ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Bel Ami คุณคือที่รัก

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 8 สูญเสีย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 62
      5
      4 ส.ค. 62

    บทที่ 8
    สูญเสีย




            ถ้าคนเราสามารถขอพรความปรารถนาใดก็ได้ในสามประการล่ะก็ ประการแรกเฟลิเซียนึกอยากให้ช่วงเวลายามตะวันตกดินไปจนถึงราตรีกาลกลับมาเป็นเหมือนเมื่อตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาจะดีมาก เพราะย้อนกลับเมื่อตอนนั้นเป็นช่วงที่นายทหารตัวดีเกิดเหตุอะไรขึ้นมาที่ทำให้เขากลับมืดทุกวันหลังจากเธอแยกย้ายเข้าห้องนอนของตนเองไปแล้ว ถึงเหตุผลที่เขาใช้อ้างกับป้าโคเล็ตต์จะฟังไม่ขึ้นเลยก็เถอะ  อย่างน้อยมันก็เป็นช่วงสัปดาห์แห่งความสงบที่ทำให้เธอรู้สึกสงบจิตสงบใจเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนตั้งแต่เกิดสงครามเพราะไม่ต้องมีเขาเข้ามาเกะกะรำคาญในสายตาให้หงุดหงิด หากอีกใจหนึ่งกลับไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเพราะเธอสงสารป้าที่ต้องอยู่ดึกรอล็อกประตูตอนเจ้าตัวกลับบ้าน ราวกับอีกฝ่ายสามารถอ่านใจเธอหรืออย่างไรมิอาจทราบได้ แต่หลังจากคืนวันนั้นที่เขากลับมาพร้อมกลิ่นแรงของน้ำหอมปนกลิ่นฉุนของสุราและบุหรี่คละคลุ้งไปทั่วทั้งตัว เขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วแบบหน้ามือเป็นหลังมือ เขากลับมาถึงบ้านในเวลามื้อค่ำพอดิบพอดีหรืออาจจะเร็วกว่านั้นในบางวัน ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ถ้าเขาว่างงาน เธอก็จะได้เห็นเขานั่งทำโน่นทำนี่ตามจุดต่างๆ บางครั้งก็นั่งขัดรองเท้าบูทกับเข็มขัดหลังบ้าน นอนเอกเขนกเหยียดยาวบนโซฟาของห้องนั่งเล่นในชุดเสื้อลำลองกับผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง หรือไม่ก็นั่งทำอะไรต่อมิอะไรในห้องของตัวเอง ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้หรอกว่าทำอะไรเพราะไม่เคยย่างกรายเข้าไปในห้องเขาเวลาที่เจ้าตัวอยู่


            วันนี้ก็เป็นวันหยุดอีกวันที่เจ้าตัวไม่มีงานเช่นกัน เธอก็เลยได้เห็นเขาเดินโฉบลอยหน้าลอยตาไปมาอยู่ในบ้านอีกตามเคย เพราะว่าป้าโคเล็ตต์ออกไปสำรวจดูตลาดข้างนอก ตัวเธอก็เลยเลือกที่จะนั่งอ่านหนังสือพิมพ์บนห้องแทนเพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นเขาเข้ามาอยู่ในสายตาให้หงุดหงิดรำคาญใจ ข่าวสารทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม นอกจากข่าวที่บอกถึงการแผ่ขยายอำนาจของกองทัพเยอรมันแล้วก็ไม่มีอะไรคืบหน้าอีก ฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งทางฝั่งยุโรปและฝั่งอเมริกายังคงนิ่งสงบไม่มีข่าวใหญ่อะไรสำคัญ


    เธอผุดลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงก๊อกแก๊กกุกๆกักๆดังอย่างน่าสงสัยมาจากชั้นล่าง เมื่อเธอสาวเท้าลงมาถึง เธอก็พบว่าต้นเสียงมาจากนายทหารหนุ่มที่กำลังช่วยรับสัมภาระของป้าซึ่งก็คือถุงกระดาษจากร้านขายของชำร้านประจำที่เธอหอบหิ้วมาอย่างพะรุงพะรังเต็มสองมือกับอีกหนึ่งถุงในอ้อมแขน

    " ในครัวเลยพ่อหนุ่ม "

            เธอบอกชายหนุ่ม เขาพยักหน้ารับพลางหอบข้าวของทั้งหมดหันหลังกลับมายังทางเดิน ฝีเท้าของเขาหยุดชะงักเมื่อเห็นเฟลิเซียที่ยืนอยู่ตรงเชิงบันได เขาผงกหัวให้เธอน้อยๆแล้วเลี้ยวเข้าไปในห้องครัว

            คิ้วของเฟลิเซียขมวดผูกเข้าหากัน
    " หนูคิดว่าเขาอยู่ในห้องเสียอีก "
            เธอพูดกับป้าโคเล็ตต์ในขณะที่มือไม้ของทั้งคู่ช่วยกันจัดเก็บข้าวของเข้าที่เข้าทาง
    " อ้อ--ไม่จ้ะไม่ ป้าเห็นเขานั่งอ่านหรือดูอะไรสักอย่างในห้องนั่งเล่นนี่แหละ "


            ประโยคนั้นทำให้เธออดไม่ได้ที่จะย่นจมูกด้วยความขุ่นเคืองใจก่อนที่มือเรียวจะเปลี่ยนมารื้อของในถุงกระดาษใบถัดมา นัยน์ตาสีน้ำผึ้งนิ่งค้างด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นข้าวของวัตถุดิบมากมายก่ายกองอยู่บนโต๊ะ มีทั้งของที่อยู่ในสภาพดี สดใหม่และอยู่ในสภาพกลางๆจนถึงไม่ค่อยจะดีปะปนคลุกเคล้ากันไป 

    " ป้าไม่ได้ไปแค่ตลาดหรอกจ้ะ ป้าแวะไปหาพวกเพื่อนๆเราที่ชานเมืองด้วย พวกของที่ใหม่ๆน่ะพวกเขาแอบให้มา ป้าต้องเอามาปนกันแบบนี้จะได้ไม่มีใครสงสัย "
            ป้าโคเล็ตต์กระซิบบอกเธอเบาๆ ปมสงสัยในห้วงความคิดของเฟลิเซียคลายออกทันที

    แน่ล่ะ...ป้าต้องหมดไปหลายเท่าตัวแน่ถ้าซื้อข้าวของทั้งหมดนี่มา

    " ที่จริง ป้ามีข่าวดีอีกอย่างจะบอกหนูจ้ะ..."


            ป้าโคเล็ตต์กระซิบบอกด้วยเสียงทีแผ่วเบายิ่งกว่าเดิม คำว่า 'ข่าวดี' นั้นสะกิดดึงเฟลิเซียให้หันขวับมายังคนพูดทันทีเหมือนกับลูกเป็ดหรือลูกเจี๊ยบที่ได้ยินเสียงแม่ของมันร้องเรียก เธอเขยิบตัวเข้าไปใกล้หญิงวัยกลางคนโดยไม่ลืมเอียงศีรษะไปใกล้ๆเพื่อประสิทธิภาพการได้ยินที่ดีขึ้น เธอรู้สึกได้ว่าใจของเธอนั้นกำลังเต้นตึกตักอย่างบ้าคลั่งอยู่ในอก ตลอดระยะเวลาห้วงแห่งความทรมานตั้งแต่สงครามเกิด สิ่งที่เธอโหยหาเฝ้ารอคอยได้ยินมาตลอดก็คือข่าวดี จะเป็นเรื่องอะไรกันนะ บางทีป้าอาจจะไปแอบได้ยินข่าวลับมาจากพวกกลุ่มต่อต้านข้างนอกเมืองหรือได้ข่าวความคืบหน้าจากเมอร์ซิเออร์เบอร์นาร์ด


    " ป้าได้กลับไปทำงานแล้วจ้ะ "
            ทันทีที่เธอได้สดับฟังดังนั้น ริมฝีปากรูปสวยก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนซีดราวกับน้ำผึ้งเดือนห้านั้นตอนนี้มันได้เปล่งประกายระยิบระยับดูคล้ายกับทองคำอันล้ำค่า
    " ที่โรงพิมพ์น่ะเหรอคะ? "
            ริมฝีปากของป้าโคเล็ตต์หยักขึ้นเป็นรอยยิ้มก่อนจะพยักหน้ายืนยันในถ้อยคำนั้น เฟลิเซียฉีกยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิมเพิ่มความสุกสกาวให้กับนัยน์ตาดวงสวยด้วยความตื้นตันยินดี
    " ถึงจะไม่ได้ค่าจ้างเท่าเมื่อก่อนเพราะพวกเยอรมันเข้ามาควบคุมแทน แต่เราก็มีรายได้เข้ามาหมุนค่าใช้จ่ายแล้วล่ะนะ "

            เฟลิเซียถอนหายใจน้อยๆก่อนจะผงกหัวรับแม้ในใจจะยังแอบรู้สึกฉุนเคืองอยู่บ้างเมื่อได้รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเข้าควบคุมแม้กระทั่งตำแหน่งงานเล็กๆน้อยๆ การที่พวกเขาทำแบบนี้ก็เท่ากับว่าพวกเธอไม่มีทางรู้ได้เลยว่าพวกเขาจะเข้ามาทำอะไรกับคนที่นี่อีกบ้างนอกเหนือจากค่าแรงที่ต้องโดนกดลดลงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เมื่อเธอลองคิดดูอีกมุมแล้ว ป้าโคเล็ตต์ก็พูดถูก ถึงจะได้ค่าตอบแทนไม่เท่าเดิม อย่างน้อยมันก็เป็นฟันเฟืองสำคัญที่ฉุดให้พวกเธอรอดพ้นจากการอดอยากในช่วงเวลาข้าวยากหมากแพงเช่นนี้

            หลังจากนั้นประมาณเกือบเที่ยง ป้าโคเล็ตต์ก็ได้รับโทรศัพท์เรียกตัวไปเพื่่อรับทราบและทำความเข้าใจถึงรายละเอียดระบบงานใหม่ตามแบบพวกเยอรมัน เฟลิเซียจึงอาสารับช่วงต่อจากงานบ้านที่ป้าทำค้างเอาไว้ระหว่างออกไปข้างนอก เธอกำลังขนถุงขยะจะเอาไปทิ้งในตอนที่สายตาไปสะดุดเข้ากับร่างสูงในชุดลำลองกำลังก้มหน้างุดทำอะไรสักอย่างที่เธอไม่สามารถบอกได้เพราะเขานั่งโดยหันหน้าเข้าหาหน้าต่าง เธอจึงมองเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อผ้าฝ้ายสีครีมเท่านั้น แต่ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เธอคิดว่ามันต้องเป็นสิ่งที่สำคัญหรือเพลิดเพลินสำหรับเขาไม่น้อย เพราะเขาดูตั้งอกตั้งใจและจดจ่ออยู่กับมันมากเกินกว่าจะรู้สึกตัวว่ามีใครเดินผ่านไปผ่านมารอบๆ

            ถุงใส่ขยะใบใหญ่ถูกแรงเหวี่ยงโยนโครมขึ้นไปกองสุมกันกับถุงขยะใบอื่นๆและขยะต่างๆที่ทับถมกันรอคอยให้ใครสักคนมาเก็บกวาดไป เฟลิเซียใช้หลังมือปาดหยาดเหงื่อออกจากหน้าผากขณะสายตาจดจ้องกับทัศนียภาพเบื้องหน้าของถนนสายหลักในยามสายที่ส่วนมากแล้วก็ยังคงมีแต่พวกทหารเยอรมันปะปนไปซะทุกที จนถึงบัดนี้เรียกได้ว่าเป็นภาพที่ชินตาของชาวเมืองไปแล้วที่จะได้เห็นคนในเครื่องแบบสีเขียวอยู่ไปเกือบทุกอณูบริเวณทั่วเมือง เธอยินดีที่จะเสริมคำว่า'ภาพอันน่ารำคาญใจ'เข้าไปให้ด้วย

            เสียงดนตรีหวีดหวิวฟังดูอารมณ์ดีลอยผ่านสายลมแว่วเข้ามาในโสตประสาทดึงความสนใจเธอให้หันมองตรงไปเบื้องหน้า เธอเห็นศีรษะของร่างสูงร่างหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยเรือนผมสีทองหวีเรียบแปล้ที่ต้องแสงอาทิตย์จนดูราวกับส่องแสงระยิบระยับกำลังเคลื่อนที่ไปตามถนน เขาคือลูกน้องของนายทหารฮอฟฟ์ครีคที่ชื่ออะไรสักอย่างซึ่งเธอจำไม่ได้แล้วเพราะไม่คิดจะสนใจจำ เธอจำได้เพียงแค่ว่าเขาเขย่งตัวชูศีรษะขึ้นมาพ้นรั้วแล้วชะโงกมองสบตาเธอราวกับรู้ว่าตนเองกำลังถูกจ้องมองมาจากอีกฝั่ง เขาหยักยิ้มทะเล้นพลางยกหมวกทหารของตนขึ้นแล้วกล่าวทักทาย

    "  อรุณสวัสดิ์! ฟรอยไลน์*! "

            เขาตะโกนทักทายเธอข้ามมาพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรแบบเด็กหนุ่มแรกรุ่นทั่วไป ปลายจมูกของเฟลิเซียกระตุกย่นขึ้นมาแล้วสะบัดหน้าหนีเดินเชิดกลับเข้าบ้าน ทิ้งให้ทหารหนุ่มยืนงงหน้าแตกอยู่อีกฝั่งของรั้ว เมื่อเธอลองเหลียวหลังกลับมาอีกทีก็พบว่านายทหารเด็กคนนั้นกำลังเดินทางต่อด้วยท่าทีสลดเศร้าซึมขึ้นมาเล็กน้อย

            เธอได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆคุ้นหูดังแว่วแผ่วเงียบไปพร้อมภาพของนายทหารฮอฟฟ์ครีคหายวับจากสายตาขณะเจ้าตัวเดินขึ้นบันไดไปบนชั้นสองเหลือไว้เพียงเก้าอี้โซฟาและห้องหับอันว่างเปล่า

            หลังรู้ว่านายทหารทำการย้ายตัวเองขึ้นไปอยู่ชั้นบนแล้ว เฟลิเซียก็หมดเวลาไปกับการสะสางสารพัดงานการต่างๆไปตลอดช่วงบ่ายที่เหลือเพราะตัวเกะกะไม่อยู่ในสายตาให้เธอรำคาญใจแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสถานที่แรกที่เธอเลือกจัดการทำความสะอาดคือห้องนั่งเบ่นที่ใครยางคนเพิ่งจะเข้ามาใช้งานเสร็จสิ้นไปหมาดๆ เธอตบหมอนอิงโซฟาที่ยับย่นให้ฟูเรียบเหมือนเก่าก่อนจะทำการดูดฝุ่นพื้นห้องเป็นการปิดท้าย สมุดโน้ตปกแข็งหุ้มหนังสีเดียวกับโต๊ะวางโคมไฟสะดุดตาเข้าเต็มเปาขณะที่เธอกำลังจะเช็ดคราบขี้ดินสอจากโต๊ะ มือเรียวหยิบสมุดขึ้นมาพลิกดูสำรวจไปทั่วหาร่องรอยความเป็นเจ้าของ ตัวอักษรย่อ 'ก.' และ 'ฮ.' พร้อมลายเซ็นกำกับที่กระดาษหน้าแรกของสมุดทำให้เธอวางสมุดทิ้งกลับไปบนโต๊ะแล้วทำงานอย่างอื่นต่อทันทีโดยไม่คิดที่จะเอามันขึ้นไปคืนให้เจ้าของบนห้อง

            เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะขึ้นในตอนที่เธอเพิ่งยกเครื่องดูดฝุ่นไปเก็บในห้องเก็บของ เธอรีบเช็ดมือที่เลอะคราบสกปรกเข้ากับผ้ากันเปื้อนแล้วรับโทรศัพท์ เมื่อเสียงปลายสายดังขึ้นนั้น เธอจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของมาดามเพอร์แร็ง

    ' สวัสดีค่ะ '
    เธอล่ะอยากรู้จริงว่าทำไมมาดามต้องทำน้ำเสียงประหลาดใจแบบนั้นด้วย
    ' สวัสดีจ้ะเฟลี...โคเล็ตต์อยู่หรือเปล่าจ๊ะ? '
    " ไม่อยู่ค่ะ ป้าออกไปข้างนอก เธอถูกเรียกตัวกลับไปทำงานแล้ว "
    ' งั้นเหรอ ดีใจด้วยนะจ๊ะ...งั้นฉันวางก่อนก็แล้วกันนะ '
    เฟลิเซียรู้สึกว่าเธอยังไม่อยากให้อีกฝ่ายวางสายเพราะในใจของเธอสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลในบทสนทนาแปลกๆครั้งนี้
    " มีอะไรหรือเปล่าคะ? "
    เธอตัดสินใจออกปากถาม การที่อีกฝ่ายเงียบกริบไปพักหนึ่งทำเอาเธอใจคอไม่ดียิ่งกว่าเดิม
    '...ลูกชายของครอบครัวฟรังชัวร์ที่ชื่อเอ็ดมุนด์น่ะ หนูจำเขาได้หรือเปล่า? "

            นัยน์ตาสีน้ำผึ้งกะพริบปริบอย่างงงงวย ทำไมเธอจะจำเขาไม่ได้กันล่ะ เธอกับเขาคือเพื่อนซี้สนิทกันมากคู่หนึ่ง ทุกครั้งเวลาพ่อกับแม่พาเธอมาเยี่ยมป้าโคเล็ตต์ที่สมัยนั้นป้ายังอยู่แถวชานเมืองปารีส เธอกับเขาจึงมีโอกาสเล่นด้วยกันบ่อยๆพร้อมเด็กคนอื่นๆในละแวกนั้น และด้วยความที่ครอบครัวของเขามีกิจการโรงทำขนมปัง เอ็ดมุนต์จึงไม่เคยพลาดที่จะนำขนมปังเล็กๆน้อยๆเพิ่งอบมาใหม่ๆของครอบครัวติดมือมาฝากเธอและเพื่อนๆเป็นนิจ บางวันก็เป็นขนมปังฝรั่งเศษกรอบนอกนุ่มใน บางวันก็เป็นครัวซองอุ่นๆเนื้อหนึบหนับ

    " จำได้สิคะ..."
    เธอตอบเสียงแผ่ว ความรู้สึกไม่สู้ดีเริ่มกัดกินกร่อนในใจลึกเข้ามาเรื่อยๆ
    ' ฉันเสียใจที่จะต้องบอกเธอว่า--'

    เสียงหยุดชะงักไป เธอได้ยินอีกฝ่ายสูดลมหายใจลึกก่อนจะเปล่งข่าวประเภทที่เธอไม่อยากได้ยินขึ้นมาอีกครั้ง

    '--เขาตายแล้วจ้ะ... '

            ประโยคนั้นทิ่มแทงเข้ามาเหมือนมีดดาบที่กรีดลงมาบนผิวหนัง นัยน์ตาสีน้ำผึ้งของเฟลิเซียจดจ้องอย่างไร้จุดหมายเลื่อนลอยออกไปไกลในขณะที่ข่าวนั้นเล่นซ้ำวนไปมาอยู่ในหัวเหมือนแผ่นเสียงที่ชำรุด มือของเธอกำรอบหูโทรศัพท์แน่นจนรู้สึกชา ร่างกายช่วงล่างหนักอึ้งแข็งทื่อ ความรู้สึกโล่งโหวงเหวงว่างเปล่านั่นรุนแรงเสียจนรู้สึกว่าถ้อยคำนั้นมันกลายเป็นเพียงเสียงลมวี้ๆอี่ๆอื้ออึงไม่รู้เรื่องอยู่ในหู แม้ว่าตัวเธอพอจะรู้สึกชินชากับเรื่องแย่ๆทั้งหลายไปบ้างแล้ว...แต่เธอยังไม่ได้เตรียมใจรับรู้ข่าวนั้นของคนใกล้ตัวเธอเลยแม้แต่นิดเดียว...

    " อะไรนะคะ..."

            เธอเอ่ยถามอีกครั้งด้วยน้ำเสึยงที่แตกพร่า ในใจภาวนาหวังเหลือเกินว่าสิ่งที่เพิ่งได้ยินไปคือเรื่องหลอก เธออยากได้ยินมาดามบอกว่าเธอเข้าใจผิด จริงๆแล้วเอ็ดมุนด์ยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งท่ามกลางสนามรบนั่น หรืออย่างน้อยก็ปลอดภัยอยู่กับคนอื่นๆในค่ายเชลยศึกก็ยังดี ทั้งที่จริงๆแล้วเธอรู้อยู่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม

    ' เอ็ดมุนด์...ตายแล้วจ้ะ...เราเพิ่งรู้ข่าวจากครอบครัวเขาเมื่อเช้านี้ '

            มาดามเพอร์แร็งพูดซ้ำย้ำทวนอีกรอบ คราวนี้เฟลิเซียหลับตาลงและเม้มริมฝีปากแน่นพยายามสะกดกลั้นไม่ให้หยาดน้ำตาหรือเสียงสะอื้นหลุดออกมาให้ปลายสายได้ยิน

    ' ทีแรกฉันตั้งใจจะบอกแค่โคเล็ตต์ก่อนเพราะไม่อยากให้หนูเสียใจ แต่...สุดท้ายหนูก็ต้องรู้อยู่ดีก็เลยคิดว่าบอกหนูตั้งแต่แรกจะเป็นการดีกว่า '

    แม้เธอจะไม่ได้ตอบอีกฝ่ายแต่ลึกๆแล้วเธอก็เห็นด้วยกับมาดาม เธอคงไม่เหลือร่องรอยยิ่งกว่านี้แน่ถ้าปล่อยให้เธอมารู้ทีหลังช้าไปกว่านี้

            ความเสียใจและอาการตกใจจากข่าวกะทันหันไม่คาดฝันที่เพิ่งได้สดับฟังทำเอาเธอสติหลุดลอยไป เธอไม่ได้ยินแม้กระทั่งคำกล่าวบอกลาที่ปลายสายทิ้งท้ายไว้ก่อนจะวางหูไปเสียด้วยซ้ำ

            ถึงมาดามเพอร์แร็งจะวางสายไปสักพักแล้วก็ตาม เฟลิเซียยังคงยืนนิ่งซึ่งตอนนี้เหลือเพียงเสียงซ่าๆดังมาจากปลายสายเท่านั้น เธอบังคับมือแข็งทื่อและข้อต่อผิวที่เริ่มขาวซีดเผือดเพราะออกแรงจับหูโทรศัพท์แน่นเกินไป เธอเดินอย่างไร้เรี่ยวแรงกลับมาทิ้งร่างลงบนเก้าอี้นวมริมหน้าต่าง สายตามองตรงไปข้างหน้าไม่รู้จุดหมายปลายทางเพราะสภาพภายในจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แขนและมือเล็กถูกปล่อยทิ้งดูอ่อนปวกเปียกราวตุ๊กตาผ้าอยู่ข้างช่วงลำตัวเพรียวบางอันอ่อยเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง

            ภาพของห้องนั่งเล่น ทางเดินและข้าวของต่างๆรอบตัวเริ่มพร่ามัวฝ้าฟางจากหยาดของเหลวใสที่เอ่อล้นขึ้นท่วมดวงแก้วสีน้ำผึ้งของเฟลิเซีย การพยายามกะพริบตาถี่นั้นรังแต่ทำให้หยดน้ำตาเกาะตามขนตาเรียงเป็นแพของเธอราวกับเพชรเจียระไนที่ส่องแสงระยับยามต้องแสงมากกว่าจะไล่มันให้อันตรธานหายไป หยดน้ำเพชรเม็ดเล็กเหล่านั้นหลอมรวมกันเป็นอัญมณีเม็ดใหญ่ยามปิดเปลือกตาลง เธอซุกใบหน้าลงกับฝ่ามือทั้งสองก่อนจะปล่อยให้หยาดอัญมณีที่อัดอั้นร่วงพรูลงมาราวกับสายธารที่หลั่งไหลอย่างเงียบๆไร้ซึ่งเสียงใดๆ

            เวลาผ่านไปอีกค่อนข้างนานทีเดียวที่เฟลิเซียนั่งร้องไห้อยู่กับที่ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน เพราะแสงจากหน้าต่างที่ลดหลั่นสลัวลงกลายเป็นสีส้มและโสตประสาทของเธอได้ยินใครบางคนเปิดประตูบ้านพร้อมกับเสียงกุกกักขลุกขลักขณะที่ตัวต้นเสียงกำลังจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนเข้ามาข้างใน แน่นอนว่าเธอเองก็ยังไม่ลุกออกไปไหนเฉกเช่นเดียวกัน ช่วงนี้ป้าโคเล็ตต์มักจะกลับถึงบ้านในฉิวเฉียดกับเวลาอาหารค่ำเป็นประจำ ฉะนั้นถ้าจะมีใครกลับมาก่อนในช่วงเวลาค่อนเย็นเป๊ะแบบนี้ก็มีอยู่คนเดียว

            เสียงตึบตับของฝีเท้าหนักที่ค่อยๆดังขึ้นๆเมื่อเจ้าของย่างใกล้เข้ามาไม่ได้มีผลฉุดให้เฟลิเซียสนใจเงยหน้าขึ้นมามองเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เธอกลับซุกหน้ามุดกับฝ่ามือแน่นยิ่งกว่าเดิมจนเธอรู้สึกถึงปลายนิ้วที่ขยุ้มผ่านลอนผมสีช็อกโกแลตเข้าไปถึงไรผมและหนังศีรษะ

            เงาดำทึบที่พาดผ่านทับแสงสีอุ่นนวลของพื้นห้องบ่งบอกให้เธอรับรู้ว่าเขาคนนั้นได้เข้ามาแล้วและกำลังหยุดยืนอยู่ตรงซุ้มประตูทางเข้าระหว่างทางเดินและห้องนั่งเล่น เธอเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อข่มเสียงสะอื้นที่เบาอยู่แล้วให้ค่อยลงกว่าเดิม ไม่ต้องการให้นายทหารเห็นด้านอ่อนแอที่เธอกำลังปล่อยระบายออกมา

            เงาสีทึบนั้นพาดผ่านยึดครองพื้นที่จุดเดิมต่ออีกเป็นเวลาครู่หนึ่งก่อนที่มันจะเคลื่อนตัวไหววูบเข้ามาใกล้และใกล้ขึ้นเรื่อยๆอย่างเนิบช้าแต่สม่ำเสมอ จนในที่สุด...เฟลิเซียก็รู้สึกว่าเงานั้นหยุดอยู่ตรงหน้าเธอห่างออกไปเพียงแค่ก้าวเดียว

            เธอยังคงไม่ยอมโต้ตอบอะไรแม้ว่าจริงๆแล้วเธออยากกรีดร้องไล่เขาออกไปใจจะขาด แต่เธอก็ไม่ได้ทำเพราะรู้ดีว่าน้ำเสียงแบบเดียวที่เธอมีแรงจะเปล่งออกไปในเวลานี้คือเสียงที่แห้งแหบพร่าไม่เหลือเค้าเดิม แล้วเธอก็ไม่ปฏิเสธด้วยว่าเธออยากจะเตะหรือใช้รองเท้าส้นสูงเหยียบบี้แรงๆลงบนเท้าของเขาสักทีถ้าไม่ติดว่าในตอนนี้เธอไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเกรี้ยวกราดได้แบบนั้น

            เธอรู้ว่าขีดจำกัดของตนเองได้มาถึงเมื่อดวงตาที่ร้อนแผ่วผ่าวมาได้พักใหญ่เริ่มรื้นชื้นด้วยหยาดน้ำตา เธอรีบปาดป้ายมันออกด้วยฝ่ามืออย่างรวดเร็วก่อนร่างสูงจะทันตาไวสังเกตเห็น จากทางมุมด้านบน เธอย้งเห็นว่าเขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับจะเล่นเกมท้าทายความอดทน

            แต่แล้ว...ท่ามกลางทัศนวิสัยอันพร่ามัว เธอเห็นมือใหญ่ถือวัตถุบางอย่างยื่นมาตรงหน้า เธอพอจะจับภาพได้คร่าวๆว่ามันคือผ้าเช็ดหน้าเท่านั้น เธอสูดจมูก เบี่ยงศีรษะหนีไปข้างๆน้อยๆเป็นการบอกใบ้ให้อีกฝ่ายรับทราบว่าเธอไม่ต้องการรับอะไรจากเขาทั้งสิ้น จากปฏิกิริยานั้น นายทหารฮอฟฟ์ครีคจึงตัดสินใจวางผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นลงบนตักของเธอแล้วยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิมราวกับรอคอยอะไรบางอย่างอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินหายลับไปจากสายตาในที่สุดเมื่อไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบกลับจากเธอ

            เฟลิเซียยอมเงยหน้าขึ้นมาจากฝ่ามือในที่สุด นัยน์ตาสีน้ำผึ้งชำเลืองเหล่มองผ้าเช็ดหน้าสีเข้มลายเรียบๆบนตักแล้วสูดจมูกอีกครั้งก่อนจะหยิบผ้าผืนนั้นขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตา ไม่จำเป็นต้องส่องกระจก เธอก็พอจะรู้ว่าสภาพของตัวเองย่ำแย่แค่ไหน  ตาบวมฉึ่ง พวงแก้มแดงก่ำเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ถึงตอนนี้น้ำตาเธอจะหยุดไหลแล้วมีแต่เสียงสะอื้นไห้ปล่อยออกมาเป็นระลอก แต่ความจริงแล้วคือร่างกายเธอไม่เหลือน้ำตาสักหยดให้ร้องออกมาแล้วต่างหาก

            เธอมัวแต่วุ่นอยู่กับตัวเองจนมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่วงแขนโอบรอบบ่าดึงตัวเธอเข้าไปแนบชิดพิงกับอกกว้างภายใต้เสื้อกล้ามสีขาว กลิ่นกายผสมกลิ่นเหงื่อของบุรุษและความแข็งแกร่งผสมเรี่ยวแรงของวงแขนไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครกำลังโอบกอดเธออยู่

            แขนเล็กกว่าของเธอพยายามผลักร่างสูงออกเต็มกำลัง แต่สภาพร่างกายของเธอที่เพิ่งผ่านการทำงานมาตลอดทั้งวันและร้องไห้อีกเป็นชั่วโมงนั้นก็ได้แค่ยันให้นายทหารเซออกห่างจากตัวเธอไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

            อีกฝ่ายจับคางเธอเบาๆแล้วค่อยๆช้อนใบหน้าของเธอขึ้นมา เขาใช้ปลายนิ้วโป้งปาดคราบน้ำตาที่หลงเหลืออยู่โดยไม่ละสายตาไปที่อื่น บังคับให้เธอต้องสบตากับเขาอย่างเสียมิได้ อย่างไรก็ตาม...แววตาของเขามันมีอะไรมากกว่าดวงแก้วสีมรกตที่ฉายภาพสะท้อนของเธออยู่ภายใน

    " ผมไม่รู้ว่าคุณเจออะไรมา...แต่...ผมรู้สึกเสียใจไปกับคุณนะ...ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม..."

            เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเบาๆให้ความรู้สึกปลอบประโลมพอจะกล่อมให้จิตใจของเฟลิเซียสงบลงได้บ้างแม้หัวไหล่และลำตัวช่วงหน้าอกยังมีอาการสั่นเทาควันหลงจากการสะอื้นและร้องไห้

            ดูเหมือนนายทหารจะสัมผัสรับรู้ได้ถึงอาการดังกล่าว เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ เธอก็รู้สึกถึงมือใหญ่ที่ลูบไล้ขึ้นลงตามแผ่นหลังอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยนก่อน

    " อยากให้ผมช่วยอะไรไหม? "

            เขาถามอีกพร้อมผ่อนแรงคลายอ้อมแขนลง เฟลิเซียนิ่งไปพักหนึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น ช่วย? ช่วยงั้นหรือ? เขาจะช่วยอะไรได้อีกล่ะก็ในเมื่อคนเขาตายไปแล้ว จริงๆมันไม่ควรจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วยซ้ำถ้าพวกชาวเยอรมันไม่ก่อสงครามขึ้นมาตั้งแต่แรกแล้วทำให้ทุกอย่างพังพินาศ

            ว่าแล้วเฟลิเซียก็เม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นบางจากโทสะที่เริ่มสุมตัวขึ้นอีกครั้ง เธอใช้เรี่ยวแรงที่เริ่มกลับมาผลักนายทหารออกไปอีกครั้ง คราวนี้มันได้ผลเพราะจากการที่เขาผ่อนแรงคลายอ้อมแขนทำให้เขาไม่ทันตั้งตัวจึงเซถอยออกไปไกลพอสมควร

    " ไม่ต้องช่วยหรอก แค่นี้คุณก็ทำมามากเกินพอแล้ว "

            เฟลิเซียพูดเสียงสั่น ปรายสายตาชายมองอีกฝ่ายด้วยความดูถูกดูแคลนก่อนจะหันหลังให้อีกฝ่ายแล้วรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันไดไป เธอสูดหายใจลึกรวบรวมสติ มือเรียวที่กำวัตถุอะไรบางอย่างดึงให้นัยน์ตาสีน้ำผึ้งของเธอก้มลงชำเลืองมอง เพราะอะไรบางอย่าง เธอก็เพิ่งจะเห็นในขณะนั้นว่าตัวเองเผลอหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นติดมือมาโดยไม่รู้ตัว

            ในตอนนี้เธอหยุดยืนอย่างลังเลว่าจะทำอย่างไรกับมันต่อดี เธอชายตาไปยังตะกร้าสำหรับใส่ผ้าซักก่อนจะเคลื่อนเปลี่ยนมามองที่ถังขยะตรงหลืบมุมห้อง เธอมองทั้งสองทางเลือกสลับกับผ้าเช็ดหน้าในมือของตัวเองจนสุดท้ายเธอจึงค่อยย่างกรายเข้าไปหาตระกร้าสานทรงกระบอกที่ข้างในเต็มไปด้วยวัตถุที่รอคอยการนำไปทิ้ง

            มือของเธอที่กำผ้าเช็ดหน้านั้นค้างนิ่งอยู่เหนือถังขยะ ริมฝีปากสวยเม้มหากันแน่นจนเป็นเส้นบางและสีเริ่มซีดจางขณะที่ตัวเจ้าของกำลังเผชิญกับความสับสนตีกันอยู่ภายใน และแล้ว...ด้วยเหตุอะไรบางอย่าง...สุดท้ายเธอก็เปลี่ยนใจโยนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นลงไปในตะกร้าผ้าสำหรับซักแทน

            ความทรงจำสุดท้ายที่ปรากฎขึ้นมาอย่างเลือนลางในหัวของเธอก่อนความเหนื่อยล้าจะพาเธอหลับใหลไปคือน้ำเสียงอันเบาบางของป้าโคเล็ตต์ที่เพิ่งกลับมากำลังอธิบายบอกเล่าข่าวสารสุดแสนจะเจ็บปวดเรื่องนั้นให้กับนายทหารฮอฟฟ์ครีคฟัง

    ...................................................................................................................................................................................................................
    หมายเหตุ

    *Fraulein [ฟรอยไลน์] คำนำหน้าผู้หญิงในภาษาเยอรมัน ความหมายเทียบเท่ากับ 'นางสาว' ในภาษาไทย และ 'มิส [Miss]' ในภาษาอังกฤษ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×