ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : [Percy Jackson The Series] Percy Jackson x Reader : Picnic
ผมลุกพรวดกระเด้งจากที่นอนแทบจะทันทีที่สายตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาข้างเตียงว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว ผมคว้าผ้าเช็ดตัวบนราวแขวนและกระโจนเข้าไปในห้องน้ำก่อนจะทำกิจวัตรต่างๆแบบลวกๆพร้อมอาบน้ำอย่างรีบร้อน ที่จริงจะเรียกว่าวิ่งผ่านน้ำก็ได้ถ้าพวกคุณไม่ถือ พอออกจากห้องน้ำผมก็คว้าเสื้อผ้าอะไรก็ตามที่อยู่ในรัศมีใกล้ที่สุดมาใส่ นั่นก็คือเสื้อยืดสีส้มของค่ายฮาล์ฟบลัด เสื้อผ้าที่ผมมีเยอะที่สุดเนื่องจากการใช้ชีวิตกว่าครึ่งปีอยู่ที่นั่น กางเกงยีนส์สีน้ำเงินซีดขาดวิ่นเล็กน้อย(ไม่ได้อิงแฟชั่นอะไรหรอก มันได้มาจากการต่อสู้ล้มลุกคลุกคลานตามที่โน่นที่นี่ล้วนๆ...)คู่กับรองเท้าผ้าใบคู่เก่งที่เริ่มเยินไปบ้าง ผมเอามือลูบผมสีดำที่ยุ่งเหยิงชื้นน้ำหมาดๆให้พอดูดี และสุดท้าย สิ่งที่ขาดไม่ได้ ผมหยิบปากการิพไทด์ขึ้นมาใส่ในกระเป๋ากางเกงแบบที่ทำเป็นประจำเวลาไปไหนมาไหน (เชื่อผมเถอะ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าในแต่ละวัน คนประเภทผมจะได้กลับถึงบ้านอย่างสงบโดยไม่มีสัตว์ประหลาดในตำนานหรือเหตุการณ์วินาศกรรมมหาวิปโยคอะไรสักอย่างขึ้นรึเปล่า ผมต้องขอโทษด้วยถ้าทำให้คุณผิดหวัง แต่โอกาสที่พวกเราจะได้ใช้ชีวิตนอกบ้านสงบๆตลอดการเดินทางน่ะมีเยอะพอๆกับโอกาสที่หิมะจะตกในทะเลทรายนั่นแหละ....โอเคๆ ผมอาจพูดเกินจริงไปหน่อย มันก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไรขนาดนั้นหรอก เพียงแต่เราต้องคอยระวังตัวแบบสุดๆไม่ไห้เผลอทะลึ่งทำอะไรก็ตามที่มันไปสะดุดตาพวกอสุรกายเข้า)
ผมยืนส่องกระจกพลางนึกสังเวชกับสารรูปของตัวเอง
ให้ตายเถอะเพอร์ซีย์...ถึงจะแค่ไปปิกนิกกับสาวที่ริมชายหาด แต่มันก็ใช่ว่านายจะแต่งตัวสบายยังไงก็ได้นะ
ผมสูดหายใจลึกอย่างไม่สบอารมณ์ ผมตื่นสายรับวันใหม่แล้วยังแต่งตัวเห่ยๆประเดิมวันมีเดทอีกต่างหาก แถมต้องมาคอยคิดแผนรับมือสถานการณ์ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินไม่ได้รับเชิญจากโลกแห่งตำนานกรีกอีก
ยอดเยี่ยม! ไม่มีชีวิตไหนดีไปกว่านี้อีกแล้ว! นี่ล่ะทุกคน! ขอต้อนรับสู่โลกของเพอร์ซีย์ แจ็กสัน!
หวังว่าเธอจะไม่ถือสาอะไรกับสภาพของผมนะ
ผมพุ่งไปที่หน้าต่างแล้วหันซ้ายหันขวามองผู้คนที่เดินผ่านไปมารอบๆ เธออยู่นั่นไง! ที่ยืนกอดอกอยู่หน้าอาคารคือผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมแบบผ้าบางสีฟ้าอ่อนสวมทับเสื้อกล้ามสีขาวคู่กับรองเท้าแตะสีเขียวพาสเทล ผมสี(...)ที่ปกติจะมัดเป็นหางม้าตอนนี้กลับถูกปล่อยให้คลอเคลียระกับใบหน้าของเธอ เธอสะพายตะกร้าปิกนิกใบหนึ่งไว้ที่แขนข้างขวา
ผมรีบวิ่งแจ้นลงไปข้างล่างอพาร์ตเมนท์ เธอยิ้มกว้างทันทีที่ผมเปิดประตูออกมา
"ขอโทษนะ มาถึงนานหรือยัง?" เธอส่ายหัว ยังคงยิ้มอยู่
"เพิ่งมาได้พักนึงเนี่ยแหละ ว่าแต่..เราจะไปกันรึยัง?"
เธอเอ่ยพลางมองผมอย่างเก้ๆกังๆ
ผมเกาท้ายทอยไล่ความเขิน
" ไปสิ " ผมบอกพลางรับตะกร้าจากแขนเธอมาถือไว้ก่อนจะเดินข้ามถนนอีกฝั่งไปยังป้ายรถบัสด้วยกัน
" นายเอาเจ้านั่นมาไหม? " เธอถามขึ้นมาตอนที่รถบัสกำลังเลี้ยวผ่านศูนย์การค้าใหญ่ของย่านอัพเปอร์อีสไซต์
" เอามาอยู่แล้ว นี่ไง" ผมตอบพลางตบกระเป๋ากางเกงที่มีริพไทด์ เธอพยักหน้า ฉีกยิ้มหวานและเปลี่ยนมาชวนให้ผมดูวิวข้างทาง เห็นเธอแล้วผมก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
ว่ากันตรงๆนะ ชีวิตแบบพวกผมมันก็ไม่ได้มีแต่แย่ๆหรอก บางครั้งเราก็เจอแจ็กพ็อตโชคดีแบบที่เราเองก็แทบไม่อยากเชื่อเหมือนกัน เหตุการณ์ครั้งนึงในชีวิตผมก็คือตอนที่ได้เจอเธอคนนี้นั่นแหละ
วันนั้นผมบังเอิญดวงซวยโดนพวกอสุรกายจำพวกยักษ์ขนาดแปดฟุตสองตนตามไล่ล่าเอาตอนกลางวันแสกๆ(ถ้าถามผม ผมแนะนำว่าไม่ต้องไปเสียเวลาจำชื่อพวกอสุรกายหรอก ยังไงมันทุกตัวก็พยายามจะเขมือบคุณหรือไม่ก็ขยี้คุณให้เละเป็นโจ๊กนั่นแหละ สู้เอาเวลามารีบๆฆ่ามันให้เป็นผุยผงน่ะดีที่สุด) ผมโกยอ้าวผ่านถนนต่างๆเพื่อดึงให้พวกมันออกห่างจากที่ๆคนพลุกพล่านจะได้ต่อสู้ได้สะดวก(และเพื่อป้องกันปัญหาน่ารักน่าชังที่จะตามมาทีหลังโดยเจ้าหน้าที่กับคนธรรมดาที่ถูกฤทธิ์มนต์บังตาทำให้เห็นยักษ์แปดฟุตเป็นแค่เด็กเกรดแปดหุ่นนักกล้ามตัวโตเกินมาตรฐานหรือไม่ก็นักเลงตัวใหญ่) จนกระทั่งผมล่อพวกมันเข้ามาในซอยตันซอยหนึ่งระหว่างร้านคาเฟ่กับโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง เจ้าของร้านคาเฟ่กำลังวุ่นอยู่กับออร์เดอร์เบเกอร์รีกับเครื่องดื่มเลยไม่ได้สนใจอะไร แต่ที่หน้าต่างของโรงเรียนมัธยม นักเรียนหลายคนหันมามองความโกลาหลแวบหนึ่งแล้วก็หันกลับไปเหมือนเดิม ผมไม่แปลกใจหรอก สิ่งที่พวกเขาเห็นคงเป็นแค่แก๊งเด็กอันธพาลกำลังไถเงินเด็กมอมแมมคนหนึ่งล่ะมั้ง แต่ยกเว้นเธอคนนี้ ตอนนั้นเธอนั่งติดริมหน้าต่าง ผมรู้สึกว่าเธอดูอยู่ตลอดเวลาที่ผมบู๊แหลกกับพวกยักษ์อย่างวินาศสันตะโรในซอย และในตอนที่ผมกำลังจะรีบเผ่นจากที่นั่นหลังจบหนังแอ๊กชั่นอันไม่น่าอภิรมย์ ผมก็เห็นเธอวิ่งกระหืดกระหอบตรงเข้ามาในซอย นัยน์ตาสี(...)ของเธอดูตื่นตระหนก ผมหางม้าของเธอบางส่วนหลุดรุ่ยลงมาเป็นปอยระข้างกรอบหน้า เธอละล่ำละลักบอกผมว่าเธอเห็นยักษ์ แม้ผมจะพยายามโกหกบ่ายเบี่ยงเธอแล้วว่ามันเป็นแค่แก๊งเด็กอันธพาลเจ้าถิ่นแถวบ้าน แต่เธอก็ยังยืนกรานคำเดิมว่าเธอเห็นพวกเขาสูงตั้งเกือบสิบฟุต แล้วเธอก็บอกด้วยว่าเธอเห็นผมใช้ดาบคล้ายกับอาวุธในหนังซูเปอร์ฮีโร่ด้วย ในตอนนั้นเองที่ผมเห็นถึงความพิเศษของเธอ(แหมพูดจริงๆนะ คนธรรมดาบางคนก็สามารถมองทะลุมนต์บังตาได้ ถึงจะไม่ใช่มนุษย์กึ่งเทพก็เถอะ อย่างเช่นแซลลี่ แม่ของผมนั่นไง) จนสุดท้ายผมก็ต้องยอมจำนนและยอมเล่าทุกอย่างให้เธอฟังคร่าวๆ เธอไม่ได้แปลกใจหรือตกใจอะไรเลย แถมยังเสริมด้วยว่าเธอเคยเห็นม้ามีปีกบินผ่านอยู่บนฟ้าตอนที่เธอกำลังกลับจากทัศนศึกษา จากนั้นพอผมบอกเธอว่าผมต้องไปแล้ว เธอก็หยิบเศษกระดาษออกมาเขียนที่ติดต่อแล้วก็อาสาเรียกรถแท็กซี่ให้ผม
" มีอะไรให้ช่วยก็โทรมานะ ไหนๆเราก็อยู่ย่านใกล้ๆกัน เผื่อฉันช่วยอะไรได้ " เธอบอก ผมพยักหน้าขณะรับกระดาษมา
" ฉันชื่อ(...) (...) แล้วเจอกันนะคุณมนุษย์กึ่งเทพ " เธอว่าพลางจับมือผม
" ฉันชื่อเพอร์ซีย์--เพอร์ซีย์ แจ็กสัน" ผมตอบก่อนจะขึ้นรถ เธอพยักหน้าก่อนจะโบกมือให้ ยิ้มน้อยๆ
นั่นล่ะทุกคน เหตุการณ์ที่ทำให้ผมได้เจอกับเธอคนนี้ คนที่กลายมาเป็นทั้งมิตรภาพและ...รักของผมด้วย
.
.
.
.
.
ชายหาดในวันธรรมดาให้อารมณ์แตกต่างไปจากวันหยุด ผู้คนบางตามากกว่าอื่นๆแล้วก็ไม่ค่อยมีครอบครัวเป็นกลุ่ม ซึ่งผมคิดว่ามันเยี่ยมยอดเลย เพราะมันทำให้ใจของผมรู้สึกสงบขึ้น ผมมองมือข้างที่จับจูงกับมือเรียวบางแล้วก็รู้สึกว่าอากาศร้อนขึ้นกว่าปกติแปลกๆ เส้นผมสี(...)ของเธอตอนนี้ปลิวลู่ไปตามทิศทางของลมทะเลที่พัดมา นัยน์ตาของเธอสะท้อนประกายระยิบระยับจากน้ำทะเลที่สะท้อนกับแสงแดด
โอเหล่าเทพเจ้า...เธอสวยจริงๆเลย
เราสองคนปูเสื่อนั่งบริเวณที่ไกลออกมาจากฝูงคนเล็กน้อย ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองหิวมากแค่ไหนจนกระทั่งท้องร้องโครกครากหนักหน่วงเมื่อเห็นอาหารแต่ละอย่างที่(...)ทยอยหยิบออกมาจากตะกร้า ไดเอ็ตโค้ก น้ำส้มคั้นสด ชีสเบอร์เกอร์(ถ้าเป็นสีฟ้าจะสุดยอดกว่านี้อีก) ของกินเล่นอย่างไส้กรอกกับมันฝรั่งทอด แล้วก็ขนมถุงขบเคี้ยวอีกบางส่วน
สมกับเป็นเธอจริงๆ มีแต่ของโปรดผมทั้งนั้นเลย
ผมบรรเลงเขมือบชีสเบอร์เกอร์อย่างไม่รอช้า ส่วนเธอนั้นค่อยๆจิ้มไส้กรอกกับมันฝรั่งทอดขึ้นมากินอย่างละเลียดละไมพลางทอดสายตามองทะเลเพลิดเพลินกับบรรยากาศ แต่แล้ว...ด้วยความรีบร้อนความตะกละตะกลาม ผมก็สำลักชีสเบอร์เกอร์เข้าเต็มคำแล้วก็ไอโขลกๆหน้าดำหน้าแดง
ก่อนจะรู้สึกถึงฝ่ามือที่ค่อยลูบและตบหลังของผมเบาๆ พออาการสำลักหายไป (...)ก็ยื่นโค้กกระป๋องนึงที่ใส่หลอดแล้วมาให้ผม
" เอ้า ค่อยๆดื่มนี่ซะ เดี๋ยวสำลักอีก " เธอบอกยิ้มๆ แก้มของเธอเป็นสีชมพูเรื่อน้อยๆซึ่งผมเองก็บอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะอากาศหรือเพราะเธอกำลังเขินกันแน่ ผมรับน้ำกระป๋องมา ค่อยๆยกซดตามที่เธอบอก
.
.
.
.
.
เรานั่งคุยเล่นกันหลังกินอาหารเสร็จ ผมนั่งเหยียดขายาวไปทางทะเล ส่วนเธอนั่งขัดสมาธิเอนหลังพิงผม ลมทะเลเย็นๆที่พัดตีหน้าทำให้ผมของเธอปลิวลู่อยู่ข้างหลัง ผมเอามือลูบผมเธอเล่น
" อีกเดี๋ยวนายก็จะกลับไปค่ายแล้วสิ..ใกล้ปิดเทอมฤดูร้อนแล้วนี่ " เธอเอ่ยขึ้นช้าๆด้วยน้ำเสียงที่เจือความเศร้านิดๆ ผมเหลือบมองเธอที่กำลังจับจ้องตรงไปยังขอบฟ้าอย่างเลื่อนลอย แววตาสี(...)คู่นั้นมีแววเซื่องซึม
ผมเอนหัวซบไปกับเธอ
" เฮ้ ฉันกลับค่ายช้าหน่อยก็ได้นะถ้าเธออยาก " ผมบอก แต่เธอกลับรีบสั่นหัว
"ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก..แค่บางทีก็แอบคิดว่าถ้าเป็นแบบนั้นบ้างก็ดี ฉันจะได้ไปค่ายกับนายได้ "
แล้วเธอจะเปลี่ยนใจทันทีเลยถ้ารู้ว่าเป็นแบบฉันแล้วต้องเจออะไรบ้าง...
" เชื่อเถอะ ฉันยอมแลกทุกอย่างที่จะได้เป็นคนธรรมดาๆ" ผมแค่นหัวเราะพร้อมๆกับเธอที่หลุดหัวเราะออกมาทีหนึ่ง
" มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ? " เธอถาม
" ไม่ได้แย่หรอก มันฝันร้ายเลยล่ะ "
ผมบอกพลางนึกภาพเธอแกว่งดาบสัมฤทธิ์บู๊แหลกแบบเฉินหลงในลานต่อสู้ของค่ายหรือปาหอกบ้าคลั่งแบบเด็กบ้านแอรีส แล้วอยู่ดีๆภาพที่สารพัดอสุรกายพากันล้อมวงมาที่เธอก็แทรกขึ้นมา
ไม่ล่ะ...ให้เธอเป็นเธอแบบนี้นั่นแหละดีแล้ว อย่างน้อยเธอก็ปลอดภัยจากอะไรพวกนั้น
เธอยิ้มและเอาคางเกยไหล่ผม
" นี่ เล่าเรื่องของนายให้ฟังหน่อยสิ " ประโยคของเธอทำเอาผมสะดุ้งนิดๆ เอาจริงถ้าเป็นไปได้ ผมไม่ค่อยอยากพูดถึงอะไรก็ตามที่มาจากโลกของผม จากประสบการณ์ที่ผ่านๆมามันทำให้ผมเรียนรู้ว่าสิ่งไม่พึงประสงค์(และอันตราย)บางอย่าง สามารถโผล่ขึ้นมาได้เพียงแค่คุณหลุดปากเรียกชื่อมันออกไป แต่ช่างเถอะ เธอคงไม่สนใจเรื่องอสุรกายหรือจิตวิญญาณชั่วร้ายแปลกๆหรอกน่า
" เธออยากรู้เรื่องอะไรล่ะ? "
เธอเอานิ้วเขี่ยพื้นเสื่อเล่นขณะกำลังคิด
" มีตั้งหลายอย่าง...งั้นเรื่องค่ายก่อนละกัน มันเป็นยังไงเหรอ ชีวิตในนั้นน่ะ? "
เธอเอ่ย เปลี่ยนท่านั่งมาเป็นนอนคว่ำเท้าคาง ตาสี(...)เป็นประกายจ้องผมอย่างใจจดใจจ่อรอฟังเรื่องเล่า
" แรกสุด..พอเธอเข้ามาในเขตกำแพงเวทมนตร์แล้วก็จะมีบ้านพักหมายเลขต่างๆ...มีป่าสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง...มีบ้านใหญ่ โรงอาหาร แล้วก็ไร่สตรอว์เบอรรี่-- "
.
.
.
.
.
"แล้วก็นะ เกมศึกชิงธงน่ะเจ๋งสุดยอด มันถูกคิดค้นขึ้นมาสำหรับพวกไฮเปอร์แอคทีฟพุ่งพล่านแบบพวกเราล่ะ"
ผมก้มมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของ(...)ที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเธอเขยิบมานอนหนุนตักผมตั้งแต่ตอนไหน คงเป็นตอนที่ผมเล่าเรื่องคู่รักชอบไปพายเรือแคนูกันในทะเลสาบแน่ๆเลย จริงๆผมก็อยากเล่าเรื่องที่พลิกชัยชนะจับหัวของแครีสกับพรรคพวกกดส้วมได้สำเร็จเมื่อตอนอายุสิบสองด้วย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่เล่าเพราะผมคิดว่าเรื่องเกี่ยวกับส้วมๆนี่ไม่น่าจะเป็นหัวข้อสนทนาที่ดีเท่าไหร่สำหรับการเดท...โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากกินอาหารอิ่มมาหมาดๆ
" ฟังดูน่าสนุกจัง " เธอบอก แววตาเป็นประกายด้วยความสนอกสนใจ
" ช่าย แต่ความสนุกพวกนั้นจะหายเกลี้ยงเลยเวลามีภารกิจให้ทำหรือมีสงครามเฮงซวยอะไรเกิดขึ้น ได้อย่างเสียอย่างล่ะนะ "
ผมรีบบอกก่อนที่จินตนาการของเธอจะเข้าสู่โลกฝันหวานแสนสนุกมากเกินไป เฮ้! ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายถูกไหมล่ะ ให้เธอรู้เบื้องหลังน่าขนลุกดีกว่าเบื้องหน้าสวยงามยังกะทุ่งดอกไม้ของอะโฟรไดต์บนโอลิมปัส เหมือนผมนี่ไง ต้องเจอสารพัดสงครามบ้าบอน่าปวดหัวแลกกับความมันส์จากเกมศึกชิงธงกับเกมแข่งรถม้าศึก
" จะว่าไป..ที่ผ่านมาที่นายหายตัวไปต่อสู้บ่อยๆน่ะ เล่าให้ฟังด้วยสิ ฉันชอบเรื่องผจญภัยนะ "
เธอผงกหัวขึ้นมาเล็กน้อย แววตาเจิดจ้าด้วยความตื่นเต้น ตรงกันข้ามกับผมที่กลับเหงื่อตก รู้สึกว่าอากาศเย็นสบายของลมทะเลจู่ๆก็ร้อนขึ้นมา
ให้ตายเถอะ ชีวิตผมเกือบครึ่งนึงหมดไปกับบุฟเฟต์ภารกิจมรณะเป็นร้อยอย่างได้มั้ง
" เธออยากฟังตั้งแต่ตอนไหนล่ะ? "
เธอกระพริบตา
" ตั้งแต่แรกเลย สงครามไททันจนถึงสงครามกับพวกเพื่อนชาวโรมัน "
โอเหล่าเทพเจ้า..เราคงได้แห้งตายเป็นก้อนเกลือทะเลอัดแข็งอยู่ตรงนี้แน่กว่าผมจะเล่าจบ
" คือว่า..เรื่องมันยาวน่ะ เอาไว้วันอื่นที่ว่างๆจะทยอยเล่าให้ฟังก็แล้วกันนะ "
ผมบอก เธอหัวเราะคิกคัก
" งั้นก็ได้ "
เธอตอบก่อนจะหยัดตัวลุก คว้ามือดึงผมขึ้นมาด้วย
" ไปเดินเล่นกันเถอะ " เธอเสนอ
เอาจริงดิ...ผมคิดพลางกวาดตาดูข้าวของที่กองกันอยู่ ถุงใส่ขยะกับตะกร้าปิกนิก จะให้หอบข้าวของพะรุงรังไปตามชายหาดเนี่ยนะ
" แล้วของพวกนี้ล่ะ? "
เธอกระพริบตาแบบงงๆพร้อมเอียงคอนิดๆพอน่ารัก
" ทิ้งไว้นี่แล้วเดี๋ยวตอนจะกลับค่อยมาเก็บไง " เธอบอกพลางถอดรองเท้าแตะไว้หน้าเสื่อ ผมพยักหน้าก่อนจะทำตาม
เธอจูงมือผมเดินตรงไปยังทะเลจนน้ำจากคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งระเรี่ยกับฝ่าเท้าชวนให้รู้สึกจั๊กจี้ เท้าของเธอตอนนี้เปียกโชกถึงข้อเท้า ส่วนของผมนั้นเพ่งจิตสั่งให้มันแห้งสนิทเพราะไม่อยากกลับไปใส่รองเท้าผ้าใบทั้งที่เท้าเปียกๆแบบนั้น...นี่แหละหนึ่งในข้อดีของพลังจากพ่อผม
ผมกับเธอเดินเลียบไปเรื่อยๆตามชายหาด ผมของเธอเป็นประกายเมื่อสะท้อนกับแดดตอนเที่ยงวัน ไม่อยากจะโม้หรอกนะ แต่แฟนผมคนนี้เป็นผู้หญิงในประเภทที่ผมเรียกว่าสวยได้โดยไม่ต้องพยายามทำอะไรกับตัวเองเลย พวกเพื่อนผู้หญิงคนอื่นของผมอย่างแอนนาเบ็ธ ไพเพอร์กับเฮเซลหรือคนอื่นๆก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน คือถึงจะใส่แค่เสื้อยืดจืดๆกับกางเกงยีนส์ธรรมดาๆก็ทำให้พวกเธอดูดีได้
ความคิดของผมชะงักลงเมื่อมีเสียง แชะ ดังขึ้น
ผมหันขวับไปก็พบกับกล้องถ่ายรูปจากโทรศัพท์มือถือที่กำลังเล็งมาทางผม เจ้าของของมันกำลังฉีกยิ้มกว้างอยู่ด้านหลังด้วยอาการดีใจที่แอบถ่ายรูปผมได้
" เอ้า ทำท่าเมื่อกี้ใหม่สิ กำลังเพ้อฝันได้ที่เหมือนพระเอกหนังโรแมนติกเลย " เธอกลั้วหัวเราะ เริ่มยกโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง
" บอกว่าเท่ฉันจะดีใจมากกว่านะ " ผมแหย่ เอื้อมมือไปปิดกล้องแกล้งเธอ เธอเอากล้องลงเดินมาอยู่ข้างๆผมทั้งที่อมยิ้มไปด้วย
" มาถ่ายรูปกัน ฉันอยากมีเก็บไว้เป็นที่ระลึกตอนนายกลับค่าย "
เธอเอาแขนกอดคอผม อีกมือนึงก็กดปุ่มสลับเป็นกล้องหน้าก่อนจะชูโทรศัพท์ขึ้นมาหมุนหาตำแหน่งที่เธอคิดว่าสวยที่สุด
" ได้ละ เอ้า มองกล้อง " เธอบอกให้ผมหันไป เธอเลือกมุมได้สวยทีเดียว วิวข้างหลังเป็นชายหาดยาวแถมติดริมทะเลที่มุมซ้ายของจอ แสงก็กำลังดีไม่จ้าจนเกินไปด้วย
" เริ่มนะ ยิ้มมม~ " เธอบอก แนบหน้าติดกับผมก่อนจะกดปุ่มกลมๆถ่ายรูป ตอนนั้นเองที่ผมนึกสนุกขึ้นมาเมื่อกล้องเริ่มจับเวลา
3
.
.
2
.
.
1
.
.
จุ๊บ ~ / แชะ!
ผมหันไปหอมแก้มเธอพอดีกับที่กล้องทำการจับภาพ (...)ยังคงยืนค้างในท่าเดิมแม้ผมจะคว้าโทรศัพท์ของเธอมากดดูรูป มันออกมาสมบูรณ์แบบทีเดียว จมูกของผมฝังอยู่ในแก้มของเธอจังหวะเดียวกับที่เธอกำลังยิ้มหวาน ผมฉีกยิ้มพลางส่งโทรศัพท์คืนให้ เธอที่ตอนนี้ตั้งหงักได้แล้วเอามือตีแขนผมใหญ่
" บ้าจริงๆเลย ทำ-อะ-ไร-ก็-ไม่-รู้ " เธอพูดสลับกับตีแขนผม ผมหัวเราะ
"อยากได้ที่ระลึกไม่ใช่เหรอ นี่ไง ดูดีน่าประทับใจไหมล่ะ" เธอทำแก้มป่องขณะกดดูรูป จากนั้นหน้าเธอก็เป็นสีชมพูทั้งแถบ แม้เธอไม้ได้พูดอะไร แต่ผมก็มั่นใจว่าผมเห็นความสุขและความประทับใจอัดอน่นอยู่ในแววตาสี(...)คู่นั้น
เธอยัดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงยีนส์ เดินตรงมาคว้ามือผม ใบหน้ายังคงขึ้นสีอยู่
" กลับกันเถอะ...เดี๋ยวนายต้องจัดกระเป๋าไปค่ายอีก "
ผมพยักหน้า
" ถ้านายใช้ของพวกนี้ได้ก็ดีสิ เราจะได้ติดต่อกันได้เยอะๆระหว่างนายอยู่ที่นู่น แล้วจะได้เอาไว้เก็บความทรงจำอะไรแบบนี้ด้วย "
เธอพูดขึ้นขณะที่เรากำลังเดินกลับ ผมเองก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมเจ้าเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างโทรศัพท์มือถือนี่มันจะต้องมีคลื่นพลังดึงดูดอสุรกายได้ด้วยนะ ทำไมไม่เป็นจักรเย็บผ้าไฟฟ้าหรือไม่ก็อะไรที่ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์เยอะอย่างเครื่องโกนหนวดอัตโนมัติ นึกถึงเรื่องนี้ทีไรผมเป็นต้องหงุดหงิดทุกที
" ฉันเองก็อยากอยู่หรอก แต่ใช้ทีไรงานเข้าทุกที ไม่คุ้มกันเลย"
เธอพยักหน้าเข้าใจ แล้วจู่ๆก็ตบมือขึ้นมาทีหนึ่ง
" คิดออกแล้ว! ฉันจะพิมพ์รูปนี่ออกมาให้ นายจะได้เอาติดตัวไปค่ายได้ไง ดีไหม? "
เธอบอกอย่างร่าเริง ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มให้เธอ
" เอาสิ แบบนั้นน่ะเยี่ยมไปเลย "
เธอยิ้มกว้างดีใจและคว้าแขนผมไปกอดไว้แน่น ท่าทางของเธอทำให้ผมหัวเราะร่วนตามไปด้วย
ดูเหมือนว่าฤดูร้อนปีนี้ผมคงจะคลายคิดถึงแฟนคนสวยได้บ้างแล้วล่ะนะ
...................................................................................................................................................................................................................
ป.ล.1 ตอนนี้ไรต์เลือกเขียนในมุมมองเดียวกับหนังสือเพราะไรต์ชอบความตลกร้ายกับอารมณ์ขันของเพอร์ซีย์นี่แหละ..
ป.ล.สุดท้ายคิวรีเควสจ้า
1. [Black Panther] Erik Killmonger - Coming soon
2. [Hunter x Hunter] Ging Freecss
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น