คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : (Short story เพลิงภพxพีระพล) Bus...Stop ต่อครั้งที่ 1
พีระพลวิ่งสุดกำลังพร้อมกับยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา หกโมงยี่สิบเจ็ดนาที สองขายิ่งเร่งความเร็วเพื่อให้ไปถึงที่หมายให้เร็วขึ้นเมื่อทราบเวลาว่าผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว เพราะต้องอยู่ช่วยงานครูทำให้พีระพลออกจากโรงเรียนช้ากว่าปกติด้วยใจที่กระวนกระวายถึงใครบ้างคนที่ป้ายรถเมล์
ร่างโปร่งยืนหอบ พลางกวาดสายตาไปทั่วป้ายรถเมล์ประจำผู้บางตาลงไปบ้าง แต่ก็ยังถือว่ามากอยู่
หากกลับไม่มีร่างของคนที่มองหาอยู่ถูกวัน แม้ทำใจไว้แล้วว่าวันนี้คงไม่ได้เจอเพราะปกติคนตาขวางจะมารอรถเมล์ประมาณห้าโมงครึ่งถึงหกโมงเป็นประจำ แต่ตอนนี้เลยเวลามาตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว พีระพลถอดหายใจด้วยความผิดหวัง ก่อนจะเดินลากขาไปนั่งเก้าอี้พักที่ว่างอยู่
‘ไม่อยู่แล้วจริงๆด้วย อุตส่าห์วิ่งมาแทบตาย วันนี้เลยไม่ได้เจอนายตาขวาง แย่จัง ไม่รู้แผล
ที่เห็นเมื่อวานจะหายหรือยังน่า เฮ้ย~’
คิดแล้วพีระพลหลับตาถอดหายใจอีกรอบด้วยความเซ็งสุดขีด
“ของนาย”
เสียงทุ้มดังขึ้นตรงหน้าหนุ่มพีให้ต้องเงยตาขึ้นสบดวงตาคมดุของคนที่ยื่นกระเป๋าตังค์ที่ไม่คาดว่าจะได้คืนให้
ดวงตาเรียวสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างพร้อมกับปากเรียวที่เผลออ้าเป็นปากถ้ำ
“อะ...ค...คือ...”
เสียงกุกๆกักๆไม่เป็นคำด้วยสมองไม่สั่งการเพราะหัวใจทำงานไม่ปกติทำให้ออกซิเจนไม่เพียงพอ
สติสตางค์กระเจิดกระเจิงจนอย่างรวบรวมกลับ ถ้าคนตรงหน้าไม่กระตุ้นด้วยเสียงเข้มๆ
“ตกลงจะเอาคืนหรือเปล่า!”
“อะ...เอาครับ”
พีระพลรีบตอบก่อนตาคมๆนั้นจะบาดคอขาด คนอะไรดุจิบ
สิ้นคำกระเป๋าใบเล็กก็ถูกโยนหล่นปุบนตักหนุ่มพีคนหน้าใสโดยไม่บอกไม่กล่าว
ส่วนขึ้นโยนก็เดินอาดๆไปยืนพิงเสาอยู่ไม่ห่างด้วยท่าทางห่ามๆอันเป็นปกตินิสัย
พีระพลเหลือบมองคนตาขวางสลับกับกระเป๋าตังค์ใบมือด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
ทั้งดีใจที่ไม่ต้องอดข้าวจนสิ้นเดือน ทั้งชื่นชมในความดี(และความหล่อ)ของคนที่
เอามาคืนให้ แบบว่าปลื้มสุดๆ
เด็กหนุ่มร่างโปร่งตัดสินใจเดินเข้าไปหาคนตาดุอย่างกล้าๆกลัวๆ
ดวงตาเรียวจดจ้องใบหน้าคมแบบหวาด
“ค..คือ”
“มีอะไร”
พีระพลยื่นปาสเตอร์ในมือให้คนตรงหน้า ช้อนตามองแผลช้ำบนใบหน้าคม
ด้วยสายตาห่วงใยอย่างไม่ปกปิด
“คือแผลนั้น ใช้นี้ปิดกันเชื้อไว้ดีกว่านะครับ”
เสียงนุ่มเอยแผ่วเบา ก่อนกลั่นใจรอการตอบโต้ด้วยใจตุมๆต๋อมๆ
“.......”
“แผลแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก ขอบใจ”
หนุ่มตาดุเอยเรียบก่อนจะเบือนหน้าหนีตัดบทสนทนา หากแต่หนุ่มร่างโปร่งกลับไม่ละความพยายาม
ปาสเตอร์ถูกยัดใส่มือแกร่งอย่างยัดเยียดจนคนตาดุขมวดคิ้วหันมามองร่างโปร่งด้วยความไม่พอใจ
“ถือว่าแทบตอบแทนเรื่องกระเป๋าตังค์”
ความห่วงใยฉายชัดในดวงตาสีน้ำตาอย่างจริงใจแม้จะเจือได้ด้วยความกริ่งเกรงชะงักคำเผ็ดร้อนที่
เตรียมออกจากปากของคนตาดุ
“แค่รับไว้ก็พอใช่มั้ย?”
เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบมือแกร่งยัดของที่ถูกยัดเยียดให้ใส่กระเป๋ากางเกงเป็นการตัดรำคาญ
เรียกรอยยิ้มสดใสจากคนให้ที่อีกฝ่ายยอมรับน้ำใจเล็กน้อยๆของเขา
..............................................................................................................................................................................
เพลิงภพเปิดประตูห้องพักเล็กๆของเขาที่ประกอบเฟอร์นิเจอร์มาตรฐานอันได้แก่
เตียงเดียว ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเขียนหนังสือ เด็กหนุ่มเหวี่ยงกระเป๋าเป้ลงบนเก้าอี้ ก่อนเด็กหนุ่มล้วงของในกระเป๋ากางเกงวางบนโต๊ะ พลันสายตาคมดุก็สะดุดกับพลาสเตอร์ยาแผ่นเล็กที่ถูกยัดเยียดให้ภาพใบหน้าของคนยัดเยียด
ปรากฏขึ้นในความทรงจำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“พิลึกคน”
เด็กหนุ่มบ่นพึมพำยัดพลาสเตอร์ใส่ลิ้นชักโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะถอดเสื้อโยนใส่ตะกร้าคว้าผ้าเช็ดตัวเดนเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวลืมเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าพลาสเตอร์น้อยและเจ้าของมันเสียสนิท
หากเป็นอีกคนที่โผล่หน้ามาทวนความจำกัน ณ ที่เดิม เวลาเดิมราวกับหนังฉายซ้ำ
เพียงแต่รอบนี้เพิ่มบทพูดให้ตัวละคร
“อ...หวัดดี”
พีระพลเอยทักร่างสูงที่เพียงปรายตามอง ต่างคนต่างยืนรอรถเมล์เงียบๆ จนกระทั้งรถเมล์มา ต่างคนต่างขึ้น
แต่เด็กหนุ่มร่างโปร่งจงใจเลือกนั่งเคียงข้างกันหนุ่มช่างกลตาดุ ทำเป็นมองไม่เห็นสายตาไม่พอใจจากตาคมดุ
แม้ใจหวาดอยู่ไม่น้อย สมุดคำศัพท์ถูกดึงออกมาเบี่ยงเบนควาสนใจ หากดวงตาเรียวเจ้ากรรมกับเอาแต่แอบเหล่คนข้างกายอยู่ล่ำไป
เมื่อถึงป้ายที่ต้องลงพีระพลถือโอกาสช่วงชุนละมุนยัดพลาสเตอร์ปิดแผลใส่มือแกร่งของเพลิงภพก่อนจะหลบหนีไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับผู้โดยสารที่กุกันรถอย่างวุ่นวาย กว่าเพลิงภพจะรู้ตัวร่างโปร่งของพีระพลก็ลับตาไปไกลเกินกว่าจะตามทัน เมื่อไม่สามารถคืนเจ้าของได้เจ้าพลาสเตอร์จึงต้องไปสมทบกับเพื่อนใส่ลิ้นชักตะแสนรกของเด็กหนุ่มตาดุโดยไม่สามารถอุทรใดๆได้ มิฉะนั้นคงโดนขว้างลงถังขยะแทน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำๆเป็นเดจาวูร่วมอาทิตย์นับจากจำนวนแผ่นพลาสเตอร์ที่นอนนิ่งกนลิ้นชักของเพลิงภพ เด็กหนุ่มร่างสูงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายขณะโยนแผ่นพลาสเตอร์ที่ได้ล่าสุดลงไปร่วมกับพรรคพวก
ของมัน
ในที่สุดเพลิงภพก็ตัดสินใจขั้นเด็ดขาดก่อนที่พลาสเตอร์จะขาดตลาดเพราะมากองอยู่ที่ห้องเข้าเสียหมด
พีระพลจึงมีบุญได้ยินเสียงทุ่มในประโยคยาวๆเป็นครั้งแรก
“แผลหายแล้ว ไม่ต้องใช้พลาสเตอร์แล้ว เอาคืนไปเถอะ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องเอามาให้อีก”
เพลิงพลเอยพร้อมกับยืนแผ่นพลาสเตอร์ที่เพิ่งได้รับคืนเจ้าของที่รับคืนด้วยหน้าจ่อยๆ เหมือนลูกหมาถูกทิ้ง
ให้อดใจอ่อนสงสารไม่ได้ ยอมแพ้ให้สายตาละห้อยของคนตรงหน้า
“พีระพลใช่มั้ย?”
“เอ๋?”
“ชื่อนะ นายชื่อพีระพลใช่มั้ย? หรือไม่ใช่?”
“ชะ...ใช่ๆ เราชื่อพีระพล เรียกพีเฉยๆก็ได้”
“ไฟ”
“เอ๋?”
พีระพลงงอีกรอบกับอาการพูดสั้นๆ แต่ไม่ได้ใจความของอีกฝ่ายหรือเพราะตื่นเต้นมากไปจนเดาไม่ออกก็ไม่รู้
ทำให้เพลิงภพต้องขยายความให้ความกระจ่าง
“ชื่อชั้น ไฟ”
“อ๋อ!ไฟ”
หนุ่มพีร้องอ๋อเมื่อกระจ่างใจในความพูดของเพลิงภพ ปากบางคลี่ยิ้มหวานไปจนถึงดวงตา
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ว่าแต่...นายรู้ชื่อเราได้ไงอะ?” พีระพลถามด้วยความสงสัย
“บัตรในกระเป๋านายไง”
หนุ่มร่างสูงยักไหล่ตอบง่ายๆ ให้พีระพลครางอ๋อหมดข้อสงสัยพลางพยักหน้าหงิกๆ
ถ้าไม่เปิดดูก็คงไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าแล้วคงเอามาคืนไม่ถูก
..................................................................................................................................................................................
โอเค พลาสเตอร์ไม่ต้อง ขอผ้าก็อต พร้อมแอลกอฮอร์ ทิงเจอร์ แล้วก็สำรี ด้ายกับเข็มเย็บแผลด้วย เข้าชุดใหญ่
มากเลย เละขนาดนี้พลาสเตอร์มันเอาไม่อยู่ พีระพลมองคนที่นั่งหน้าบวม คิ้วแตก ปากเจ๋อด้วยความหนักใจ แผลเก่าเพิ่งหายก็ออกไปหาแผลใหม่มาอีก จากที่สภาพที่เห็นด้วยตาคนเจ็บคงไม่รู้จักวิธีปฐมพยายามเบื้ยงต้น
แผลมันถึงได้ดูไม่จืดแบบนี้
เห็นแล้วทนไม่ได้ เลือดหมดในตัวมันเดือดพล่านจนทนไม่ไหว
พีระพลเดินไปหยุดตรงหน้าเพลิงพล
“ไง” คำทักทายสั้นๆจากปากเจ๋อ ใบหน้าดิบเถื่อนที่ดูไม่ยินดียินร้ายกับบาดแผลของตนทำให้พีระพล
ถึงกับต้องส่ายหน้า
“ไปมีเรื่องกับใครมาอีกแล้วสินะ”
ร่างโปร่งเอยพลางถอนหายใจก่อนนั่งลงเคียงข้างร่างสูง มือเรียวเปิดกระเป๋ายืนชุดปฐมพยาบาลที่มักพกติดตัวออกมา ชุดแอลกอฮอร์กับก้อนสำรีก่อนจะบรรจงเช็ดทำความสะอาดแผลบนบหน้าใบคมอย่าแผ่วเบา
“ไม่ต้อง ไม่เป็นไร”
ร่างสูงเบี่ยงหลบยามสัมผัสฤทธิ์แสบร้อนของยาฆ่าเชื้อ พีระพลทำเสียงจี้จะในลำคออย่างขัดใจกับความดื้อของ
คนเจ็บจนเผลอดุอีกฝ่ายเหมือนดุพี่สาวจอมห้าวที่มักมีแผลกับมาให้ทำเป็นประจำ
“อยู่นิ่งๆสิ”
น่าแปลกที่เพลิงภพยอมอยู่นิ่งๆตามคำของคนที่เพิ่งรู้จักแทนที่จะประเคนหมัดใส่โทษฐานบังอาจขึ้นเสียง
เหมือนที่คนอื่นโดน ช้ำยังเผลอมองใบหน้าจริงจังของอีกฝ่ายเสียเพลิน
“เอาละเสร็จแล้ว”
พีระพลประกาศด้วยรอยยิ้มหลังจากติดผ้าก๊อตปิดแผลเหนือคิ้วเข้มของเพลิงภพเรียบร้อยแล้ว
ดวงตาเรียวสำรวจความเรียบร้อยของผลงานของตนบนใบหน้าคมอีกครั้งแล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ
ก่อนจะเก็บอุปกรณ์ทำแผลทั้งหลายลงถุงแล้วเก็บเข้ากระเป๋า
“รถเมล์ยังไม่มาอีกเหรอ? ช้าจัง”
ร่างโปร่งบ่นอย่างหงุดหงิดนิดๆเมื่อยังไม่เห็นรถเมล์สายที่นั่งประจำผ่านมาทั้งที่เลยเวลามานานแล้ว
“ไปแล้วต่างหาก” เป็นเสียงทุ้นจากร่างสูงที่เอย
“หา!ไปแล้ว”
พีระพลร้องอย่างตกใจ เพราะถ้ารถผ่านไปแล้ว หมายความว่าต้องรออีกเป็นชั่วโมงคันต่อ
ไปถึงจะมาแล้วเขาก็ต้องกลับบ้านช้าไปด้วย แล้วการบ้านกับรายงานที่ซุ่มเป็นตั้งรอให้ไปจัดการจำทำไงละที่นี้
“ก็นายมั่วแต่ก้มหน้าก้มตาทำแผล”
เพลิงภพเอยอย่างไม่ทุกข์ ไม่ร้อนทั้งที่ตัวเองเป็นสาเหตุ พีระพลแอบค้อนในใจ ‘เพราะใครกันละ?’
ตาคมมองหน้าบึ้งๆงอนๆเป็นหน้าเป็ดของคนข้างๆที่มองเขาอย่างกล่าวหากลายๆแล้วเด็กหนุ่มร่างสูงก็
อดขำไม่ได้จนต้องเหยียดยิ้มมุมปาก
“ไม่ใช่ความผิดฉันชักหน่อย”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”
ไม่ว่าแต่บ่นงึมงำสาปแช่งอย่างนี้เนี้ยะนะ เพลิงภพคิดในใจ
“ขอบใจ”
คำขอบใจจากปากเจ่อเรียกให้คนที่กำลังบ่นอย่างเมามันหันมาเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
แต่ก็ฉีกยิ้มกลับอย่างน้อยก็ยังมีจิตสำนึกรู้จักขอบอกขอบใจคนอื่น
“ไม่เป็นไร”
จู่ๆร่างสูงก็ลุกขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“หิว”
‘พูดสั้นๆให้ตีความเองอีกแล้ว’ พีระพลลอบถอนหายใจก่อนจะยิ้มบาง
‘ถ้างั้นเราจะตีความเข้าข้างตัวเองละนะ ว่าชวนไปกินข้าวด้วยกัน’
“รอด้วยสิ หิวเหมือนกัน”
...........................................................................................................................................................................
ความคิดเห็น