ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Bel Ami คุณคือที่รัก

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1 เงามืดคืบคลาน

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.ย. 61


    บทที่ 1  







    ยามเย็นของวันศุกร์ที่14 มิถุนายน ค.ศ.1940 ณ ใจกลางกรุงปารีส เมืองหลวงซึ่งโดยปกติแล้วมักจะมีผู้คนอยู่อาศัยกันอย่างครึกครื้นหนาแน่นเป็นประจำ โดยเฉพาะในวันสุดสัปดาห์ซึ่งจะคึกคักและมีสีสันชีวิตชีวาเป็นพิเศษมากกว่าวันอื่นๆ หากแต่ในตอนนี้กลับแตกต่างออกไปจากที่เคยเป็น จากเมืองที่เคยขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสีสัน ศิลปะความงามและเสียงดนตรีในยามค่ำคืน ในตอนนี้เมืองกลับมีแต่ความเงียบเหงา บ้านและตึกแถวทรงสวยสไตล์ยุโรปคลาสสิคต่างปิดไฟมืดสนิทแทบทุกอาคาร ไม่มีนักดนตรีเปิดหมวกตามท้องถนนในยามค่ำคืนเหมือนเช่นเคย ร้านคาเฟ่ริมถนนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนมีเพียงแสงไฟสลัวๆที่เปิดอยู่ด้านในอย่างเงียบเหงา เกือบทั่วทั้งเมืองมีเพียงแสงสว่างจากเสาไฟส่องถนนเท่านั้นที่ยังคงส่องสว่างทอดยาวไปทั่วถนนทุกสาย บนฟุตบาทที่ปูด้วยอิญบล็อกจากเดิมเคยมีชาวปารีเซียนเดินกันอย่างขวักไขว่เนืองแน่น ในตอนนี้ผู้คนกลับบางตาลงอย่างเห็นได้ชัด บรรดาชาวปารีเซียนและชาวเมืองในละแวกใกล้เคียงที่อาศัยอยู่มีจำนวนลดลงกว่าเดิมมากนับตั้งแต่มีสงครามเกิดขึ้น เพราะเหล่าบรรดาชายหนุ่มทั้งหลายจากทุกๆครัวเรือนถูกเรียกตัวไปเพื่อเกณฑ์เป็นทหารในกองทัพจนเกือบหมด ทำให้ในตอนนี้จึงเหลือเพียงบรรดาหญิงสาว เด็ก คนชราและชายหนุ่มบางส่วนที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเกณฑ์ทหารเพราะความจำเป็นเท่านั้น สถานการณ์จึงยิ่งเลวร้ายขึ้นเพราะนั่นหมายความว่าครัวเรือนส่วนใหญ่ล้วนสูญเสียผู้นำและเสาหลักของครอบครัวไป

    ยิ่งนานวันเข้าชาวเมืองก็ยิ่งทวีความวิตกกังวลขึ้นเมื่อได้ยินข่าวว่ากองทัพเยอรมันได้นำกำลังบุกโจมตีประเทศฝรั่งเศสตั้งแต่วันที่10 พฤษภาคมและรบตามเมืองต่างๆเข้ามาเรื่อยๆอย่างรวดเร็วจนตอนนี้ก็จวนจะเข้าถึงกรุงปารีสเข้ามาทุกที ด้วยเหตุนี้ชาวปารีเซียนที่มีฐานะและกลุ่มชนชั้นสูงส่วนมากจึงพากันทยอยอพยพออกนอกกรุงปารีสไปตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน บ้างก็อพยพไปอยู่ชนบทในเมืองอื่นที่ห่างไกลจากกรุงปารีส บ้างก็อพยพลี้ภัยออกนอกประเทศ ดังนั้นในตอนนี้จึงเหลือเพียงชาวเมืองทั่วไปที่ไม่มีที่ไป หรือไม่สามารถที่จะไปได้ เพราะในช่วงเวลาวิกฤตกาลนี้ ที่พักอาศัยต่างๆไม่ว่าจะเป็นห้องพักตามโรงแรมต่างๆหรือตู้นอนทุกระดับบนโบกี้รถไฟโดยสารนั้นก็ล้วนมีราคาสูงลิ่ว แม้กระทั่งห้องเก็บไวน์ใต้ดินที่มีอากาศหนาวเย็นและเหม็นอับชื้นหรือห้องใต้หลังคาอันร้อนอบอ้าวของทุกโรงแรมก็ยังมีราคาสูงเกินกว่าที่พวกเค้าจะสามารถจ่ายได้ แม้กระทั่งค่าโดยสารยานพาหนะขนส่งต่างๆก็ยังเกินกำลัง เพราะเชื้อเพลิงที่มีปริมาณจำกัดจากภาวะขาดแคลนในยามสงคราม ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ตามถนนสายหลักเส้นต่างๆในเมืองจะสามารถเห็นรถยนตร์ถูกจอดทิ้งไว้ริมถนนมากมาย 

    นอกจากนี้ทั้งตลาดและย่านการค้าทั้งหลายซึ่งปกติควรจะมีผู้คนเดินจับจ่ายซื้อของกันอย่างขวักไขว่ ทว่าในบัดนี้กลับเหลือเพียงตรอกซอกซอยอันว่างเปล่า ไร้แผงลอยริมถนน ไร้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ร้านค้าต่างๆพากันแขวนป้ายที่เขียนบอกว่า"ไม่มีสินค้าจำหน่าย" แทบทุกร้าน ส่วนร้านค้าที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้านนั้นก็สามารถสังเกตได้ชัดเจนว่าสินค้าต่างๆภายในนั้นล้วนติดราคาที่ถูกโก่งจนแพงเกินกว่าที่มันควรจะเป็น และเมื่อเทียบกับสภาพของสินค้าเหล่านั้นแล้วก็เรียกได้ว่าผู้ซื้อนั้นถูกเอาเปรียบอย่างสิ้นเชิง ทั้งขนมปังสีซีดดูเก่าและแห้งหยาบ พืชผักต่างๆที่ใบเหี่ยวแห้งและมีรอยช้ำตามลำต้น และเนื้อสัตว์เก่าๆสีซีดเผือดไร้สีสันเฉกเช่นเดียวกับผู้คนที่เดินสัญจรไปมาตามท้องถนน ทุกคนต่างเดินกลับเคหสถานของตนอย่างไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆนอกเหนือจากความหดหู่ ทว่าในแววตาของผู้คนเหล่านั้นกลับฉายให้เห็นถึงอารมณ์และความรู้สึกที่หลากหลายปะปนกัน มีทั้งความหวาดกลัว ความเศร้าสร้อยและวิตกกังวลในเวลาเดียวกัน
     
    ขณะนี้เป็นเวลากว่าหนึ่งทุ่มแล้ว ชาวปารีเซียนที่ยังเหลืออยู่ต่างก็กลับถึงบ้านของตนกันหมดแล้ว หากแต่บรรยากาศภายในทุกๆครัวเรือนนั้นกลับมีแต่ความเงียบสงัดและความอึมครึมปกคลุม ความวิตกกังวลและความหวาดกลัวสงครามอบอวลไปทั่วทุกบริเวณ สมาชิกทุกคนล้วนหมองเศร้าและแลดูไร้ชีวิตชีวา มื้อค่ำซึ่งควรจะเป็นมื้ออาหารที่มอบความสุขให้กับทุกครอบครัวมากกว่ามื้อใดๆ กลับได้ยินเพียงเสียงกระทบกันของช้อนส้อมและจานชาม ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาทานอาหารของตนเองอย่างเงียบเชียบ ไม่มีเสียงหัวเราะและไม่มีแม้กระทั่งเสียงพูดคุย เมื่อมื้อค่ำสิ้นสุดลงและเหล่าเด็กๆเข้านอนกันหมดแล้ว บรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ยังคงตื่นอยู่ทุกคนต่างนั่งล้อมรอบโต๊ะรับแขกในห้องนั่งเล่นคอยฟังข่าวความคืบหน้าของสงครามอย่างใจจดใจจ่อเหมือนเช่นเคย สิ่งเดียวที่พอจะมอบความชื้นใจให้กับพวกเขาได้ในเวลานี้คือข่าวดีสักเรื่องจากวิทยุไม้ขัดเงาทรงครึ่งวงรีที่วางอยู่ตรงกลางโต๊ะรับแขกไม้สลักสไตล์ยุโรป ทุกๆคนต่างภาวนาให้สงครามนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี เช่น ขอให้ได้รับกองกำลังเสริมของฝ่ายสัมพันธมิตรมาช่วยสนับสนุน หรืออย่างน้อยก็ขอให้ได้รับรู้ความเป็นไปของบรรดาผู้เป็นที่รักบ้างก็ยังดี  
     
    แต่ในที่สุด ความหวังสุดท้ายของพวกเค้าก็ถูกทำลายลงเมื่อมีเสียงผู้ประกาศข่าวดังออกมาจากวิทยุว่า 


    "ขณะนี้ กองทัพเยอรมันได้ทำการเข้ายึดกรุงปารีสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนทหารชาวฝรั่งเศสทั้งหมดจะถูกจับกุมตัวไว้ในฐานะเชลยสงคราม สำหรับรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงอื่นๆจะมีการประกาศให้ประชาชนได้ทราบอย่างทั่วถึงกันในวันรุ่งขึ้น"


    สิ้นเสียงประกาศของวิทยุ ชาวปารีเซียนทั้งหลายต่างพากันร่ำไห้โอดครวญด้วยความสิ้นหวังและเศร้าโศก สิ่งที่พวกเขาวิตกกังวลและหวังไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุดตั้งแต่เกิดสงครามนั้น ณ บัดนี้มันได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่เพียงบ้านเกิดเมืองนอนจะถูกฝ่ายตรงข้ามยึดครองเท่านั้น แต่พวกเขาทั้งหลายก็ยังมิอาจรู้ได้ถึงชะตากรรมความเป็นไปของบรรดาผู้เป็นที่รักทั้งหลายด้วยเช่นกัน
     
     หลังจากนั้นไม่นาน สิ่งที่สร้างความใจเสียให้กับชาวปารีเซียนยิ่งกว่าก็ตามมา นั่นคือ เสียงของยานพาหนะชนิดต่างๆที่ดังอื้ออึงอยู่ภายนอก แม้จะอยู่ห่างไกลจนคิดว่ายากที่จะได้ยิน แต่ระยะทางเพียงเท่านั้นประกอบกับยามวิกาลอันเงียบสงัดก็เพียงพอจะยืนยันได้ว่าฝ่ายตรงข้ามได้เข้ายึดเมืองแล้วจริงๆ นอกจากเสียงยานพาหนะบนภาคพื้นดินแล้ว บนท้องฟ้าในก็อื้ออึงด้วยเสียงใบพัดของเครื่องบินชนิดต่างๆบินลาดตระเวนอยู่รอบๆเมืองราวกับอินทรีเหล็กขนาดยักษ์ ชาวปารีเซียนในตอนนี้ต่างหวาดผวาเกินกว่าจะสามารถทำอะไรต่อได้ พวกเขาทุกคนล้วนคิดวิตกกันไปนานาถึงวันรุ่งขึ้นและในวันต่อๆไป ชีวิตของพวกเค้าจะเป็นเช่นไรกันต่อไป ในเมื่อตอนนี้เมืองได้ถูกฝ่ายตรงข้ามยึดครองแล้วก็เท่ากับว่าพวกเค้าทั้งหมดล้วนตกอยู่ภายใต้อำนาจของฝ่ายตรงข้ามด้วยเช่นกัน


    แม้ว่าตอนนี้เวลาจะผ่านไปกว่าสามชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่การประกาศข่าวร้าย และชาวปารีเซียนต่างแยกย้ายกันเข้านอนกันหมดแล้ว แต่นอกจากเด็กๆที่อยู่ในวัยไร้เดียงสาแล้ว ก็ไม่มีใครคนใดสามารถข่มตาหลับลงได้ในสถานการณ์เลวร้ายและตึงเครียดเช่นนี้ แม้กระทั่งความอ่อนนุ่มของหมอนยัดไส้ขนเป็ดสีขาวนวลและที่นอนอันอบอุ่นก็ไม่อาจช่วยอะไรพวกเขาได้เลย ทุกคนต่างพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงของตัวเองเพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่คอยรบกวนจิตใจของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา ชีวิตของพวกเขากำลังจะเปลี่ยนแปลงไปนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ นับจากวันพรุ่งนี้ จะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว 
     
     
    ภาพของความเปลี่ยนแปลงต่างๆสะท้อนฉายอยู่ในห้วงความคิดของชาวปารีเซียนภาพแล้วภาพเล่า ทั้งเหล่าทหารเยอรมันที่เดินปะปนกับประชาชนไปมาอย่างอิสระราวกับเป็นประเทศของพวกเขาเอง รถถังและพาหนะยานยนต์หลากชนิดที่ถูกขับเคลื่อนไปบนถนนสายต่างๆทั่วกรุงปารีส การสูญเสียอิสระภาพและการจำกัดสิทธิต่างๆในกิจวัตรประจำวันทั้งหลาย แต่ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับความคิดถึง ความโหยหาอาลัยอาวรณ์บรรดาบุคคลอันเป็นที่รักทั้งหลาย ทุกคนต่างภาวนาให้พวกเขาเหล่านั้นปลอดภัยแม้ในใจนั้นต่างคนต่างรู้ดีว่านั่นเป็นไปได้ยากในเมื่อตอนนี้บุคคลเหล่านั้นได้ตกเป็นเชลย นั่นก็หมายความว่าฝ่ายตรงข้ามสามารถทำอะไรกับพวกเขาก็ได้ทั้งสิ้น ความหวังเกือบทั้งหมดของชาวปารีเซียนได้ริบหรี่ลงจนแทบดับสูญหมดแล้ว แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงไม่ละทิ้งฟางเส้นสุดท้าย ทุกคนต่างเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งจะต้องมีปาฏิหาริย์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงพลิกผันสถานการณ์นี้ให้ดีขึ้นได้ และเมื่อเวลานั้นมาถึง ทุกๆอย่างก็จะกลับมาสงบสุขเป็นปกติดั่งช่วงก่อนสงครามอีกครั้ง ครอบครัวได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่มีความอดอยาก ไม่มีการต่อสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง....ไม่มีความสูญเสียและการจากลา


    เช้าวันรุ่งขึ้น ภาพที่ชาวปารีเซียนทุกคนได้เห็นนั้นไม่ได้มีความแตกต่างไปจากที่พวกเขาได้นึกเอาไว้มากนัก ทหารเยอรมันจำนวนหลายร้อยพันนายเดินเรียงแถวสวนสนามเข้ามาในเมืองเป็นกลุ่มๆ ถนนสายต่างๆเนืองแน่นไปด้วยพาหนะยานยนต์ของกองทัพเยอรมัน ทั้งรถบรรทุกทหาร รถถังและมอเตอร์ไซค์ต่างแล่นตามกันมาเป็นขบวนๆ ชาวปารีเซียนต่างยืนมุงดูเหตุการณ์อย่างแออัดเต็มริมฟุตบาททั้งสองฝั่ง สีหน้าของทุกคนเอ่อล้นไปด้วยความเกรงกลัวและวิตกกังวลผสมผสานกัน ถัดเข้าไปในจัตุรัสกลางเมือง ทหารเยอรมันกลุ่มหนึ่งกำลังวุ่นวายอยู่กับการนำกองพลทหารออกลาดตระเวนอยู่รอบๆบริเวณนั้น บนถนนหน้าจัตุรัสมีรสจี๊ปเปิดประทุนคันหนึ่งจอดอยู่ นายทหารเยอรมันนายหนึ่งยืนขึ้นบนรถพร้อมถือโทรโข่งเครื่องหนึ่งขึ้นมาด้วย เขายกโทรโข่งนั้นขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปาก กดสวิตซ์เปิดและพูดกับชาวปารีเซียนทุกคนที่ยืนมุงดูอยู่โดยรอบ

    "ภายใต้อำนาจจากสัญญาสงบศึก รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของฝรั่งเศสได้รับการลงนามแล้วตามที่ท่านฟือเรอร์ได้แจ้งมา ในตอนนี้ ฝรั่งเศสได้ปราชัยแก่เยอรมันแล้ว ดังนั้น ทางเราจะเป็นฝ่ายควบคุมดูและในทุกๆส่วนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ปืนและอาวุธทุกชนิดจากทุกครัวเรือนจะต้องถูกส่งมอบให้กับสำนักงานใหญ่ของเยอรมันในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้ และสำหรับครอบครัวใดที่ได้รับคำสั่งให้มอบที่พักกับนายทหารก็ขอให้กลับบ้านไปเพื่อเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสำหรับการมาถึงของพวกเขาด้วย"

    สิ้นคำประกาศ พลทหารเยอรมันต่างก็กระจายตัวแยกย้ายไปประจำการยังจุดต่างๆในเมืองตามที่ได้รับมอบหมาย ส่วนชาวปารีเซียนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่นั้น ต่างมองหน้ากันไปมาด้วยความหวาดกลัวคละเคล้ากับความไม่พอใจเหล่าทหารเยอรมัน พวกเขาเห็นพลทหารคนหนึ่งนำบันไดพาดปีนขึ้นไปหมุนเข็มหน้าปัดนาฬิกาของหอนาฬิกาประจำเมืองที่ตั้งอยู่กลางลานจัตุรัส และเมื่อพลทหารนายอื่นๆเริ่มทยอยปรับเปลี่ยนนาฬิกาเรือนอื่นๆที่แขวนอยู่ตามอาคารต่างๆในเมือง ชาวปารีเซียนก็ได้รู้ว่าหลังจากนี้เป็นต้นไป พวกเขาจะต้องเปลี่ยนมาใช้เวลาของประเทศเยอรมันแทนเวลาของฝรั่งเศส หลายคนเปล่งคำสบถออกมาเบาๆด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าแสดงออกมากนักเพราะเกรงกลัวพวกทหาร 

    หลังจากการประกาศไม่นานชาวปารีเซียนต่างก็ทยอยกลับบ้านของตน มีความเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้นในแต่ละบ้าน สมาชิกบางครัวเรือนปิดประตูหน้าต่างล็อกมิดชิด ตรงกันข้ามกับบางครอบครัวที่กำลังง่วนอยู่กับการปัดกวาดเช็ดถูจัดเตรียมห้องพักให้กับนายทหารตามคำสั่ง โรงเรียนต่างๆพากันปิดป้ายประกาศงดการเรียนการสอนโดยไม่มีกำหนดพร้อมๆกับมีการประกาศผ่านตามสายจากนายทหารนายหนึ่งที่ประกาศปรับเปลี่ยนช่วงเวลาเคอร์ฟิวช่วงใหม่คือตั้งแต่สามทุ่มจนถึงตีห้าตามคำสั่งของกองทัพเยอรมัน

    ถัดออกไปนอกชานเมือง ชาวไร่ทั้งหลายก็กำลังวุ่นวายไม่แพ้ชาวเมืองเช่นกัน ทุกคนต่างต้อนสัตว์ในฟาร์มของตัวเองกลับเข้าคอกอย่างรวดเร็วก่อนจะเริ่มง่วนอยู่กับการรื้อข้าวของและอุปกรณ์ต่างๆในโรงนา พวกเขาจัดแจงแยกปืนชนิดต่างๆออกจากอุปกรณ์ทำเกษตรอื่นๆเพื่อเตรียมส่งมอบให้กับพวกทหารตามคำสั่ง แต่ในขณะเดียวกัน บางครอบครัวกลับพยายามซ่อนปืนของพวกเขาโดยแอบซุกเอาไว้ใต้กองฟางสำหรับเลี้ยงสัตว์ บ้างเก็บไว้ในห้องเก็บของใต้ดินลับที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นบ้านหรือใต้พื้นกระท่อมแบบชนบท พวกเขาต่างทำงานของตนอย่างรวดเร็วและแนบเนียนเพื่อไม่ให้ทหารที่เดินลาดตระเวนอยู่ด้านนอกจับพิรุธได้ เช่นเดียวกับครอบครัวสองสามีภรรยาตระกูลเพอร์แร็งที่ตอนนี้เมอร์ซิเออร์ราฟาแอลกำลังซ่อนอาวุธปืนของตัวเองใต้กองฟางสำหรับเลี้ยงวัวโดยมีมาดามมาเรียผู้เป็นภรรยาคอยเฝ้าดูต้นทางให้ หลังจากเมอร์ซิเออร์เอาฟางมากลบคลุมปืนจนเรียบร้อย เขาก็ลุกขึ้น หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อที่ชุ่มหน้าผากพลางถอนหายใจพูดกับภรรยาเบาๆ


    "เฮ้อ..ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจนได้ ชีวิตนี้ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะมาโดนยึดบ้านเกิดเมืองนอนเอาตอนอายุปูนนี้"


    เขากล่าวด้วยถ้อยคำที่แฝงไปด้วยความประชดประขันและความท้อใจ ชีวิตของเขานั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่กองทัพเยอรมันบุกเข้ามาในกรุงปารีส ตั้งแต่รู้ข่าว เขาก็ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อมาจัดการอะไรให้เรียบร้อย ดังเช่นการหมกเม็ดรายชื่ออุปกรณ์ทำเกษตรต่างๆ(และพวกทหารนับรวมอยู่ในประเภทอาวุธ)ที่เขามีในครอบครองหรือการซ่อนอาวุธปืนอย่างที่เขากำลังทำอยู่ในขณะนี้ เขามองไม่เห็นเหตุผลเลยว่าทำไมจะต้องยกอุปกรณ์ที่ใช้ทำมาหากินให้พวกนายทหารเอาไปกองเก็บเอาไว้เฉยๆอย่างไร้ประโยชน์ด้วยล่ะ อีกอย่าง ของพวกนี้ก็เป็นทรัพย์สินของเขา และเขาเองก็จำเป็นต้องใช้มันทำมาหากินซะด้วยสิ

    ฝ่ายมาดามได้ฟังก็พยักหน้าเห็นด้วยและส่งยิ้มอ่อนๆให้สามี หากแต่ในรอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความเศร้าและความอาลัยอาวรณ์

    "เรื่องบ้านเกิดน่ะ ฉันพอจะทำใจได้บ้างตั้งแต่แรกแล้วล่ะคุณ ตั้งแต่รู้ว่ากองทัพเยอรมันเริ่มรุกเข้าประเทศเราแล้วซะด้วยซ้ำ แต่ฉันน่ะห่วงพวกหนุ่มๆของเราที่ถูกจับไปเป็นเชลยมากกว่า...ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้"

    เมอร์ซิเออร์ได้ยินดังนั้นก็สีหน้าสลดลงตามผู้เป็นภรรยา ใจก็พลันคิดไปถึงเด็กหนุ่มเหล่านั้น ทุกคนต่างเป็นคนใกล้ตัวคุ้นเคยกันมานาน และแต่ละคนก็ล้วนต้องจากบ้านจากครอบครัวเพื่อไปรบทั้งสิ้น ทั้งฟิลิปลูกชายของเขาเองและเพื่อนสนิทที่ชื่อมาร์แชลผู้เป็นลูกชายของเพื่อนที่เป็นเจ้าของฟาร์มในละแวกเดียวกัน ไหนจะเอ็ดมุนด์ เด็กหนุ่มช่างยิ้มแย้มผู้เป็นลูกชายเจ้าของโรงทำขนมปังที่อยู่ตรงข้ามฟากถนนอีกล่ะ ป่านนี้พวกเขาทุกคนจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ นึกไปนึกมาเมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ก็ทำให้เขาไม่สามารถจินตนาการภาพใดๆออกมาในทางบวกได้เลย เขาจึงเลิกนึกถึงมันและพยามยามทำใจให้ว่างและปลอดโปร่ง(แม้ตัวเขาจะรู้ดีว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยก็ตาม)ก่อนจะถอนหายใจแล้วชวนภรรยากลับเข้าไปดื่มน้ำชาพักผ่อนข้างใน
    ภายในบ้านที่ถูกตกแต่งในสไตล์ชนบทเรียบง่ายแบบยุโรป สองสามีภรรยาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้มะฮอกกานีสีน้ำตาลอ่อนท่ามกลางห้องนั่งเล่นผนังสีเหลืองครีมไปพร้อมๆกับจิบน้ำชาพักผ่อนในยามบ่ายหลังเหน็ดเหนื่อยจากยามเช้าอันแสนวุ่นวาย ทั้งสองคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆจิปาถะไปเรื่อยตามประสาสามีภรรยา จนชั่วขณะหนึ่ง ขณะที่มาดามมาเรียมองออกไปทางหน้าต่างบ้าน สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นครอบครัวเพื่อนบ้านกำลังยุ่งวุ่นวายกับการจัดเตรียมห้องนอนห้องหนึ่งอยู่ ภายในห้องนั้น เธอเห็นมาดามฟลอเรนซ์กำลังปูผ้าห่มที่เพิ่งซักใหม่ลงบนเตียงนอนสีขาว เมื่อปูเสร็จ มาดามก็หยิบเอาหมอนอิงสีขาวนวลขึ้นมาและตบให้ขึ้นฟูนุ่มดูน่านอน หลังเสร็จจากเตียงนอน มาดามก็ปัดกวาดเช็ดถูเครื่องเรือนต่างๆที่เหลืออยู่ในห้อง ซึ่งหากดูเผินๆแล้วก็เหมือนการทำความสะอาดจัดห้องตามปกติ แต่สิ่งที่สร้างความพิศวงในใจของมาดามมาเรียคือ เธอเห็นมาดามฟลอเรนซ์หยิบเครื่องแบบสีเขียวขี้ม้าชุดหนึ่งออกมาจากหีบสำหรับเดินทางใบหนึ่งตรงมุมห้อง เธอแขวนเครื่องแบบชุดนั้นไว้ที่หูจับของตู้เสื้อผ้าไม้แกะสลักลวดลาย ยิ่งไปกว่านั้น มาดามฟลอเรนซ์ยังเดินกลับมาที่หีบใส่ของใบเดิมแล้วดึงเอารองเท้าบูธคอมแบ็ตหนังคู่หนึ่งที่ผ่านการขัดเงาแล้วออกมาด้วย เธอเอารองเท้าคู่นั้นมาวางไว้ข้างๆเคียงคู่กับเครื่องแบบชุดนั้นก่อนจะเดินออกจากห้องไป ด้วยความสงสัย มาดามมาเรียจึงหันไปถามสามีที่ตอนนี้กำลังนั่งเอนหลังสูบไปป์ตัวโปรดของเขาอยู่

    "นี่ที่รัก เมื่อกี้ตอนที่ฉันมองวิวข้างนอกหน้าต่างเพลินๆ ฉันเห็นฟลอเรนซ์เข้ามาจัดห้องใหม่ด้วย...แต่ฉันสงสัยจัง ทำไมเธอถึงเอาเครื่องแบบของกองทัพฝ่ายตรงข้ามเข้ามาในบ้านด้วยล่ะคะ"

    เมอร์ซิเออร์ได้ยินก็ลุกขึ้นมา เดินไปดูตรงหน้าต่างตามที่ภรรยาบอก เขามองพินิจคิดใคร่ครวญสักพักจึงหันมาตอบ

    "อ้อ ก็บ้านเขาต้องแบ่งที่พักให้กับนายทหารไงล่ะ นั่นก็คงเป็นห้องที่เขาจะให้ทหารคนนั้นนอนละมั้ง นี่ก็ใกล้เวลาเลิกงานของพวกทหารแล้วด้วย ฟลอเรนซ์เขาเลยต้องมาเตรียมห้องไว้ล่ะนะ"

    เมื่อได้ฟังคำตอบ มาดามก็ขมวดคิ้ว มองไปนอกหน้าต่าง สายตาจับจ้องห้องของเพื่อนบ้านอีกครั้งด้วยแววตาที่ยังคงมีความสงสัยเหลืออยู่

    "แบ่งที่พัก? หมายความว่าไงคะ? พวกทหารจะยึดบ้านของฟลอเรนซ์ยังงั้นหรือ?"

    "ไม่ใช่หรอก หมายความว่าแบ่งห้องสักห้องหนึ่งในบ้านให้นายทหารเขาอยู่ ที่เขาเรียกกันง่ายๆก็...ผู้อยู่อาศัยชั่วคราวละมั้ง ตามที่พวกทหารประกาศเมื่อตอนเช้านั่นแหละที่รัก"

    คราวนี้ มาดามกลับถอนหายใจออกมาด้วยความเห็นใจ เธอรินน้ำชาลงในถ้วยอย่างใจลอยพลางเอ่ยกับสามีเบาๆ

    "..คงจะรู้สึกแปลกๆนะคะ...ทั้งที่เป็นบ้านของตัวเองแท้ๆ แต่อยู่ดีๆก็มีใครก็ไม่รู้มาอาศัยอยู่ด้วย แถมเป็นทหารฝ่ายตรงข้ามในสงครามอีก...ช่างน่ากลัวจริง"

    เมอร์ซิเออร์หันมาพยักหน้ารับกับภรรยา พร้อมหยิบไปป์ขึ้นมาจุดไฟอีกครั้ง เขาพ่นควันยาสูบออกมาช้าๆด้วยความเหนื่อยใจ

    "ทำไงได้ล่ะที่รัก ตอนนี้เราอยู่ใต้อำนาจพวกเขานี่ จะไปแย้งไปขัดอะไรได้ล่ะ....ขืนไปขวางไปต่อต้านเข้าก็เท่ากับเอาชีวิตไปเสี่ยงอยู่บนความตายเปล่าๆ...เอ้อ เอาเถอะ อย่าพูดถึงเรื่องหดหู่ชวนเศร้าไปมากกว่านี้เลย มาว่ากันเรื่องอื่นดีกว่า วันนี้ยังพอมีเวลาสำหรับงานช่วงบ่ายอยู่นิดนึงก่อนจะถึงมื้อค่ำ"

      ว่าแล้วสองสามีภรรยาก็ช่วยกันเก็บล้างชุดน้ำชาตรงอ่างล้างภายในห้องครัว ถึงแม้ว่าครัวจะมีสีโทนเย็นดูอบอุ่นชวนสบายใจ แต่มันก็ไม่สามารถทำให้จิตใจของสองสามีภรรยาสงบไปด้วยได้ แม้ว่าช่วงชีวิตของพวกเขาทั้งสองจะเคยผ่านสงครามมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ทั้งสองกลับรู้สึกได้ถึงความรุนแรงและความเลวร้ายที่ดูท่าจะจบลงได้ยากกว่าสงครามครั้งที่ผ่านมา พวกเขาอดสงสัยไม่ได้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นผลกรรมที่สนองคืนมาสู่พวกเขารึเปล่า เพราะเมื่อสงครามครั้งที่แล้วจบลง ตอนนั้น ประเทศของพวกเขาและประเทศอื่นๆของฝ่ายสัมพันธมิตรได้บังคับให้เยอรมันลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซาย* ซึ่งผลจากสนธิสัญญาได้ทำให้ประเทศเยอรมันในขณะนั้นตกอยู่ในสภาวะตกต่ำถึงขีดสุดในทุกๆด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและทรัพยากร แต่ในตอนนี้ สถานการณ์กลับพลิกผัน ประเทศของพวกเขากลับยิ่งใหญ่และเรืองอำนาจยิ่งขึ้นทุกวันๆในขณะที่ประเทศฝรั่งเศสและประเทศสัมพันธมิตรอื่นๆกลับเริ่มเสื่อมถอยอำนาจ พ่ายแพ้และตกอยู่ในสภาพเดียวกับประเทศเยอรมันในขณะนั้นไม่มีผิดเพี้ยน แม้ทั้งสองจะไม่ได้พูดคุยใดๆ แต่ในห้วงความคิดนั้นกลับยุ่งเหยิงและเต็มไปด้วยหลากหลายเรื่องราวผสมปนเปกันไปสารพัด เสียงเดียวที่ก้องกังวานในห้องจึงมีเพียงเสียงก๊องแก๊งของภาชนะที่กระทบกันอยู่ในอ่างล้างเท่านั้น เมื่อชุดน้ำชาถูกล้างสะอาดแล้ว สองสามีภรรยาจึงพากันเริ่มงานต่อในช่วงบ่ายให้เสร็จก่อนจะถึงเวลามื้อเย็นในตอนค่ำ


    เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มลับหายไปในเส้นขอบฟ้า พวกทหารเริ่มทยอยแยกย้ายกันกลับที่พักของตนเช่นเดียวกับชาวปารีเซียน ในค่ำคืนนี้ กรุงปารีสไม่เงียบเหงาอีกต่อไปแล้ว ตลอดช่วงถนนทุกสายเต็มไปด้วยรถมอเตอร์ไซค์ลาดตระเวนของทหารแล่นไปมาทั่วทุกบริเวณ ริมถนนสะท้อนก้องไปด้วยเสียงฝีเท้าและเสียงสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดของเหล่าทหารยามดึกที่เดินตรวจตรารอบๆ ภายในบ้านเรือนแต่ละหลังตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่แปลกใหม่ในฐานะผู้ถูกยึดครอง ครอบครัวที่ไม่ต้องเอื้อที่พักให้กับนายทหารต่างแง้มม่านมองดูบรรยากาศด้านนอกด้วยความระมัดระวัง มื้อค่ำของพวกเขาเต็มไปด้วยบทสนทนาของเหล่าสมาชิกในบ้าน ทุกคนต่างพูดคุยกันแผ่วเบาถึงสถานการณ์ในปัจจุบันและเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ ส่วนครอบครัวที่ต้องเอื้อที่พักให้กับนายทหารนั้นต่างต้องปรับตัวกับผู้อยู่อาศัยใหม่ พวกเขาต่างไม่เต็มใจและไม่อยากต้อนรับทหารผู้มาอยู่ แต่ก็ไม่มีทางเลือกในเมื่อตอนนี้พวกเขาทุกคนตกอยู่ภายใต้อำนาจของฝ่ายตรงข้าม มื้อค่ำของพวกเขาเต็มไปด้วยความอึดอัดและความตึงเครียด ความโกรธ ความไม่พอใจและความเกลียดชังของสมาชิกในบ้านที่มีต่อนายทหารผู้พักอาศัยนั้นสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนแม้ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูดก็ตาม สมาชิกทุกคนบนโต๊ะต่างก้มหน้าก้มหน้าทานอาหารของตนเองอย่างเงียบกริบ ทุกคนต่างแกล้งทำเป็นไม่สนใจนายทหารที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ

    เสร็จจากมื้ออาหาร นายทหารผู้อาศัยต่างจัดการธุระส่วนตัวของตนเองให้เรียบร้อยก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงในห้องนอนห้องใหม่ในบ้านขณะที่ชาวปารีเซียนผู้เป็นเจ้าของบ้านก็แยกย้ายกันเข้านอนเตรียมรับมือกับวันใหม่ที่จะเริ่มขึ้นเช่นกัน ด้านนอกยังคงมีเสียงรถมอเตอร์ไซค์ลาดตระเวน เสียงฝีเท้าของนายทหารกะกลางคืนและเสียงเครื่องบินตรวจตราอย่างต่อเนื่องหากแต่เบาลงจากตอนช่วงวันขึ้นเล็กน้อย แสงไฟจากไฟส่องถนนยังคงส่องสว่างไปตลอดช่วงถนน ตรงกันข้ามกับบ้านเรือนและอาคารต่างๆที่ไฟเริ่มทยอยดับมืดลงเช่นเดียวกับผู้คนที่อาศัยอยู่ภายในต่างหลับใหลเงียบสงบไปในยามราตรี




    .......................................................................................................................................................................................

    เครดิตรูปภาพ : www.tumblr.com



    หวัดดีจ้าทุกคน นี่เป็นตอนแรกของเรื่องนี้เลย ชอบไม่ชอบยังไงติชมได้เสมอน้า ที่จริงเราพิมพ์ไว้ไป2-3ตอนแล้วล่ะ แต่เราอยากทดลองเผยแพร่แค่ตอนเดียวดูก่อนว่ามันจะเป็นยังไงเพราะนี่เป็นนิยายเรื่องแรกที่เราตั้งใจจะเขียนแบบจริงๆจังๆ (จะพยายาม)ไม่ล้มเลิกหรือเขวี้ยงทิ้งไปซะก่อน(ที่ผ่านๆมาตั้งแต่เล่นเด็กดีมาเป็นปีๆนี่เขียนทิ้งๆขว้างๆไปเป็นสิบๆเรื่อง เพราะตอนนั้นอยู่ในช่วงเด็กอารมณ์ศิลปินขึ้นๆลงๆแปรปรวนสุดๆ--วันนี้ชอบแนวนี้ อีกอาทิตย์นึงชอบแนวนั้น..ไม่นิ่งสักที) แล้วนี่ก็เป็นเรื่องแรกที่เราพิมพ์ลงในเว็บเลยก็ว่าได้(ที่ทิ้งๆขว้้างๆนี่คือเขียนลงสมุดกะกระดาษล้วนๆ เวลาเบื่อก็เดี๋ยวฉีกๆไม่ก็ขยำทิ้ง..) และแน่นอนว่าต้องมีการรีไรท์บังเกิดขึ้นแน่นอนจ้า(สักวันหนึ่ง)


    ปล.แอบสปอยนิด พระเอกของเราจะโผล่มาในตอนที่2-3น้า 


                                                                                                     รักและขอบคุณทุกคนมากๆน้า

                                                                                                                 C. S. Peip
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×