ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Te Aroha! ...NZ...

    ลำดับตอนที่ #3 : Day 3: Tue 22/03/11

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 54




                Day 3: Tue 22/03/11

     

                    ฉันตื่นนอนประมาณ 7 โมงเช้า เพราะเสียงพี่สาวที่ร้องเพลง Hoot กรอกอยู่ข้างหู... ไม่อยากเชื่อเลยว่า 7 โมงแล้วจริงๆ แทบไม่ต่างอะไรกับตีห้าบ้านเราเลยซักนิด แล้วขอโทษเถอะนะ... เมื่อวานนอนตอนตีสาม เพราะอ่านฟิค รู้หรอกว่าไม่ใช่เรื่อง... แต่แหม...อ่านแล้วบางทีมันก็หยุดไม่ได้อ่ะนะ

                    ...เฮ้อ... ให้ตายเถอะ ไม่เคยต้องแหกตาตื่นตอน 7 โมงมาก่อน...

                    ...นี่มันเพิ่งตี 1 ประเทศไทยเองนะ T__________T...

                    ตื่นแล้วก็หอบสังขารไปห้องฝั่งตรงข้าม เห็นเพื่อนสนิทนอนอืดอยู่บนเตียง พร้อมเพลงโรงเรียนที่เธอใช้ปลุก ฉันฟังตั้งแต่ท่อนโหมโรงยันท่อนแรก จนแล้วจนเล่าเมื่อไหร่เพื่อนคนดีจะตื่นซักที เสียงก็ใช่เบาๆ ดังไปสามบ้านแปดบ้าน - -“ จนกระทั่งมากลางเพลงนั่นแหละ คุณหญิงจึงตื่นจากบรรทมด้วยสภาพง่วงงุน

                    แน่นอนว่าพวกเราไม่อาบน้ำตอนเช้า... ไม่ใช่ซกมกแต่อย่างใด พอดีว่าที่นี่อาบน้ำกันวันละครั้ง ส่วนใหญ่ก็เป็นตอนเย็นนั่นแหละ อาบวันละครั้งก็ดี อากาศเย็นขนาดนี้ อาบบ่อยๆ เฟรชชี่กันทั้งวันแหงม =o=

                    ฉันได้เจอกับเบนจามินและเลียม สองลูกชายของบ้านนี้แล้ว (คนหลังฉันนั่งท่องชื่อแทบตาย นึกว่าขวัญกับเรียม TT) พวกเขาดูซนกันประสาเด็กๆ เดี๋ยวก็วิ่งพล่านไปนี่มานี่ นึกปวดหัวแทนแนนเหมือนกันว่าเธอดูแลลูกลิงสองคนนี่ได้ยังไง แต่ก็เอาเถอะ ฉันยังไม่ค่อยได้คุยกับเขาเท่าไหร่ ฟังภาษาอังกฤษก็ยากแล้ว พอมาคุยกับเด็กเป็นอะไรที่ไมเกรนจะมาเยือนสุดๆ นอกจากสำเนียงจะไม่ได้ฟังง่ายเหมือนผู้ใหญ่พูดแล้วยังพูดเร็ว แถมต้องใช้จินตนาการสูงอีกต่างหาก ฉันกับพิกกี้แทบอยากหาล่ามมาแปลชอบกล

                    ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังคงเข้ากับเด็กได้เป็นอย่างดี ก็เธอออกจะสดใสร่าเริงปานนั้นนี่... ถึงแม้ฉันจะได้คะแนนภาษาอังกฤษอยู่ในระดับหรูพอตัว แต่เรื่องศัพท์เนี่ยต้องยกให้เธอเลยล่ะ ฉันคุยกับพวกเขาไม่ทันเพราะนึกสรรหาคำศัพท์มาพูดไม่ออกน่ะสิ

                    ศัพท์ง่ายๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ดูเหมือนจะเป็นปัญหามากที่สุด ใครจะรู้บ้างว่า ช่วงนั้นของเดือนเรียกว่าไง ไหนจะแบงก์ย่อย หรืออีกสารพัดศัพท์ที่บางทีเราใช้กันจนชินเลยไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหาอ่ะนะ สุดท้ายก็เลยอาจมาตายได้ง่ายๆ อย่างคำว่า “กะละมัง” ก็เป็นได้ = =

                    เช้านี้มาโรงเรียนด้วยสภาพสดใส (หารู้ไม่ว่าอีกไม่นานแบตอาจหมดไม่รู้ตัว TT) ฉันได้บัดดี้มาหนึ่งคนเป็นผู้หญิง ใครๆ ก็บอกว่าเธอสวย ซึ่งฉันเห็นด้วยนะ ผมบลอนด์ทอง ดวงตาสีฟ้า ตามแบบฉบับสาวฝรั่งทั่วไป แต่หน้าตาเธอจัดได้ว่าค่อนข้างดีมาก ท่าทางเป็นคนเรียบร้อย ง่ายๆ ติดจะขี้อายนิดๆ แต่พอเธออยู่กับเพื่อนก็ดูร่าเริงดี เหมือนวัยรุ่นทั่วไป

                    เธอชื่อ “นาตาลี” เพิ่งรู้ว่าชื่อนี้มันไม่ได้อ่านนาตาลีตรงๆ อย่างกรีดร้องเวลาเธอแนะนำตัวเอง อะไรวะคะ “แนตเทิร์นลี???” พยายามออกเสียงให้ใกล้เคียงที่สุด จนเมื่อเห็นชื่อเธอที่เขียนในใบตารางเรียนนั่นแหละถึงเข้าใจและกล้าเรียกแบบจริงๆ จังๆ ขึ้นมา

                    เราได้รับการต้อนรับตามแบบฉบับของเมารี พวกเขาร้องเพลงพื้นเมืองให้ฟัง ก่อนจะทำการเรียงแถว เอาจมูกชนกัน... ชิบเป๋ง!! T_T เจอกันไม่ถึงหนึ่งนาที ทำไมเราถึงเนื้อถึงตัวกันขนาดนี้คะ?? โอเคล่ะ... ฉันยอมรับว่ามันเป็นวัฒนธรรมเขา แถมมันก็ดูน่ารักน่าอนุรักษ์ดีออก ประเด็นคือกับผู้ชายก็ไม่เท่าไหร่ แค่ปลายจมูก แต่กับผู้หญิงนี่สิ... เอิ่มมมม สปาร์คยันขั้วหัวใจเลยทีเดียว มีคนนึงแบบอารมณ์ว่าสวยมาก สวยแบบสวยเริ่ดเลย อยู่โรงเรียนเราคงเป็นลีด หรือดาวโรงเรียน แล้วชีก็ยิ้มซะหวาน... พระเจ้าจอร์ดดด หัวใจเต้นฮิพฮอพได้ T////T ฉันเขินค้างไปหลายนาทีเลยทีเดียว

                    ต้อนรับอย่างหวาดเสียวไปแล้วก็เป็นการเดินทัวร์โรงเรียน มันยากที่จะบอกว่าโรงเรียนนี้สวยขนาดไหน คุณลองนึกภาพตึกเล็กๆ เตี้ยๆ ชั้นเดียวแบ่งเป็นบล็อคๆ แยกประเภทชัดเจน แต่ละตึกล้อมรอบด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวชะอุ่ม ถนนหนทางสะอาดมาก ไม่มีแม้แต่เศษกระดาษเลยซักชิ้น... พื้นมันเป็นมายังไงตั้งแต่ตอนสร้างก็เป็นเช่นนั้น

                    ต้นไม้ไม่สูงมากเท่าไหร่ แต่ก็พอบังแดดและให้ร่มเงาได้ มองไปไกลๆ เหมือนโรงเรียนอันแสนอบอุ่นถูกล้อมรอบด้วยอ้อมกอดแห่งเนินเขา ฉันไม่รู้จะเรียกว่าอะไร แต่เรียกว่าภูเขามันดูจะสูงเกินจริงไปหน่อย ถึงแม้ถ้าจะกะประมาณเอาก็ปาไปครึ่งนึงของขอบท้องฟ้าที่มองเห็นได้ (ลองนึกว่ามันเป็นภาพในหนังสือสารคดีท่องเที่ยวซักแห่ง) เนินเขาที่ว่ามีสีเหลืองอ่อนสลับกับน้ำตาลและเขียวคละเคล้ากันไป

                    ท้องฟ้ายังคงโปร่งใสสีฟ้าสวย... ยิ่งกอปรกับสายลมอ่อนๆ ยิ่งทำให้ฉันหลงเสน่ห์ประเทศนี้มากขึ้นทุกที

                    ผู้คนดูเป็นมิตรหลังจากที่ฉันเข้าไปเรียนคาบแรกนั่นคือวิชาเคมี เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะตอม โปรตรอน นิวตรอน เลขมวล เลขอะตอม อิเล็กตรอนอะไรเทือกนั้น แต่จะมีการนำธาตุแต่ละชนิดมารวมกัน ซึ่งจะดุลสมการให้เท่ากัน แล้วจะมีปัญหาตรงเลขอิเล็กตรอนที่ต้องบวกเข้าบ้างลบออกบ้าง เคยเรียนมาตอนม. 2 กับม. 4 เทอมแรกอ่ะนะ ก็เลยพอถูๆ ไถๆ แต่บางอย่างก็ยังไม่ได้เรียน เรียกได้ว่าครูพักลักจำมองดูโจทย์ซ้ำๆ เลยพอจะทำได้ นาตาลีกับเพื่อนดูจะอเมซิ่งในตัวฉันเกินไปนิด... อาจเพราะเธอมัวแต่เมาธ์กับเพื่อนผู้ชาย (ที่เธอชอบ) ล่ะมั้ง เธอเลยไม่ได้ทำซักที ฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาบวกลบคูณหารตัวเลขกับตัวอักษรนั้นต่อไป พอเธอถามฉันว่าเรียนมาก่อนหรอ มันเป็นบทเรียนจากคาบที่แล้ว ฉันก็บอกตามความจริงว่ายัง เพราะแน่นอนสายศิลป์ไม่ได้เรียนละเอียดขนาดนี้ ที่ทำได้เพราะมีตารางให้หรอกน่า -.,-

                    กับแค่เทียบตารางจับใส่... ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากงั้นหรอ??? (เอาเถอะ กลายเป็นเด็กเรียนในสายตาเขาไปเฉยเลย)

                    เรามีการพักเบรคซักครู่ เธอพาฉันไปแนะนำกับเพื่อนก็ไม่มีอะไรมาก นั่งมองดูเขากินพลางเขียนไดอารี่ด้วยลายมือห่วยๆ ไปพลาง จนกระทั่งถึงคาบต่อไปที่ดูนาตาลีแทบจะเคาท์ดาวน์รอ เหมือนตอนฉันอยู่เมืองไทยสุดๆ

                    ...มาถึงนิวซีแลนด์ ฉันก็ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นวุ้ย!!...

                    พอนาตาลีรู้ว่าฉันเรียนภาษาญี่ปุ่นมา เธอก็นั่นแหละนะ ชอบแอบเขียนกระดาษส่งโน้ตเป็นภาษาญี่ปุ่นมาให้ฉัน ส่วนใหญ่เป็นศัพท์แสลงวัยรุ่น หรือที่เด็กๆ ทั่วไปเขาจำกัน อย่างแบบ “เบื่อนะ” อะไรแบบนี้ ซึ่งแน่นอนว่าฉันก็เข้าใจที่เธอเขียนแล้วพอจะพูดสนทนาโต้ตอบง่ายๆ (ดูท่าทางฝีมือฉันกับเธอจะไม่ต่างกันเท่าไหร่) เธอเลยเพิ่มเรื่องอเมซิ่งเกี่ยวกับตัวฉัน พลางโฆษณาเรียบร้อยว่าฉันพูดได้ 3 ภาษา

                    ...เอิ่ม... ก็ไม่เถียง แต่อังกฤษกับญี่ปุ่น พูดได้แค่แบบไม่อดตายเฉยๆ ไม่ได้ขั้นเทพขนาดน้านน T[]T...

                    หลังเสร็จญี่ปุ่นก็ไปป๊ะเข้าให้กับอังกฤษ อยากบอกว่าวิชานี้ยากที่สุด รวมถึงฤทธิ์เจ็ตแลคเริ่มกำเริบ รวมกับอาการนอนน้อยเมื่อคืนทำพิษ ฉันเลยจะสัปหงกแหล่ไม่สัปหงกแหล่ อ่านบทความสามหน้าไม่รู้เรื่องเลย แล้วสามหน้าตัวกะจึ๋งนึง ศัพท์ยากเป็นบ้า... แบบอารมณ์ภาษาในนิยายน่ะนะ พรรณนาไม่เถอะ... จะตายตั้งแต่บรรทัดแรกแล้ว 55+

                    ฉันก็แอ๊บเนียนเป็นเด็กเรียนต่อไป อ่านทั้งๆ ที่สมองแทบดับตัวเอง จนกระทั่งเธอชวนคุยถึงอาร์ตห้อง 17 ที่จับผลัดจับพลูมาเป็นคนไทยในห้องเดียวกัน เธอถามฉันว่าเขาดูดีมากใช่มั้ย... ฉันก็นะ กลืนไม่เข้า คายไม่ออก ความจริงผู้ชายคนนั้นก็หน้าตาไม่ได้แย่ขั้นผ่านศึกสงครามเก้าทัพมา แต่ไม่จัดเข้าใกล้คำว่าหล่อ หุ่นออกท้วมนิดๆ ไม่ถึงกับอ้วนมาก ผิวไม่ได้ขาวกว่าฉันเท่าไหร่นัก... แน่นอนว่า... มันเป็นสเป็คที่สาวไทยก็ไม่ได้จะพิศวาสกันเท่าไหร่ (ถ้าไม่นับเรื่องนิสัย) ฉันก็เลยตอบเธอไปว่าแบบ ไม่ใช่สเป็คฉันอ่ะ

                    เธอเลยถามต่อว่าทำไมไม่ใช่ล่ะ น้ำเสียงเหมือนตกใจที่ว่าฉันมองข้ามคนดีๆ อย่างนั้นได้ไง... นาตาลีจ๋า! หน้าตาเธอก็ดีนะ หรือคนเราจะชอบอะไรที่ประเทศตัวเองไม่มีล่ะมั้ง - -“

                    แล้วเธอก็ถามถึงเรื่องสเป็คฉัน ถามเรื่องเด็กไทยที่มาด้วยกันใครต้องตาต้องใจฉันมั้ย เกลียดภาษาอังกฤษอยู่อย่างตรงที่คำแบ่งเพศชัดเจนมาก ฉันก็ป่วยการจะหาเรื่องโกหกเพราะมันไม่เนียน จะพูดความจริงกับคนที่เจอกันไม่ถึงหนึ่งวันว่า Prefer ผู้ญิงก็ใช่ที่ ก็เลยตอบอ้อมๆ ไปว่า มีแฟนแล้ว... คำว่าแฟนฉันเลือกใช้ “Lover” แทนคำว่า “Girlfriend/boyfriend” เธอก็ทำหน้าอเมซิ่งใส่อีกระลอก... นี่หล่อน! ฉันอายุ 17 นะเฮ้ย เธออายุ 14 ยังแบบชอบคนนู้นคนนี้ ถ้าจะบอกว่ามีแฟนมันแปลกตรงไหนวะคะ?

                    ...เล่นชวนคุยแต่เรื่องผู้ชายจะให้ทำไงเล่า...

                    ...บอกตรงๆ ว่าฉันไม่ Want มนุษย์เพศผู้ก็ใช่เรื่องด้วย -o- ...

                    หลังจากคาบอันแสนกระอักกระอ่วนใจผ่านพ้นไป ถึงเวลากินข้าวกลางวัน แล้วก็เรียนคาบบ่าย เป็นสุขศึกษา เนื้อหาที่เรียนก็ไม่มีอะไรมาก... “เพศศึกษา” เอิ่ม... วันนี้ฉันจะรอดมั้ย เจอคำว่า Homosexual ก็เหงื่อตกล่ะ = =”

                    พอออกจากห้องตอนสามโมง ฉันกับพิกกี้ก็เดินเล่นสำรวจโรงเรียนซักพัก เพราะแนนบอกจะมารับพวกเราตอนสี่โมงกว่านู่น สุดท้ายเราเลยลากสังขารไปยังห้องสมุด จุดประสงค์ก็คือใช้อินเตอร์เน็ตที่โหยหา... เน็ตที่นี่ค่อนข้างช้ามาก ออกจะชอบเน็ตที่โรงเรียนมากกว่าด้วยซ้ำไป

                    เข้าไปอ่านคอมเมนต์นิยายหากำลังใจข้ามประเทศให้ตนเองได้ไม่เท่าไหร่ ก็หมดเวลาปิดเน็ตซะแล้ว ฉันเลยเดินออกมาพลางขึ้นรถของแนนที่มารับหลังจากนั้นพอดี

                    กลับถึงบ้าน แนนก็จัดการงานบ้านสารพัด ทั้งเก็บผ้าของพวกเราที่โยนลงลิ้นชักไปเมื่อวาน ซักเมื่อวาน วันนี้ได้ สุดยอดจริงๆ แถมเธอก็ซักผ้าทุกวันด้วย รู้งี้เอามาสองสามตัวก็ดี 55+ (เลวได้อีก) ฉันเห็นแล้วก็เหนื่อยแทนเธอ อยากจะช่วยแต่เธอบอกว่าไม่ต้องช่วยหรอก แค่เล่นกับเด็กๆ ก็พอ

                    ...งานนี้เพิ่งรู้ว่าหนักหนากว่าทำงานบ้านอีก T^T...

                    ไม่ขอเล่าว่าโดนลากไปเล่นอะไรบ้าง รู้แค่ว่าเหนื่อยจนอยากหายไปกับอากาศสุดๆ พวกเด็กๆ เขาซนกันจริงๆ พูดก็นะ ไม่ค่อยรู้เรื่องกันทั้งเราและเขา รู้แค่ว่าเล่นได้เป็นโอเค

                    เล่นๆๆๆ กินข้าว แล้วก็ไปเล่นๆๆ ต่อ จนกระทั่งทุ่มครึ่ง แนนก็เรียกลูกๆ ของเธอไปนอน ที่นี่เขานอนกันเร็วมาก แถมทุ่มครึ่งที่นี่ออกจะคล้ายห้าโมงครึ่งหรือหกโมงบ้านเรา พระอาทิตย์ยังไม่เลียบพื้นดินเลยด้วยซ้ำ ซึ่งไปนอนก็ดีแล้ว ฉันกับพิกกี้จะได้อาบน้ำแล้วก็ทำอะไรอย่างที่อยากทำเสียที

                    ...งานเลี้ยงเด็กมันเหนื่อยจริงๆ นะให้ตาย!...

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×