คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Day 4: Wed 23/03/11
Day 4: Wed 23/03/11
วันนี้ฉันกับพิกกี้ดูจะสดใสมากกว่าเมื่อวาน เพราะนอนกันประมาณสี่ทุ่มแล้วก็ตื่นเกือบเจ็ดโมงครึ่ง ไปโรงเรียนตามปกติ คาบแรกเขามีโฮมรูมประมาณ 10 นาที คล้ายๆ บ้านเรา ซึ่งแน่นอนว่าพอเข้าไปในห้อง ฉันแทบไม่รู้เรื่องเลยซักนิดว่าเขาทำอะไรกัน ก็นั่งเอ๋อไปงั้นล่ะ จนได้ไปเรียนอังกฤษคลาสส่วนตัว
มันคือคลาสสำหรับคนไทยที่มาเรียนซัมเมอร์ ซึ่งก็เรียนแยกต่างหากสองชั่วโมง เกี่ยวกับการเข้าหาเพื่อน การตั้งคำถาม อะไรอย่างที่เราเรียนกันตอนประถม ฉันก็นั่งหาวบ้างเล่นเกมบ้างสลับกันไป
หลังพักเบรคเป็นคาบ P.E. นาตาลีท่าทางจะไม่ค่อยไลค์ซักเท่าไหร่ เธอถามฉันว่าเอาชุดมาเปลี่ยนมั้ย แน่นอนว่าฉันขี้เกียจหอบไป เลยบอกเธอว่าจะเล่นทั้งอย่างนี้ กีฬาที่เล่นในวันนี้ก็คือฟุตบอลหรือซอกเกอร์กันนั่นเอง ไม่แปลกใจที่เคยได้ยินว่าเจสสิก้าเล่นฟุตบอลตอนอยู่’เมกา เพราะเด็กฝรั่งไม่ว่าจะหญิงหรือชายเขาเล่นฟุตบอลกันทั้งนั้น ผู้หญิงบางคนเล่นเก่งกว่าด้วยซ้ำไป ฉันก็ยืนประดับมุมสนามเป็นกองหลัง ส่วนนาตาลีแทบไม่ได้ใส่ใจกับเกมกีฬาตรงหน้าเท่าไหร่ เธอชวนเพื่อนผู้ชายคนนึงคุย เพิ่งรู้สึกว่าเธอมีเพื่อนผู้ชายค่อนข้างเยอะมาก
ฉันเองได้เตะอยู่ชั่ววูบนึงตอนผู้ชายฝ่ายตรงข้ามเลี้ยงมา แต่แหม...ถึงจะพอมีทักษะสมัยเด็กๆ ที่ยังเฟี้ยวชอบเตะบอลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เก่งขั้นจะแย่งบอลจากเพศตรงข้ามได้นะ ทักษะมันต่างกันเห็นๆ แต่นาตาลีก็เพิ่มเรื่องอเมซิ่งเกี่ยวกับตัวฉันไปอีกหนึ่งเรื่อง นั่นอาจเพราะเธอไม่ชอบฟุตบอล แล้วก็ออกจะเกรงๆ ลูกบอลซักหน่อย
...คล้ายๆ กับใครบางคนในความทรงจำจัง...
หลังจากเหนื่อยกับการยืนกลางแดด นาตาลีก็เปลี่ยนชุดกลับเป็นชุดนักเรียนตามเดิม อ่อ...ลืมบอกว่าที่นี่ไม่มีชุดพละ พอถึงคาบ P.E. ส่วนใหญ่ทุกคนจะใส่เสื้อยืดไม่ก็เสื้อกล้าม กับกางเกงขาสั้น แล้วก็เล่นกันกลางแดดเปรี้ยงๆ แต่อากาศหนาวๆ นั่นแหละ ฉันนึกสงสัยว่าทำไมพวกเขาไม่ดำขึ้นเลย ฉันนี่สิ... ถ้าไม่ใส่เสื้อแขนยาว แม่อาจจำไม่ได้ - -“
ส่วนยูนิฟอร์มจะเป็นเสื้อเชิ้ตขาวออกครีมๆ กระโปรงเขียวลายสก็อต ไม่ต้องใส่เสื้อเข้าในกระโปรง ส่วนทรงผมจะทำอะไรยังไงก็ได้ เครื่องประดับแล้วแต่คุณ ดูจะมีกฎที่รองเท้าที่คัดประเภทนิดนึง กฎคล้ายๆ มหาวิทยาลัยบ้านเราแหละ ทว่ามันดูสบายๆ กว่าเยอะเลย
คาบต่อมาเป็นคาบที่นาตาลีรักมากมายนั่นคือภาษาญี่ปุ่น วันนี้มีเรื่องประหลาดนั่นก็คือมีนักเรียนมาญี่ปุ่นมาเรียนซัมเมอร์ประมาณ 2 อาทิตย์เหมือนฉัน ซึ่งคาบนั้นหรรษามาก เขามีคำถามให้สิบคำถาม ซึ่งกำหนดให้คนญี่ปุ่นถามเป็นภาษาอังกฤษ คนนิวซีแลนด์ถามภาษาญี่ปุ่น ฉันเองก็เคยได้ยินมาบ้างว่าคนญี่ปุ่นไม่เก่งอังกฤษ แต่ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ เพราะคำถามที่ใช้ถามกัน ยกตัวอย่างเช่น “Can you play the piano?” ดูเหมือนเราจะเรียนกันมาเนิ่นนานแล้ว
ฉันก็ถามนาตาลีว่าฉันควรจะถามภาษาอะไรดี มันไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่ฉันซักอัน =o= เธอเลยแนะนำให้ฉันฝึกภาษาญี่ปุ่น เธอบอกว่าภาษาอังกฤษฉันก็ดีมากอยู่แล้ว (หูทิพย์รึไงคะ มีเธอคนเดียวฟังฉันรู้เรื่อง TT) ฉันก็เดินไล่ถามไปเรื่อยๆ เจอฝรั่งเขาก็ถามว่าทำไมไม่ถามภาษาอังกฤษ (คงนึกว่าฉันเป็นญี่ปุ่น) ฉันเลยตอบได้อย่างภาคภูมิใจว่า “I’m Thai”
ท้ายคาบเขาจะวางรูปเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณีแล้วก็อาหารญี่ปุ่นไว้บนโต๊ะ จับกรุ๊ปสี่คน ฝรั่งสองญี่ปุ่นสอง (เหมือนฉันจะอยู่ฝั่งฝรั่งนะ TT) ซึ่งพวกเราก็จะถามประมาณว่า “Kore wa nan desu ka. (What’s that?)” เขาก็จะต้องอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ แล้วอย่างที่กล่าวไว้... ดูพวกเธอจะลำบากในการแปลเหลือเกิน แน่นอนว่านาตาลีไม่ได้เข้าใจเลย ซึ่งฉันก็แทบไม่เข้าใจที่เธอสื่อเหมือนกัน
อาศัยว่าโชคดีที่ชอบวัฒนธรรม ประเพณี กับอาหารญี่ปุ่นเป็นทุนเดิม พอคนญี่ปุ่นแบบให้ศัพท์อังกฤษมานิดๆ หน่อยๆ พอเป็นคำใบ้ แล้วก็ความรู้เดิม รวมถึงฉันพลิกไปอ่านข้อความหลังรูปที่อธิบายเป็นภาษาญี่ปุ่น (พอเข้าใจล่ะน่า) ฉันก็เลยมีหน้าที่แปลให้นาตาลีฟัง
สุดท้าย... ฉันเลยต้องแปลญี่ปุ่นเป็นอังกฤษ แปลอังกฤษเป็นญี่ปุ่น กลายเป็นล่ามสองสามภาษาไปโดยไม่รู้ตัว
...แน่นอนว่าการกระทำนี้ ทำให้นาตาลีเพิ่มความอเมซิ่งเกี่ยวกับตัวฉันไปแล้วอีกหนึ่ง...
...รวมถึงนักเรียนญี่ปุ่นที่พูดอยู่คำเดียวว่า “Sugoi (สุโก้ย - สุดยอด)” ...
ความจริงฉันไม่ได้เก่งขั้นฟังญี่ปุ่นออกทุกคำ เพียงแค่จับใจความได้ รวมถึงความรู้เดิมที่มี ฉันให้เหมือนว่าฉันแปลไทยเป็นอังกฤษมากกว่า แต่ก็เอาเถอะ... นาตาลีระบุในเมมโมรี่ไปแล้วว่าฉันพูดได้ 3 ภาษา
...แลดูโอเว่อร์มากอ่ะตัวเธอ T^T...
ไม่อยากจะบอกว่าตอนนั้นโหมดเปลี่ยนภาษาฉันแทบพัง ฉันนึกว่าภาษาหลักฉันคืออังกฤษไปแล้ว เพราะใช้พูดกับทุกคนในโรงเรียน ทุกคนที่เจอ ส่วนภาษาญี่ปุ่นคือภาษารองที่ฉันกำลังศึกษา... ส่วนภาษาไทยพับเก็บใส่กระเป๋าได้เลย ถ้าไม่นับกินข้าวตอนกลางวันที่ต้องเจอกับกลุ่มเพื่อน ฉันแทบไม่ได้ใช้
...เฮ้อ... คิดถึงภาษาบ้านเกิดเหลือเกิน...
วันนี้หลังเลิกเรียน พวกเรากรุ๊ปใหญ่ เด็กไทยวัยใสทำซ่าไปเดิน Mall ที่ใกล้โรงเรียนกัน จะว่าใกล้ก็ไม่ได้หรอกนะ เดินหลายสิบนาทีอยู่ ซื้อของนู่นนี่นั่นสารพัด แน่นอนว่าคนที่ได้ของเยอะสุดคือพิกกี้ ส่วนฉันแทบจะไม่เสียซักดอลเดียว ถ้าเพียงแต่ไม่แพ้น้ำเสียงออดอ้อนของเธอ ยอมช่วยซื้อแฟ้ม 2 อัน 6 ดอลล่าร์ มาเป็นเพื่อนเธอล่ะนะ (ไม่ได้อยากได้ซักนิด)
ขากลับเรากลับทางลัดที่แนนเคยบอกไว้เมื่อวาน ไม่อยากจะบอกว่าลัดมากค่ะพี่น้อง... เดินกันประมาณ 40 นาที ก็ถ้าจะลัดขนาดนี้ ขอเดินเส้นทางตรงๆ ดีกว่ามั้ย
แต่ก็ดีที่ได้ไปทางลัด เพราะทางสวยมาก มีซุ้มต้นไม้ มีสายธารเล็กๆ ไหลผ่าน มีแม่น้ำที่มีเป็ดสีน้ำตาลสลับขาวกำลังเริงร่า ดูเหมือนพวกมันไม่แคร์อากาศหนาวเลยซักนิด แล้วก็เจอบ้านหลังนึงที่ใหญ่มาก คาดว่าถ้าอยู่ในเกมซิมคงเป็นอภิมหาเศรษฐี การสร้างไม่ได้ออกแบบสวยเริศอะไรนัก แต่ตัวบ้านและความใหญ่ของมัน รวมถึงสถานที่ตั้งที่ใกล้ธารน้ำ มีสนามหญ้าลาดลงมาคล้ายแบบขั้นบันได แสงแดดยามห้าโมงเย็น (ที่พลังคล้ายสามสี่โมงบ้านเรา) สาดกระทบ แน่นอนว่ามันสวยจนฉันอดใจไม่ได้ต้องแชะไปหลายรูป
ฉันถ่ายรูปวิวกับผู้คนเยอะมาก ถ้ามีโอกาสอาจได้เอามาลง ส่วนนางแบบฉันก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล ก็เป็นพิกกี้นั่นแหละ มีกันอยู่แค่สองคนนี่นะ - -“
กลับมาบ้านก็ได้เล่นกับเบนจามินและเลียมเช่นเคย พวกเขาพาฉันไปเตะบอลบ้างล่ะ เล่นบาสบ้างล่ะ กระโดดแทมโบรีนบ้างล่ะ (ถ้าโดดอย่างนี้ทุกวัน แล้วอัดเนื้อนมไข่เยอะๆ กลับไปคงสูงขึ้นล่ะมั้ง T^T) เหนื่อยสายตัวแทบขาดเลยจริงๆ เชื่อแล้วล่ะว่างานเลี้ยงเด็กคืองานที่หนักที่สุดของบ้านนี้ ฉันกับเธอแทบพลังงานหมดหลอดไปหลายรอบ กินข้าวเสร็จก็ต้องไปเล่นต่อ ถึงจะกินเยอะแค่ไหน แคลลอรี่มากเพียงใด เล่นอย่างนี้ทุกวัน... คงไม่ได้อ้วนขึ้นล่ะมั้ง
วันนี้หลังอาบน้ำเสร็จ ฉันคิดจะโทรหาหม่อมแม่ หลังจากได้ซิมกับการ์ดโทรศัพท์แล้ว แต่ดูเหมือน She จะไม่ได้เปิดมือถือ สงสัยได้โทรพรุ่งนี้ล่ะมั้ง
...เอ่... ตอนนี้ที่บ้านมีคนน้ำตาท่วมไปยังหนอ ^^...
ความคิดเห็น