ต้นไม้ประหลาด
เหตุการณ์ประหลาดบางอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่น่าเป็นไปได้กับน้องสาวของคิ้ม เมื่อเธอแค่เผลปล่อยน้องไว้ลำพังบนห้อง
ผู้เข้าชมรวม
928
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
ในช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่จากเหตุการณ์ไม่สงบในปัจจุบัน ทำให้หลายครอบครัวต้องมีภาระหนี้สินเพิ่ม บ้างต้องผกผันอาชีพตนเองไปเป็นพ่อค้า แม่ค้า ครอบครัวของคิ้มก็เป็นอีกหนึ่งครอบครัวที่ได้รับความกระทบกระเทือนจากสภาวะความไม่สงบจนต้องย้ายถิ่นไปอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ พ่อของเธอเป็นพนักงาสนบริษัทขายรถยี่ห้อหนึ่ง ส่วนแม่ก็เป็นนางพยาบาล ทั้งสองต้องออกจากงานด้วยสาเหตุที่บริษัทของพ่อต้องจำกัดงบประมาณไว้ เมื่อบริษัท ขายรถได้ไม่ดี พ่อก็ทำยอดได้น้อยจึงได้ซองขาวมา ส่วนแม่ที่ต้องอกงานเพราะต้องการย้ายถิ่นที่อยู่ใหม่และเริ่มต้นชีวิตใหม่ หลังจากที่เพิ่งใช้หนี้หมดไป
คิ้มอาศัยอยู่กับพ่อ แม่และน้องสาวที่เพิ่งคลออดไม่กี่เดือน เธอเป็นเด็กดีและประพฤติตัวดีเสมอ จึงทำให้ช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ไปได้บ้าง พ่อแม่ของคิ้มเมื่อย้ายมาก็มาทำอาชีพขายน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋อยู่หน้าบ้านที่เช่าอยู่เดือนละไม่กี่พันบาท ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม เธอจึงได้อยู่ช่วยแม่ขายของและเลี้ยงน้องได้อย่างเต็มที่ แต่ส่วนใหญ่แม่ก็จะให้เธอเลี้ยงร้องมากกว่าเพราะน้องยังเล็กอยู่
วันหนึ่งหลังจากที่แม่ออกไปขายของแล้ง คิ้มก็ไปทำงานบ้านตามปกติ งานประจำของเธอก็คือ กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจานและตวงน้ำ ซึ่งในเวลาที่คิ้มทำงานบ้านอยู่ คิ้มก็จะให้น้องหลับก่อน หรือไม่ก็ให้น้องอยู่ในเปลเพื่อจะได้ไม่ออกไปซนที่ไหนเพราะน้องเริ่มจะคลานได้แล้ว วันนั้นในขณะนั้นที่คิ้มกำลังล้างจานอยู่น้องของเธอก็ตื่น ด้วยความซนของเด็กจึงปีนออกมาจากเปลโดยที่คิ้มไม่รู้ แล้วน้องของเธอก็คลานลงมาจากชั้นบนแล้วออกไปนอกบ้าน ไปเล่นกับลูกแมวที่เพิ่งเกิดใหม่ จากนั้นก็คานไปยังด้านข้างของตัวบ้านที่ยังพอมีพื้นที่ให้เป็นซอกเล็กๆเอาไว้เก็บของได้ ซึ่งก็มีของไม่มากชิ้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นหญ้าและตะไคร่น้ำ ท้ายสุดมีต้นไม้ต้นหนึ่งที่ปลูกไว้ก่อนที่ครอบครัวคิ้มจะย้ายมาอยู่ ลำต้นไม่สูงมาก มีใบที่เรียวยาวและปกคลุมลำต้นอยู่เฉพาะด้านบน มีผลกลมสีม่วงสดที่ดูแล้วคล้ายกับมะเขือม่วง
คิ้มเดินเข้ามาดูน้องในห้องเหมือนอย่างเคย แต่คราวนี้กลับไม่พบน้องสาว คิ้มตกใจมากจึง รีบวิ่งหาทั่วบ้านแต่ก็ไม่พบจึงวิ่งออกๆไปดูที่หน้าบ้าน วิ่งไปหน้าปากซอย แต่ก็ไม่เจอ คิ้มกลัวว่าถ้าเกิดน้องออกไปยังถนนใหญ่ก็อาจจะถูกรถชนหรือทับก็เป็นได้เพราะน้องของเธอยังตัวเล็กอยู่ รถที่วิ่งไปมาอาจจะไม่ทันเห็นจึงอาจจะ....
คิ้มไม่อยากคิดต่อ ตอนนี้ใจของเธอกระวนกระวายและรู้สึกสับสนเป็นอย่างมากไม่รู้ว่าจะไปหาน้องที่ไหน จนในที่สุดเธอก็ตัดสินใจวิ่งกลับเข้าไปดูในบ้านอีกครั้ง ถ้าพ่อกับแม่มาแล้วไม่เจอน้องเธอคงจะโดนอ่วมแน่ ในระหว่างทางนั้นเธอก็คิดไปว่า...อะไรกัน นี่ฉันเพิ่งอยู่ป.4 เองนะ ทำน้องหายไปแล้วพ่อกับแม่คงจะโกรธเอามากๆ... เมื่อคิ้มกลับเข้ามาในบ้านด้วยอาการที่เหนื่อยหอบ เธอจึงหยุดยืนนิ่งๆเพื่อหายใจ คิ้มเริ่มรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรอยู่ข้างหลังเธอ ที่หน้าประตูบ้าน เธอจึงหันไปดูแล้วจึงพบว่าน้องของเธอนั่นเอง คิ้มรีบวิ่งเข้าไปกกอดและอุ้มน้องเข้ามาในบ้าน
หายไปไหนมา รู้มั้ยทำพี่หัวใจเกือบวายแน่ะคิ้มกอดน้องไว้แน่น แล้วนี่ปากไปเลอะอะไรมาเนี่ย แอบกินน้ำองุ่นในตู้เย็นมาใช่มั้ย น้องยิ้ม
เย็นวันนั้นหลังจากที่พ่อแม่ขายของกลับมาเสร็จ น้องของเธอก็ร้องไห้เอาอย่างหนัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พ่อกับแม่จึงตัดสินใจพาน้องไปหาหมอ เมื่อตรวจหมอก็บอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แค่อาหารไม่ย่อยเท่านั้นเองเลยทำให้เกิดอาการแน่นท้อง
หลายวันผ่านไป คิ้มเริ่มรู้สึกว่าน้องมีอาการแปลก คือเมื่อได้อยู่คนเดียว น้องจะหัวเราะคนเดียวเสียงดังทั้งๆที่ไม่ได้เปิดทีวี เล่นคนเดียวบ้าง เหมือนกับพูดกับคนอื่นบ้าง บางทีในขณะที่คิ้มมองการกระทำของน้องอยู่แล้วน้องก็จะหันมามองคิ้มโดยยิ้มให้แต่ลึกลงไปในแววตานั้นแฝงไปด้วยความสะใจ และเลือดเย็น แต่พอเมื่อเวลาอยู่กับพ่อแม่ น้องก็จะเป็นเด็กหญิงที่ใสซื่อเหมือนปกติ จะเป็นเฉพาะเมื่ออยู่กับคิ้มสองคนเท่านั้น
หลายปีผ่านไปคิ้มได้ขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กิจการขายน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ก็เติบโตขึ้นจนพ่อและแม่ขยายกิจการซื้อตึกหนึ่งห้องเป็นร้านขายของ มีทั้งกาแฟ ชาเย็น โอวัลติน น้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ ทำให้ฐานะทางบ้านดีขึ้นมาก แต่ก็ยังต้องผ่อนค่าตึกอยู่ดี น้องของคิ้มตอนนี้ก็โตใกล้เข้าอนุบาลแล้ว คิ้มจึงไม่ต้องเหนื่อยเหมือนแต่ก่อนเพราะน้องเริ่มรู้เรื่องขึ้น
คิ้ม จูนแม่เรียกชื่อพร้อมกับเดินเข้ามาหาเด็กทั้งสองโดยมีพ่อเดินมาข้างๆ
ว่าไงจ้ะแม่ คิ้มถาม
แม่จะมีน้องให้พวกหนูแล้วนะแม่ยิ้มแล้วหันไปมองพ่อที่กำลังปลื้มยิ่งกว่าเสียอีก
จริงหรอจ้ะ?!! ดี ใจจังเลย คิ้มกอดที่ท้องแม่แล้วเอาหูแนบฟังเสียงหัวใจของน้องอีกคนที่อยู่ข้างใน หน้าคิ้มเอียงหันข้างจึงทำให้เห็นว่าจูนนั้นทำหน้าไม่พอใจอย่างมาก แล้วสายตาเคียดแค้น รอยยิ้มแสยะก็บังเกิดขึ้นบนใบหน้าของน้องเหมือนเมื่อสามปีก่อน น้องจ้องมองท้องของแม่ คิ้มตกใจอย่างมากหลังจากลืมเรื่องนี้ไปนานมาก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร
โอ๋ๆ แม่ก็รักจูนนะ ไม่ดีใจหรอ จะได้มีน้องมาเล่นด้วยไง พี่คิ้มน่ะโตแล้ว คงเล่นกับหนูไม่รู้เรื่องเท่าไหร่หรอกแม่อุ้มจูนขึ้นมาแล้วปลอบประโลมเพราะเห็นว่าจูนเงียบไป แล้วหอมแก้มหนึ่งที ก่อนจะเดินออกไปกับพ่อ
สายตาที่มีแต่ความเกลียดชังนั้นได้ปะทุขึ้นอย่างแรงจนคิ้มรู้สึกได้ว่าจูนได้เกลียดน้องคนเล็กเข้าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่คิ้มก็คิดว่าคงเป็นเฉพาะช่วงนี้เท่านั้น เดี๋ยวก็คงชินไปเอง
จูน จูน...เป็นอะไรไป ทำไมต้องมองน้องอย่างงนั้น เสียงของคิ้มทำให้ แม่ตื่น แล้วจูนสายตาและกลุ่มหมอกนั้นก็หายไป กลับกลายเป็นเด็กหญิงธรรมดารรีบฟุบนอนหลับไป
แม่เห็นคิ้มหน้าตาตื่นจึงถามว่ามีอะไรเกิดขึ้นแต่คิ้มก็บอกไม่มีอะไร แล้วคิ้มก็นอนครุ่นขึ้นถึงสิ่งที่เธอเห็นเมื่อสักครู่ ตอนนี้เธอเริ่มกลัวน้องของเธอขึ้นมาเสียแล้ว คิ้มคิดว่าบางทีอาจจะมีบางสิ่งที่อยู่ในตัวน้องก็ได้ ทุกคืนที่
คิ้มนอนดึกแล้วขึ้นมาทีหลังก็จะเห็นเป็นเช่นนี้อยู่ทุกคราว น้องมักจ้องมองที่ท้องของแม่ซึ่งคิ้มก็รู้ดีว่าจูนมองที่น้องคนเล็กที่กำลังจะเกิดมา เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้คิ้มคอยระแวงและสังเกตจูนตลอดเวลาและดูเหมือนจูนเองก็จะรู้ว่าพี่คิ้มคิดอะไรอยู่
คิ้ม ไปเอาไม้อัดที่พ่อพิงไว้ตรงข้างบ้านให้หน่อยสิลูก พ่อเรียกใช้ ไม้อัดที่ว่าพ่อจะเอามาทำโต๊ะและเก้าอี้เสริมในร้าน
จ้า คิ้มรีบเดินไปหยิบให้พ่อ คุณคงจำได้ ข้างบ้านนั้นเป็นที่เก็บของเล็กๆน้อยๆแต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นตะไคร่และหญ้า ที่ท้ายสุดมีต้นไม้ต้นหนึ่งขึ้นมีใบเรียวขึ้นแต่ตอนบนและมีลูกสีม่วงสด คิ้มเคยเดินเข้ามาที่นี่เพียงไม่กี่ครั้งแต่ก็ไม่ได้สังเกตอะไร แต่ในวันนี้ที่เดินเข้ามา คิ้มถูกดึงดูดให้ไปสนใจกับสิ่งๆหนึ่ง นั่นคือผลของต้นไม้ทิอยู่ท้ายสุด มันมีสีม่วงสดช่างสวยงามอะไรเช่นนี้ คิ้มเดินตรงเข้าไปยังผลของมัน เด็ดมันออกจากลำต้นจากนั้นคิ้มก็ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาข้างๆหู
....กินสิ อร่อยนะ แล้วเธอจะติดใจ กินสิ กินฉันสิ.... จากนั้นกลุ่มหมอกควันเช่นเดียวกับที่เธอเคยเห็นมันออกจากตัวของจูนก็ค่อยๆลอยออกมาจากผลไม้นั่น คิ้มกรี้ดทันทีแล้วรีบวิ่งเข้าบ้าน พอพ่อกับแม่ถามว่าเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น คิ้มก็บอกแต่เพียงว่า ให้ไปโค่นต้นไม้นั่นทิ้งซะ มันมีปิศาจสิงอยู่ พ่อกับแม่ฟังดังนั้นก็ตกใจแต่แล้วก็ปลอบประโลมลูกสาวให้ใจเย็นลง เธอจำอะไรไม่ได้เลย จำได้เลือนรางว่าเห็นอะไรที่น่ากลัวสักอย่างจากต้นไม้นั่น
คืนนั้นเองในขณะที่คิ้มนอนอยู่ข้างๆพ่อ (พ่อจะนอนริมสุด ถัดมาก็คือคิ้ม จูน และแม่) คิ้มก็ได้ยินเสียงแปลก ดังครืดคราดๆ เธอเกรงทันทีว่านั่นอาจจะเป็นจูนที่กำลังจ้องมองท้องแม่อยู่เช่นเคย เธอไม่เคยนอนหลับสนิทเลยสักวัน คิ้มเคยเล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟังและให้พ่อลองสังเกตดูแล้วพ่อก็เห็นเหมือนกับเธอ คืนนี้เธอก็เลยสะกิดพ่อเพราะเธอเกิดความกลัวบางอย่าง พ่อลืมตาขึ้นแล้วค่อยๆเอามือหยิบไฟฉายอย่งเบาที่สุด และก่อนที่จะเปิดไฟฉาย ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
แกจะเกิดมาทำไม ฉันเกลียดแก คิ้มนอนตัวสั่นเพราะเสียงที่จูนพูดมันเหมือนไม่ใช่เสียงของเธอ พ่อก็ได้ยินและคิดเหมือนคิ้ม แต่ยังรอดูเหตุการณ์ต่อไป
แม่จ๋า คราวนี้กลายเป็นเสียงของจูนเหมือนเดิมแล้ว แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความเยือกเย็นลึกๆ แม่จ๋า..น้องในท้อง กับรกน่ะ หนูขอนะ แล้วภาพที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น จูนเงื้อมือ กางแขนซึ่งเผยให้เห็นกรงเล็บที่ยาวแหลม สายตาเพ่งเล็งไปยังเป้าหมายอย่างจดจ่อ ตอนนั้นแม่ท้องได้เกือบๆแปดเดือนแล้ว ทำให้เห็นท้องที่ยื่นออกมาอย่างชัดเจน คิ้มตกใจกลัวสุดขีด เธอรีบขยับตัวไปใกล้พ่อแล้วมองหน้า ในขณะเดียวกันพ่อก็ลุกขึ้น มือทั้งสองกำไฟฉายไว้แน่น ในใจก็คิดว่า นี่คงไม่ใช่ลูกของตนเป็นแน่ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่านี่คือลูกของเรานะ จะทำได้ลงคอเลยหรอ ความคิดทั้งหลายเกิดขึ้นว่าควรทำอย่างไรดี มันเร็วมากทีเดียว จูนเริ่มเงื้อมือลงต่ำแต่ทันใดนั้น กระบอกไฟฉายด้ามโตก็ฟาดเข้าที่ท้ายทอยของจูน ถึงแม้จะไม่เต็มแรงแต่จูนก็ล้มลงแล้วสลบไป คิ้มรีบวิ่งไปเปิดไฟแล้วสิ่งที่ทั้งสองได้เห็นคือ กลุ่มหมอกควันสีดำม้วนตัวบิดเกลียวเป็นรูปร่างคล้ายกับร่างของผู้หญิงบิดออกจากร่างของน้องสาววัยสามขวบพร้อมกับเสียงกรี้ดและหวีดร้องดังเข้าไปในแก้วหู จากนั้นก็ลอยออกไป
ช่วงเวลานั้นมีแต่ความเงียบสงัด ไม่มีใครพูดอะไรสักคน แล้วแม่ก็ตื่นขึ้นพบจูนนอนสลบอยู่ข้างๆ พ่อนั่งกำกระบอกไฟฉายไว้แน่น ส่วนคิ้มก็ยืนอยู่ที่หน้าประตู
หลังจากที่พ่อพาจูนไปหาหมอ หมอก็บอกว่าจูนได้รับบาดเจ็บที่ท้ายทอย แต่แปลกมากคือไม่เป็นอะไรเลย เพียงไม่กี่อาทิตย์จูนก็หายเจ็บและหายร้องไห้ เมื่อแม่ทราบเหตุการณ์ทั้งหมดจึงขอร้องให้พ่อย้ายบ้านโดยด่วน คิ้มเองก็รู้สึกและนึกได้ว่าวันนั้นที่น้องหายไปคงได้ไปกินผลจากต้นไม้นั่นเหมือนที่ตนเกือบจะกิน แต่ตอนนี้เธอรู้สึกว่าน้องกลับมาเป็นน้องจูนที่น่ารักคนเดิมแล้ว ดูออกจะรักน้องที่อยู่ในท้องแม่ด้วยซ้ำ
เย็นวันนั้นครอบครัวของคิ้มจึงตัดสินใจไปวัด ทำบุญให้วิญญาณหรือปิศาจตนนั้น ในขณะที่กำลังกรวดน้ำอยู่นั้น หลวงตาก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า
โยม แล้วสีกาที่นั่งข้างหลังลูกคนเล็กไม่มากรวดน้ำด้วยกันหรอ
....
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ในช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่จากเหตุการณ์ไม่สงบในปัจจุบัน ทำให้หลายครอบครัวต้องมีภาระหนี้สินเพิ่ม บ้างต้องผกผันอาชีพตนเองไปเป็นพ่อค้า แม่ค้า ครอบครัวของคิ้มก็เป็นอีกหนึ่งครอบครัวที่ได้รับความกระทบกระเทือนจากสภาวะความไม่สงบจนต้องย้ายถิ่นไปอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ พ่อของเธอเป็นพนักงาสนบริษัทขายรถยี่ห้อหนึ่ง ส่วนแม่ก็เป็นนางพยาบาล ทั้งสองต้องออกจากงานด้วยสาเหตุที่บริษัทของพ่อต้องจำกัดงบประมาณไว้ เมื่อบริษัท ขายรถได้ไม่ดี พ่อก็ทำยอดได้น้อยจึงได้ซองขาวมา ส่วนแม่ที่ต้องอกงานเพราะต้องการย้ายถิ่นที่อยู่ใหม่และเริ่มต้นชีวิตใหม่ หลังจากที่เพิ่งใช้หนี้หมดไป
คิ้มอาศัยอยู่กับพ่อ แม่และน้องสาวที่เพิ่งคลออดไม่กี่เดือน เธอเป็นเด็กดีและประพฤติตัวดีเสมอ จึงทำให้ช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ไปได้บ้าง พ่อแม่ของคิ้มเมื่อย้ายมาก็มาทำอาชีพขายน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋อยู่หน้าบ้านที่เช่าอยู่เดือนละไม่กี่พันบาท ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม เธอจึงได้อยู่ช่วยแม่ขายของและเลี้ยงน้องได้อย่างเต็มที่ แต่ส่วนใหญ่แม่ก็จะให้เธอเลี้ยงร้องมากกว่าเพราะน้องยังเล็กอยู่
วันหนึ่งหลังจากที่แม่ออกไปขายของแล้ง คิ้มก็ไปทำงานบ้านตามปกติ งานประจำของเธอก็คือ กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจานและตวงน้ำ ซึ่งในเวลาที่คิ้มทำงานบ้านอยู่ คิ้มก็จะให้น้องหลับก่อน หรือไม่ก็ให้น้องอยู่ในเปลเพื่อจะได้ไม่ออกไปซนที่ไหนเพราะน้องเริ่มจะคลานได้แล้ว วันนั้นในขณะนั้นที่คิ้มกำลังล้างจานอยู่น้องของเธอก็ตื่น ด้วยความซนของเด็กจึงปีนออกมาจากเปลโดยที่คิ้มไม่รู้ แล้วน้องของเธอก็คลานลงมาจากชั้นบนแล้วออกไปนอกบ้าน ไปเล่นกับลูกแมวที่เพิ่งเกิดใหม่ จากนั้นก็คานไปยังด้านข้างของตัวบ้านที่ยังพอมีพื้นที่ให้เป็นซอกเล็กๆเอาไว้เก็บของได้ ซึ่งก็มีของไม่มากชิ้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นหญ้าและตะไคร่น้ำ ท้ายสุดมีต้นไม้ต้นหนึ่งที่ปลูกไว้ก่อนที่ครอบครัวคิ้มจะย้ายมาอยู่ ลำต้นไม่สูงมาก มีใบที่เรียวยาวและปกคลุมลำต้นอยู่เฉพาะด้านบน มีผลกลมสีม่วงสดที่ดูแล้วคล้ายกับมะเขือม่วง
คิ้มเดินเข้ามาดูน้องในห้องเหมือนอย่างเคย แต่คราวนี้กลับไม่พบน้องสาว คิ้มตกใจมากจึง รีบวิ่งหาทั่วบ้านแต่ก็ไม่พบจึงวิ่งออกๆไปดูที่หน้าบ้าน วิ่งไปหน้าปากซอย แต่ก็ไม่เจอ คิ้มกลัวว่าถ้าเกิดน้องออกไปยังถนนใหญ่ก็อาจจะถูกรถชนหรือทับก็เป็นได้เพราะน้องของเธอยังตัวเล็กอยู่ รถที่วิ่งไปมาอาจจะไม่ทันเห็นจึงอาจจะ....
คิ้มไม่อยากคิดต่อ ตอนนี้ใจของเธอกระวนกระวายและรู้สึกสับสนเป็นอย่างมากไม่รู้ว่าจะไปหาน้องที่ไหน จนในที่สุดเธอก็ตัดสินใจวิ่งกลับเข้าไปดูในบ้านอีกครั้ง ถ้าพ่อกับแม่มาแล้วไม่เจอน้องเธอคงจะโดนอ่วมแน่ ในระหว่างทางนั้นเธอก็คิดไปว่า...อะไรกัน นี่ฉันเพิ่งอยู่ป.4 เองนะ ทำน้องหายไปแล้วพ่อกับแม่คงจะโกรธเอามากๆ... เมื่อคิ้มกลับเข้ามาในบ้านด้วยอาการที่เหนื่อยหอบ เธอจึงหยุดยืนนิ่งๆเพื่อหายใจ คิ้มเริ่มรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรอยู่ข้างหลังเธอ ที่หน้าประตูบ้าน เธอจึงหันไปดูแล้วจึงพบว่าน้องของเธอนั่นเอง คิ้มรีบวิ่งเข้าไปกกอดและอุ้มน้องเข้ามาในบ้าน
“หายไปไหนมา รู้มั้ยทำพี่หัวใจเกือบวายแน่ะ”คิ้มกอดน้องไว้แน่น “แล้วนี่ปากไปเลอะอะไรมาเนี่ย แอบกินน้ำองุ่นในตู้เย็นมาใช่มั้ย” น้องยิ้ม
เย็นวันนั้นหลังจากที่พ่อแม่ขายของกลับมาเสร็จ น้องของเธอก็ร้องไห้เอาอย่างหนัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พ่อกับแม่จึงตัดสินใจพาน้องไปหาหมอ เมื่อตรวจหมอก็บอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แค่อาหารไม่ย่อยเท่านั้นเองเลยทำให้เกิดอาการแน่นท้อง
หลายวันผ่านไป คิ้มเริ่มรู้สึกว่าน้องมีอาการแปลก คือเมื่อได้อยู่คนเดียว น้องจะหัวเราะคนเดียวเสียงดังทั้งๆที่ไม่ได้เปิดทีวี เล่นคนเดียวบ้าง เหมือนกับพูดกับคนอื่นบ้าง บางทีในขณะที่คิ้มมองการกระทำของน้องอยู่แล้วน้องก็จะหันมามองคิ้มโดยยิ้มให้แต่ลึกลงไปในแววตานั้นแฝงไปด้วยความสะใจ และเลือดเย็น แต่พอเมื่อเวลาอยู่กับพ่อแม่ น้องก็จะเป็นเด็กหญิงที่ใสซื่อเหมือนปกติ จะเป็นเฉพาะเมื่ออยู่กับคิ้มสองคนเท่านั้น
หลายปีผ่านไปคิ้มได้ขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กิจการขายน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ก็เติบโตขึ้นจนพ่อและแม่ขยายกิจการซื้อตึกหนึ่งห้องเป็นร้านขายของ มีทั้งกาแฟ ชาเย็น โอวัลติน น้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ ทำให้ฐานะทางบ้านดีขึ้นมาก แต่ก็ยังต้องผ่อนค่าตึกอยู่ดี น้องของคิ้มตอนนี้ก็โตใกล้เข้าอนุบาลแล้ว คิ้มจึงไม่ต้องเหนื่อยเหมือนแต่ก่อนเพราะน้องเริ่มรู้เรื่องขึ้น
“คิ้ม จูน”แม่เรียกชื่อพร้อมกับเดินเข้ามาหาเด็กทั้งสองโดยมีพ่อเดินมาข้างๆ
“ว่าไงจ้ะแม่” คิ้มถาม
“แม่จะมีน้องให้พวกหนูแล้วนะ”แม่ยิ้มแล้วหันไปมองพ่อที่กำลังปลื้มยิ่งกว่าเสียอีก
“จริงหรอจ้ะ?!! ดี ใจจังเลย” คิ้มกอดที่ท้องแม่แล้วเอาหูแนบฟังเสียงหัวใจของน้องอีกคนที่อยู่ข้างใน หน้าคิ้มเอียงหันข้างจึงทำให้เห็นว่าจูนนั้นทำหน้าไม่พอใจอย่างมาก แล้วสายตาเคียดแค้น รอยยิ้มแสยะก็บังเกิดขึ้นบนใบหน้าของน้องเหมือนเมื่อสามปีก่อน น้องจ้องมองท้องของแม่ คิ้มตกใจอย่างมากหลังจากลืมเรื่องนี้ไปนานมาก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร
“โอ๋ๆ แม่ก็รักจูนนะ ไม่ดีใจหรอ จะได้มีน้องมาเล่นด้วยไง พี่คิ้มน่ะโตแล้ว คงเล่นกับหนูไม่รู้เรื่องเท่าไหร่หรอก”แม่อุ้มจูนขึ้นมาแล้วปลอบประโลมเพราะเห็นว่าจูนเงียบไป แล้วหอมแก้มหนึ่งที ก่อนจะเดินออกไปกับพ่อ
สายตาที่มีแต่ความเกลียดชังนั้นได้ปะทุขึ้นอย่างแรงจนคิ้มรู้สึกได้ว่าจูนได้เกลียดน้องคนเล็กเข้าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่คิ้มก็คิดว่าคงเป็นเฉพาะช่วงนี้เท่านั้น เดี๋ยวก็คงชินไปเอง
เวลาผ่านมาเรื่อยๆ จนคิ้มได้เห็นความผิดปกติของจูนอีกครั้งเมื่อคืนหนึ่งในขณะที่คิ้มกำลังเก็บหนังสือที่เอามานั่งทำการบ้านอยู่ข้างล่าง แล้วจึงเดินขึ้นไปชั้นบนที่ห้องนอน( พ่อ แม่ คิ้มและน้องนอนรวมกัน) ทุกคนปิดไฟนอนกันหมดแล้ว แต่ว่าคิ้มต้องเอาของมาเก็บจึงต้องเปิดไฟ เมื่อมือแตะสวิตซ์เปิด คิ้มก็ต้องตกใจอย่างมากเมื่อภาพที่ได้เห็นคือ จูน เด็กหญิงวัยเพียงสามขวบกำลังนั่งจ้องที่ท้องของแม่สายตาไม่กระพริบไปไหน กลุ่มหมอกควันสีดำบางๆลอยวนเวียนอยู่รอบๆตัวของจูน ทั้งยังสายตาที่จ้องนั้นก็เกิดเปลวไฟสีน้ำเงินที่ดูร้อนผ่าวแสดงออกมาเป็นความดูถูก เหยียดหยาม เคียดแค้น และอาฆาต คิ้มรีบวิ่งเข้าไปหาน้อง เขย่าตัวน้องแรงๆแต่จูนก็ยังไม่ละสายตาที่มอง
“จูน จูน...เป็นอะไรไป ทำไมต้องมองน้องอย่างงนั้น” เสียงของคิ้มทำให้ แม่ตื่น แล้วจูนสายตาและกลุ่มหมอกนั้นก็หายไป กลับกลายเป็นเด็กหญิงธรรมดารรีบฟุบนอนหลับไป
แม่เห็นคิ้มหน้าตาตื่นจึงถามว่ามีอะไรเกิดขึ้นแต่คิ้มก็บอกไม่มีอะไร แล้วคิ้มก็นอนครุ่นขึ้นถึงสิ่งที่เธอเห็นเมื่อสักครู่ ตอนนี้เธอเริ่มกลัวน้องของเธอขึ้นมาเสียแล้ว คิ้มคิดว่าบางทีอาจจะมีบางสิ่งที่อยู่ในตัวน้องก็ได้ ทุกคืนที่
คิ้มนอนดึกแล้วขึ้นมาทีหลังก็จะเห็นเป็นเช่นนี้อยู่ทุกคราว น้องมักจ้องมองที่ท้องของแม่ซึ่งคิ้มก็รู้ดีว่าจูนมองที่น้องคนเล็กที่กำลังจะเกิดมา เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้คิ้มคอยระแวงและสังเกตจูนตลอดเวลาและดูเหมือนจูนเองก็จะรู้ว่าพี่คิ้มคิดอะไรอยู่
“คิ้ม ไปเอาไม้อัดที่พ่อพิงไว้ตรงข้างบ้านให้หน่อยสิลูก” พ่อเรียกใช้ ไม้อัดที่ว่าพ่อจะเอามาทำโต๊ะและเก้าอี้เสริมในร้าน
“จ้า” คิ้มรีบเดินไปหยิบให้พ่อ คุณคงจำได้ ข้างบ้านนั้นเป็นที่เก็บของเล็กๆน้อยๆแต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นตะไคร่และหญ้า ที่ท้ายสุดมีต้นไม้ต้นหนึ่งขึ้นมีใบเรียวขึ้นแต่ตอนบนและมีลูกสีม่วงสด คิ้มเคยเดินเข้ามาที่นี่เพียงไม่กี่ครั้งแต่ก็ไม่ได้สังเกตอะไร แต่ในวันนี้ที่เดินเข้ามา คิ้มถูกดึงดูดให้ไปสนใจกับสิ่งๆหนึ่ง นั่นคือผลของต้นไม้ทิอยู่ท้ายสุด มันมีสีม่วงสดช่างสวยงามอะไรเช่นนี้ คิ้มเดินตรงเข้าไปยังผลของมัน เด็ดมันออกจากลำต้นจากนั้นคิ้มก็ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาข้างๆหู
....กินสิ อร่อยนะ แล้วเธอจะติดใจ กินสิ กินฉันสิ.... จากนั้นกลุ่มหมอกควันเช่นเดียวกับที่เธอเคยเห็นมันออกจากตัวของจูนก็ค่อยๆลอยออกมาจากผลไม้นั่น คิ้มกรี้ดทันทีแล้วรีบวิ่งเข้าบ้าน พอพ่อกับแม่ถามว่าเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น คิ้มก็บอกแต่เพียงว่า ให้ไปโค่นต้นไม้นั่นทิ้งซะ มันมีปิศาจสิงอยู่ พ่อกับแม่ฟังดังนั้นก็ตกใจแต่แล้วก็ปลอบประโลมลูกสาวให้ใจเย็นลง เธอจำอะไรไม่ได้เลย จำได้เลือนรางว่าเห็นอะไรที่น่ากลัวสักอย่างจากต้นไม้นั่น
คืนนั้นเองในขณะที่คิ้มนอนอยู่ข้างๆพ่อ (พ่อจะนอนริมสุด ถัดมาก็คือคิ้ม จูน และแม่) คิ้มก็ได้ยินเสียงแปลก ดังครืดคราดๆ เธอเกรงทันทีว่านั่นอาจจะเป็นจูนที่กำลังจ้องมองท้องแม่อยู่เช่นเคย เธอไม่เคยนอนหลับสนิทเลยสักวัน คิ้มเคยเล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟังและให้พ่อลองสังเกตดูแล้วพ่อก็เห็นเหมือนกับเธอ คืนนี้เธอก็เลยสะกิดพ่อเพราะเธอเกิดความกลัวบางอย่าง พ่อลืมตาขึ้นแล้วค่อยๆเอามือหยิบไฟฉายอย่างเบาที่สุด และก่อนที่จะเปิดไฟฉาย ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ แกจะเกิดมาทำไม ฉันเกลียดแก” คิ้มนอนตัวสั่นเพราะเสียงที่จูนพูดมันเหมือนไม่ใช่เสียงของเธอ พ่อก็ได้ยินและคิดเหมือนคิ้ม แต่ยังรอดูเหตุการณ์ต่อไป
“ แม่จ๋า” คราวนี้กลายเป็นเสียงของจูนเหมือนเดิมแล้ว แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความเยือกเย็นลึกๆ “แม่จ๋า..น้องในท้อง กับรกน่ะ หนูขอนะ” แล้วภาพที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น จูนเงื้อมือ กางแขนซึ่งเผยให้เห็นกรงเล็บที่ยาวแหลม สายตาเพ่งเล็งไปยังเป้าหมายอย่างจดจ่อ ตอนนั้นแม่ท้องได้เกือบๆแปดเดือนแล้ว ทำให้เห็นท้องที่ยื่นออกมาอย่างชัดเจน คิ้มตกใจกลัวสุดขีด เธอรีบขยับตัวไปใกล้พ่อแล้วมองหน้า ในขณะเดียวกันพ่อก็ลุกขึ้น มือทั้งสองกำไฟฉายไว้แน่น ในใจก็คิดว่า นี่คงไม่ใช่ลูกของตนเป็นแน่ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่านี่คือลูกของเรานะ จะทำได้ลงคอเลยหรอ ความคิดทั้งหลายเกิดขึ้นว่าควรทำอย่างไรดี มันเร็วมากทีเดียว จูนเริ่มเงื้อมือลงต่ำแต่ทันใดนั้น กระบอกไฟฉายด้ามโตก็ฟาดเข้าที่ท้ายทอยของจูน ถึงแม้จะไม่เต็มแรงแต่จูนก็ล้มลงแล้วสลบไป คิ้มรีบวิ่งไปเปิดไฟแล้วสิ่งที่ทั้งสองได้เห็นคือ กลุ่มหมอกควันสีดำม้วนตัวบิดเกลียวเป็นรูปร่างคล้ายกับร่างของผู้หญิงบิดออกจากร่างของน้องสาววัยสามขวบพร้อมกับเสียงกรี้ดและหวีดร้องดังเข้าไปในแก้วหู จากนั้นก็ลอยออกไป
ช่วงเวลานั้นมีแต่ความเงียบสงัด ไม่มีใครพูดอะไรสักคน แล้วแม่ก็ตื่นขึ้นพบจูนนอนสลบอยู่ข้างๆ พ่อนั่งกำกระบอกไฟฉายไว้แน่น ส่วนคิ้มก็ยืนอยู่ที่หน้าประตู
หลังจากที่พ่อพาจูนไปหาหมอ หมอก็บอกว่าจูนได้รับบาดเจ็บที่ท้ายทอย แต่แปลกมากคือไม่เป็นอะไรเลย เพียงไม่กี่อาทิตย์จูนก็หายเจ็บและหายร้องไห้ เมื่อแม่ทราบเหตุการณ์ทั้งหมดจึงขอร้องให้พ่อย้ายบ้านโดยด่วน คิ้มเองก็รู้สึกและนึกได้ว่าวันนั้นที่น้องหายไปคงได้ไปกินผลจากต้นไม้นั่นเหมือนที่ตนเกือบจะกิน แต่ตอนนี้เธอรู้สึกว่าน้องกลับมาเป็นน้องจูนที่น่ารักคนเดิมแล้ว ดูออกจะรักน้องที่อยู่ในท้องแม่ด้วยซ้ำ
เย็นวันนั้นครอบครัวของคิ้มจึงตัดสินใจไปวัด ทำบุญให้วิญญาณหรือปิศาจตนนั้น ในขณะที่กำลังกรวดน้ำอยู่นั้น หลวงตาก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า
“โยม แล้วสีกาที่นั่งข้างหลังลูกคนเล็กไม่มากรวดน้ำด้วยกันหรอ”
“....”
ผลงานอื่นๆ ของ A.Pen ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ A.Pen
ความคิดเห็น