ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Te Aroha! ...NZ...

    ลำดับตอนที่ #12 : Day 12: Thu 31/03/11

    • อัปเดตล่าสุด 1 เม.ย. 54


                Day 12: Thu 31/03/11

     

                ...วันสุดท้ายของเดือนมีนาคม...

                    ...อากาศยังคงหนาวเย็นเช่นเดิม...

                    ดูเหมือนยิ่งอยู่ไปอากาศที่นี่จะเย็นขึ้นทุกที ฉันกับพิกกี้ดูจะร่าเริงเป็นพิเศษ ไม่ใช่ว่าไม่หนาว แต่ที่ถูกอกถูกใจก็คือตอนพูดแล้วเป็นไอนั่นแหละ แม้จะเห็นไม่ชัดนักราวกับอยู่ขั้วโลกเหนือ แต่แค่มีไอจางๆ มันก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นชัดดีอยู่แล้วว่าอากาศที่นี่จับกระดูกแค่ไหน

                    แต่ถึงจะหนาวเพียงใด... ฉันก็ไม่ยักกะเห็นนาตาลีใส่เสื้อหนาวเสียที มองดูแขนขาวๆ ของเธอก็เห็นว่าไรขนอ่อนๆ ลุกขึ้นพรึบพรับ... นี่ขนาดไม่หนาวเลยนะคะเนี่ย!!??

                    หลังจากเลิกเรียน ฉันและพิกกี้ก็รีบตรงดิ่งกลับบ้านทันที (ต่อให้จะมีแวะถ่ายรูปบ้างเป็นระยะตามเคย) ที่เป็นเช่นนั้นคือวันนี้แนนจะพาเรานั่งเรือไปยังเกาะ Hauloshore ที่เคยเห็นตอนไปทะเลเมื่อคราวก่อน พวกเราเลยรีบกลับบ้านกันเต็มที่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา

                    นั่งรถไม่นานนักจากบ้านไปถึงท่าเรือ พวกเราดูจะปลื้มใจเป็นพิเศษเมื่อเห็นเรือที่จอดเรียงรายอยู่หลายลำจนลานตา ประกอบกับน้ำสีฟ้าเขียวมรกตใสที่เพลินใจไม่หยอก ยังไม่ทันได้ปลื้มใจกับภาพวิวสวยๆ ไปมากกว่านั้น แนนก็พาเราขึ้นไปยังเรือลำหนึ่ง

                    ในนั้นมีเพื่อนสองคนที่เคยมาบ้าน ซึ่งฉันเองก็เพิ่งรู้ว่าเขาคือคุณตาจอห์นกับคุณยายแคทของเด็กๆ ทั้งสองนั่นเอง ที่ไม่รู้เมื่อครั้งก่อนแล้วคิดว่าเป็นเพื่อนก็เนื่องจากฝรั่งไม่มีคำเรียกเฉพาะ มีแค่ “I” กับ “You” เต็มไปหมด เลยยากจะแยกได้ว่ารู้จักกันในฐานะไหน (บางทีถึงเป็นพ่อแม่เขาก็เรียกชื่อเฉยๆ ด้วยซ้ำ)

                    สำรวจไปรอบเรืออย่างสนใจ เรือลำไม่ใหญ่มากแต่ค่อนข้างสะดวกสะบาย มีห้องนอนสองห้อง ห้องนึงนอนได้เตียงเดียว ส่วนอีกห้องมีสี่เตียง มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำในตัว มีโซฟานั่งเล่น ตู้เย็น มุมทำอาหารแล้วก็โต๊ะกินข้าว ด้านนอกตัวเรือมีเก้าอี้นั่งไว้ชมวิว ส่วนท้ายเรือมีเรือเล็กพ่วงติดอยู่ไว้สำหรับไปยังบริเวณที่ตื้นหรือลงชายหาด

                    ฉันกับพิกกี้อยากรู้ว่าพวกเขาเช่าเรือมาเท่าไหร่ แต่ลอบถามไปถามมาจึงได้ความว่า... มันคือ “เรือส่วนตัว” ของครอบครัวนี้นั่นเอง

                    ...พระเจ้า! ได้นั่งทั้งรถบ้าน ยังจะมาเรือส่วนตัวอีก...

                    ...ก็ถ้าจะรวยขนาดนี้ล่ะนะ...

                    เรือเริ่มออกแล่นไปบนผืนทะเลกว้างสุดสายตา ด้วยฝีมือการบังคับของคุณตาจอห์น ส่วนฉันก็พาตนเองมายืนรับลมอยู่ด้านหลังเรือชมเกลียวคลื่นเป็นละอองขาวสลับกับภาพภูเขา บ้านคน และท้องฟ้าใส

                    ตั้งแต่มาอยู่ประเทศนี้ ฉันชักรักภูมิประเทศกับภูมิอากาศมากขึ้นทุกที เหมือนตัวเองหลุดเข้ามาอยู่ในหนังฝรั่งซักเรื่องหรือเกมซิมซักภาคอย่างไรบอกไม่ถูก รู้เพียงแค่ฉันต้องเสียดายแน่ๆ หากต้องจากประเทศที่แสนน่ารักและอบอุ่นนี้

                    น้ำทะเลสีสวยอย่างที่เคยพรรณนาไว้ในนิยายหลายเรื่อง ฉันรู้สึกว่าน้ำมันใสเอาการอยู่ แต่แคทกลับบอกว่านี้ยังไม่ใส่เท่าไหร่หรอก ถ้าไปอีกด้านของเกาะจะเห็นถึงก้นทะเลเลย ฉันกับพิกกี้ก็ส่งสายตาวิ้งๆ ประหนึ่งว่าอยากเห็นเหลือเกิน ทว่าพอเธอบอกว่าต้องเดินประมาณ 4 ชั่วโมง... ฉันว่าฉันอยู่ฝั่งทะเลที่ไม่ใสแต่สีสวยนี่ดีกว่า

                    เรือจอดใกล้เทียบกับเกาะที่ชื่อออกเสียงยาก จอห์นนำเรือเล็กพาแนน เบนจามิน แล้วก็เลียมไปยังเกาะก่อน เพราะเรือเล็กลำนี้นั่งได้เพียงแค่ห้าคน ก่อนที่จะมารับฉันและพิกกี้ทีหลัง

                    เมื่อถึงเกาะแล้วฉันก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับป่าที่อยู่ลึกเข้าไป หินก้อนกลมสวยที่เรียงรายเป็นระเบียบเมื่อมีคนจงใจมาวางเอาไว้ กับหาดทรายสะอาดนุ่มเท้า ที่แม้จะไม่ได้สีขาวจนแสบตาแต่ก็ออกน้ำตาลอ่อนนวลๆ ให้พอสวยงามได้อยู่

                    เพื่อสัมผัสผืนทรายให้เต็มที่... ฉันกับเธอเลยถอดรองเท้าแตะแล้วก้าวย่างไปบนทรายเย็นๆ กันทันที

                    ไม่ได้รู้เลยซักนิด... ว่าแนนจะพาพวกเราเดินมาไกลขนาดนี้ ประกอบกับก้อนหินที่รายเรียงไปทั่วทำเอาเท้าเจ็บแปลบไปหมด แต่เราก็เดินมาไกลเกินกว่าจะหวนกลับไปเอารองเท้าแตะสุดที่เลิฟได้อีก จึงได้แต่ทนเจ็บเท้าต่อไป แล้วหันไปให้ความสนใจกับบรรยากาศสวยๆ แทน

                    จอห์นและแนนพาพวกเราเข้าไปในป่า ด้านในเหมือนถูกถางพอให้เป็นทางเดินได้บ้าง แถมป่ายังไม่ทึบขั้นน่ากลัว หนำซ้ำแดดอ่อนๆ ที่ลอดผ่านกลีบใบไม้ลงมาก็พอจะทำให้ผ่อนคลายไปได้ ถ้าเพียงแต่เวลาที่เหยียบย่างก้าวเดินบนกิ่งไม้มันจะทำให้เจ็บจนแทบอยากนั่งเฉยๆ ก็ตาม

                    เดินไปซักพักก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นช็อคโกแลตที่เปลือกเป็นเหรียญทองวางอยู่ตามโคนต้นไม้ ก่อนจะถึงบางอ้อเมื่อเบนจามินและเลียมต่างแย่งกันหาสมบัติอย่างสนุกสนาน พอหันไปถามจอห์นก็ได้ใจความว่าแนนมาที่เกาะนี้ก่อนแล้ว เพื่อนำขนมที่เป็นสมบัติมาซ่อนไว้ตามโคนต้นไม้ แล้วพาลูกทั้งสองมาเล่นเกมหาสมบัติ

                    ...พอได้ฟังอย่างนี้ ฉันกลับยิ่งรู้สึกดีกับแนนอย่างบอกไม่ถูก...

                    ...เธอเป็นแม่ที่ดีจริงๆ...

                    หาสมบัติกันสนุกสนาน โดยเฉพาะพิกกี้ที่เหมือนจะแย่งน้องเล่นชอบกล ส่วนฉันเองก็เก็บมาได้เหรียญนึง ซึ่งฉันไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันนัก ส่วนนึงเพราะอยากให้น้องเก็บได้เอง อีกส่วนก็เพราะเอาแต่กดชัตเตอร์นู่นนี่นั่นไปตามประสา รู้ตัวอีกทีก็เย็นเสียแล้ว พวกเราจึงกลับไปยังเรือใหญ่ทันที

                    เรือจอดแน่นิ่งสนิท มีระลอกคลื่นพัดมาพอไหวเอน กินข้าวไปก็อร่อยอยู่นะ แต่พอจอดนิ่งนานๆ แล้วโรคเก่ามันก็ชักกำเริบขึ้นมา

                    ...ฉันเมาเรือ...

                    ถ้ามันแล่นจะไม่อะไรหรอกนะ... แต่พอจอดอยู่เฉยๆ มันก็คลื่นไส้พิกล

                    พอบอกพิกกี้มันก็สงสารปนขำ เพราะฉันไปดำน้ำกับพ่อบ่อย บางครั้งเคยกินนอนบนเรือเป็นอาทิตย์ แต่ไหงกลับกลายเป็นว่าเมาเรือเสียได้... มันแปลกตรงไหนล่ะ ก็ตอนที่นั่งเรือทุกครั้งฉันจะทานยาหรือไม่ก็นอนหลับเสมอ อันนี้กินข้าวไปด้วยเรือโคลงไปด้วย มันก็ไม่ไหวนะเธอ!! T^T

                    กระทั่งเรือกลับมาแล่นเหมือนเดิม... อาการของฉันจึงพอทุเลา แล้วหันมาถ่ายรูปเล่นได้ใหม่อีกครั้ง

                    เรือแล่นจอดยังท่าเรือดังเดิม เราโยนเฟรนช์ฟรายด์ลงไปในน้ำทั้งที่ฉันยังไม่เห็นปลาซักตัว แต่ก็เพิ่งเข้าใจในสิ่งที่ทำเมื่อฝูงนกนางนวลจำนวนมากลงมาแย่งจิกกินอย่างสนุกสนาน เป็นแบบให้ฉันใช้ถ่ายรูปได้อีกพักใหญ่ๆ

                    ...แต่พอมองดูนกแย่งกันกินเศษมันฝรั่งชิ้นเล็กๆ แบบนั้นมันก็อดสงสัยไม่ได้...
                    ...ทุกวันนี้คนเราต่างแก่งแย่งหาผลประโยชน์ใส่ตัวโดยมองข้ามอะไรหลายอย่างไปหรือเปล่า...

                    ...เป็นคำถาม... ที่คงไม่มีใครคิดอยากหาคำตอบเอาเสียเลย...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×