ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุรุษนิรนาม เขาคือใคร

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 13 พ.ค. 52


    พระเยซูคริสต์เป็นศาสดาคนเดียวของโลกที่อ้างว่าตนเองคือพระเจ้า  พระองค์เป็นศูนย์กลางของคริสตศาสนา  เป็นผู้ซึ่งคริสตชนทั่วโลกกว่าหนึ่งพันล้านคนนมัสการว่าเป็นพระเจ้า  หากจะพูดว่า  "คริสตศาสนาคือพระเยซูคริสต์”  ก็ไม่ผิด เพราะคริสตชนนมัสการตัวบุคคลที่ชื่อว่าเยซูคริสต์  และเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้มาเกิดในสภาพมนุษย์

    หากถามว่า
    "ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์สำคัญเพียงไรต่อความเชื่อของคริสตศาสนา" ตอบได้ว่า สำคัญมาก สำคัญพอ ๆ กับความอยู่รอดของคริสตศาสนาทีเดียว เพราะหากเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นพระเจ้าตามที่ พระองค์อ้างไว้ หรือหากเราสามารถยืนยันได้ว่าพระเยซูไม่ได้ทำสิ่งที่พระองค์ตรัสว่าจะกระทำ แล้ว คริสตศาสนาก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ เพราะนั่นเท่ากับว่าคริสตศาสนาตั้งอยู่บนพื้นฐานของการโกหกพกลม แต่ขณะเดียวกัน หากเราสามารถยืนยันโดยเหตุผลทั้งในทางตรรกวิทยา หลักฐานทางประวัติศาสตร์ และประสบการณ์จากชีวิตจริงว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าในสภาพมนุษย์จริง ๆ ปัญหาต่าง ๆ ที่เราคิดว่าเป็นปัญหาก็จะหมดไป เช่น "พระเจ้ามี จริงหรือ" "พระลักษณะของพระเจ้าเป็นอย่างไร" "มนุษย์คือใคร" "อยู่เพื่ออะไร" "กำลังจะไปไหน" เป็นต้น เพราะพระเยซูคริสต์ได้สำแดงพระลัษณะของพระเจ้าให้ปรากฎชัดแล้วในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และพระองค์ยังได้สอนถึงเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ที่เราทั้งหลายสงสัยด้วย แน่นอนที่สุด ถ้าพระเยซูเป็นพระเจ้าดังที่พระองค์อ้างจริง ๆ คำสอนของพระองค์ก็ต้องเป็นความจริง

    พระเยซูคริสต์เป็นศาสดาคนเดียวของโลกที่อ้างว่าตนเองคือพระเจ้า  พระองค์เป็นศูนย์กลางของคริสตศาสนา  เป็นผู้ซึ่งคริสตชนทั่วโลกกว่าหนึ่งพันล้านคนนมัสการว่าเป็นพระเจ้า  หากจะพูดว่า  "คริสตศาสนาคือพระเยซูคริสต์”  ก็ไม่ผิด เพราะคริสตชนนมัสการตัวบุคคลที่ชื่อว่าเยซูคริสต์  และเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้มาเกิดในสภาพมนุษย์

    หากถามว่า
    "ความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์สำคัญเพียงไรต่อความเชื่อของคริสตศาสนา" ตอบได้ว่า สำคัญมาก สำคัญพอ ๆ กับความอยู่รอดของคริสตศาสนาทีเดียว เพราะหากเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นพระเจ้าตามที่ พระองค์อ้างไว้ หรือหากเราสามารถยืนยันได้ว่าพระเยซูไม่ได้ทำสิ่งที่พระองค์ตรัสว่าจะกระทำ แล้ว คริสตศาสนาก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ เพราะนั่นเท่ากับว่าคริสตศาสนาตั้งอยู่บนพื้นฐานของการโกหกพกลม แต่ขณะเดียวกัน หากเราสามารถยืนยันโดยเหตุผลทั้งในทางตรรกวิทยา หลักฐานทางประวัติศาสตร์ และประสบการณ์จากชีวิตจริงว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าในสภาพมนุษย์จริง ๆ ปัญหาต่าง ๆ ที่เราคิดว่าเป็นปัญหาก็จะหมดไป เช่น "พระเจ้ามี จริงหรือ" "พระลักษณะของพระเจ้าเป็นอย่างไร" "มนุษย์คือใคร" "อยู่เพื่ออะไร" "กำลังจะไปไหน" เป็นต้น เพราะพระเยซูคริสต์ได้สำแดงพระลัษณะของพระเจ้าให้ปรากฎชัดแล้วในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และพระองค์ยังได้สอนถึงเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ที่เราทั้งหลายสงสัยด้วย แน่นอนที่สุด ถ้าพระเยซูเป็นพระเจ้าดังที่พระองค์อ้างจริง ๆ คำสอนของพระองค์ก็ต้องเป็นความจริง

    2. พระเจ้าที่สำแดงพระองค์เอง

    ประวัติศาสตร์มนุษยชาติได้บันทึกการแสวงหาของมนุษย์ เพื่อเข้าถึงความจริงของชีวิตในรูปของศาสนาต่างๆ ความหิวกระหายในส่วนลึกของจิตใจมนุษย์ผลักดันให้มนุษย์ต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวนมัสการ เขาจึงแสวงหาและแสวงหา ศาสนาต่างๆ จึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ แต่คริสต์ศาสนาแตกต่างจากศาสนาอื่นๆ คือแทนที่มนุษย์จะเป็นผู้แสวงหาพระเจ้า พระเจ้าในคริสต์ศาสนากลับเป็นผู้แสวงหามนุษย์และยังได้สำแดงพระองค์เองให้ประจักษ์แก่ตามนุษย์ โดยทางพระเยซูคริสต์ในสภาพของมนุษย์ที่สมบูรณ์

    สมมุติว่าคุณเป็นคนรักมด และมักใช้เวลาว่างเฝ้าสังเกตการทำงานของมดอยู่เสมอ วันหนึ่งคุณเห็นภัยอันตรายใหล้จะมาถึงมดเหล่านั้น เพราะชาวไร่คนหนึ่งกำลังขุดดินบริเวณนั้นและกำลังจะขุดเอารังมดนั้นไปด้วย ด้วยความรักมดคุณต้องการเตือนภัยที่จะมาถึง คุณตะโกนก็แล้ว ใช้ท่าทางก็แล้วแต่ไม่ได้ผล พวกมดยังคงทำงานของตนต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะมันไม่รู้ภาษามนุษย์ คุณจะทำอย่างไร วิธีไหนดีที่สุดที่จะทำให้มดเข้าใจความหมายของคุณ แน่นอน มีทางเดียวเท่านั้น คือคุณต้องแปลงเป็นมด ลงไปอยู่กับมดและพูดภาษามด เช่นเดียวกัน นี่คือวิธีที่พระเจ้าสำแดงพระองค์เองต่อมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์เข้าใจถึงพระประสงค์ ความรัก และแผนการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์โดยการมาเกิดเป็นมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์

    สมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทย (นคท.)
    จากหนังสือ เรื่อง เยซูคือใคร


    2. พระเจ้าที่สำแดงพระองค์เอง

    ประวัติศาสตร์มนุษยชาติได้บันทึกการแสวงหาของมนุษย์ เพื่อเข้าถึงความจริงของชีวิตในรูปของศาสนาต่างๆ ความหิวกระหายในส่วนลึกของจิตใจมนุษย์ผลักดันให้มนุษย์ต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวนมัสการ เขาจึงแสวงหาและแสวงหา ศาสนาต่างๆ จึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้ แต่คริสต์ศาสนาแตกต่างจากศาสนาอื่นๆ คือแทนที่มนุษย์จะเป็นผู้แสวงหาพระเจ้า พระเจ้าในคริสต์ศาสนากลับเป็นผู้แสวงหามนุษย์และยังได้สำแดงพระองค์เองให้ประจักษ์แก่ตามนุษย์ โดยทางพระเยซูคริสต์ในสภาพของมนุษย์ที่สมบูรณ์

    สมมุติว่าคุณเป็นคนรักมด และมักใช้เวลาว่างเฝ้าสังเกตการทำงานของมดอยู่เสมอ วันหนึ่งคุณเห็นภัยอันตรายใหล้จะมาถึงมดเหล่านั้น เพราะชาวไร่คนหนึ่งกำลังขุดดินบริเวณนั้นและกำลังจะขุดเอารังมดนั้นไปด้วย ด้วยความรักมดคุณต้องการเตือนภัยที่จะมาถึง คุณตะโกนก็แล้ว ใช้ท่าทางก็แล้วแต่ไม่ได้ผล พวกมดยังคงทำงานของตนต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะมันไม่รู้ภาษามนุษย์ คุณจะทำอย่างไร วิธีไหนดีที่สุดที่จะทำให้มดเข้าใจความหมายของคุณ แน่นอน มีทางเดียวเท่านั้น คือคุณต้องแปลงเป็นมด ลงไปอยู่กับมดและพูดภาษามด เช่นเดียวกัน นี่คือวิธีที่พระเจ้าสำแดงพระองค์เองต่อมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์เข้าใจถึงพระประสงค์ ความรัก และแผนการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์โดยการมาเกิดเป็นมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์

    สมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทย (นคท.)
    จากหนังสือ เรื่อง เยซูคือใคร

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×