คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Day 7: Sat 26/03/11
Day 7: Sat 26/03/11
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ... ไม่ว่าอยู่ที่ไหนบนโลกนี้ วันที่เด็กๆ โปรดปรานกันมากที่สุดคงเป็นเช้าวันเสาร์และอาทิตย์ที่ไม่จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าล่ะมั้ง
เดิมทีวันนี้เรามีทริปไปเล่นเพ้นท์บอลกันซึ่งทางโรงเรียนจัด แต่สภาพภูมิอากาศไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่นัก เนื่องจากมีฝนตกปรอยๆ มาตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่จนถึงประมาณเก้าโมงกว่า ส่วนจะเรียกว่า “ปรอยๆ” ฉันก็ดูกระดากเรียกได้ไม่สนิทใจพิกล เนื่องจากฉันว่ามันเหมือน “สะเก็ดหยดน้ำ” จากฟ้าเสียมากกว่า
...ประเด็นอยู่ที่ต่อให้ฝนจะตกเบาหรือหนัก เราก็ต้องเลื่อนทริปไปเป็นพรุ่งนี้อยู่ดี...
เมื่อตื่นลุกขึ้นจากเตียงมาแล้ว จะให้ไปนอนเกลือกกลิ้งกินบ้านกินเมืองคอรัปชั่น (?) ต่อก็ใช่ที่... ฉันกับพิกกี้เลยหอบอาหารเช้าซึ่งเป็นซีเรียลกับขนมปังทาเนยมาทานและนอนดูทีวีอยู่กับเลียม หนังเรื่องที่ดูก็คือ Scoopy-Doo ภาคใช้คนแสดงที่ยืมมาเมื่อวันก่อนนั่นแหละ แน่นอนว่าเนื่องจากความขี้เกียจในการตั้งระบบ Subtitle ทำให้เราต้องใช้สมาธิดูหนังเด็กมากกว่าปกติ
หลังจากดูหนังจบ แนนก็พาพวกเราไปยัง Weahouse มันคล้ายๆ กับโลตัส, แมคโคบ้านเรา มีของขายจิปาถะทุกอย่างเท่าที่จะสรรหาได้ รวมถึงราคาค่อนข้างสบายกระเป๋ากว่าที่อื่น (แต่ถึงจะสบายกระเป๋าแล้ว เมื่อคิดเป็นเงินไทยมันก็หนักหนาสาหัสที่จะควักจ่ายอยู่ดี) พิกกี้ยังคงเลือกของลัลล้า หยิบนู่นชมนี่ไปตามประสาสาวร่าเริง ส่วนฉันก็เดินถ่ายภาพด้วยกล้องคู่ใจไปเรื่อยเปื่อย มีเธอเป็นนางแบบเพียงคนเดียวเช่นเคย (ตกลงว่านี่กล้องใครวะคะเนี่ย...)
ท้ายสุดเธอก็ซื้อเฟรมระบายสีแบบเด็กๆ มา 1 อัน (ซึ่งฉันคิดไม่ออกเลยว่าเธอจะว่างระบายมันตอนไหน) ทางด้านฉันก็ได้ DVD แบบ 2 in 1 มา 1 แผ่น มันคือหนังเรื่อง “Nothing hill” ที่ฉันพยายามไขว่คว้าหามาเนิ่นนาน ก่อนหน้านี้ที่ไป Mall ฉันก็เจอแล้ว เพียงแต่มันแผ่นละ 10$ ตีเป็นเงินไทยก็ราวๆ 230 บาท ถึงจะเป็น DVD แบบใหม่แกะกล่อง แต่มันก็แพงเกินกว่าฉันจะทำใจซื้อได้อยู่ดี (ความเค็มเต็มสายเลือด) หากที่ฉันตัดสินใจซื้อที่ห้างนี้ก็ใช่ว่าจะถูกกว่าแต่ประการใด ทว่าอย่างที่บอกมันเป็น 2 in 1 คือมีหนังสองแผ่นในกล่องเดียวนั่นเอง ถึงอีกเรื่องจะเป็นหนังที่ฉันไม่รู้จัก (และไม่ได้พิศวาสอยากดู) แต่อย่างน้อย 10$ แล้วได้ DVD มา 2 แผ่น มันก็พอให้ฉันทำใจซื้อได้บ้างล่ะ
กว่าจะช็อปปิ้งเสร็จก็ปาไปราวบ่ายโมงกว่าแล้ว ออกมาจากตัวห้างมองขึ้นไปด้านบนภูเขา หมอกที่ปกคลุมหนาแน่นมาตั้งแต่เช้ายังไม่จางหาย ทำให้วันนี้ไม่มีแสงแดดเยือนมาให้เห็น แต่ก็ดีไม่น้อย เพราะฉันเองก็ไม่ได้อยากเปลี่ยนสีผิวก่อนกลับบ้านเท่าไหร่
อาหารมือกลางวันของเรา เป็นมื้อที่ฉันกับพิกกี้คิดว่าจะไม่ย่างกรายเข้ามาอีกแล้ว มันก็คือร้าน “แมคโดนัลด์” ที่เราคุ้นเคยกันดี... เพียงแต่ราคามันดูโหดไปนิดสำหรับกินเป็นอาหารกลางวัน รวมถึงแนนไม่ได้จ่ายในส่วนของเราให้ ความจริงก็แอบหวังว่าน่าจะเลี้ยงซักนิด แต่คิดไปแล้วเธอก็ทำอะไรให้พวกเราตั้งเยอะแล้ว แถมราคาของเราสองคนรวมกันก็ประมาณ 16$ พอดี ซึ่งแนนเองก็จ่ายส่วนของเธอกับลูกของเธอไปแล้ว 24$ เห็นราคาก็ช็อคไปไม่น้อยเลยทีเดียว
...ราคาอภิมหาทลายทรัพย์ดีจริงๆ...
หลังจากหนักท้องแต่เบากระเป๋าไปเรียบร้อย แนนก็ขับรถพาพวกเราเข้าไปในตัวเมือง Nelson มันเป็นห้างที่ฉันก็ไม่อาจอธิบายถูกได้ ดูๆ ไปแล้วก็คล้ายๆ กับ Palio Khao Yai ที่อยู่ในละครเรื่องดวงใจอัคนี (ที่แม่ฉันออกจะปลื้มพระเอกออกนอกหน้าล่ะนะ) แนนพาพวกเราก้าวเข้าไปในร้าน Smiggle ซึ่งเป็นร้านเครื่องเขียนยอดฮิตของวัยรุ่นสมัยนี้ ฉันเองก็เห็นว่าเพื่อนในห้องใช้ของ Smiggle ค่อนข้างเยอะเหมือนกัน
ส่วนเหตุผลที่ฮิตก็ไม่มีอะไรมาก มันเป็นร้านเครื่องเขียนที่เน้นเรื่องสีและดีไซน์ จะว่าไปก็แทบไม่ต่างอะไรกับ Loft บ้านเรา ที่ดีไซน์สวยๆ สีสันสดใส แต่ราคาแพ๊งแพง... เห็นราคาของแต่ละอย่างก็ไม่มีอารมณ์คิดอยากจะหิ้วกลับบ้านแต่อย่างใด
หลังเดินเล่นเข้าร้านนู้นทะลุร้านนี้เราก็กลับบ้านมานั่งเล่นเกม Wii กัน ซึ่งเป็นเกมที่ต้องขยับร่างกายไปด้วย (ฉันก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง) เรื่องของเรื่องคือถามว่าสนุกมั้ยมันก็สนุกดีอ่ะนะ แต่โดนน้องๆ เลียมและเบนจามินแย่งกันเล่นไปหมด ฉันกับพิกกี้ก็เหนื่อยเกินกว่าจะไปนั่งทะเลาะแย่งเด็กเล่นเกมเลยลากตนเองมานั่งจัดของแทน
วันนี้แนนกับมาร์คต้องไปงานเลี้ยงอะไรซักอย่างบนภูเขา ซึ่งเขาจะพาเลียมและเบนจามินไปฝากบ้านที่เขารู้จักบ้านนึง ส่วนฉันกับพิกกี้จะไปอยู่บ้านโฮสต์ที่ฟ้ากับพลอยเพื่อนฉันพักอยู่
ราวๆ 6 โมงได้พวกเราจึงออกจากบ้าน แล้วรถที่ใช้นั่งก็ไม่ใช่รถ Subaru ที่แนนขับทุกวัน หากเป็น “Campervan” ที่จอดนิ่งสนิทอยู่หลายวัน บอกแคมป์เปอร์แวนอาจจะงงๆ แต่ถ้าพูดว่า “รถบ้าน” ทุกคนคงเข้าใจกันดี
...ช่างไม้ก็มีรถบ้านนะเออ!!...
ฉันกับพิกกี้ตื่นเต้นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะฉันที่เดินถ่ายแทบทุกซอกทุกมุมของรถ ด้านหน้าเป็นส่วนของคนขับ ส่วนกลางรถด้านซ้ายเป็นทางขึ้น ด้านขวาเป็นห้องน้ำ มีห้องอาบน้ำและส้วมอยู่ในตัว ถัดมาจากประตูทางขึ้นเป็นมุมครัวเล็กๆ มีเตาแก๊สตู้อบและไมโครเวฟรวมถึงตู้เย็นเพรียบพร้อม ด้านหลังรถคือมุมนั่งเล่น มีโซฟายาวสามที่นั่ง ฝั่งตรงข้ามเป็นโซฟาหนึ่งที่นั่ง 2 ตัว มีโต๊ะที่พับเก็บไว้เรียบร้อยอยู่ตรงกลาง
ด้านบนเป็นเตียงคู่ซึ่งแนนบอกว่าสามารถเลื่อนลงมาได้เมื่อต้องการพักผ่อน ส่วนอีกเตียงอยู่ทางด้านหน้าเหนือคนขับขึ้นไป
...ก็ถ้าจะหรูขนาดนี้อ่ะนะ...
นาทีนี้ฉันรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเพราะไม่เคยได้นั่งรถบ้านมาก่อน รู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้ามาอยู่ในการ์ตูนเรื่อง Ben10 ชอบกล และเพราะมัวแต่ถ่ายรูป รู้ตัวอีกทีก็ตอนเมื่อแนนบอกให้นั่งบนโซฟาพร้อมเตือนให้รัดเข็มขัดนั่นแหละ
วัฒนธรรมการนั่งรถของที่นี่ต่างจากประเทศไทย เพราะไม่ว่าคุณจะนั่งข้างหน้าหรือนั่งข้างหลัง ส่วนไหนของรถ คุณก็ต้องขาดเข็มขัดอยู่ดี (ฉันออกจะไม่ชินพิกล ในช่วงแรกเลยเขินตัวเองอย่างบอกไม่ถูก เหมือนตัวเองเป็นซอฮยอนในโซนยอชิแดที่นั่งรถเบาะหลังแล้วต้องขาดเข็มขัดชะมัด!)
แต่ก็เพราะอย่างนั้นแหละ ประเทศนี้เลยไม่มีอุบัติเหตุทางรถยนต์เลย... ครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นก็เมื่อหลายปีมาแล้ว มีคนตายกี่คนฉันก็จำไม่ได้รู้เพียงมีคนไทย 1 คน แล้วก็เป็นอุบัติเหตุเพียงครั้งเดียวในรอบ 30 ปีเสียด้วย!!
...ประเทศไทย... ได้ข่าวว่าขึ้นหน้าหนึ่งแทบทุกวัน...
รถบ้านคันสวยเคลื่อนมาจอดยังหน้าบ้านที่เราต้องนอนพักคืนนี้ พอลงมาจากรถฉันกับพิกกี้ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากอ้าปากค้าง เดิมทีบ้านของแนนกับมาร์คก็ใหญ่มากพออยู่แล้ว มาเจอบ้านนี้ที่เป็นบ้านใหญ่สองชั้นแล้วดูจะเทียบไม่ติด รู้หรอกว่า Hostdad ของบ้านนี้เป็น CEO แต่ก็ไม่คิดว่าจะหรูขนาดนี้
เข้าไปในบ้าน Hostmom ก็แนะนำตัวเองว่าเธอชื่อ Kay (เคย์) ทำความรู้จักกันเรียบร้อย ฉันกับพิกกี้ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นสภาพของฟ้ากับพลอย พวกเธอนึกครึ้มมาทำอาหารไทยอะไรกันวันนี้คะ??
ตำราอาหารไทยราวๆ สี่เล่มวางกองอยู่บนโต๊ะ แต่เรื่องสำคัญคือพวกเธอไม่ยอมเลือกของที่อยู่ในนั้นซักอย่าง แต่กลับอยากจะทำ “พะแนงไก่” กันขึ้นมาเสียเฉยๆ... พระเจ้า! หนังสือสี่เล่มมีไม่เลือก เลือกไอ้ที่มันไม่มี
...แล้วพวกเธอก็ทำกันไม่เป็นเนี่ยนะ!!?...
ก่อนอื่นเพื่อความไม่ประมาทประสาคนไทยใจกล้า เราเลยทำไข่เจียวเตรียมไว้ก่อนแล้ว ต่อจากนั้นก็มาจัดการกับพะแนงไก่เจ้าปัญหา ทำไปทำมาก็กลายเป็นพิกกี้กับพลอยรวมมือกันทำเสียมากกว่า ส่วนฟ้าที่ฉันคิดว่าจะเป็นแม่ศรีเรือน ความสามารถในการทำอาหารก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันเท่าไหร่นัก เราสองคนเลยมานั่งยืนดูเพื่อนๆ รุมทำพะแนงไก่ ให้อารมณ์พ่อบ้านรอทานอาหารแม่บ้านยังไงชอบกล
...ฝีมือฉันก็ไม่ได้ห่วยแตกนะวะเฮ้ย... ก็แค่ทำไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ต้ม และมาม่าเป็นแค่นั้นเอง T^T...
และแล้วผ่านไปหลายชั่วโมง สิ่ง (ไม่) มีชีวิตที่เรียกว่า “พะแนงไก่” ก็ปรากฏแก่สายตา ขอไม่สาธยายว่ารุมใส่อะไรกันไปบ้างเพื่อให้รสชาติใกล้เคียงคำว่า “พะแนงไก่” มากที่สุด... ก็แหม มันต้องใช้น้ำตาลปี๊บ แค่วัตถุดิบเราจับยัดน้ำตาลขาวเม็ดใสลงไปก็ผิดประเด็นแล้ว
...ทว่ารสชาติก็ไม่ได้แย่หรอกนะ มันดีกว่าที่คิดไว้เลยทีเดียว แต่แค่...ฉันไม่กล้าเรียกว่า “พะแนงไก่” เฉยๆ...
จัดการของคาวแล้ว เราก็มีของหวานเป็นเค้กช็อกโกแลตที่ฟ้า พลอย และเคย์ทำกันไว้เมื่อวาน รสชาติค่อนข้างดีติดเพียงอาจหวานไปนิดนึงฉันเลยกินมันร่วมกับกล้วย ซึ่งตอนแรกคนที่ตกงานไม่มีอะไรทำในครัวอย่างฉันขออาสาหั่น แต่หั่นไปได้ประมาณลูกเดียว... ทุกคนก็ลงความเห็นว่าให้พลอยหั่นคงดีกว่า
...เง้อ... T____T... แค่หั่นกล้วยมันก็ดูแย่ขนาดนั้นเลยเร๊อะ!...
มื้ออาหารที่เหนื่อยที่สุด (สำหรับพลอยและพิกกี้) ก็ผ่านพ้นไป พวกเราลงไปชั้นล่างยังห้องของพลอยและฟ้าเพื่อหาอะไรเล่นกันฆ่าเวลาก่อนนอน แล้วสิ่งที่ดูจะเข้าท่าที่สุดก็คือ “ไพ่” นี่แหละ เล่นกันไปเล่นกันมา พิกกี้ก็ดันสร้างเรื่องด้วยการพูดว่าได้ยินเสียงเด็กบ้างล่ะ เล่นๆ ไป เดี๋ยวก็มองใต้เตียงฟ้าที่ยกสูงบ้างล่ะ
แน่นอนว่าการกระทำของเธอมันทำให้พลอยและฟ้าที่นอนห้องนี้ถึงกับขนลุกอย่างบอกไม่ถูก พวกเธอเลยขอร้องกึ่งบังคับให้ฉันและพิกกี้มานอนห้องนี้ ห้องก็ค่อนข้างกว้างมากพอสมควร แถมยังมีโซฟาด้วยหนึ่งตัว ซึ่งฉันเองก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว
ซักพักพิกกี้ก็ไปอาบน้ำ ฟ้า พลอย และฉันเลยเริ่มย้ายของอย่างจริงจัง โดยที่ฉันเลือกจะให้พิกกี้นอนโซฟา ส่วนฉันก็ลากผ้านวมผืนหนามานอนบนพื้นแทน พอเธอกลับมา (หลังจากหายไปนานราวกับสร้างส้วม) เธอก็โวยวายเล็กน้อยถึงเรื่องที่เราย้ายสัมมะโนครัวห้องนอนกระทันหัน (ก็เพราะเธอนั่นแหละย่ะ!) ฉันเลยพูดกับเธอไปว่า...
“แกมี 3 ทางเลือก... นอนห้องนู้นคนเดียว นอนโซฟา หรือนอนพื้น”
คุณรู้ใช่มั้ยว่าคำตอบมันจะเป็นอะไร...
“โซฟาดิ”
ก็นี่แหละ...เหตุผลที่ฉันเลือกนอนพื้นตั้งแต่แรก
...ได้ข่าวว่าเราโครโมโซมเดียวกันนะยะ แล้วฉันก็ไม่ได้มาดแมนแฮนด์ซั่มเป็นทอมบอย ทำไมอยู่ๆ รู้สึกตัวเหมือนตัวเองต้องเสียสละให้สาวน้อย (ร่างไม่ได้บาง) ยังไงก็ไม่รู้ = =”...
จัดการเรื่องที่นอนได้เสร็จสรรพ พวกเราสี่คนเลยเล่นไพ่กันต่ออย่างสนุกสนานพร้อมเปิดเพลงคลอไปด้วย หากฉันกลับคิดว่าเหมือนตัวเองลืมอะไรซักอย่างชอบกลแต่ก็นึกไม่ออกเสียที มาถึงบางอ้อก็ตอนได้ยินเสียงโทรศัพท์กรีดร้องลั่นห้องนั่นแหละ
...ชิบหาย!... ลืมโทรหาหม่อมแม่!! =[]=...
ความคิดเห็น