ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Te Aroha! ...NZ...

    ลำดับตอนที่ #10 : Day 10: Tue 29/03/11

    • อัปเดตล่าสุด 31 มี.ค. 54




                Day 10: Tue 29/03/11

     

                ...อากาศเย็นขึ้นอีกวัน...

                    เช้าวันนี้ฉันตื่นด้วยอารมณ์อันสดใส ต่อให้เมื่อคืนจะนอนค่อนข้างดึกก็ตาม อาจเพราะว่าตื่นเต้นที่จะได้ไปว่ายน้ำในวันนี้ล่ะมั้ง เนื่องจากวันนี้เลียมมีเรียนว่ายน้ำหลังเลิกเรียน ฉันกับพิกกี้เลยได้ติดสอยห้อยตามไปด้วย เราจึงเตรียมเสื้อผ้าทิ้งไว้ในรถแนน เพื่อเลิกเรียนจะได้ตรงไปยังสระว่ายน้ำกันเลย

                    ฉันแทบอดใจไม่ไหวจะให้ถึงตอนเย็น วิชาที่แสนน่าเบื่อหลายวิชาสำหรับฉันเลยยิ่งน่าเบื่อมากขึ้นไปอีก ทว่ายังคงมีวิชานึงที่ฉันยังตื่นเต้นอยู่เสมอนั่นก็คือ P.E. เจ้าเก่านั่นเอง ที่ตื่นเต้นไม่ใช่อะไรหรอกนะ เพียงแต่วันนี้มีเล่นเบสบอล กีฬาที่ฉันแสนจะงุนงงในกติกาน่ะสิ

                    รู้อยู่ว่าที่นี่เขาก็เล่นเบสบอลเป็นกิจวัตร... แต่สำหรับฉันแล้วที่ตั้งแต่เกิดมายังเคยจับไม้เบสบอลเลยซักครั้งจึงอดเกรงมันไม่ได้

                    เราแบ่งทีมเป็นสองฝ่าย ซึ่งฝ่ายฉันเป็นคนตีลูกก่อน ฉันพยายามยืนอยู่หลังแถวเพื่อจะได้ไม่ต้องจับไม้นั่น แล้วก็ทำตัวให้มีส่วนร่วมในเกมน้อยที่สุด อาจเพราะว่าไม่รู้กติกาเลยไม่แน่ใจว่าจะพาตนเองไปยืนอยู่ตรงไหนในสนามหญ้าได้ รวมถึงเกรงเพื่อนๆ ในทีมจะต้องมาปวดหัวเพราะฝีมือการหวดลมไม่เข้าท่าของฉัน

                    แต่จนแล้วจนรอดใช่ว่าฉันจะหนีพ้นเสียเมื่อไหร่ สาวฝรั่งคนนึงท่าทางเป็นมิตร ซึ่งฉันก็คุ้นหน้าคุ้นตาเธออยู่บ้าง เนื่องจากเคยเรียนด้วยกันหลายคลาส เพียงแต่ฉันไม่อาจแน่ใจได้ว่าเธอชื่ออะไร แต่ถึงจะไม่รู้จักกัน เธอก็ยังอุตส่าห์เข้ามาถามฉันว่าอยากลองตีซักครั้งมั้ย

                    ...แน่นอนว่าฉันได้แต่ส่ายหัวดิกตามประสา...

                    ทว่าดูเหมือนเธอจะไม่ได้สนใจในคำตอบฉันซักเท่าไหร่ สาวเจ้าลากฉันไปหน้าแถว เมื่อทุกคนเห็นต่างก็อัญเชิญฉันให้เข้าประทับตำแหน่งเตรียมถือไม้ตีทันที

                    ...เอ่อ... ก็บอกว่าไม่เคยเล่นไงวุ้ยยย! T___T...

                    แน่นอนเมื่อลูกถูกขว้างมาแล้ว ฉันก็ได้แต่หวดลมเปล่าไปตามคาด อาจเพราะฉันเคยเล่นเทนนิสมาก่อน แล้วความกว้างของแร็คเก็ตรวมถึงเน็ตที่ขึงไว้ ทำให้มีพื้นที่สัมผัสลูกค่อนข้างมาก กะประมาณยังไงก็โดนลูก พอมาเป็นไม้เบสบอลทรงกระบอกที่พื้นที่น้อย ฉันเลยหวดพลาดอย่างเสียไม่ได้

                    แล้วก็เป็นอย่างนั้นล่ะ... ฉันได้หวดลมสามครั้งรวด ตามกติกาแล้วฉันก็คงต้องหมดสิทธิ์แล้วไปต่อหลังให้คนอื่นมาตี แต่เหมือนฝรั่งทุกคนไม่เว้นแม้แต่อาจารย์จะลุ้นให้ฉันตีให้โดนเหลือเกิน (พวกเขาคงรู้แล้วมั้งว่าฉันเพิ่งลองหัดตีครั้งแรก เลยยุให้ตีให้สำเร็จ)

                    ผัวะ!’

                    ...กรี๊ดดดดด ตีโดนแล้วค่าพี่น้อง!!!! >////<...

                    ลูกไม่ได้ไปไกลอะไรมาก เพราะเล่นครั้งแรก จะให้ฉันทำโฮมรันเลยก็ดูจะโอเว่อร์เกินไปนิด แค่ตีโดนฉันก็ดีใจแล้ว และเพราะมัวแต่ดีใจอยู่นั้นเอง เสียงที่ตะโกนมาจากข้างหลังก็ทำเอาฉันสะดุ้ง

                    ...อะไร... เบสๆ... รันๆ... วะ?...

                    เอ้า! บอกให้ รัน ก็ Run (วิ่ง) พอวิ่งไปก็เห็นอะไรดำๆ เขาก็ตะโกนกันมาว่า เบส Base (ฐาน) ฐานก็ฐาน...เอาเท้าแตะซะพอเป็นพิธี พอแตะเสร็จก็ได้ยินเสียงเฮ้จึงพอโล่งใจได้ว่าตัวเองทำถูก หันกลับไปเห็นว่าลูกที่ฉันตีมั่วๆ ซั่วๆ ด้วยความฟลุ๊คยังคงลอยละลิ่วอยู่ไม่กลับตำแหน่งอันสมควร เพื่อนในวงจึงบอกให้ฉันวิ่งไปเบสที่สอง

                    นาทีนี้ไม่สนกติกาแล้วล่ะ บอกให้หยุดก็หยุด บอกให้วิ่งก็วิ่ง บอกให้เหยียบเบสก็เหยีบ

                    ...จนในที่สุดฉันก็กลับมาจุดเดิมจนได้...

                    ...แหม... ก็สนุกใช้ได้เลยนะกีฬานี้ ท่าทางฉันต้องไปเรียนรู้อย่างจริงจังซะแล้ว...

                    และแล้วก็ผ่านพ้นกีฬามหาโหดไป ได้เวลาที่พวกเราจะได้ไปสระว่ายน้ำกันซะที!!

                    พอถึงสถานที่ฉันก็ไม่ช้าเปลี่ยนองค์ทรงเครื่องเรียบร้อย ฉันใส่กางเกงขาสั้นสีน้ำตาลอ่อนกับเสื้อสีดำ (ที่นี่ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดว่ายน้ำลงก็ได้ แต่ไม่ค่อยมีใครทำเท่านั้นเอง) ส่วนพิกกี้ใส่กางเกงร็อกซี่ลายพร้อยของเธอเหมือนเดิม สีสันสะท้านตาดูจะไม่เป็นที่พอใจ เธอเลยมีออฟชั่นเสริมด้วยเสื้อยืดสีเขียวกึ่งสะท้อนแสง (ฉันเป็นคนยุให้เธอใส่เอง สีสันซะขนาดนี้ เห็นในระยะร้อยเมตรเลยทีเดียว)

                    เราสามารถลงเล่นได้ทุกสระที่เห็น ยกเว้นห้ามผ่านประตูกระจกเข้าไปในส่วนของที่มีการเรียนการสอน ดังนั้นฉันกับพิกกี้เลยลัลล้าตามสถานที่กันไป

                    สระแรกที่พวกเราลงก็คือสระทะเลจำลอง มีการจำลองทางลาดเอียงให้เหมือนอยู่ชายหาด แถมบางช่วงจะมีการปล่อยคลื่นเป็นระยะให้อารมณ์อยู่ทะเลเสียมากกว่า ถ้าเพียงแต่น้ำคลอรีนมันจะรสชาติเค็มกว่านี้ล่ะนะ... หากแค่นี้ก็คล้ายทะเลจะแย่แล้ว ยิ่งน้ำใสๆ สีฟ้ามรกตขนาดนี้ก็สวยจนน่าลงไปแหวกว่ายอย่างบอกไม่ถูก

                    สระต่อมาที่เราไปป่วนก็คือสระน้ำวน ลอยคอตุ๊บป่องเป็นพะยูนอืดอะไรกันไป ปล่อยให้สายน้ำพาไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งมันอาจจะสนุกกว่านี้ถ้าย้อนไปเมื่อสิบปีที่แล้ว รวมถึงเราจะตัวเล็กกันกว่านี้อีกซักครึ่งไม้บรรทัด!

                    เราเดินผ่านสระเด็กไปเนื่องจากส่วนสูงและหน้าตาไม่ให้ ก่อนจะไปลงสระสปาที่มีไว้สำหรับอายุ 16 เป็นต้นไป... มันคล้ายๆ บ่อน้ำพุร้อนประมาณนั้น อุณหภูมิราวๆ 36-38 องศาได้ แม้จะไม่ร้อนเท่าบ่อน้ำพุร้อนที่ญี่ปุ่น หากความร้อนที่เทียบเท่ากับอุณหภูมิร่างกายมนุษย์ ประกอบกับภายนอกเพียง 20 องศาต้นๆ มันก็ร้อนมากพอสมควร

                    ผ่านจากสระเด็กเราก็ไปสระผู้ใหญ่ที่เป็นสระ Professional ขึ้นมาหน่อย ฉันกับพิกกี้เลยได้ฤกษ์ว่ายน้ำแข่งกัน (ทั้งที่เพิ่งดูละครเรื่อง “โลมา กล้าท้าฝัน” มาเมื่อวันก่อน) ฝีมือของพวกเราไม่ห่างชั้นกันนัก มักถึงขอบสระไล่เลี่ยหรือพอดีกันทุกที แล้วหลังจากเหนื่อยเราก็ไปพักที่บ่อสปาอีกรอบ

                    ที่นั่งเราได้พบกับ แพทซี่ เป็นหญิงอายุประมาณ 61 (อันนี้เธอบอกเองนะ ฉันไม่ได้เสียมารยาทถาม T^T) เราคุยกันไปเรื่อยเปื่อย อาจเพราะชาวนิวซีแลนด์เข้ากับคนอื่นง่ายอยู่แล้ว แม้เพิ่งเจอกันครั้งแรกก็สามารถคุยกันได้ราวกับรู้จักกันมาหลายเดือน

                    ฉันคุยบ้าง บางทีก็ขึ้นไปเล่นสระนู้นสระนี้แล้วกลับมาคุยต่อ จนกระทั่งนึกครึ้มไปหยิบกล้องตัวเก่งมาเก็บภาพบรรยากาศนั่นแหละ ก่อนที่จะลงสระพร้อมกับกล้องโดยไม่ห่วงว่าเพื่อนคู่ชีพจะเปียกปอนโดยซักนิด (ไม่ได้ไว้ใจตัวเองอะไรมากมาย แต่อารมณ์ติสต์แตกอยากถ่ายรูปมันมีมากกว่า)

                    ฉันนั่งนิ่งๆ อยู่ในบ่อสปาอย่างผ่อนคลาย ปล่อยให้พิกกี้ไปวิ่งเล่นกับเด็กตามเรื่องตามราวเป็นนางสาวไทย ส่วนฉันเองก็นั่งแลกเปลี่ยนทัศนะคติกับแพทซี่ไปเรื่อย เธอขอให้ฉันเปิดรูปในกล้องให้ดู แล้วฉันก็ต้องยิ้มหุบไม่ลงเมื่อเธอบอกว่าฉันถ่ายรูปสวยมาก (ไม่รู้แกล้งยอหรือพูดจริง แต่เทียบนิสัยฝรั่ง...ก็อาจจะอย่างหลังมั้ง?) ความจริงฉันชอบถ่ายรูปอยู่เป็นนิจอยู่แล้ว ทว่ารูปที่ฉันถ่ายมักจะออกแนวติสต์แตกอย่างไม่มีใครเข้าใจมากกว่า (ส่วนติสต์ขนาดไหน ถ้ากลับไทยฉันจะลงให้ดูแน่นอน) แล้วเพราะมันติสต์เกินระดับมนุษย์จะอยากทำความเข้าใจ เลยไม่ค่อยมีใครพูดเรื่องฝีมือในการถ่ายรูปของฉันเท่าไหร่

                    เธอบอกฉันว่าบางทีโตขึ้นฉันอาจจะเป็นช่างภาพก็ได้ ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้หวังไปไกลขั้นนั้น ฉันแค่ชอบถ่ายรูปเป็นงานอดิเรก นึกอยากถ่ายก็ถ่าย ถ้าไม่มีอารมณ์ก็จะไม่ยอมถ่าย... ฉันบอกกับเธอว่าถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงดี ความที่ฉันเป็นนักเขียนอยู่แล้ว ขืนเป็นช่างภาพอิสระขึ้นมาอีกซักงาน

                    ...ท่าทางคงได้ติสต์แตกจริงๆ แล้วคราวนี้...

                    ฉันกับเธอคุยกันไปถึงเรื่องที่ว่าเหตุประหลาดบนโลกเรา ตั้งแต่แผ่นดินไหวไคร์ชเชิร์ต สึนามิญี่ปุ่น แผ่นดินไหวทางเชียงราย น้ำท่วมภาคใต้ และภัยธรรมชาติต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาในช่วงเดียวกัน เธอได้แต่หวังว่าในวันข้างหน้ามันอาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่เพียงถ้าเราร่วมมือร่วมใจกัน

                    ส่วนฉันเองก็ทำเพียงตอบเธอด้วยรอยยิ้ม...

                “ไม่มีใครรู้อนาคตในวันหน้า เพราะฉะนั้นเราควรทำวันนี้ให้ดีที่สุด เนื่องจากมันอาจไม่มีวันพรุ่งนี้ให้แก้ตัวแล้วก็เป็นได้”

                    ...พูดไปเองก็ต้องหันมามองย้อนดูตัวเองเสียบ้าง...

                    ...ไม่อาจพูดได้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้มันดีที่สุดสำหรับฉันแล้วก็ทุกคนแล้ว...

                    ...แต่อย่างน้อย... ฉันก็ไม่เคยนึกเสียใจในสิ่งที่ฉันทำ เพียงเท่านั้น...ฉันก็พอใจ...

                   


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×