คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Day 9: Mon 28/03/11
Day 9: Mon 28/03/11
Good Morning!! ><
อาจดูแปลกๆ ที่ทักอย่างนี้ แต่พอดีว่าวันนี้ชีวิตดูจะ Normally ไปหน่อย ไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้นให้เขียน เลยขอเขียนถึงวัฒนธรรมกับอาหารการกินบ้างแล้วกัน ^^
Good morning คำนี้เป็นคำที่สำคัญที่สุดในการเริ่มต้นชีวิตวันใหม่ในประเทศกีวี่แห่งนี้ ไม่ว่าเดินออกมาจากประตูห้องนอนแล้วคุณจะพบหน้าใครเป็นคนแรก อย่าได้ลืมพูดทักทายสวัสดีตอนเช้าเป็นอันขาด มันเหมือนกับเป็นมารยาทและสิ่งสำคัญของที่นี่
อ่อ... แน่นอนว่าฉันพูดอย่างนั้นกับทุกคนที่เจอ
...ยกเว้นยัยเพื่อนตัวดีที่นอนห้องฝั่งตรงข้ามของฉันน่ะนะ...
...เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก เพราะคำแรกที่ฉันพูดกับเธอทุกเช้าก็คือ “ตื่นได้แล้วเว้ย! อย่านอนต่อนะ!!”... - -“
หลังจากแน่ใจแล้วว่าพิกกี้จะไม่ล้มตัวลงนอนต่อ ฉันก็จัดการแต่งตัวพร้อมกับเดินไปทางห้องครัวแทน ที่นี่มื้อเช้าจะไม่ได้อลังการงานสร้างเหมือนบ้านเราคือข้าวเป็นข้าว กับเป็นกับ ส่วนใหญ่แล้วมื้อเช้ามักจะเป็นขนมปังเสมอ ส่วนจะปิ้งมั้ย หรือจะทานกับอะไรนั่นคือเรื่องของคุณอีกที
มีบ้างเหมือนกันที่อาจกินซีเรียล แต่เมื่อเทียบสัดส่วนกับขนมปังแล้ว... ไม่แน่ว่ากลับเมืองไทย ฉันอาจหน้าสี่เหลี่ยมเป็นขุยๆ แบบเจ้านี่ก็เป็นได้ TT
ฉันจัดการปิ้งขนมปังให้เพื่อนที่ท่าทางอีกนานกว่าชีจะเสด็จออกมา ส่วนตนเองก็หาอะไรทาที่น่าจะแปลกใหม่ว่าเนยที่กินอยู่ทุกวัน... ฉันเองก็ไม่ค่อยชอบกินเนย พอต้องกินขนมปังทาเนยทุกเช้ามาเป็นอาทิตย์ก็เกิดอาการเอียนขึ้นมาบ้าง ทางออกที่ดีที่สุดคือถามแนนว่าบ้านนี้พอจะมีนมข้นหวานบ้างมั้ย อยากทากับขนมปัง
แนนทำน่าตกใจเหมือนฉันเป็นมนุษย์ต่างดาวมาจากนอกโลกแต่ก็ยอมยื่นให้โดยดี... ฉันเพิ่งรู้ว่าประเทศนิวซีแลนด์ไม่ได้กินขนมปังทานมเหมือนบ้านเรา (อยู่บ้านนี่ทาแล้วโรยไมโลเป็นว่าเล่น) แนนบอกว่าปกตินมข้นหวานจะเอาไว้ทำอาหารเสียมากกว่า ซึ่งฉันก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่ามันจะเอาไปทาอะไรได้
พูดถึงเด็กๆ จอมซน วันนี้พวกเขากินขนมปังทาเนยเหมือนเคย แต่ที่แปลกไป คือสิ่งที่พวกเขาใช้ทาทับอีกทีไม่ใช่แยมราสเบอร์รี่เหมือนทุกวัน แต่เป็น “Vegemite” ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไร ส่วนแนนเองก็ไม่อาจอธิบายได้ด้วยว่ามันทำมาจากอะไรบ้าง แต่ที่นี่เขากินกันเป็นนิจอยู่แล้ว คงอารมณ์เหมือนคนไทยกินน้ำพริกเผาล่ะมั้ง
...ประเด็นก็คือ... รสชาติมัน....................เกินบรรยายจริงๆ...
ฉันกับพิกกี้เคยลองเมื่อวันแรกที่มาถึงที่นี่ แม้จะใช้ปลายลิ้นแตะเพียงนิดๆ เราสองคนก็พร้อมใจกันสัญญาว่าจะไม่ย่างกรายเข้าใกล้มันอีกเป็นอันขาด
ชีวิตฉันยังคงปกติหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ แนนก็พาพวกเราไปส่งที่โรงเรียน ที่นี่จะเรียนคาบละหนึ่งชั่วโมง ยกเว้น Form Class (คล้ายๆ โฮมรูม) ที่จะเป็นคาบแรกประมาณ 10 นาที หลังจาก Form class ก็จะเรียนต่อสองคาบจากนั้นจึงเบรคประมาณ 15 นาที
ช่วงเบรคเด็กๆ โรงเรียนนี้มักจะหาที่นั่งตามมุมสวยๆ ต่างๆ จับกลุ่มคุยบ้างล่ะพลางกินอาหารว่างไปด้วย ฉันกับพิกกี้ไม่มีอาหารว่างเป็นกิจลักษณะนอกจากสิ่งที่บรรจุอยู่ในกล่องข้าว เหมือนจะเป็นอาหารกินเล่นทุกอย่าง แต่เมื่อรวมๆ กันเยอะๆ แล้วมันก็ทำให้หนักท้องได้อยู่ พวกเราจึงมักแบ่งส่วนนึงกินเป็นอาหารว่าง อีกส่วนไว้ทานตอนกลางวัน
ฉันมักจะกินขนมปังชิ้นเล็กๆ ที่แนนจัดให้ บางวันเป็นบิสกิตบ้าง เป็นชิ้นเค้ก หรือคัพเค้กบ้างสลับกันไป แล้วก็โยเกิร์ตหรืออะไรก็ตามที่แนนจะจัดใส่กล่องข้าวมาให้... นั่นล่ะ อาหารช่วงพักเบรคของพวกเรา
อิ่มท้องแล้วก็ไปตะลุยต่ออีกสองคาบใหญ่ๆ ก่อนจะถึงเวลาพักกลางวันประมาณบ่ายโมงยี่สิบ (อยู่เมืองไทยนี่มีหิวกันไส้ขาด) ข้าวกลางวันที่ไม่อาจเรียกว่าข้าวได้ของพวกเราคือ “แซนด์วิช” เรากินแซนด์วิชกันทุกวัน บางวันก็ใส่ชีสเปล่าๆ บางวันก็แฮมเปล่าๆ ไม่มีหรอกชีสกับแฮมมาพร้อมกันน่ะ (นอกจากจะขอแนนทำเอง ซึ่งนิสัยขี้เกียจโดยสายเลือด รวมถึงฝีมือการทำอาหารที่เพื่อนๆ เบือนหน้าหนี ฉันจึงไม่เสนอตัวแต่อย่างใด)
นอกจากแซนด์วิชแห้งๆ เราก็จะมีผลไม้ควบคู่กันไป ซึ่งทุกวันมักจะเป็นกล้วยกับแอปเปิ้ล โดยเฉพาะอย่างหลังนี่ดูคนนิวซีแลนด์จะชอบกันมาก ทุกบ้านต้องมีแอปเปิ้ลติดบ้านตลอด อาจเพราะสภาพภูมิอากาศเป็นใจทำให้ผลไม้ชนิดนี้ปลูกง่ายกว่าอย่างอื่น ฉันเคยเห็นราคาของมันในซุปเปอร์มาเก็ตแล้วก็พบว่าถูกอย่างไม่น่าเชื่อ
...กิโลกรัมละ 1 ดอลล่าร์ (ประมาณ 23 บาท)...
...พระเจ้า! แอปเปิ้ลกิโลนึงยี่สิบกว่าบาทเอง!!...
แล้วนั่นจึงไม่แปลกเลย ที่เจ้าผลไม้สีแดงๆ กลมๆ อันนี้จะป็อปปูล่าร์เสียเหลือเกิน ฉันที่เฉยๆ กับมันมาโดยตลอด พอต้องมากินทุกวันเลยเกิดอาการอุปทานว่าชอบมันขึ้นมาแล้วซะอย่างนั้น
ทั้งอาหารเช้าและอาหารกลางวันของเขา ดูๆ ไปแล้วแทบไม่ต่างอะไรกับอาหารว่างบ้านเราเลยซักนิด ถ้าไม่อัดกินเข้าไปเยอะๆ ให้มันอยู่ท้อง ไม่มีทางหิ้วกระเพาะน้อยๆ รอได้ถึงมื้อเย็นเป็นแน่
หลังจากนั่งทนเรียนคาบสุดท้ายเสร็จ กลุ่มของพวกเราก็พากันเดินขาลากไปยัง Mall ใกล้โรงเรียน ถึงจะบอกว่าใกล้ แต่ความจริงแล้วก็เดินอยู่เกือบยี่สิบนาทีกว่าจะถึง ถ้าขับรถคงไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ
พวกเราต่างแยกย้ายกันดูข้าวของไปตามประสา จนเมื่อเย็นแล้วนั่นแหละถึงจะเริ่มทยอยกลับบ้าน ฉันเองก็เร่งพิกกี้ตั้งแต่ตอน 5 โมง เนื่องจากกว่าจะถึงบ้าน เกรงว่าแนนจะรอกินข้าวเย็นนาน แต่กว่าคุณหญิงจะเสด็จเข้าจริงๆ ก็ปาเข้าไปห้าโมงสี่สิบเสียแล้ว!!
ปกติเรากินข้าวกันประมาณหกโมง ซึ่งมื้อเย็นจะเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวันสำหรับชาวนิวซีแลนด์ เป็นช่วงเวลาแห่งการแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตประจำวันที่ได้พบเจอมา โดยเฉพาะแนนมักจะถามสองเด็ก และพวกเราเสมอว่าวันนี้ที่โรงเรียนเป็นเช่นไร ทำอะไรมาบ้าง เด็กๆ เขาก็จะเล่าไปตามประสา
มื้อเย็นเป็นมื้อที่ครอบครัวมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา เริ่มกินข้าวพร้อมกัน ทุกคนมักจะรอให้สมาชิกในบ้านกลับมาถึงบ้านจนครบแล้วจึงลงมือกิน (ยกเว้นมาร์คเนื่องจากมาร์คเลิกงานดึกประมาณทุ่มสองทุ่ม เขาจึงมักจะกลับมาทำอาหารง่ายๆ กินเองทีหลัง)
คงเป็นการเสียมารยาทมากหากเราจะสายสำหรับมื้อเย็น ฉันเลยให้พิกกี้ส่งแมสเซสไปบอกแนนว่าเราอาจกลับบ้านช้าซักหน่อย อย่างน้อยก็แจ้งให้เธอรู้แล้ว
และเป็นอย่างที่คิด กว่าเราจะลากสังขารจาก Mall มาถึงบ้านจริงๆ ก็เกือบสี่สิบนาทีเข้าไปแล้ว! แม้ว่าเราจะรีบซอยขาถี่ยิบหรือจะแทบวิ่งแค่ไหน เหงื่อโทรมมากเพียงใด ยังไงเสียเราก็กลับสายกว่าหกโมงจนได้ แล้วก็เป็นการดีที่แนนกับเด็กๆ กินข้าวไปก่อน เนื่องจากว่าเราคงเกรงใจมากกว่านี้เยอะ หากพวกเขาต้องรอเราสองคน
อาหารมื้อเย็นวันนี้เป็นเนื้ออะไรซักอย่างที่ตุ๋นจนเปื่อย มันคล้ายเนื้อวัวแต่แนนก็บอกว่าไม่ใช่... ราดด้วยซอสพิเศษที่ปรุงเอง ก่อนจะเสริมด้วยบล็อคโคลี่ แครอท และมันฝรั่งบดอยู่ในจานใบใหญ่
แนนบอกว่าพวกเรามักจะกินข้าวกันทุกมื้อเป็นอาหารหลัก ทางนิวซีแลนด์เองก็กินมันฝรั่งบดแทนข้าวเหมือนกัน (ติดเพียงแต่อาจจะไม่ทุกมื้อล่ะมั้ง) เพราะเนื่องมาจากว่าเป็นอาหารประเภทเดียวกัน
ช่วงก่อนกินข้าว (ถ้าสมาชิกครบ) เขาจะรอให้ทุกคนนั่งจนเรียบร้อยก่อน แล้วคนที่ใหญ่ที่สุดในบ้าน (กรณีเราคือแนน) ก็จะพูดว่าเชิญทานได้ หรือไม่เช่นนั้นก็ “Help yourself” คือช่วยตัวเองนะ ในทีนี้ถึงแม้จะจัดอาหารในจานครบถ้วนเหมือนในโรงแรม ยังไงก็ต้องช่วยตัวเองให้เรื่องซอส หรือพริกไทยอยู่ดี
...เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น เราจึงพร้อมเดินหน้าเติมอาหารใส่ท้อง...
ฉันไม่อาจถ่ายรูปอาหารที่แสนอร่อยมาให้คุณดูได้ เนื่องมาจากว่าพอคิดจะถ่ายทีไร แต่เมื่อเห็นอาหารหอมฉุย กลิ่นเตะจมูกวางอยู่แค่เอื้อมมือ ก็ต้องเผลอตักใส่ปากเสียทุกครั้งไป
...แนนทำอาหารเก่งมาก เล่นเอาซะฉันกับพิกกี้ติดใจไปตามๆ กัน...
ปกติแล้วถ้าอยู่กินกันครบองค์ประชุม หากอาหารหมดแล้วยังมีเหลือเพิ่ม แนนมักจะเป็นคนถามว่าอยากได้อะไรเพิ่มมั้ย... นาทีนี้คำว่า “เกรงใจ” เป็นอันต้องพับเก็บใส่กระเป๋าไปโดยปริยาย เพราะฝรั่งมักจะเป็นพวกซื่อตรงกับความคิด คือคิดอะไรก็พูดออกไปอย่างนั้น อย่าได้หวังทำเป็นเกรงอกเกรงใจ พอเขาถามว่าเอาเพิ่มมั้ย ทั้งที่หิวแทบตายก็บอกไปว่า “ไม่เป็นไรค่ะ” เนื่องจากว่าฝรั่งเขาจะเป็นคนตรงไปตรงมา ถ้าต้องการก็ “Yes” ไม่ต้องการก็ “No” แค่นั้น ขืนลองมาบอกว่าไม่เอาเขาก็แปลว่าเราไม่เอา แล้วอย่าหวังให้เขาถามซ้ำหรือคะยั้นคะยอแบบคนไทย แล้วค่อยแอ๊บเนียนยอมกินด้วยเห็นว่าเจ้าบ้านเชื้อเชิญเสียดิบดี (ทั้งที่จริงอยากกินตั้งแต่แรก) ขืนลองบอกว่าไม่ปุ๊บ... เป็นอันว่าคุณอดทันที!
กินข้าวเสร็จก็พาน้องๆ ไปดูการ์ตูนอีกซักหน่อย ก่อนที่เด็กๆ จะร้องโอดครวญเมื่อถึงเวลานอน ทว่าเราก็ได้แต่โบกมือพลางพูด “Good night / Night Night” ด้วยรอยยิ้ม
...นี่ก็เป็นอีกอย่างนึงที่ขาดไม่ได้...
เมื่อใดก็ตามที่คุณเข้าไปในห้องส่วนตัวเพื่อจัดการธุระจิปาถะ จนใกล้เวลาเข้านอนจริงๆ แล้วหากยังมีสมาชิกในบ้านนอนดูทีวีอยู่ที่ห้องนั่งเล่น แม้จะง่วงเพียงใดก็อย่าได้ลืมออกมาพูด Good night หรือ Night Night ที่แปลว่า “ราตรีสัวสดิ์” กับเขาก่อนเสมอ
...เอาล่ะ ตอนนี้ก็เหนื่อยมาพอแล้ว ยังไงฉันก็ขอพูดว่า “Night Night” เลยแล้วกันค่ะ ><...
ความคิดเห็น