ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Te Aroha! ...NZ...

    ลำดับตอนที่ #2 : Day 2: Mon 21/03/11

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 54




                Day 2: Mon 21/03/11

     

                    ข้ามวันไวเหมือนโกหก ให้ตายสิ อยู่บนเครื่องที่ใกล้จะจอดแวะเติมน้ำมันที่ซิดนีย์ ขอบอกว่าเพิ่งหลับตอนเที่ยงคืนเนื่องจากมัวแต่อ่านฟิค (กะจะอ่านแป๊บๆ ต่อรวดเดียวยาวเลยเว้ย) แต่ขอโทษเถอะนะ... โดนปลุกขึ้นมารับประทานข้าวเช้าตอนตีสาม โห! คุณพี่คะ... หนูจะนอน T__T

                    พอเปลี่ยนเครื่องเสร็จประมาณหนึ่งชั่วโมง เราก็ขึ้นเครื่องลำเดิมเพื่อเตรียมไปลงไครส์เชิร์ต ฉันหลับยาวมากรอบนี้หลับลึกด้วย เหตุผลก็เพราะว่าเมื่อกี๊ได้นอนน้อยล่ะนะ แล้วก็โดนปลุกขึ้นมาเรื่องปัญหาปากท้องอีกตามเคย ตอนแรกว่าจะไม่กินแล้วล่ะ แต่แหม... กลิ่นมันก็ยั่วดีเหมือนกัน กินซะหน่อย เดี๋ยวไม่คุ้ม!

                    หลังจากเติมพลังใส่ท้องเรียบร้อย ฉันก็มองทีวีตรงหน้าพลางหาอะไรทำ สิ่งเดียวที่นึกออกคือดูหนังสนุกๆ ซักเรื่อง ฉันเลยหาหนังที่เป็นหนังญี่ปุ่น... เหตุผลไม่มีอะไรมาก ถ้าดูหนังฝรั่งก็ฟังไม่ทันอ่ะดิ แต่พอดีหนังญี่ปุ่นมันมีซับอังกฤษ พอถูๆ ไถๆ ได้น่า 55+ (แล้วแกจะหอบสังขารมานิวซีแลนด์เพื่อ??)

                    ดูยังไม่ทันจบเรื่องโดนขัดอารมณ์ซะก่อนเพราะได้เวลาต้องเอาเท้าไปเหยียบแผ่นดินแกะซะแล้ว... ตอนตรวจตม.คนเข้าเมืองแอบเสียวพิลึก เพราะที่นี่ค่อนข้างสตริ๊กซ์เรื่องการนำของเข้ามามากกกกกก แต่ไหงกลับกลายเป็นผ่านมาง่ายๆ ด้วยการตอบแค่ Yes กับ No ก็ไม่รู้... เอิ่มมม ถ้าจะง่ายขนาดนี้ ตรูนั่งเกร็งตั้งนานทำไมฟร้า TT

                    ออกมานอกสนามบิน รู้สึกที่นิวซีแลนด์อากาศดีมาก แค่เย็นๆ แบบใส่เสื้อยืดตัวนึงยังพอสบายอยู่ (แต่ถ้าหนาวกว่านี้ก็คงไม่แน่เหมือนกัน - -“) ที่นี่วิวทิวทัศน์ค่อนข้างสวยมาก เหมือนตัวเองหลุดมาอยู่ในโลกแห่งการ์ตูนซักระยะ เพราะสีสันสดใสตระการตาเหลือเกิน หญ้าบทจะเขียวก็เขียวจี๊ด ฟ้าก็ฟ้าสดใส เมฆสีขาวจั๊วะ ดอกไม้ใบหญ้าแข่งกันอวดสีซะจนลายตา ถึงแม้ไม่ได้ปลูกเยอะขั้นเป็นทุ่ง หรือไร่อดิศวรอะไรงั้น แต่พอมองแล้วมันก็พอคลายความเหนื่อยล้าจากการนั่งเครื่องหลายชั่วโมงไปได้

                    รถเคลื่อนตัวออกผ่านลานจอดรถสนามบิน ซึ่งเป็นเพียงลานจอดเล็กๆ มีรถไม่มากนักหากเทียบกับในกรุงเทพฯ แต่สำหรับความคิดฉันแล้วค่อนข้างเยอะไปอยู่ดี อาจจะเพราะไคร์สเชิร์ตเป็นเมืองหลักเมืองนึงล่ะมั้ง

                    รถที่นี่สีก็สวย พออยู่ท่ามกลางธรรมชาติหลากสีสันแล้วอย่างกับตกแต่ง Photoshop ยังไงชอบกล

                    ...ไคร์สเชิร์ตเป็นเมืองที่สดใส ร่าเริง ดูมีชีวิตชีวา...

                    ...มากเกินกว่าจะต้องกลายเป็นซากปรักหักพัง...

                    สนามบินไม่ได้โดนอิทธิพลของแผ่นดินไหวไปด้วย ฉันเลยไม่ได้เห็นว่าความเสียหายหนักหนาขนาดไหน แต่คาดว่าอย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าในญี่ปุ่นล่ะมั้ง หากถึงมากหรือน้อยยังไง ฉันก็คิดในใจได้เพียงแค่ว่า...

                    ...น่าเสียดายเหลือเกิน...

                    เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สองข้างทางมีแต่ทิวทุ่งหญ้าโล่งเตียน เพราะนิวซีแลนด์มีเครื่องตัดหญ้าธรรมชาติอยู่แล้ว อย่างเจ้าพวกฝูงแกะที่เอาแต่กินหญ้าไม่เงยหน้ามองฟ้าดินทางซ้ายมือฉัน อาจารย์บอกว่าแกะมีประมาณสามสี คือ ขาว น้ำตาล แล้วก็ดำ... แหม่... ถ้าฉันเป็นแกะด้วย คาดว่าฉันคงได้เป็นแกะดำ ไม่ใช่เพราะสีผิวหรอกนะ แต่เป็นเพราะความอาร์ตตัวแม่ และความติสต์ไร้เทียมทานน่ะสิ ฮ่าๆ (ด่าตัวเองก็เอา)

                    มองวิวที่นี่ไม่มีเบื่อเลย เพราะถึงแม้จะเป็นภาพเดิมๆ มุมองศาคล้ายเดิม แต่ภูเขาสูงเสียดฟ้ามีหมอกปกคลุมอยู่ด้านบน รวมถึงสภาพอากาศที่สดใสเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าสี่โมงกว่าเข้าไปแล้ว (ความจริงเพิ่งบ่ายสองบ่ายสามล่ะมั้ง กะเวลาได้ไม่แน่นอน เพราะตอนนั้นตั้งนาฬิกาผิด -o-)

                    ฉันขอไม่อธิบายอะไรมาก นอกจากเราใช้ชีวิตไปหายใจทิ้งบนรถบัสปรับอากาศราวหกชั่วโมง ช่างเป็นอะไรที่อัลเลิร์ทดีจริงๆ พระเจ้าจ๊อด! หลับแล้วดูวิว ดูวิวแล้วหลับ ภาพที่น่าตื่นเต้นก็สวยดีอยู่หรอก เรื่องของเรื่องคือบางทีก็เพลียบ้างอะไรบ้าง รวมถึงฉันเคยมานิวซีแลนด์แล้วครั้งนึง แม้จะหลายปีมาแล้ว และยังเกิดอากาศปลาบปลื้มกับสภาพภูมิอากาศ ก็ขอปิดสวิตซ์ชาร์ตแบตตัวเองชั่วคราว

                    พอฟ้าเริ่มมืด สิ่งที่ทำให้ฉันตื่นเต้นได้มากที่สุดคือดวงดาวเต็มท้องฟ้า เพิ่งเคยเข้าใจความหมายของในนิยายว่าการเอาเพชรมาโปรยไว้ทั่วผืนผ้ากำมะหยี่สีดำ แท้จริงแล้วมันสวยแค่ไหน พี่โอ๋บอกว่าบางวันถ้าฟ้าเปิดชัดๆ อาจเห็นทางช้างเผือกได้ พอฟังแค่นี้ฉันก็วางแผนจะชะโงกหัวออกนอกหน้าต่างไปดูดาวทุกวันเลยให้ตาย

                    ...อยากรู้ว่าจะมีโกโบริกับอังศุมาลินมั้ย...

                    ในที่สุดก็เข้าตัวเมืองริชมอนด์ตอนประมาณสี่ทุ่มครึ่ง บ้านเมืองสงบไม่มีรถราวิ่ง ลองเป็นกรุงเทพสิ เวลาอย่างนี้จอดติดไฟแดงกันให้พรึบ เมืองนี้รถคงน้อย...จากที่เห็นว่าถนนมีเพียงสองเลนสวนกันเท่านั้น ที่นี้พวงมาลัยจะเป็นพวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเราเพราะรถขับเลนซ้าย ช่วยไม่ได้... นิวซีแลนด์เป็นเครือจักรภพนี่หน่า แล้วก็เป็นอังกฤษยิ่งกว่าอังกฤษซะอีก ถนนหนทางจะไม่เหมือนอังกฤษก็กระไรอยู่

                    รถจอดที่โรงเรียน Wiamea (อ่านว่าวายเมียรึเปล่าก็ไม่รู้ เรียกกันไปแล้ว) ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ฉันต้องแหกตาตื่นไปเรียนพรุ่งนี้เช้า ฉันกับพิกกี้เจอโฮสต์มัมที่นั่น เธอชื่อ Nannette คืออ่านยากมาก เธอให้พวกเราเรียกเธอว่า Nan แทน Mom เกรงว่าลูกชายทั้งสองจะสับสนเอาล่ะมั้ง

                    เดิมทีแม่ฉันเป็นห่วงว่าเป็นครอบครัวช่างไม้ คงจะฐานะไม่ค่อยดี... โอ้... ที่ไหนได้!! แค่บ้านชั้นเดียว ฉันกับพิกกี้เดินกันจนจะหลง แม่เจ้า!! ก็ถ้าบ้านจะใหญ่ขนาดนี้ สนใจให้อยู่ด้วยเลยได้มั้ย =[ ]=

                    มีสนามที่กว้างมาก ลูกบอล ลูกบาส ลูกรักบี้อะไรกองเต็มไปหมด คาดว่าลูกๆ บ้านนี้คงซนไม่น้อย

                    แนนพาเราเที่ยวชมบ้านทั้งที่ตาก็แทบจะปิดเนื่องจากห้าทุ่มเข้าไปแล้ว (ถึงมันจะแค่ห้าโมงเย็นที่ไทยก็เถอะ) เธอสอนให้พวกเราทำนู่นทำนี่ แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดสามปัญหาของฉันกับบ้านหลังนี้คือ... 1. ห้องน้ำไม่มีสายฉีดก้น ขอเถอะนะอันนี้ อายเหมือนกันถ้าจะพูด แต่แหม...มันปัญหาใหญ่ระดับชาติของคนไทยเลยนะเออ อย่างน้อยขอขันก็ยังดีได้ปะ!

                    2. คลาดแคลนถังขยะ... T^T ไม่รู้เลยจะเอาเจ้าก้อนขนมปังผู้หญิ๊งผู้หญิงนี่ไปหย่อนไว้ไหน ในห้องน้ำยังไม่มีถังขยะเลย แนนบอกฉันว่าเอาไปทิ้งที่โรงรถพรุ่งนี้เช้า เธอจะบอกว่าถังขยะอยู่ไหน... แต่แหมมมม ไนแองการ่าเต็มแผ่นขนาดนี้ จะรอให้ฉันทิ้งพรุ่งนี้เลยรึ๊ T_____T สุดท้ายแนนเลยหาถุงพลาสติกใบใหญ่มาให้ฉันใส่ไว้ก่อน แล้วค่อยเอาไปทิ้งที่เดียว

                    3. ซักเครื่อง VS ซักมือ... เธอบอกถึงตะกร้าทิ้งผ้าว่าสามารถเอาทุกสิ่งไปหย่อนรวมกันได้ เธอจะปั่นให้ ฉันกับพิกกี้เลยคิดว่าเอ่อ... พวกอันเดอร์แวร์ตัวจิ๋วนี่เราควรซักมือด้วยตัวเองรึเปล่า มองหน้ากันตาปริบๆ แล้วถามดู เขาบอกว่าจะซักเองก็ได้ เดี๋ญวเค้าจะสอนวิธีใช้เครื่อง... (แต่หนูจะซักมืออ่ะ T^T) คุยไปคุยมาท่าทางเข้าจะไม่มีกะละมังซักผ้าแบบบ้านเราล่ะมั้ง เมื่อซักเองก็ต้องซักเครื่องมีค่าเท่ากัน สุดท้ายฉันเลยจำใจหยอดมันลงในลิ้นชักซักผ้านั่นแหละ ทุกชิ้นเลยจริงๆ

                    ถึงจะมีปัญหาดูค่อนข้างเยอะ แต่ฉันพอใจบ้านหลังนี้มากๆ ทีวีจอแบนจอแอลซีดี คาดประมาณจากสายตา น่าจะ 42 นิ้วนะ... อาจใหญ่หรือเล็กกว่านั้นนิดนึง ฉันเองก็พวกคาดคะเนไม่ได้เรื่องอยู่ แต่มีทีวีจอใหญ่ๆ แบบนี้สองเครื่องเลยทีเดียว บ้านดูสะอาดสะอ้าน ห้องสวยงามทุกห้อง ดูแล้วเหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในเกมซิม

                    ให้ตาย! ฉันไม่สามารถบอกได้ว่าบ้านหลังนี้มันใหญ่ขนาดไหน เห็นจากข้างนอกก็รู้หรอกนะว่าใหญ่ แต่ไม่คิดว่าเข้ามาแล้วจะกว้างขวางมากมายเช่นนี้ เดี๋ยวไว้อยู่ๆ ไปฉันจะเก็บรายละเอียดของบ้านพร้อมถ่ายรูปมาเพิ่ม

                    ...ช่างเป็นช่างไม้ที่รวยเว่อร์ดีจริง -.,- ...

                    ...ชักอยากตอกตะปูตะหงิดๆ...

                    มองดูนาฬิกาเกือบตีหนึ่งแล้ว วันนี้คงเป็นวันอังคาร แต่เอาเถอะ ขอนับรวมไปเลยแล้วกัน ฉันจะถือว่าทุกครั้งที่ฉันตื่นคือเช้าวันใหม่ เพราะไม่งั้นคงยากต่อการเขียนไดอารี่เป็นแน่

                    วันนี้ไปนอนแล้วล่ะ พรุ่งนี้คงมีเรื่องอะไรสนุกอีกเยอะเลย!! ><~

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×