่านมา 10 วันของเดือนแล้ว ยอดขายยังเข้ามาไม่ถึง 30 % ก็เศรษฐกิจสมัยนี้ล่ะนะใครๆจะอยากสั่งออร์เดอร์ไปตุนตั้งแต่ต้นเดือนล่ะ ยอดขายที่เหมือนบัวพ้นน้ำของเดือนที่แล้วน่ะ มันอัดเต็มอยู่แน่นสต๊อกลูกค้าบานตะไท เจ้านายก็ช่างไม่เข้าใจซะเลย...หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดกับความคิดและอากาศที่ร้อนจนแทบระอุตอนนี้
ยัยอาม่า ร้านเมื่อกี๊ ก็ช่างกะไร ยังไม่ทันพูดอะไรเลย ก็ไล่เธอออกมาซะอย่างนั้น แก่จะตายอยู่แล้ว ตีนกาก็กากบาทซะเต็มหน้า ที่เรียกเจ๊ไปน่ะบุญเท่าไหร่แล้ว หล่อนแค่หวังจะขายของแต่เมื่อขายไม่ได้ ถูกไล่ออกจากร้าน หล่อนจะแคร์ทำไม อย่างน้อยก็น่าจะพูดดีๆกับหล่อนบ้าง หล่อนแค่มาขายของเท่านั้นไม่ซื้อก็ไม่เห็นต้องปิดประตูตายขนาดนี้
“Oh no no no อย่างนี้ไม่ดี
Oh no no no อย่างนี้สงสัยไม่ดี
Oh no no no อย่างนี้น่ากลัว คงจะเป็นฝันร้าย”
เสียงเพลงโทรศัพท์ ที่เธอตั้งไว้ดังขึ้น เธอตั้งเพลงนี้ไว้สำหรับเบอร์โทรจากออฟฟิศเท่านั้น เพราะทุกครั้งที่เธอออกตลาดมาหาลูกค้า ถ้าเกิดมีสายเรียกเข้าจากออฟฟิศเข้ามา ไม่เคยสักครั้งที่จะไม่ทำให้เธอปวดหัว ไหนจะส่งสินค้าไม่ทัน ไหนจะลูกค้ามีปัญหาเรื่องคุณภาพสินค้าโทรมาโวยวายกับทางออฟฟิศ แล้วออฟฟิศก็โทรมาแจ้ง(ด่า)หล่อนอีกที
โอ้ย...ไม่อยากจะรับเลย มีเรื่องอะไรอีกนะ หล่อนคิด ไวเท่าที่ใจคิดมือก็กดปุ่มรับสายขึ้นมา
“สวัสดีค่ะ”หล่อนกรอกเสียงลงไป
“แหม...เสียงสวยเชียวนะยะ ยัยปิ่น”เสียงทางโน้นแซวกลับ “นึกว่าหนุ่มที่ไหนรึงัยจ๊ะ”
“โธ่...เจ๊ปลา เบอร์ออฟฟิศโชว์หราอย่างนี้ ทำไมปิ่นจะไม่รู้” หล่อนทำเสียงเล็กเสียงน้อยตอบกลับ
“มีไรอีกล่ะ”หล่อนถามน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“จะมีอะไร ก็เรื่องเดิมๆ นั้น”ฝ่ายโน้นเย้า
“เรื่องเดิมๆน่ะอะไร ก็มันมีหลายเรื่องเดิมๆเหลือเกินนี่”
“ก็คืออย่างนี้...ขนส่งส่งของไม่ทันเพิ่งโหลดของขึ้นเมื่อกี๊นี้เอง ที่นัดไว้น่ะเลื่อนเวลาออกไปหน่อยนะ ถึงร้านลูกค้ารายสุดท้ายก็ประมาณ 3 ทุ่ม”เจ๊ปลาตอบกลับ
“3ทุ่ม!!!” “ลูกค้าที่ไหนมันจะเปิดร้านรอ 2 ทุ่มเค้าก็ปิดร้านขึ้นไปนอนกกเมียหมดแล้ว”
“หล่อนล่ะก็...ปากไวจริงนะ...ก็รู้ๆกันอยู่ ส่งไม่ได้หล่อนก็โทรไปเลื่อนซิยะ...เลื่อนเป็นส่งวันเสาร์ไปซะ แล้วเดี๋ยวชั้นจะโทรบอกขนส่งให้ว่าลูกค้าสัก 4 รายหลังเลื่อนไปส่งวันเสาร์แทน จะได้ไม่มีปัญหาทั้งขนส่ง ทั้งลูกค้า เข้าใจ๋” เจ๊ปลาร่ายยาว
“เอางั้น...ทิ้งกันง่ายๆอย่างนี้นะ ให้ปิ่นโทรไปเลื่อนลูกค้าอีกแล้ว”ปิ่นท้วงอย่างเซ็งๆ
“ก็จะมีวิธีไหนจะดีไปกว่านี้ละจ๊ะ...แม่ปัญชิกา” “ตกลงตามนี้นะเคลียร์ด้วยล่ะ บ้ายบาย” แล้วเจ๊ปลาก็วางสายไปทันที
โอ้ย...แม่เจ้า...ทิ้งปัญหาไว้ให้ชั้นแก้อีกแล้ว ปิ่นหรือปัญชิกาคิด โทรไปเลื่อน โทรไปเลื่อน นึกว่ามันง่ายๆนักรึไง หล่อนต้องชักเพลงดาบแม่น้ำร้อยสายมาหว่านล้อม เฮียคะ..เฮียขา เจ๊คะ..เจ๊ขา กว่าลูกค้าจะยอมเข้าใจค่าโทรศัพก็กินหัวกินตัวหล่อนไปเยอะแล้ว ท้ายสุดหล่อนต้องรับฟังคำประชดประชันจากบรรดาเจ๊ๆเฮียๆที่เขี้ยวลากดินเป็นประจำ
‘สั่งสินค้าจากเธอเหมือนสั่งน้ำมูก สั่งหาย สั่งหาย’
‘โอ้ยแม่บริษัทเทวดา ต้องรอสินค้าหล่นลงมาจากฟ้าถึงจะได้’
‘ของน่ะ...จะขายวันนี้นะไม่ได้ขายพรุ่งนี้ สินค้าหมดแล้ว ลูกค้าเค้าก็มารอของจะให้ชั้นทำไง’
‘เอายี่ห้ออื่นมาลงเลยดีมั้ย’
สุดแล้วแต่บรรดาเจ้าของร้านที่ผิดหวังในเรื่องการส่งสินค้าทั้งหลายจะสรรหามาประชดประชัน ประมาณว่าในเมื่อของไม่ได้ก็ขอด่าซะหน่อยก็ยังดี
“!!!เวรกรรมอะไรของชั้นนะ!!!” ปิ่นตะโกน
“บ้ารึเปล่า”หญิงเก็บของเก่าที่กำลังก้มหน้าเก็บขยะจากถังขยะเงยหน้าขึ้นมาถาม
“เอ่อ...ขอโทษนะคะ”ปิ่นโค้งให้หญิงคนนั้นแล้วรีบเดินต่อไป
“สงสัยท่าจะบ้าจริง”หญิงเก็บของเก่าพึมพำไล่หลังหญิงสาวมา
บ่ายโมงกว่าแล้วเลยเวลาอาหารเที่ยงมา 1 ชั่วโมงกว่าแต่ชีวิตของหล่อนตั้งแต่ทำงานเป็นพนักงานขายมาน้อยครั้งมากที่จะได้กินข้าวตรงเวลา หิวแล้ว แต่ยังเหลือร้านลูกค้าที่หล่อนต้องไปอีก หล่อนจึงเปิดสมุดบันทึกขึ้นเพื่อดูรายชื่อลูกค้าที่นัดไว้
“เหลืออีกตั้ง 6 ร้าน อ้อ...ร้านต่อไปเป็นร้านสยามโภชนา ดีล่ะ เดี๋ยวเราแวะกินข้าวหมูกรอบร้านพี่บัวไรเลยดีกว่า”ปิ่นพึมพำ
*******************************************************************
คนงานที่กำลังยกป้ายขึ้นติดหน้าร้านตามคำสั่งของเฮียไชย ปาดเหงื่อที่หยดพราวบนใบหน้า เนื่องจาก 15 นาทีกว่าแล้ว ยังติดไม่ตรงใจนายจ้างเลยแม้แต่น้อย เดี๋ยวเอียงซ้าย เดี๋ยวเอียงขวา พอติดได้ที่ก็ให้เลื่อนขึ้นไปอีก หากพอเขาติดเรียบร้อยแล้ว เฮียไชยก็บอกให้เลื่อนลงมาที่เดิม เพราะเกรงว่าจะเสียฮวงจุ้ยไป
“เฮียคร้าบ...ผมว่าเฮียไปดูฮวงจุ้ยให้ดีดีก่อนดีกว่า แล้วผมค่อยคิดมาติดให้ใหม่”หนึ่งในคนงานที่ยกป้ายอยู่ตะโกนลงมาจากชั้นสองของร้านที่เขาปีนขึ้นไปติดป้าย
“ไอ้คุณเหลี่ยม...ทำไป...อย่าบ่น ลื้อติดตรงนั้นน่ะดีแล้ว อั้วไม่เปลี่ยนใจแล้ว มันต้องดีดีหน่อยสิโว้ย ลูกชายเปิดร้านทั้งที”เฮียไชยตะโกนตอบอย่างขำขำและ
อารมณ์ดี
“วิลเลี่ยม ครับเฮีย วิลเลี่ยม”วิลเลี่ยม หรือ เหลี่ยมตะโกนลงมาอย่างแกล้งไม่พอใจ
“บอกว่าอยู่กรุงเทพให้เรียกวิลเลี่ยม วิลเลี่ยม เรียก เหลี่ยม อยู่ได้”
“เออ...เออ...ไอ้คุณวิลเหลี่ยม”ผู้เป็นนายตอบกลับ
วิลเลี่ยม หรือ เหลี่ยม ติดสอยห้อยตามเขามาจากภาคอีสานเพื่อมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงและกำลังหลักให้ลูกชายของเขา ถึงมันจะทะเล้นทะลึ่งตึงตังไปบ้างแต่เขาก็รู้ว่ามันป็นคนดี รักเจ้านายเท่าชีวิต ก็เพราะเขาเก็บสองแม่ลูกมาจากกระท่อมหลังวัดแถวบ้าน พ่อของวิลเลี่ยมตายด้วยอุบัติเหตุรถสิบล้อประสานงาหลังจากกลับส่งข้าวสารให้กับบริษัทๆหนึ่งในกรุงเทพ พ่อของวิลเลี่ยมจากไปทันที่ที่เกิดอุบัติเหตุทิ้งให้สองม่ลูกอยู่ลำพัง เมื่อเมียของเขาไปแจ้งข่าวนั้น แม่ของไอ้เหลี่ยมก็แทบไม่เป็นอันทำอะไร นอกจากพร่ำรำพันถึงผัวของนางอย่างเดียว หลังจากที่เฮียไชยจัดงานศพให้ผัวของนางแล้ว เมียของเขาก็รับสองแม่ลูกเข้ามาทำงานในบ้านตั้งแต่นั้น
เหลี่ยม แม้จะเพิ่งอายุได้ 8 ขวบ ก็รับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น และรู้สึกได้ว่าเขาต้องกตัญญุต่อนายของพ่ออย่างถึงที่สุด เพราะนอกจากที่อยู่ที่กินและเงินเดือนที่แม่ได้รับแล้ว เฮียไชยและเมียยังช่วยสงเสียให้เขาได้เรียนหนังสือจนจบ เขาเลือกที่จะเรียนต่อที่วิทยาลัยเกษตรหลังจากจบ ม.3 แล้วและเลือกที่จะเรียนภาคค่ำเพื่อกลางวันจะได้ทำงานช่วยงานเฮียชัยได้ เมื่อเฮียไชยและคุณนิ่มมีลูก เขาก็คอยช่วยดูแลนายน้อยของเขาเสมอ
นายน้อย หรือ นภธีส์ ของเขาเกิดขึ้นมาหลังจากที่ เหลี่ยมกับแม่เข้ามาอาศัยใบบุญเฮียไชยได้ 2 ปี เมื่อเขาอายุ 15 คุณธีตามที่เขาเรียกอายุได้เพียง 5 ขวบ ซึ่งขณะนั้นกำลังซนได้ที่ วันหนึ่งคุณธีส์ของเขาถีบจักรยานเด็กเล่นอยู่ภายในบริเวณโรงสีใหม่ที่กำลังก่อสร้างแทนโรงสีหลังเก่าเพื่อรองรับเครื่องสตาเก้ หรือเครื่องขัดข้าวที่เฮียไชยสั่งเข้ามาใหม่ ขณะที่คุณธีถีบจักรยานเล่นอยู่นั้น นั่งร้านของช่างก่อสร้างหล่อนลงมาตรงนั้นพอดี เหลี่ยมอยู่ใกล้ๆแถวนั้นจึง วิ่งไปอุ้มคุณธีของเขาออกมาแต่ไม่พ้น ขาของเขาถูกทับด้วยไม้ที่สร้างเป็นนั่งร้านทับพอดีทั้งที่เขายังกอดนายน้อยของเขาไว้มั่น เหตุการณ์ตอนนั้นทำให้เหลี่ยมขาหัก 1 ข้าง เมื่อได้รับการเข้าเฝือกแล้ว เหลี่ยมก็ยังเขยกขาเดียวตามคุณหนูของเขาไปทั่ว จนเฮียไชยต้องคอยห้ามและให้ไปพัก
การเอาชีวิตเข้าเสี่ยงครั้งนั้นของเหลี่ยมทำให้เฮียไชยรักและไว้วางใจเขามากขึ้น เมื่อเห็นเหลี่ยมมาแต่เล็กแต่น้อยทุกสิ่งที่เหลี่ยมทำบ่งบอกถึงความกตัญญูทั้งสิ้น ต่อมาเรื่องเงินๆทองๆที่ต้องนำไปฝากธนาคารหากเฮียไชยไม่ว่างก็อาศัยไหว้วานเหลี่ยมไปทำแทนเสมอ เหลี่ยมก็ทำได้ไม่เคยบกพร่อง
ครั้งนี้ก็เหมือนกันเมื่อ นภธีส์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเฮียไชยจบการศึกษาระดับปริญญาโทแล้ว นภธีส์ได้ขออนุญาตผู้เป็นพ่อเปิดร้านขายข้าวสารในกรุงเทพเพื่อศึกษาการทำตลาดสมัยใหม่และเล่ห์กลโกงของบริษัทต่างๆ เมื่อผู้เป็นพ่ออนุญาตเขาก็หาทำเลโดยเฮียไชยส่งเหลี่ยมมาเป็นองค์รักษ์และที่ปรึกษา ต่อมาเมื่อได้ทำเลร้านเป็นหลักแหล่งแล้วเฮียไชยก็ส่งเหลี่ยมมาช่วยดูแลลูกชายแบบถาวรไม่ต้องกลับไปช่วยเขาที่อุบลอีก
อีก 3 วันจะเป็นวันเปิดร้าน วันนี้เฮียไชยและลูกชายจึงระดมลูกน้องช่วยกันตกแต่งร้านเพื่อให้ทันวันเปิดร้านที่ใกล้จะถึงนี้
“พ่อครับ พ่อเข้ามาในร้านเถอะครับ ข้างนอกแดดร้อน” นภธีส์เดินมาเรียกพ่อของเขาให้กลับเข้ามาในร้าน
“มัวไปยืนทะเลาะกับพี่เหลี่ยมเอ้ย...วิลเลี่ยมเขาอยู่ได้ ปล่อยเขาทำกันเองเถอะครับ พ่อแค่บอกตำแหน่งก็พอ”
“ก็กลัวมันติดไม่ดีผิดฮวงจุ้ย ที่ซินแสเค้ากำหนดได้ ...ขอบใจลูก”ประโยคหลังกล่าวขอบใจลูกชายที่ส่งแก้วน้ำเก๊กฮวยเย็นๆมาให้
“แล้วนี่แม่ไปไหนล่ะเนี่ย”เฮียไชยถามลูกชาย
“แม่ออกไปกับยัยนุ่นครับพ่อ เห็นว่าจะไปเดินเล่นที่ห้างใกล้ๆ”นภธีส์ตอบ
นุ่นคือน้องสาวที่เกิดมาตอนที่เขาอายุได้ 10 ขวบ เป็นลูกหลงของพ่อและแม่ หล่อนจึงเป็นน้องสาวตัวน้อยของเขาที่มีแต่คนรักคนเอาใจด้วยเหตุที่ว่าตอนเกิดมาตัวเล็กนิดเดียวน้ำหนักไม่ถึงเกณฑ์มาตราฐาน จึงต้องเข้าไปอยู่ตู้อบอยู่นานหลายวัน
“พอกัน ใจแตกกันทั้งแม่ทั้งลูก หลงกรุงเทพกันทั้คู่”เฮียไชยหัวเราะ
“ใครใจแตกกันจ๊ะ เฮีย” นางนิ่ม หรือคุณนนทรี ทักขึ้นขณะเลื่อนประตูกระจกเข้ามาภายในห้องที่จัดไว้เป็นห้องทำงานของลูกชาย
“ใครใจแตก...ไม่มี๊..”เฮียไชยลากเสียงสูง ส่ายหน้าไปมา
“ก็เมื่อกี๊ นุ่นได้ยินนะคะ “นุ่นพูดขณะเกาะแขนแม่อยู่ข้างหนึ่ง
“บ๊ะ...ไอ้ลูกคนนี้ ไม่ช่วยพ่อมันเล้ย”เฮียไชยบ่นอย่างเอ็นดู
“ว่าไงล่ะจ๊ะเฮีย...ใครใจแตก”นางนิ่มถามย้ำแบบทีเล่นทีจริง
“ธี...ว่าไง”แม่หันมาถามขา
“เออ...เออ...พี่เหลี่ยมครับ” นภธีส์ตอบเมื่อเห็นพี่เหลี่ยมยกบันไดเดินผ่านห้องทำงานเข้าไปข้างหลัง
“ใช่มั้ยครับพ่อ”นภธีส์โยนไปให้พ่อบ้าง
“เอ่อ...เอ้อ...ใช้...อะ...อะ..ไอ้เหลี่ยม...จ้าแม่นิ่ม”เฮียไชยรับต่อ
“คือไอ้เหลี่ยมน่ะมันเข้ากรุงเทพมาได้หน่อย มันก็ไม่ให้พวกเราเรียกไอ้เหลี่ยมอีกแล้ว มันบังคับเราให้เรียกมันว่า วิลเลี่ยมจ๊ะแม่นิ่ม” “ไอ้เหลี่ยมเนี่ยมันใช้ไม่ได้เลยนะ เม่นิ่ม เฮียถึงว่ามันใจแตกไง ใช่มั้ยพ่อธี” ประโยคหลังหันหาหน่วยสนับสนุนกับลูกชาย
“ครับแม่อย่างที่พ่อว่านั่นแหละครับ”ลูกชายช่วยเสริมเมื่อเห็นพ่อหันมา
“เฮ้อ...ช่างมัน... เรียกมันเหลี่ยมๆ มันคงอายสาวน่ะ ก็เรียกมันวิลเลี่ยมไปแล้วกันรักษาหน้ามันหน่อย”นางนิ่มว่า
“หยุดหัวเราะได้แล้วยัยนุ่น หัวเราะคิกคักอยู่ได้”นางนิ่มหันมาเอ็ด
“เอานี่ ทั้งพ่อทั้งลูก แม่ซื้อของมาฝาก”นางตัดบท แล้วยื่นถุงทั้งหมดให้คนที่เป็นที่รักทั้งสอง
*********************************************************************
ร้านสยามโภชนา ป้ายชื่อร้านสีแดงของบริษัทน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่งเป็นผู้จัดทำให้ สีแดงซีดๆบ่งบอกถึงความเนิ่นนานของร้านที่เปิดขาย ด้วยข้าวหน้าเป็ดและข้าวหมูแดงหมูกรอบสูตรประจำตระกูลที่ขึ้นชื่อ และมีลูกค้าประจำที่กินกันมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า ทำให้ร้านนี้มียอดสั่งซื้อข้าวสารกับบริษัทของปัญชิกาเดือนละนับ 10 กระสอบ
วันนี้ปัญชิกาแวะเข้ามาเยี่ยมลูกค้าหลังได้รับโทรศัพท์ไปต่อว่าเรื่องข้าวที่ดูเหมือนว่างวดนี้จะแฉะเกินไปจากบัวไรลูกสาวอาโกตามที่ใครๆเรียกกันทำให้หล่อนเองพลอยเรียกจนติดปากไปด้วย
“สวัสดีค่ะอาโก สวัสดีค่ะพี่บัวไร”ปิ่นยกมือไหว้เจ้าของร้านทั้งสอง
“อาปิ่น ข้าวลื้องวดนี้แฉะนะ”อาโกเจ้าของร้านสยามโภชนาบอกกับปัญชิกา
“รบกวนอาโกลดน้ำลงหน่อยนะคะ”ปิ่นตอบ
“อาปิ่น ลื้อก็บอกอั๊ว อย่างนี้ทุกที ข้าวแข็งก็เพิ่มน้ำ ข้าวแฉะก็ลดน้ำ ทำไมบริษัทลื้อไม่ทำออกมาให้มันพอดีล่ะ อั๊วล่ะหน่าย” อาโกบ่น
“โธ่...อาโก...มันเป็นสินค้าเกษตร มันควบคุมยาก มีปัญหาทีไร ปิ่นก็รายงานบริษัททุกครั้งนะ”ปิ่นแก้ตัว
“เปลี่ยนมั้ยล่ะอาโก ปิ่นจะแจ้งเปลี่ยนให้”
“ ไม่ล่ะ เสียเวลา ขนส่งลื้อไม่แน่ไม่นอน เดี๋ยวอั๊วไม่มีข้าวขาย”
“วันนี้กินอะไรดีล่ะ อาปิ่น”อาโกถาม
“ข้าวหมูกรอบอย่างเคย อาโก ขอน้ำเก็กฮวยเย็นๆแก้วหนึ่งด้วยนะคะ”ปิ่นตอบ
“นี่ปิ่น วันนี้พี่ทำขนมบัวลอยด้วยล่ะ ปิ่นเอาสักถ้วยมั้ย”บัวไรหันมาถาม
“ยกมาเลยค่ะ...ปิ่นหิวจะแย่แล้ว...ต้องแต่เช้ายังไม่กินอะไรเลยนอกจากน้ำขวดเดียว”ปิ่นพูดพลางยกน้ำเปล่าขวดขนาดที่ขายกันทั่วไปให้บัวไรดู
“อาปิ่น อั๊วว่าลื้อทำงานหนักไปรึเปล่า วันไหนพาเจ้านายมาอั๊วจะชมลื้อให้ ลื้อจะได้เงินเดือนขึ้นเยอะๆนา”อาโกปลอบ
“หนักอะไร อาโก แค่นี้เจ้านายยังว่าเราไม่ทุ่มให้บริษัทไม่เต็มที่เลย”ปิ่นพูดปนหัวเราะ
“นี่ถ้าไม่ได้ออร์เดอร์จากอาโกล่ะก็ปิ่นเศร้าแน่”ปิ่นประจบ
“พูดอย่างนี้ แสดงว่ายังไม่ได้ออร์เดอร์สักแผ่นสิ”บัวไรทักอย่างรู้ทัน
“แหม...พี่บัวไรก็...รู้ทันอย่างนี้ปิ่นก็แย่สิ”
“งั้นเอามาให้อั๊ว 10 กระสอบแล้วกัน อาทิตย์นี้อั๊วยังไม่ได้สั่งเลยใช่มั้ย”อาโกถาม
ขณะที่ยกจานข้าวหมูกรอบที่ปิ่นสั่งกินประจำมาให้
“ขอบคุณค่ะ ปิ่นงี้รักร้านสยามโภชนาที่สุดเลย”ปิ่นพูดอย่างเอาใจและยิ้มประจบโดยไม่ได้เสแสร้ง
หลังจากที่ปิ่นกินข้าวเสร็จแล้วก็อยู่คุยกับอาโกและพี่บัวไรสักพักจึงขอตัวลาเพื่อไปเยี่ยมลูกค้ารายอื่นๆต่อไป
***************************************************
“ไป ไป ไม่เอา” เสียงหญิงเจ้าของร้านไล่
“เออ...เจ๊คะ ไม่ซื้อไม่เป็นไรค่ะ ฟังก่อนคะหนูมาแนะนำเฉยๆ” เสียงใส ใส ที่เจือปนไปด้วยความเหนื่อยหอบตอบกลับ
“ไม่เอา ฟังเธอพูดชั้นก็ไม่ซื้ออยู่ดี ไปเหอะจะได้ไม่เสียเวลา”ลูกค้าแย้ง
“โธ่...เจ๊คะ”เสียงแทบจะไม่ใสตอบกลับ
“ไปไป พูดไม่รู้เรื่อง ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น”เจ้าของร้านยังคงไล่
“งั้นก็...หนูฝากเอกสารไว้ให้ดูนะคะเผื่อจะเปลี่ยนใจ” คนถูกไล่บอกพร้อมกับวางเอกสารแนะนำสินค้าไว้บนโต๊ะ
“หนูลาล่ะค่ะ สวัสดีค่ะ ขอบคุณมากนะค๊ะ อาม่า”คนถูกไล่ยกมือไหว้ลาอาม่าเจ้าของร้านที่ตัวเองเรียกแล้วเดินออกมา
“ไอ้หย่า...มาเรียกชั้นว่าอาม่า”เจ้าของร้านพึมพำน้ำเสียงโกรธจัดที่ถูกหาว่าแก่
แสงแดดเจิดจ้าของเวลา 13. 00 น.ส่องกระทบผิวขาวนวลเข้าอย่างจัง ดีที่เจ้าตัวทาครีมกันแดดค่าเอสพีเอฟสูงไว้ป้องกันแล้ว แต่ก็นั่นแหละหล่อนทาของหล่อนมาตั้งแต่เช้าป่านนี้มันคงละลายหายไปกับเหงื่อแล้วล่ะมั้ง บ่ายโมงแล้วหล่อนเพิ่งเข้าพบลูกค้าได้เพียง 2 เจ้า แถมยังไม่มีออร์เดอร์สินค้าในมือเลยสักแผ่น!!ก็ กว่าจะออกจากออฟฟิศก็ สิบโมงครึ่งแล้ว เจ้านายเรียกประชุมให้นโยบายทุกเช้าอย่างไม่มีเหตุผล เข้าไปนั่งฟังเจ้านายด่าๆอย่างวันนี้ก็โดนเรื่องที่ ผ่านมา 10 วันของเดือนแล้ว ยอดขายยังเข้ามาไม่ถึง 30 % ก็เศรษฐกิจสมัยนี้ล่ะนะใครๆจะอยากสั่งออร์เดอร์ไปตุนตั้งแต่ต้นเดือนล่ะ ยอดขายที่เหมือนบัวพ้นน้ำของเดือนที่แล้วน่ะ มันอัดเต็มอยู่แน่นสต๊อกลูกค้าบานตะไท เจ้านายก็ช่างไม่เข้าใจซะเลย...หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดกับความคิดและอากาศที่ร้อนจนแทบระอุตอนนี้
ยัยอาม่า ร้านเมื่อกี๊ ก็ช่างกะไร ยังไม่ทันพูดอะไรเลย ก็ไล่เธอออกมาซะอย่างนั้น แก่จะตายอยู่แล้ว ตีนกาก็กากบาทซะเต็มหน้า ที่เรียกเจ๊ไปน่ะบุญเท่าไหร่แล้ว หล่อนแค่หวังจะขายของแต่เมื่อขายไม่ได้ ถูกไล่ออกจากร้าน หล่อนจะแคร์ทำไม อย่างน้อยก็น่าจะพูดดีๆกับหล่อนบ้าง หล่อนแค่มาขายของเท่านั้นไม่ซื้อก็ไม่เห็นต้องปิดประตูตายขนาดนี้
“Oh no no no อย่างนี้ไม่ดี
Oh no no no อย่างนี้สงสัยไม่ดี
Oh no no no อย่างนี้น่ากลัว คงจะเป็นฝันร้าย”
เสียงเพลงโทรศัพท์ ที่เธอตั้งไว้ดังขึ้น เธอตั้งเพลงนี้ไว้สำหรับเบอร์โทรจากออฟฟิศเท่านั้น เพราะทุกครั้งที่เธอออกตลาดมาหาลูกค้า ถ้าเกิดมีสายเรียกเข้าจากออฟฟิศเข้ามา ไม่เคยสักครั้งที่จะไม่ทำให้เธอปวดหัว ไหนจะส่งสินค้าไม่ทัน ไหนจะลูกค้ามีปัญหาเรื่องคุณภาพสินค้าโทรมาโวยวายกับทางออฟฟิศ แล้วออฟฟิศก็โทรมาแจ้ง(ด่า)หล่อนอีกที
โอ้ย...ไม่อยากจะรับเลย มีเรื่องอะไรอีกนะ หล่อนคิด ไวเท่าที่ใจคิดมือก็กดปุ่มรับสายขึ้นมา
“สวัสดีค่ะ”หล่อนกรอกเสียงลงไป
“แหม...เสียงสวยเชียวนะยะ ยัยปิ่น”เสียงทางโน้นแซวกลับ “นึกว่าหนุ่มที่ไหนรึงัยจ๊ะ”
“โธ่...เจ๊ปลา เบอร์ออฟฟิศโชว์หราอย่างนี้ ทำไมปิ่นจะไม่รู้” หล่อนทำเสียงเล็กเสียงน้อยตอบกลับ
“มีไรอีกล่ะ”หล่อนถามน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“จะมีอะไร ก็เรื่องเดิมๆ นั้น”ฝ่ายโน้นเย้า
“เรื่องเดิมๆน่ะอะไร ก็มันมีหลายเรื่องเดิมๆเหลือเกินนี่”
“ก็คืออย่างนี้...ขนส่งส่งของไม่ทันเพิ่งโหลดของขึ้นเมื่อกี๊นี้เอง ที่นัดไว้น่ะเลื่อนเวลาออกไปหน่อยนะ ถึงร้านลูกค้ารายสุดท้ายก็ประมาณ 3 ทุ่ม”เจ๊ปลาตอบกลับ
“3ทุ่ม!!!” “ลูกค้าที่ไหนมันจะเปิดร้านรอ 2 ทุ่มเค้าก็ปิดร้านขึ้นไปนอนกกเมียหมดแล้ว”
“หล่อนล่ะก็...ปากไวจริงนะ...ก็รู้ๆกันอยู่ ส่งไม่ได้หล่อนก็โทรไปเลื่อนซิยะ...เลื่อนเป็นส่งวันเสาร์ไปซะ แล้วเดี๋ยวชั้นจะโทรบอกขนส่งให้ว่าลูกค้าสัก 4 รายหลังเลื่อนไปส่งวันเสาร์แทน จะได้ไม่มีปัญหาทั้งขนส่ง ทั้งลูกค้า เข้าใจ๋” เจ๊ปลาร่ายยาว
“เอางั้น...ทิ้งกันง่ายๆอย่างนี้นะ ให้ปิ่นโทรไปเลื่อนลูกค้าอีกแล้ว”ปิ่นท้วงอย่างเซ็งๆ
“ก็จะมีวิธีไหนจะดีไปกว่านี้ละจ๊ะ...แม่ปัญชิกา” “ตกลงตามนี้นะเคลียร์ด้วยล่ะ บ้ายบาย” แล้วเจ๊ปลาก็วางสายไปทันที
โอ้ย...แม่เจ้า...ทิ้งปัญหาไว้ให้ชั้นแก้อีกแล้ว ปิ่นหรือปัญชิกาคิด โทรไปเลื่อน โทรไปเลื่อน นึกว่ามันง่ายๆนักรึไง หล่อนต้องชักเพลงดาบแม่น้ำร้อยสายมาหว่านล้อม เฮียคะ..เฮียขา เจ๊คะ..เจ๊ขา กว่าลูกค้าจะยอมเข้าใจค่าโทรศัพก็กินหัวกินตัวหล่อนไปเยอะแล้ว ท้ายสุดหล่อนต้องรับฟังคำประชดประชันจากบรรดาเจ๊ๆเฮียๆที่เขี้ยวลากดินเป็นประจำ
‘สั่งสินค้าจากเธอเหมือนสั่งน้ำมูก สั่งหาย สั่งหาย’
‘โอ้ยแม่บริษัทเทวดา ต้องรอสินค้าหล่นลงมาจากฟ้าถึงจะได้’
‘ของน่ะ...จะขายวันนี้นะไม่ได้ขายพรุ่งนี้ สินค้าหมดแล้ว ลูกค้าเค้าก็มารอของจะให้ชั้นทำไง’
‘เอายี่ห้ออื่นมาลงเลยดีมั้ย’
สุดแล้วแต่บรรดาเจ้าของร้านที่ผิดหวังในเรื่องการส่งสินค้าทั้งหลายจะสรรหามาประชดประชัน ประมาณว่าในเมื่อของไม่ได้ก็ขอด่าซะหน่อยก็ยังดี
“!!!เวรกรรมอะไรของชั้นนะ!!!” ปิ่นตะโกน
“บ้ารึเปล่า”หญิงเก็บของเก่าที่กำลังก้มหน้าเก็บขยะจากถังขยะเงยหน้าขึ้นมาถาม
“เอ่อ...ขอโทษนะคะ”ปิ่นโค้งให้หญิงคนนั้นแล้วรีบเดินต่อไป
“สงสัยท่าจะบ้าจริง”หญิงเก็บของเก่าพึมพำไล่หลังหญิงสาวมา
บ่ายโมงกว่าแล้วเลยเวลาอาหารเที่ยงมา 1 ชั่วโมงกว่าแต่ชีวิตของหล่อนตั้งแต่ทำงานเป็นพนักงานขายมาน้อยครั้งมากที่จะได้กินข้าวตรงเวลา หิวแล้ว แต่ยังเหลือร้านลูกค้าที่หล่อนต้องไปอีก หล่อนจึงเปิดสมุดบันทึกขึ้นเพื่อดูรายชื่อลูกค้าที่นัดไว้
“เหลืออีกตั้ง 6 ร้าน อ้อ...ร้านต่อไปเป็นร้านสยามโภชนา ดีล่ะ เดี๋ยวเราแวะกินข้าวหมูกรอบร้านพี่บัวไรเลยดีกว่า”ปิ่นพึมพำ
*******************************************************************
คนงานที่กำลังยกป้ายขึ้นติดหน้าร้านตามคำสั่งของเฮียไชย ปาดเหงื่อที่หยดพราวบนใบหน้า เนื่องจาก 15 นาทีกว่าแล้ว ยังติดไม่ตรงใจนายจ้างเลยแม้แต่น้อย เดี๋ยวเอียงซ้าย เดี๋ยวเอียงขวา พอติดได้ที่ก็ให้เลื่อนขึ้นไปอีก หากพอเขาติดเรียบร้อยแล้ว เฮียไชยก็บอกให้เลื่อนลงมาที่เดิม เพราะเกรงว่าจะเสียฮวงจุ้ยไป
“เฮียคร้าบ...ผมว่าเฮียไปดูฮวงจุ้ยให้ดีดีก่อนดีกว่า แล้วผมค่อยคิดมาติดให้ใหม่”หนึ่งในคนงานที่ยกป้ายอยู่ตะโกนลงมาจากชั้นสองของร้านที่เขาปีนขึ้นไปติดป้าย
“ไอ้คุณเหลี่ยม...ทำไป...อย่าบ่น ลื้อติดตรงนั้นน่ะดีแล้ว อั้วไม่เปลี่ยนใจแล้ว มันต้องดีดีหน่อยสิโว้ย ลูกชายเปิดร้านทั้งที”เฮียไชยตะโกนตอบอย่างขำขำและ
อารมณ์ดี
“วิลเลี่ยม ครับเฮีย วิลเลี่ยม”วิลเลี่ยม หรือ เหลี่ยมตะโกนลงมาอย่างแกล้งไม่พอใจ
“บอกว่าอยู่กรุงเทพให้เรียกวิลเลี่ยม วิลเลี่ยม เรียก เหลี่ยม อยู่ได้”
“เออ...เออ...ไอ้คุณวิลเหลี่ยม”ผู้เป็นนายตอบกลับ
วิลเลี่ยม หรือ เหลี่ยม ติดสอยห้อยตามเขามาจากภาคอีสานเพื่อมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงและกำลังหลักให้ลูกชายของเขา ถึงมันจะทะเล้นทะลึ่งตึงตังไปบ้างแต่เขาก็รู้ว่ามันป็นคนดี รักเจ้านายเท่าชีวิต ก็เพราะเขาเก็บสองแม่ลูกมาจากกระท่อมหลังวัดแถวบ้าน พ่อของวิลเลี่ยมตายด้วยอุบัติเหตุรถสิบล้อประสานงาหลังจากกลับส่งข้าวสารให้กับบริษัทๆหนึ่งในกรุงเทพ พ่อของวิลเลี่ยมจากไปทันที่ที่เกิดอุบัติเหตุทิ้งให้สองม่ลูกอยู่ลำพัง เมื่อเมียของเขาไปแจ้งข่าวนั้น แม่ของไอ้เหลี่ยมก็แทบไม่เป็นอันทำอะไร นอกจากพร่ำรำพันถึงผัวของนางอย่างเดียว หลังจากที่เฮียไชยจัดงานศพให้ผัวของนางแล้ว เมียของเขาก็รับสองแม่ลูกเข้ามาทำงานในบ้านตั้งแต่นั้น
เหลี่ยม แม้จะเพิ่งอายุได้ 8 ขวบ ก็รับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น และรู้สึกได้ว่าเขาต้องกตัญญุต่อนายของพ่ออย่างถึงที่สุด เพราะนอกจากที่อยู่ที่กินและเงินเดือนที่แม่ได้รับแล้ว เฮียไชยและเมียยังช่วยสงเสียให้เขาได้เรียนหนังสือจนจบ เขาเลือกที่จะเรียนต่อที่วิทยาลัยเกษตรหลังจากจบ ม.3 แล้วและเลือกที่จะเรียนภาคค่ำเพื่อกลางวันจะได้ทำงานช่วยงานเฮียชัยได้ เมื่อเฮียไชยและคุณนิ่มมีลูก เขาก็คอยช่วยดูแลนายน้อยของเขาเสมอ
นายน้อย หรือ นภธีส์ ของเขาเกิดขึ้นมาหลังจากที่ เหลี่ยมกับแม่เข้ามาอาศัยใบบุญเฮียไชยได้ 2 ปี เมื่อเขาอายุ 15 คุณธีตามที่เขาเรียกอายุได้เพียง 5 ขวบ ซึ่งขณะนั้นกำลังซนได้ที่ วันหนึ่งคุณธีส์ของเขาถีบจักรยานเด็กเล่นอยู่ภายในบริเวณโรงสีใหม่ที่กำลังก่อสร้างแทนโรงสีหลังเก่าเพื่อรองรับเครื่องสตาเก้ หรือเครื่องขัดข้าวที่เฮียไชยสั่งเข้ามาใหม่ ขณะที่คุณธีถีบจักรยานเล่นอยู่นั้น นั่งร้านของช่างก่อสร้างหล่อนลงมาตรงนั้นพอดี เหลี่ยมอยู่ใกล้ๆแถวนั้นจึง วิ่งไปอุ้มคุณธีของเขาออกมาแต่ไม่พ้น ขาของเขาถูกทับด้วยไม้ที่สร้างเป็นนั่งร้านทับพอดีทั้งที่เขายังกอดนายน้อยของเขาไว้มั่น เหตุการณ์ตอนนั้นทำให้เหลี่ยมขาหัก 1 ข้าง เมื่อได้รับการเข้าเฝือกแล้ว เหลี่ยมก็ยังเขยกขาเดียวตามคุณหนูของเขาไปทั่ว จนเฮียไชยต้องคอยห้ามและให้ไปพัก
การเอาชีวิตเข้าเสี่ยงครั้งนั้นของเหลี่ยมทำให้เฮียไชยรักและไว้วางใจเขามากขึ้น เมื่อเห็นเหลี่ยมมาแต่เล็กแต่น้อยทุกสิ่งที่เหลี่ยมทำบ่งบอกถึงความกตัญญูทั้งสิ้น ต่อมาเรื่องเงินๆทองๆที่ต้องนำไปฝากธนาคารหากเฮียไชยไม่ว่างก็อาศัยไหว้วานเหลี่ยมไปทำแทนเสมอ เหลี่ยมก็ทำได้ไม่เคยบกพร่อง
ครั้งนี้ก็เหมือนกันเมื่อ นภธีส์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเฮียไชยจบการศึกษาระดับปริญญาโทแล้ว นภธีส์ได้ขออนุญาตผู้เป็นพ่อเปิดร้านขายข้าวสารในกรุงเทพเพื่อศึกษาการทำตลาดสมัยใหม่และเล่ห์กลโกงของบริษัทต่างๆ เมื่อผู้เป็นพ่ออนุญาตเขาก็หาทำเลโดยเฮียไชยส่งเหลี่ยมมาเป็นองค์รักษ์และที่ปรึกษา ต่อมาเมื่อได้ทำเลร้านเป็นหลักแหล่งแล้วเฮียไชยก็ส่งเหลี่ยมมาช่วยดูแลลูกชายแบบถาวรไม่ต้องกลับไปช่วยเขาที่อุบลอีก
อีก 3 วันจะเป็นวันเปิดร้าน วันนี้เฮียไชยและลูกชายจึงระดมลูกน้องช่วยกันตกแต่งร้านเพื่อให้ทันวันเปิดร้านที่ใกล้จะถึงนี้
“พ่อครับ พ่อเข้ามาในร้านเถอะครับ ข้างนอกแดดร้อน” นภธีส์เดินมาเรียกพ่อของเขาให้กลับเข้ามาในร้าน
“มัวไปยืนทะเลาะกับพี่เหลี่ยมเอ้ย...วิลเลี่ยมเขาอยู่ได้ ปล่อยเขาทำกันเองเถอะครับ พ่อแค่บอกตำแหน่งก็พอ”
“ก็กลัวมันติดไม่ดีผิดฮวงจุ้ย ที่ซินแสเค้ากำหนดได้ ...ขอบใจลูก”ประโยคหลังกล่าวขอบใจลูกชายที่ส่งแก้วน้ำเก๊กฮวยเย็นๆมาให้
“แล้วนี่แม่ไปไหนล่ะเนี่ย”เฮียไชยถามลูกชาย
“แม่ออกไปกับยัยนุ่นครับพ่อ เห็นว่าจะไปเดินเล่นที่ห้างใกล้ๆ”นภธีส์ตอบ
นุ่นคือน้องสาวที่เกิดมาตอนที่เขาอายุได้ 10 ขวบ เป็นลูกหลงของพ่อและแม่ หล่อนจึงเป็นน้องสาวตัวน้อยของเขาที่มีแต่คนรักคนเอาใจด้วยเหตุที่ว่าตอนเกิดมาตัวเล็กนิดเดียวน้ำหนักไม่ถึงเกณฑ์มาตราฐาน จึงต้องเข้าไปอยู่ตู้อบอยู่นานหลายวัน
“พอกัน ใจแตกกันทั้งแม่ทั้งลูก หลงกรุงเทพกันทั้คู่”เฮียไชยหัวเราะ
“ใครใจแตกกันจ๊ะ เฮีย” นางนิ่ม หรือคุณนนทรี ทักขึ้นขณะเลื่อนประตูกระจกเข้ามาภายในห้องที่จัดไว้เป็นห้องทำงานของลูกชาย
“ใครใจแตก...ไม่มี๊..”เฮียไชยลากเสียงสูง ส่ายหน้าไปมา
“ก็เมื่อกี๊ นุ่นได้ยินนะคะ “นุ่นพูดขณะเกาะแขนแม่อยู่ข้างหนึ่ง
“บ๊ะ...ไอ้ลูกคนนี้ ไม่ช่วยพ่อมันเล้ย”เฮียไชยบ่นอย่างเอ็นดู
“ว่าไงล่ะจ๊ะเฮีย...ใครใจแตก”นางนิ่มถามย้ำแบบทีเล่นทีจริง
“ธี...ว่าไง”แม่หันมาถามขา
“เออ...เออ...พี่เหลี่ยมครับ” นภธีส์ตอบเมื่อเห็นพี่เหลี่ยมยกบันไดเดินผ่านห้องทำงานเข้าไปข้างหลัง
“ใช่มั้ยครับพ่อ”นภธีส์โยนไปให้พ่อบ้าง
“เอ่อ...เอ้อ...ใช้...อะ...อะ..ไอ้เหลี่ยม...จ้าแม่นิ่ม”เฮียไชยรับต่อ
“คือไอ้เหลี่ยมน่ะมันเข้ากรุงเทพมาได้หน่อย มันก็ไม่ให้พวกเราเรียกไอ้เหลี่ยมอีกแล้ว มันบังคับเราให้เรียกมันว่า วิลเลี่ยมจ๊ะแม่นิ่ม” “ไอ้เหลี่ยมเนี่ยมันใช้ไม่ได้เลยนะ เม่นิ่ม เฮียถึงว่ามันใจแตกไง ใช่มั้ยพ่อธี” ประโยคหลังหันหาหน่วยสนับสนุนกับลูกชาย
“ครับแม่อย่างที่พ่อว่านั่นแหละครับ”ลูกชายช่วยเสริมเมื่อเห็นพ่อหันมา
“เฮ้อ...ช่างมัน... เรียกมันเหลี่ยมๆ มันคงอายสาวน่ะ ก็เรียกมันวิลเลี่ยมไปแล้วกันรักษาหน้ามันหน่อย”นางนิ่มว่า
“หยุดหัวเราะได้แล้วยัยนุ่น หัวเราะคิกคักอยู่ได้”นางนิ่มหันมาเอ็ด
“เอานี่ ทั้งพ่อทั้งลูก แม่ซื้อของมาฝาก”นางตัดบท แล้วยื่นถุงทั้งหมดให้คนที่เป็นที่รักทั้งสอง
*********************************************************************
ร้านสยามโภชนา ป้ายชื่อร้านสีแดงของบริษัทน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่งเป็นผู้จัดทำให้ สีแดงซีดๆบ่งบอกถึงความเนิ่นนานของร้านที่เปิดขาย ด้วยข้าวหน้าเป็ดและข้าวหมูแดงหมูกรอบสูตรประจำตระกูลที่ขึ้นชื่อ และมีลูกค้าประจำที่กินกันมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า ทำให้ร้านนี้มียอดสั่งซื้อข้าวสารกับบริษัทของปัญชิกาเดือนละนับ 10 กระสอบ
วันนี้ปัญชิกาแวะเข้ามาเยี่ยมลูกค้าหลังได้รับโทรศัพท์ไปต่อว่าเรื่องข้าวที่ดูเหมือนว่างวดนี้จะแฉะเกินไปจากบัวไรลูกสาวอาโกตามที่ใครๆเรียกกันทำให้หล่อนเองพลอยเรียกจนติดปากไปด้วย
“สวัสดีค่ะอาโก สวัสดีค่ะพี่บัวไร”ปิ่นยกมือไหว้เจ้าของร้านทั้งสอง
“อาปิ่น ข้าวลื้องวดนี้แฉะนะ”อาโกเจ้าของร้านสยามโภชนาบอกกับปัญชิกา
“รบกวนอาโกลดน้ำลงหน่อยนะคะ”ปิ่นตอบ
“อาปิ่น ลื้อก็บอกอั๊ว อย่างนี้ทุกที ข้าวแข็งก็เพิ่มน้ำ ข้าวแฉะก็ลดน้ำ ทำไมบริษัทลื้อไม่ทำออกมาให้มันพอดีล่ะ อั๊วล่ะหน่าย” อาโกบ่น
“โธ่...อาโก...มันเป็นสินค้าเกษตร มันควบคุมยาก มีปัญหาทีไร ปิ่นก็รายงานบริษัททุกครั้งนะ”ปิ่นแก้ตัว
“เปลี่ยนมั้ยล่ะอาโก ปิ่นจะแจ้งเปลี่ยนให้”
“ ไม่ล่ะ เสียเวลา ขนส่งลื้อไม่แน่ไม่นอน เดี๋ยวอั๊วไม่มีข้าวขาย”
“วันนี้กินอะไรดีล่ะ อาปิ่น”อาโกถาม
“ข้าวหมูกรอบอย่างเคย อาโก ขอน้ำเก็กฮวยเย็นๆแก้วหนึ่งด้วยนะคะ”ปิ่นตอบ
“นี่ปิ่น วันนี้พี่ทำขนมบัวลอยด้วยล่ะ ปิ่นเอาสักถ้วยมั้ย”บัวไรหันมาถาม
“ยกมาเลยค่ะ...ปิ่นหิวจะแย่แล้ว...ต้องแต่เช้ายังไม่กินอะไรเลยนอกจากน้ำขวดเดียว”ปิ่นพูดพลางยกน้ำเปล่าขวดขนาดที่ขายกันทั่วไปให้บัวไรดู
“อาปิ่น อั๊วว่าลื้อทำงานหนักไปรึเปล่า วันไหนพาเจ้านายมาอั๊วจะชมลื้อให้ ลื้อจะได้เงินเดือนขึ้นเยอะๆนา”อาโกปลอบ
“หนักอะไร อาโก แค่นี้เจ้านายยังว่าเราไม่ทุ่มให้บริษัทไม่เต็มที่เลย”ปิ่นพูดปนหัวเราะ
“นี่ถ้าไม่ได้ออร์เดอร์จากอาโกล่ะก็ปิ่นเศร้าแน่”ปิ่นประจบ
“พูดอย่างนี้ แสดงว่ายังไม่ได้ออร์เดอร์สักแผ่นสิ”บัวไรทักอย่างรู้ทัน
“แหม...พี่บัวไรก็...รู้ทันอย่างนี้ปิ่นก็แย่สิ”
“งั้นเอามาให้อั๊ว 10 กระสอบแล้วกัน อาทิตย์นี้อั๊วยังไม่ได้สั่งเลยใช่มั้ย”อาโกถาม
ขณะที่ยกจานข้าวหมูกรอบที่ปิ่นสั่งกินประจำมาให้
“ขอบคุณค่ะ ปิ่นงี้รักร้านสยามโภชนาที่สุดเลย”ปิ่นพูดอย่างเอาใจและยิ้มประจบโดยไม่ได้เสแสร้ง
หลังจากที่ปิ่นกินข้าวเสร็จแล้วก็อยู่คุยกับอาโกและพี่บัวไรสักพักจึงขอตัวลาเพื่อไปเยี่ยมลูกค้ารายอื่นๆต่อไป
***************************************************
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น