คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เริ่มเรื่อง
เหตุเพราะเปลวไฟขนาดใหญ่ที่กำลังลุกโหมดุจดังจะเป็นเพลิงไปทั้งแผ่นดิน
ตึก อาคาร บ้านเรือนก็ถูกเผาไหม้แทบจะเป็นเถ้าถ่าน
เสียงผู้คนกรีดร้องด้วยความกลัวและเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังระงมไปทั่วทั้งเมือง
นี่มันเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีอีกหลายสิ่งที่รอให้ชาวเมืองที่นี่รับมือกับมัน (พวกมัน)...
โลกของเรามีอะไรหลายๆสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปอย่างไม่มีวัน หวนกลับ บางอย่างเราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่มันได้เกิดขึ้น สิ่งที่เราได้กระทำลงไปแล้ว โดยที่เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้เลย ทุกวันนี้เราชีวิตอย่างละเลยคุณค่าของเวลา แม้แต่คุณค่าของตัวเราเองก็ตาม เราจะไม่เห็นมันสำคัญหากเราไม่สูญเสียบางอย่างไปเสียก่อน เราจะไม่เห็นคุณค่าหรือความสำคัญของอะไรเลยเลยจนวันหนึ่งมันก็จากเราไปอย่างไม่กลับคืนมาได้อีกแล้ว
ในบางครั้งบางตอนเราก็ต้องอาศัยกระจกของตัวเราส่องมองทางด้านหลังว่าอะไรที่เราได้ทำไปแล้วบ้าง...เพราะถ้าหากกว่าเราจะรู้ตัวอีกทีอะไรๆก็อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้
เริ่มเรื่องด้วยเด็กหนุ่มมหาลัยคนหนึ่งชื่อว่า “กานต์” เขาใช้ชีวิตอย่างอิสระเที่ยวเล่นเป็นไปตามประสาเด็กหนุ่มไฟแรง พ่อกับแม่ของเขาเป็นเจ้าของบริษัทชื่อดังซึ่งทำให้ฐานะทางการเงินของพวกเขาเป็นไปอย่างไม่ขัดสน พ่อกับแม่ของเขาเลี้ยงดูเขาอย่างดี ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการทั้งเงินทอง ข้าวของแบรนด์เนมต่างๆ ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วที่กานต์จะเรียนที่โรงเรียนมัธยมแห่งนี้ ปีหน้าพ่อและแม่ของเขาวางแผนที่จะให้เขาไปเรียนต่อที่ต่างประเทศซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการเท่าไหร่นัก
“เฮ้ย กานต์ ตกลงนายจะไปจริงๆเหรอวะ” น๊อตถาม
“ไม่อยากไปยังไงข้าก็ต้องไป เพราะมันเป็นความปรารถนาของป๋ากับแม่
ข้าอยากอยู่ที่นี่ใจจะขาดแต่ข้าก็ขัดคำสั่งป๋ากับแม่ไม่ได้อยู่ดี”กานต์ทำหน้ามุ่ยแล้วยกเหล้ากระดก
“ไป เพื่อน วันนี้เราไปมันกันให้เต็มที่เลยดีกว่า อีกไปกี่อาทิตย์นายก็ต้องไปเมืองนอกแล้ว วันนี้เอาให้สุดๆไปเลย” น๊อตตบไหล่กานต์ จากนั้นทั้งสองก็ออกตระเวนราตรีอย่างเมามัน ในที่สุดทั้งคู่ก็เมามายกันอยู่ที่ห้องของน๊อต
วันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ กานต์จึงนอนอยู่ที่บ้านน๊อตจนสายโด่ง จากอาการที่เมาไม่ได้ความซึ่งเป็นฤทธิ์ของสุราที่ทั้งคู่ได้ดื่มเข้าไป ทำให้สภาพที่กลับถึงบ้านมาเป็นภาพที่เรียกได้ว่า ไอ้ขี้เมา ของแท้ เมื่อคืนกานต์และน๊อตทั้งไปเที่ยวผับบาร์ทั้งคืนแถมยังเข้าบ่อนอีก แต่ทั้งคู่ก็ได้กำไรขึ้นมาอีกตั้งเท่าตัว
...ติ๊ด..ติ๊ด ติ๊ด...ติ๊ด...
โทรศัพท์มือถือ ตอนนี้เป็นเวลาตั้งบ่ายสองเข้าไปแล้ว กานต์เหลือบมองน๊อตที่กำลังหลับอย่างไม่เป็นท่า
“กี่โมงแล้ววะ”น๊อตถามด้วยอาการที่งัวเงีย เขาลืมตาขึ้นมา
“บ่ายสองแล้ว ตื่นไปหาอะไรกินดีกว่า” กานต์เสนอความเห็น
“ไม่ล่ะ เอ็งไปเถอะ ข้ายังมึนไม่หายเลย ขอนอนอีกสักพัก” พูดเสร็จ น๊อตก็นอนต่อ
“เออ เดี๋ยวข้าซื้อข้าวมาฝากละกัน” น๊อตพยักหน้า
กานต์เดินออกประตูไปจนถึงหน้าลิฟท์เขาสวนทางกับผู้ชายกลุ่มหนึ่ง ดูจากท่าทางแล้วคงจะเป็นพวกนักเลงหัวไม้ แต่กานต์ไม่ได้สนใจอะไร เดินเข้าลิฟท์ แต่ประตูยังไม่ทันปิดเขาได้ยินพวกนักเลงคุยกัน มีชื่อของเพื่อนเขาอยู่ในถ้อยคำที่หมายจะเล่นงาน กานต์เอื้อมมือไปจับประตูลิฟท์เพื่อจะไต่ถาม และทันทีที่เขาได้ยินว่าพวกนักเลงนั่นจะเล่นงานทุกคนที่อยู่โรงเรียนเดียวกับน๊อตโดยเฉพาะเพื่อนของเขา ทำให้กานต์ต้องรีบเอามือออกจากประตูลิฟท์แล้วรีบกดไปที่ชั้นหนึ่ง ด้วยความที่เขากดปุ่มแรงๆหลายๆครั้งและหน้าตาที่ดูตื่นกลัวผิดปกติ จึงทำให้พวกนักเลงที่กำลังเดินไปยังห้องของน๊อตหันกลับมาดูที่ลิฟท์ซึ่งในขณะนั้นประตูยังปิดไม่สนิทดี พวกนักเลงเห็นกานต์หน้าซีดและตื่นกลัว กำลังจ้องมองพวกเขาอยู่เช่นกัน คนเหล่านั้นเมื่อเห็นอาการของกานต์จึงแน่ใจว่าเขาต้องเกี่ยวของกับศัตรูที่กำลัง
กานต์หลบอยู่นี้ เป็นที่ที่ปลอดภัยมากแต่เขาก็ยังหวั่นเกรงอยู่ดี ผู้ชายในกลุ่มนักเลงคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาบริเวณที่เขากำลังหลบอยู่ กานต์คิดว่าเขาอาจจะสงสัยโอ่งน้ำที่แห้งขอดใบใหญ่มหึมาใบนี้แล้วก็ได้ เขามองหาลู่ทางหลีกหนีอย่างรวดเร็วและในที่สุดเขาก็ไปพบกับรถจักรยานใหม่เอี่ยมรูปลักษณ์แปลกประหลาดคันหนึ่งจอดไว้หน้าบ้านหลังใหญ่นี้ ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้เต็มที กานต์รีบกระโดดพรวดออกจากโอ่งน้ำแล้วตรงไปที่รถจักรยาน เขาไม่เหลียวมองด้านหลังเลยสักนิด ตอนนี้คนจำนวนเกือบยี่สิบคนกำลังไล่ตามเขาพร้อมกับอาวุธนักเลงครบมือ พอวิ่งไปถึงรถจักรยานก็กระโดดขึ้นขี่แล้วออกแรงปั่นอย่างสุดกำลังขา
“เฮ้อ...รอดมาได้สักที ที่จริงถ้าไม่ทำพิรุธเราอาจจะรอดก็ได้” กานต์เริ่มปั่นช้าลงเพราะรู้สึกว่าตนนั้นปลอดภัยแล้ว ในขณะที่กานต์กำลังขับรถกลับไปยังหอพักของน๊อต เขารู้สึกว่ารถจักรยานที่เขาขับอยู่มันเริ่มบังคับยากขึ้น
“เป็นอะไรเนี่ย สงสัยหัวจะไม่ดี”กานต์บนพึมพำ แต่ก็ยังขับต่อไป แต่คราวนี้เขารู้สึกว่ารถจักรยานมันเหมือนจะไม่เป็นไปตามระยะทางที่เขาบังคับแต่มันเป็นตัวบังคับเส้นทางของเขาเองต่างหาก
กานต์เริ่มไม่แน่ใจว่ารถจักรยานคันนี้มันแค่รถจักรยานรูปลักษณ์สวยแต่ใกล้เสียนี่เสียแล้ว กานต์คิดว่าเขาควรจะหยุดแล้วลงไปดูว่ามันเกิดอะไร แต่ทว่ารถจักรยานคันนี้มันไม่มีเบรกและเขาก็พยายามเอาขาหยุดแล้วแต่ไม่ได้ผลเลย เขารู้ทันทีแล้วว่ารถจักรย่านคันนี้ต้องไม่ใช่จักรยานธรรมดาๆแล้วแน่ๆ แต่จะหยุดมันก็ไม่ได้ มีทางเดียวคือกระโดดออกจากจักรยานบ้าๆนี่ซะ กานต์หลับตากลั้นหายใจ
เขาถีบตัวเองออกจากรถอย่างเต็มที่แต่ผลปรากฏว่าเมื่อเขาลืมตาขึ้นมาเขาพบว่าทั้งตัวเขาและจักรยานลอยอยู่เหนือพื้น จากนั้นมันกระแทกลงกับพื้นแล้วเคลื่อนที่ต่อไปเหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น
....ให้ตายสิ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ...
กานต์เริ่มใจเต้นรัวเหมือนคราวที่เจอพวกนักเลง แต่มันไม่เหมือนกันตรงที่ว่ากับพวกนักเลงเขายังรู้ชะตากรรมของตนเองว่าอาจจะโดนซ้อมถ้าไม่หนี แต่ในขณะนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจักรยานคันนี้มันจะพาเขาไปที่ไหน ที่ที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้ มันเริ่มแปลกตาและไร้ผู้คนเข้าไปทุกที เขายังไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าผู้คนเริ่มหายไปตั้งแต่เมื่อใดและเขาเข้าสู่เส้นทางเส้นนี้ตั้งแต่ตอนไหน ชะตากรรมของเขาตอนนี้ตกอยู่ที่รถจักรยานผีสิงคันนี้แล้ว ไม่ว่าเขาจะถีบตัวออกหรือกระโดดออกจากมันแรงเท่าไหร่มันก็ไม่ทำให้เขาสามารถกระเด็นออกจากรถคันนี้ได้เหมือนกับว่าบั้นท้ายของเขาถูกผนึกติดไว้กับเบาะนั่งของจักรยานแล้วมันก็ไม่มีทีท่าว่าจะล้มเลยแม้ว่าเขาจะเอียงตัวไปทางใดมันก็ยังคงทรงตัวได้ดีเสมอ คงหมดหนทางแล้ว กานต์ได้แต่มองไปรอบๆตัว เพื่อสังเกตเส้นทางที่มันพาเขาไป แต่เส้นทางเหล่านี้มันจะเหมือนๆกันคือ สองฝั่งถนนเป็นต้นไม้รูปร่างสูงใหญ่ขึ้นเรียงกันอย่างเป็นระเบียบโน้มกิ่งเข้ามาทางถนนทั้งสองฝั่งเป็นเหมือนซุ้มประตูที่ทอดยาวราวกกับว่ามีใครมาจะมันให้โน้มเขามา แต่ถ้าสังเกตดีๆ มันแทบไม่มีอะไรแตกต่างจากต้นเดิมที่เคยผ่านมาเลย หลังต้นไม้ใหญ่เหล่านั้นเป็นป่าทึบ ต้นไม้ขึ้นเต็มจนไม่มีพื้นที่ให้สามารถมองเห็นได้ว่าลึกเข้าไปนั่นเป็นอย่างไร
เบื้องหน้าของเขาเป็นเส้นทางที่ยาวไกลมากจนสุดสายตา ตอนนี้ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงทุกที แสงแดดอ่อนๆส่องเข้าที่ใบหน้าของกานต์ทำให้เขา
ต้องก้มหน้าลง แต่ไม่ทันใดสภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนจากต้นไม้ที่ขึ้นเต็มสองฝั่งทางนั้นได้หายไปและในตอนนี้รถจักรยานก็ปั่นเร็วขึ้น เร็วขึ้น และเร็วขึ้นจนขาของเขาแทบจะพันกัน กานต์ต้องรีบยกขาขึ้นแต่ล้อก็ยังเคลื่อนที่ไปไม่หยุด กานต์ยืดตัวขึ้น มองตรงไปยังข้างหน้า แต่ตอนนี้เขามองไม่เห็นอะไรเลยในระยะทางสามเมตรข้างหน้า มันเป็นกลุ่มหมอกควันหนาที่หนามาก กานต์มองไปรอบๆตัวเขาปรากฏเป็นภาพที่เร็วมากซึ่งนี่ก็หมายความว่ารถจักรยานคันนี้ปั่นเร็วมาก เร็วจนมองอะไรไม่ทันเห็นเลย กานต์เริ่มตาลาย เขาสะบัดหน้าแล้วขยี้ตาตัวเองหลายครั้ง ขณะที่เขาก้มหน้าอยู่รู้สึกมีแสงบางอย่างส่องกระทบหน้าของเขา และเมื่อเงยหน้าขึ้น
“นี่! นาย นาย” เสียงที่อ่อนหวานดังขึ้นเบื้องหน้าพร้อมกับผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งที่กำลังเอาไฟส่องหน้าของกานต์
“โอ้ย นี่เธอ เอาไฟฉายนี่ออกจากหน้าของฉันได้แล้ว” กานต์เอามือปัดไฟฉายออก และทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้น เขาก็ต้องต้องตะลึงกับภาพที่เห็น
“.. !?!..”
ความคิดเห็น