คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่4 แรกพบอันไม่ยินดี
การเริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาการเวียนหัวแต่เช้านั้นเป็นอะไรที่เฟลิเซียไม่ชอบใจเอาเสียเลย เธอบังคับร่างกายอันเมื่อยล้าของตัวเองให้ลุกขึ้นจากผ้าห่มสีครีมลายดอกบนเตียงนอนไม้ขนาดกลางก่อนจะหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำจากตู้เสื้อผ้าไม้สีเบจมาสวมคลุมทับชุดนอนผ้าซาตินเอาไว้ เธอตรงไปเปิดประตูและเดินออกจากห้องนอนไปยังทางเดินชั้นสอง เธอเลี้ยวเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ด้านข้างติดกับห้องนอนด้านในสุดเพื่อจัดการธุระส่วนตัว แต่เมื่อเธอเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกเหนืออ่างล้างมือขณะแปรงฟัน เธอก็ตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็น นัยน์ตาสีน้ำผึ้งดูเศร้าหมอง อมทุกข์และไร้ความสุข รอบดวงตาและจมูกที่บวมช้ำมีสีแดงก่ำระเรื่ออยู่โดยรอบจากการร้องไห้เกือบตลอดทั้งคืน จริงอยู่ที่เมื่อคืนนี้เธอขึ้นมานอนหลังจากที่ป้าของเธอลงไปตาม แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่างที่อัดอั้นกันอยู่ในใจมันก็กดดันซะจนเธอต้องปล่อยให้สายน้ำตาพรั่งพรูอย่างหยุดไม่ได้เพื่อระบายทุกสิ่งออกมา และกว่าเธอจะนอนหลับลงได้ก็เกือบจะเข้ารุ่งสางแล้ว จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเธอถึงได้มีสภาพอย่างที่เห็น เธอกวาดตาดูเงาสะท้อนนั้นอีกครั้งก่อนจะผ่อนลมหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อนและเริ่มลงมือจัดการกับตัวเอง เธอเปิดน้ำจากก๊อกน้ำทองเหลืองและเริ่มล้างหน้าตาเพื่อบรรเทาอาการแดงของดวงตาและจมูก ใช้มือลูบๆจับๆเรือนผมสีช็อกโกแลตให้พอเข้าที่ทางก่อนจะกลับเข้ามาในห้องนอนเพื่ออาบน้ำในห้องอาบเล็กๆที่อยู่ในตัวห้องนอน เธอปล่อยให้เรื่องทุกอย่างที่รบกวนในจิตใจถูกชะล้างทิ้งไปพร้อมกับสายน้ำที่ไหลตามร่างกาย เธอหวังว่าความเย็นของน้ำในยามเช้าจากฝักบัวจะช่วยทำให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นได้บ้างไม่มากก็น้อย เฟลิเซียเดินมานั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งสีขาวที่มีทั้งเครื่องสำอางค์ เครื่องประทินผิวและอุปกรณ์ทำผมวางเรียงกันเป็นระเบียบหลังจากแต่งตัวเสร็จ วันนี้เธออยู่ในเสื้อครึ่งตัวสีขาวคู่กับกระโปรงเรียบๆสีน้ำเงินเข้มอย่างไม่พิถีพิถันมากนักเพราะเธอต้องอยู่ช่วยป้าให้การต้อนรับนายทหารตามที่จดหมายแจ้งไว้จึงไม่ได้ออกไปไหน
หลังจากจัดการจัดลอนผมและแต่งเติมหน้าพอเป็นพิธีแล้วเธอก็จัดการลงมาชั้นล่างเพื่อทานอาหารเช้า ทันทีที่เธอลงมาถึงชั้นล่างเธอก็สามารถรู้ถึงเมนูอาหารในมื้อเข้าได้อย่างง่ายดายจากกลิ่นหอมของซุปและขนมปังอุ่นๆที่ลอยมาแตะจมูก เมื่อเดินเข้ามาในห้องครัว เธอก็พบว่าป้าโคเล็ตต์ได้นั่งรอเธออยู่ที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นรอยยิ้มดูใจดีแบบผู้หญิงวัยกลางคนที่ส่งมาให้นั้นก็ทำให้เฟลิเซียอดยิ้มตามไม่ได้ เธอเดินไปนั่งยังฝั่งตรงข้ามซึ่งมีสำรับอาหารของเธอวางเตรียมไว้อยู่และทั้งคู่ก็เริ่มลงมือทานมื้อเช้าร่วมกัน แต่เมื่อทานไปได้ครู่หนึ่งเธอก็เอ่ยถามขึ้นมาถึงฝันร้ายที่ยังคงรบกวนจิตใจของเธอทั้งยามตื่นและยามหลับ
" ป้าคะ พอจะรู้ไหมคะว่าทหารคนนั้นจะมาถึงกี่โมง? "
ฝ่ายผู้ถูกถามนั้นก็หยุดทานก่อนจะนิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและเอ่ยตอบ
" อืม ถ้าป้าจำไม่ผิดนะเฟลี ร้อยเอกเขาน่าจะมาถึงตอนบ่ายๆนี่แหละจ้ะ เพราะเขาต้องเตรียมตัวเตรียมข้าวของอะไรของเขาด้วยน่ะ "
ได้ยินดังนั้น เฟลิเซียก็ส่งเสียงจิ๊ปากด้วยความหัวเสียและสบถออกมาเบาๆ
" ฮึ..หนูว่าไม่ต้องมาเลยจะดีที่สุด"
เสียงหัวเราะคิกคักเบาๆฉุดให้เธอเงยหน้าขึ้นมาหาเจ้าของเสียงและพบว่าป้าของเธอกำลังหัวเราะกับท่าทางหัวเสียนั้าอยู่เบาๆ เห็นดังนั้น คิ้วทั้งสองข้างก็เผลอขมวดเข้าหากันโดยบังเอิญ
" โธ่ป้าคะ อย่าบอกนะคะว่าป้ารู้สึกเฉยๆหรือว่าเอ็นดูคนพวกนั้นน่ะ พวกเขาเป็นคนไม่ดีนะคะ"
หากแต่ป้าโคเล็ตต์ผู้ใจเย็นเพียงแค่อมยิ้มพลางส่ายหัวเบาๆและยกถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบก่อนจะเอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
" ในโลกนี้น่ะไม่มีใครเลวร้ายอยู่ฝั่งเดียวหรอกเฟลี "
การเล่นสำบัดสำนวนกับตัวเธอที่กำลังอยู่ในอารมณ์หุนหันพลันแล่นเช่นนี้ไม่ได้ผลเอาเสียเลย
" หมายความว่าอะไรคะ? "
ฝ่ายผู้ถูกถามนั้นมองเธอด้วยสายตาอันอบอุ่นฉายแววใจดีพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนๆพลางตอบ
" ป้าหมายความว่า ทุกๆคนน่ะมีทั้งส่วนดีและไม่ดี เสียแต่ว่าเราจะเลือกไปมองเขาในส่วนไหนมากกว่ากัน ป้าว่าเราอย่าเพิ่งไปตัดสินเขาจะดีกว่านะ "
เธอพูดก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งอ้อมมาลูบไหล่ของเฟลิเซียอย่างเอ็นดูก่อนจะนำชามซุปที่ทานหมดแล้วไปล้างในอ่าง สิ่งที่ป้าของเธอพูดมาก็จริงอยู่ แต่มีหรือที่คนหัวดื้ออย่างเธอจะยอมรับง่ายๆในทันที แต่ด้วยความที่ไม่อยากโต้เถียงอะไรให้มากความจึงได้แต่นึกต่อต้านอยู่เงียบๆในใจและลงมือจัดการอาหารของตนเองให้เสร็จบ้าง ในระหว่างล้างชามอยู่นั้นเธอก็ได้แต่นึกถึงบทสนทนาเมื่อครู่ซ้ำไปซ้ำมาพลางถอนหายใจ ป้าโคเล็ตต์เป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยที่เธอยังเป็นเด็กๆแล้ว เป็นผู้หญิงที่ใจเย็นและเป็นมิตรกับทุกคนเสมอไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใครมาจากไหนก็ตาม ตอนเธอยังอยู่กับพ่อตแม่ในบ้านของพวกเขาที่เมืองเลอมองส์ พ่อชอบเล่าชีวิตวัยเด็กของเขาให้เธอฟังเสมอ เขามักจะบอกว่าป้าเป็นพี่สาวที่ดีที่สุดและใจดีที่สุดเท่าที่ใครจะเคยพบเจอ ตอนแรกเธอเองก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อจนกระทั่งย้ายมาอยู่กับป้าที่ปารีสเมื่อราวสองปีที่แล้วเพื่อเข้ามาทำงานในร้านหนังสือร้านหนึ่งในย่านการค้าของที่นี่ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน เธอไม่เคยเห็นป้าชักสีหน้าบึ้งตึงหรืออยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียวเลยสักครั้ง เธอเป็นคนใจเย็นและเก็บอารมณ์เก่งทีเดียวแม้กระทั่งในยามที่ต้องพบปะหรือพูดคุยกับใครที่ไม่ถูกชะตา เธอก็จะแค่ยิ้มอ่อนๆทักทายอย่างพอเป็นพิธีและทำสีหน้าเรียบเฉยไปตลอดการพบปะนั้น ซึ่งแตกต่างจากเฟลิเซียที่มักแสดงท่าทางออกมาชัดเจนทั้งจากสีหน้าและน้ำเสียงหากไม่ชอบหรือเกลียดใครสักคนขึ้นมา
ให้มองทั้งสองด้านงั้นหรือ..เธอหวนคิดถึงถ้อยคำนั้นขณะเช็ดจานชามด้วยผ้าสีขาวที่พับวางอยู่ในลิ้นชักของเคาน์เตอร์ในครัว คิ้วทรงสวยทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความครุ่นคิดถึงความหมายที่ป้าพยายามจะสื่อในประโยคสั้นๆนั้น จะให้เธอมองอีกด้านหนึ่งได้อย่างไร ก็ในเมื่อสิ่งที่พวกเขาทำให้เห็นอยู่ทุกวันนี้มันก็สื่อได้ชัดเจนอยู่แล้วว่าพวกเขาเป็นประเภทไหน เธอคิดพลางกอบเอาจานชามที่เช็ดสะอาดซ้อนกันไว้ในอ้อมแขนก่อนจะเอาเข้าไปเรียงในตู้เก็บถ้วยชามไม้เล็กๆที่อยู่ตรงมุมของห้องครัว เธอเช็ดมือกับผ้าขนหนูสีฟ้าตุ่นที่วางพาดอยู่บนขอบหน้าต่างเหนืออ่างล้างจานก่อนจะเดินออกจากห้องครัวเพื่อสะสางงานบ้านอื่นที่เหลือของชั้นล่างต่อให้เสร็จในขณะที่ป้าโคเล็ตต์ขึ้นไปชั้นสองเพื่อจัดการให้แน่ใจว่าห้องนอนอีกห้องที่อยู่ริมสุดทางเดินนั้นพร้อมสำหรับการเข้ามาอยู่ของนายทหารในบ่ายวันนี้ ที่จริงแล้วหากเป็นวันธรรมดาวันอื่น ป่านนี้เธอคงจะนั่งทำงานประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์จ่ายเงินของร้านหนังสือเลอ มอนต์ของเมอร์ซิเออร์อาร์มานด์แล้ว แต่พอกองทัพเยอรมันบุกเข้ามาถึงปารีส เมอร์ซิเออร์จึงบอกเธอว่าขอปิดร้านเอาไว้ก่อนเพื่อดูสถานการณ์สักสามสี่วัน เธอจึงว่างงานมาตั้งแต่ตอนนั้นเช่นเดียวกับป้าที่สำนักพิมพ์ประกาศขอหยุดทำการชั่วคราว ทุกวันนี้เธอจึงได้แต่อยู่บ้านช่วยทำงานบ้านไปวันๆหรือไม่ก็ช่วยออกไปซื้อของจ่ายตลาดข้างนอก หรือถ้ายามบ่ายที่ส่วนมากงานบ้านทุกอย่างเสร็จแล้วและเธอเกิดเบื่อขึ้นมา เธอก็จะออกไปเดินเล่นตามย่านต่างๆ จัตุรัสกลางเมืองเคยเป็นสถานที่พักผ่อนที่เธอโปรดปรานมากที่สุดเมื่อก่อนนี้ แต่พอพวกทหารเยอรมันเข้ามาใช้จัตุรัสสำหรับพักผ่อนกันมากขึ้น เธอเลยพยายามหลีกเลี่ยงไม่ไปเดินในบริเวณนั้นหากไม่จำเป็นจริงๆ
เสียงกุกกักและเสียงครืนๆของเครื่องเรือนที่ถูกลากไปมาบนพื้นไม้จากการทำความสะอาดห้องนอนบนชั้นสองยังคงดังอย่างต่อเนื่องในขณะที่เธอเดินออกไปยังสวนหลังบ้านเพื่อจะตากผ้าที่เพิ่งซัก เธอวางตระกร้าสานที่ใส่ผ้าจนพูนลงแล้วแหงนหน้าขึ้นหรี่ตามองไปยังหน้าต่างห้องนอนชั้นสองที่ถูกเปิดเอาไว้อย่างยากลำบากเพราะแสงแดดช่วงสายที่กำลังสว่างจ้าอยู่ข้างบน เธอเห็นเงาของป้าโคเล็ตต์เคลื่อนที่ไปมาอยู่ในห้องนั้นดูเหมือนยังคงยุ่งอยู่กับการทำความสะอาด แต่เพียงครู่เดียวเธอก็เห็นเงาของป้าหายลึกเข้าไปด้านในห้องก่อนจะตามด้วยเสียงปิดประตู เฟลิเซียจึงหันกลับมาและเริ่มลงมืองานชิ้นสุดท้ายของเธอในช่วงเช้านี้ เธอหยิบผ้าขึ้นมาจากตระกร้าสานใบนั้นก่อนจะนำขึ้นไปตากบนราวไม้ยาวทีละชิ้นๆ กลิ่นหอมอันอบอุ่นของแสงแดดปะปนกับกลิ่นและไอเย็นที่แผ่ออกมาจากผ้าที่เพิ่งซักสะอาดลอยมาสัมผัสจมูกทำให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แต่แล้วความสดชื่นนั้นก็คงอยู่ได้ไม่นานเมื่อมันถูกขัดจังหวะขึ้นโดยเสียงตามสายที่ประกาศดังไปทั่วเมืองจากทหารเยอรมันผู้หนึ่งซึ่งเธอไม่สามารถเข้าใจเนื้อความที่เป็นภาษาเยอรมันได้ ถึงแม้เสียงประกาศครั้งที่สองจะเป็นภาษาอื่น แต่เสียงอื้ออึงจากรอบข้างก็ทำให้ยากที่จะจับใจความได้อยู่ดี แต่เมื่อเธอมองออกไปนอกรั้วไม้สีน้ำตาลแก่รอบตัวบ้านที่สูงเพียงครึ่งตัว สิ่งที่เธอเห็นข้างนอกรั้วนั่นก็พอจะทำให้เดาได้ว่า มันต้องเป็นอะไรที่เรื่องใหญ่แน่ๆ เพราะทันทีที่เสียงประกาศจบลง ปฏิกิริยาของเหล่าชาวเมืองก็แปลกออกไปจากปกติ ผู้หญิงคนหนึ่งถึงกับยกมือขึ้นปิดปากระหว่างเดินข้ามถนนราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยิน แววตาของเธอก็เต็มไปด้วยแววตื่นตระหนกและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยังคงเดินต่อไปตามถนนใหญ่ด้วยท่าทีที่เฉยเมิย หากแต่มือทั้งสองข้างของเขากลับกำแน่นอย่างข่มกลั้นความวิตกกังวลอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ตสีคาราเมลอ่อนตัวยาวที่เขาสวมใส่ เมื่อเห็นดังนี้ ความไม่สบายใจก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาในใจของเฟลิเซีย เธอจึงเร่งมือตากผ้าที่ยังเหลืออยู่ให้เสร็จก่อนจะหอบตระกร้าใบเดิมมาไว้ในอ้อมแขนที่ชื้นจากผ้าและรีบสาวเท้ากลับเข้าไปในบ้าน ทันทีที่เธอปิดประตู เสียงของป้าโคเล็ตต์ก็ดังขึ้นมาทลายความเงียบ
" เมื่อกี้นี้เขาประกาศอะไรกันน่ะ ป้ามัวแต่ทำความสะอาดห้องน้ำอยู่ข้างบนเลยไม่ทันฟัง เป็นข่าวดีรึเปล่าจ๊ะ? ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะนะ..ป้าล่ะคิดถึงความสงบแบบเดิมจริงๆ"
สิ้นคำถาม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนอันอบอุ่นก็มองมาที่เธออย่างรอคอยพร้อมกับรอยยิ้มที่หวังจะได้ยินข่าวดี แต่ดูเหมือนว่าเธอคงจะทำสีหน้าไม่สู้ดีนักเพราะเพียงชั่วขณะเดียว ประกายแห่งความหวังในแววตาของป้าก็ได้จางหายไปพร้อมกับรอยยิ้มนั้น สีหน้าของเธอแม้จะกลับเป็นปกติและแสดงออกไม่ชัดเจนนัก แต่เฟลิเซียก็ดูออกว่าป้าผิดหวังอยู่ไม่ใช่น้อยเลย ป้าโคเล็ตต์สูดหายใจลึกก่อนจะค่อยๆผ่อนออกมาอย่างอ่อนใจ
"คงจะไม่ใช่เรื่องดีสินะ...เอ้อ เอาเถอะ เราคงต้องรอดูอย่างเดียวล่ะนะ..."
เธอเอ่ยพลางแค่นหัวเราะ เฟลิเซียมองป้าของเธอเดินเข้าไปในห้องครัวด้วยสายตาหมองเศร้า เธอเองถ้ามีอำนาจเปลี่ยนอะไรต่อมิอะไรให้ดีขึ้นกว่านี้ได้ก็จะทำ แต่ท้ายสุดแล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่พอจะทำได้ก็คงได้แต่รอและเผชิญหน้ากับมันอย่างที่ป้าของเธอว่า เธอคิดอยู่เงียบๆก่อนจะเดินผ่านห้องนั่งเล่นตามเข้าไปในห้องครัวซึ่งเป็นจังหวะที่เธอล้างมือเสร็จพอดี
" เอาล่ะ..มาดูกันซิว่าวันนี้เราจะทานอะไรเป็นมื้อกลางวันดี ป้ามั่นใจว่าทหารคนนั้นน่ะมาถึงหลังเที่ยงแน่นอน มาเถอะเฟลี"
เฟลิเซียกวาดตาดูของในตู้เย็นขณะที่ป้ากำลังเปิดดูอาหารแห้งตามตู้เก็บของด้านบน ไม่ว่าจะกวาดดูสักกี่ครั้ง เธอก็พบเพียงมันฝรั่งเก่าๆหัวเล็กๆสามหัว ผักกาดที่มีรอยช้ำสีน้ำตาลจำนวนหนึ่งและแครอทอีกเพียงหัวเดียวเท่านั้น และเมื่อเธอหอบของทั้งหมดมาวางกองรวมกันบนโต๊ะ เธอก็พบว่าสิ่งที่ป้าโคเล็ตต์สามารถหาได้จากตู้กับข้าวมีเพียงแค่ขนมปังเพียงครึ่งก้อนที่เหลือมาจากมื้อเย็นของเมื่อวาน ป้าของเธอกวาดตาดูวัตถุดิบอาหารบนโต๊ะพลางถอนหายใจ ณ ตอนนั้นเองที่เฟลิเซียมองเห็นถึงประกายความหวั่นใจฉายในดวงตาของเธอ แต่เพียงแค่วูบเดียวก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม
" อืม..ดูเหมือนว่ากลางวันนี้เราคงต้องทำสลัดง่ายๆทานกันแล้วล่ะนะ เดี๋ยวตอนบ่ายๆเราค่อยออกไปซื้อของมาทำมื้อเย็น"
ถ้าหากตอนนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์ปกติที่ไร้สงครามไร้ความวุ่นวายทั้งหลายแล้วล่ะก็ เฟลิเซียคงจะไม่คิดมากเลย แต่ในตอนนี้..เธอก็เริ่มคิดแล้วว่าการซื้อของนั้นเป็นอะไรที่ยากเย็นเหลือเกิน..ยากที่จะหาซื้ออะไรได้ในช่วงเวลาที่ข้าวยากหมากแพงจากภาวะสงครามในขณะที่มนุษย์เดินดินอย่างเธอว่างงานและต้องดิ้นรนเพื่อบริหารรายได้ที่เหลืออยู่ให้เพียงพอจนกว่าจะได้กลับไปทำงานอีกครั้งหนึ่ง
เธอปล่อยให้เวลาระหว่างกินอาหารกลางวันกับป้าโคเล็ตต์ให้เต็มไปด้วยความสุข ดื่มด่ำกับช่วงเวลาสุดท้ายที่ในบ้านหลังนี้จะยังคงมีเพียงเธอกับป้าโคเล็ตต์แค่สองคน เธอและป้าผลัดกันพูดคุยถึงเรื่องต่างๆกันอย่างสนุกสนาน เรื่องเล่าของป้าเป็นเหมือนกับนิทานผจญภัยที่ไม่ว่าจะฟังสักกี่รอบก็ไม่มีวันเบื่อ เธอชอบเวลาที่ป้าเล่าเรื่องชีวิตสมัยเด็กของเธอและพ่อของเฟลิเซียที่เมืองเลอมองส์ทางตะวันตกของฝรั่งเศส เธอชื่นชมในความกล้าหาญของป้าที่กล้าเดินทางเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงด้วยตัวคนเดียวตอนอายุสิบเก้าปีเท่ากับเธอเพื่อเดินตามความฝันของตนเองที่อยากจะเป็นเจ้าของกิจการในย่านการค้าใหญ่ๆ สุดท้ายแล้วถึงแม้ป้าจะได้เป็นเพียงพนักงานพิมพ์ดีดในบริษัทหนังสือพิมพ์ แต่เฟลิเซียก็ดูออกเสมอว่าเธอมีความสุขกับงานนี้มากเพียงใด
เมื่อช่วงเวลามื้อเที่ยงจบสิ้นลง
ป้าโคเล็ตต์ก็ขอตัวขึ้นไปพักผ่อนในห้องนอนบนชั้นสอง ชั้นล่างจึงเหลือเพียงตัวเธอที่อาสาเก็บกวาดโต๊ะอาหารให้ เสียงครืนๆของรถยนต์ก็ดังขึ้นมาแทรกเสียงของจานชามที่กระทบกันในอ่างขณะที่เธอกำลังล้าง ก่อนจะมีเสียงฝีเท้าหนักๆและเสียงพูดคุยในภาษาเยอรมันของคนหลายคนตามมา
เธอหยุดล้างจานครู่หนึ่งเพื่อเงี่ยหูฟังเสียงภายนอก
เสียงพูดคุยนั้นสนทนากันอยู่เพียงครู่เดียวก่อนเสียงฝีเท้าหนักๆหลายคู่จะค่อยๆแผ่วลงและหายไป
เหลือเพียงแค่เสียงฝีเท้าเบาๆที่ตามมาด้วยเสียงกระดิ่งของประตูหน้า
นั่นทำให้เธอรู้ว่าผู้ที่อยู่ข้างนอกนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนายทหารเจ้าปัญหาผู้เป็นฝันร้ายของเธอนั่นเอง
เธอยังคงแสร้งล้างจานต่อไปอย่างเชื่องช้าโดยไม่คิดสนใจจะเดินไปเปิดประตูรับผู้ที่กำลังรออยู่ภายนอก
เสียงกระดิ่งดังขึ้นมาอีกระลอกหนึ่งในตอนที่เธอกำลังจัดเรียงภาชนะทุกอย่างเข้าที่เข้าทางของมันในตู้เก็บถ้วยชามอย่างไม่มีทีท่ารีบร้อนเพราะอยากจะแกล้งให้เขายืนรออยู่ข้างนอกนานกว่านี้อีกสักหน่อย การปล่อยให้เขายืนรอท่ามกลางความร้อนของแดดในช่วงเที่ยงค่อนบ่ายช่างทำให้เธอรู้สึกสะใจขึ้นมาอย่างน่าแปลกใจ แต่เมื่อเสียงครั้งที่สามถูกเปลี่ยนจากกระดิ่งมาเป็นเสียงเคาะประตูจากมือหนักๆแบบทหาร เธอจึงคิดว่าถึงเวลาไปเปิดรับเสียที ว่าแล้วเธอก็ถอนหายใจออกมาเตรียมจะเดินไป แต่เมื่อเธอกำลังจะก้าวขาออกนอกห้องครัว เธอก็เห็นป้าโคเล็ตต์เดินลงมาจากบันไดอย่างรวดเร็วและตรงไปตามทางเดินเพื่อเปิดประตูรับเสียก่อน เธอจึงหยุดฝีเท้าและแอบแง้มประตูโผล่หน้าดูอยู่เงียบๆ เมื่อเสียงเปิดประตูเงียบลง เธอก็เห็นนายทหารร่างสูงผู้หนึ่งเดินตามป้าเข้ามา หมวกทหารที่ถูกถอดจากศีรษะและหนีบไว้ด้วยท่อนแขนอันแข็งแกร่งเผยให้เห็นเส้นผมสีน้ำตาลที่สีซีดอ่อนเป็นเงาสีบลอนด์จากแสงที่ส่องสะท้อน เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ในระยะหนึ่งเธอก็สามารถเห็นเขาได้ชัดมากขึ้น เขาดูกำลังอยู่ในวัยยี่สิบกลางๆด้วยร่างกายที่ดูแข็งแรงกำยำภายใต้เครื่องแบบสีเขียว จมูกที่โด่งเป็นสันได้รูปบนเครื่องหน้าหล่อเหลาคมคายที่ดูเงียบขรึมและสง่างามน่าดึงดูดในเวลาเดียวกัน แต่แน่นอนว่าเธอไม่ใช่คนที่จะหลงกลไปติดกับดักอันตรายนี้อย่างเด็ดขาด เพราะเธอรู้ดีว่าภายใต้หน้ากากของรูปลักษณ์ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว เขาก็เป็นแค่เพียงผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นศัตรูร้ายกาจผู้นำห่วงโซ่แห่งฝันร้ายเข้ามาทำลายบ้านเกิดของเธอไม่ต่างอะไรกับปีศาจจอมละโมบที่หิวกระหาย เขาไม่ทันสังเกตเห็นเธอที่กำลังแอบดูอยู่เพราะกำลังสนใจฟังป้าของเธออธิบายแนะนำเรื่องจิปาถะในบ้านอยู่ เธอเห็นป้าโคเลตต์ผายมือเชิญให้เขาเข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่น เมื่อร่างสูงในเครื่องแบบสีเขียวพยักหน้ารับและเดินเข้าไปในห้อง เธอก็ได้ยินป้าพูดอะไรสักอย่างกับเขาก่อนพยักหน้าให้และเลี้ยวออกจากห้องเดินตรงมายังห้องครัว จังหวะเดียวกันนั้นเองที่เฟลิเซียไหวตัวทันรีบปิดประตูและหยิบผ้าสีครีมที่พับอยู่มุมอ่างแสร้งทำเป็นเช็ดโต๊ะ
เป็นไปตามที่เธอคาด เพียงครู่เดียว ป้าโคเล็ตต์ก็เปิดประตูเข้ามาและตรงมาหาเธอ ณ ตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกถึงรสสัมผัสอันอบอุ่นจากมือของป้าที่วางแตะบนไหล่ของเธอ เธอจึงวางมือและหันมาสบตากับป้า แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะปั้นสีหน้าเรียบเฉยอย่างไม่รู้ไม่ชี้อะไร
" นี่..หนูน่ะอยู่ข้างล่างแท้ๆ ทำไมไม่ไปเปิดประตูให้ร้อยเอกเขาล่ะลูก นี่ถ้าป้าไม่เดินออกมาจากห้องก็ไม่รู้นะว่าเขารออยู่ข้างนอกน่ะ"
" พอดีหนูไม่ได้ยินเสียงเขาน่ะค่ะ...หนูล้างจานอยู่ ป้าก็รู้ "
ป้าโคเล็ตต์เลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อคำตอบก่อนจะมองเธอด้วยสายตาเอ็นดู ส่งยิ้มอ่อนๆพร้อมเอามือลูบผมของเธอและเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล
" ไปเถอะ..ไปแนะนำตัวกับเขาสักหน่อย ยังไงก็ต้องอยู่บ้านเดียวกันไประยะนึง เขาจะได้คุ้นหน้าคุ้นตา เผื่อเราเดือดร้อนหรือลำบากอะไรเขาจะได้ช่วยเราบ้าง "
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น คิ้วของเธอก็ขมวดเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ เธอยกมือขึ้นกอดอกและเอนหลังพิงกับขอบโต๊ะ
" เหรอคะ?..แต่หนูไม่เห็นว่าจะมีวันไหนที่เราต้องการความช่วยเหลือจากเขาเลยสักนิดเดียว "
ครั้งนี้ป้าไม่ได้ตอบโต้อะไรเธอกลับมานอกจากถอนใจและเงียบ แม้เฟลิเซียจะยังคงมองไปทางอื่น แต่เธอก็รู้สึกได้ว่าสายตาของป้ากำลังจับจ้องเธออยู่ และเมื่อมองจากทางหางตา แม้สีหน้าของเธอจะไม่ได้แสดงออกว่าไม่พอใจหรือบึ้งตึง แต่ก็เป็นอันรู้กันดีว่าเมื่อใดที่ป้าโคเล็ตต์เงียบและเอาแต่จ้องผู้ที่สนทนาด้วยโดยไม่พูดอะไร นั่นหมายความว่าเธอแสดงถึงการตัดสินใจและความเด็ดขาดอย่างจริงจัง และจะเป็นการยืดเยื้อเวลาอย่างไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงหากพยายามจะโต้แย้งอะไรกับเธอต่อ เฟลิเซียจึงได้แต่กลอกตาอย่างเอือมๆก่อนจะผละออกจากโต๊ะและลุกขึ้นเดินตรงไปยังประตูตามป้าออกไป เธอสาวเท้าอย่างเชื่องช้าจนถึงหน้าห้องนั่งเล่น เธอก็ได้ยินเสียงป้าโคเล็ตต์ที่เดินนำเข้าไปก่อนแล้วพูดแนะนำกับผู้ที่อยู่ภายในห้อง
" ค่ะ หลานสาวของฉันเอง แกทำความสะอาดครัวเสร็จพอดี เดี๋ยวฉันไปเรียกแกมา " สิ้นเสียง เธอก็เห็นป้าค่อยๆเปิดประตูออกมาพร้อมกวักมือเรียก เธอผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะก้าวขาตามเข้าไปข้างใน ทันทีที่ท้าวของเธอก้าวเข้ามาในห้อง ป้าโคเล็ตต์ก็เอ่ยกับคู่กรณีที่ตอนนี้กำลังนั่งเอนหลังไขว่ห้างอยู่บนโซฟา หมวกและปืนพกของเขาถูกวางพักไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา
" เฟลิเซีย..นี่ร้อยเอกเกอร์ฮาร์ด ฮอฟฟ์ครีค--คุณร้อยเอก..นี่เฟลิเซียหลานสาวฉัน "
ฝ่ายนายทหารผู้ที่นั่งอยู่ก็หันมองมาตามต้นเสียง เมื่อนั้นเองที่เธอได้เห็นรายละเอียดที่เหลือของผู้ที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน เขามีนัยน์ตาสีเขียวมรกตที่ผสมผสานได้ดีทีเดียวเมื่อคู่กับสีผมเหลือบบลอนด์และผิวสีแทนอ่อนของเขา ใบหน้าคมคายที่ยังคงมีหยดเหงื่อเกาะอยู่ประปรายจากอากาศร้อนภายนอกก็ทำให้เธอต้องเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นรอยยิ้มสะใจ ส่วนเจ้าตัวที่ตอนนี้ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วก็ดูเหมือนจะไม่ได้เอะใจอะไรนักเพราะเขาเพียงแค่ผงกหัวทักทายเธอเท่านั้น แต่เมื่อเธอหันหลังเตรียมท่าจะเดินออกจากห้องก็พอดีกับที่เสียงทุ้มลึกแบบผู้ชายดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน
" ยินดีที่ได้รู้จักคุณนะ เฟลิเซีย "
เสียงของเขาทำให้เธอหยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเม้มปากแน่นพลางหันกลับไปผลักประตูให้เปิดออกและรีบสาวเท้าออกจากห้องนั่งเล่นโดยไม่พูดอะไรและไม่ลืมที่จะปิดประตูตามหลัง เธอเดินขึ้นบันไดตรงเข้าไปยังห้องนอนของตัวเอง ลงกลอนและทิ้งตัวเอนลงบนเตียง ในหัวของเธอดังก้องไปด้วยประโยคนั้นที่เขาเอ่ยกับเธอ
ยินดีที่ได้รู้จักงั้นหรือ...เธอคิดก่อนจะปิดตาลงอย่างช้าๆ
.
.
.
.
.
แต่ฉันไม่ยินดีที่รู้จักคุณ.....ประโยคสุดท้ายที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของเธอก่อนที่จะผล็อยหลับไป
เฟลิเซียพบว่าเป็นเวลาเกือบบ่ายสามแล้วในตอนที่ป้าโคเล็ตต์มาเคาะประตูห้องปลุกเธอ เธอลุกขึ้นมาจัดแจงผมเผ้าให้เข้าทรงและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เมื่อเดินลงมายังชั้นล่าง เธอก็ต้องประหลาดเพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไร้วี่แววร่างสูงในเครื่องแบบ ในห้องนั่งเล่นตอนนี้กลับว่างเปล่า โทรทัศน์ปิดสนิทและโซฟาก็ถูกจัดเป็นระเบียบเช่นเดิม ไม่มีรองเท้าบูทคอมแบตวางพิงข้างๆและบนโต๊ะไม้หน้าโซฟาก็ไม่มีหมวกทหารสีเขียวที่เคยวางอยู่ ทุกอย่างที่เธอสามารถสัมผัสได้ในตอนนี้มีแค่เสียงกุกกักๆของเครื่องใช้ต่างๆดังมาจากห้องครัว เธอกวาดตาดูรอบๆส่วนอื่นในบ้านระหว่างเดินไปห้องครัว แต่ก็ยังคงไม่พบสัญญาณอะไรอื่นที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของร่างสูง ทีแรกเธอคิดว่าเขาคงจะอยู่กับป้าโคเล็ตต์ในห้องครัว แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อเธอพบป้าเพียงคนเดียวที่กำลังเตรียมตัวสำหรับอาหารเย็นอยู่ในครัว ดูเหมือนว่าทั้งสีหน้าและแววตาของเธอเต็มไปด้วยความงงงวยและความฉงนอย่างชัดเจน เพราะป้าโคเล็ตต์หันมาตอบทันทีโดยที่เธอยังไม่ทันจะถามอะไร
" เขาออกไปเดินเล่นข้างนอกจ้ะ จะกลับเข้ามาอีกทีราวๆมื้อเย็นน่ะ" คำตอบที่ได้รับทำให้สีหน้าของเธอกลับมาเศร้าหมองอีกครั้ง เธอเกือบคิดว่าเขาจะเปลี่ยนใจย้ายไปพักที่อื่นอยู่แล้วเชียว กระนั้นเธอก็พยายามสลัดความเศร้านั้นออกไปด้วยการสรรหาเรื่องอื่นมาทดแทนให้ลืมเสีย
" ป้าคะ มีอะไรให้หนูช่วยไหมคะ? " ป้าโคเล็ตต์ นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปหยิบตะกร้าสานใบหนึ่งออกมาจากตู้ข้างอ่างล้างจาน
" อืม..ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์ปกติป้าก็คงจะวานให้หนูออกไปซื้อของได้เหมือนปกติล่ะนะ แต่ในเมื่อบ้านเมืองข้างนอกยังไม่ค่อยเสถียรอย่างนี้ป้าว่าป้าไปเองดีกว่า หนูช่วยดูบ้านแล้วกันนะ"
แต่เธอเพียงแค่ส่งยิ้มน้อยๆให้
" ไม่เป็นไรค่ะ อยู่บ้านยังไงหนูก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่ดี อีกอย่าง ป้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้วด้วย พักเถอะค่ะ หนูไม่เป็นไรหรอก "
ป้ายังคงมองเธอด้วยสายตาที่เป็นห่วงและมีสีหน้าลังเลไม่ค่อยสู้ดีนักในตอนที่เธอเดินไปรับตะกร้ามาคล้องแขน เธอคว้าหมวกกำมะหยี่ใบเล็กสีฟ้าจากราวแขวนหมวกหน้าประตูขึ้นมาสวมก่อนออกไปสะสางธุระของตนเอง
สีเหลืองส้มไล่เฉดจากแสงแดดในยามบ่ายแก่ให้ความรู้สึกอบอุ่นที่ปลอบประโลมใจให้เธอรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด แต่น่าเสียดายที่เพียงชั่วครู่เดียวก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงจอแจจากผู้คนที่ดึงสมาธิของเธอกลับมายังเส้นทางเบื้องหน้า เธอกวาดตาดูผู้คนมากหน้าหลายตาที่เดินสวนกันไปมาและอาคารต่างๆในยามเย็นที่ถูกแสงอาบดูราวกับถูกย้อมด้วยสีทองที่ช่วยเติมเต็มสีสันให้กับชาวเมือง ตั้งแต่เกิดสงครามขึ้นทุกคนก็เหมือนกลายเป็นสีเทา ดูไร้ชีวิตชีวาและไร้ความสุขไม่ต่างอะไรกับตัวเธอเอง ช่างตรงข้ามกับผู้มายึดครองที่แต่ละคนต่างมีรอยยิ้มประดับประดาอยู่บนใบหน้าและไม่ได้มีท่าทีจะร้อนใจอะไรมากนัก พวกเขาต่างเดินปะปนอยู่บนถนนอย่างสบายใจราวกับเป็นบ้านของตัวเอง ทหารเยอรมันกลุ่มหนึ่งตรงหัวมุมถนนยกหมวกขึ้นก่อนจะส่งยิ้มทักทายให้เธอ แต่เธอเพียงแค่ชักสีหน้าและชายตามองพวกเขากลับด้วยสายตารังเกียจแทนการตอบรับก่อนจะรีบสาวเท้าไปให้ห่างจากทหารกลุ่มนั้น
นับวันสินค้าภายในร้านของชำร้านประจำยิ่งทำให้เฟลิเซียปวดหัวขึ้นทุกที เธอกวาดตาดูสินค้าบนชั้นที่เรียงกันอยู่อย่างบางตาและมีราคาไม่สมกับคุณภาพเท่าใดนัก เธอหยิบหัวมันฝรั่งลีบเล็กสองหัวขึ้นมาเทียบกันอย่างจนปัญญาครู่หนึ่งก่อนจะวางกลับลงบนชั้นเพื่อดูของอย่างอื่นต่อให้ทั่วถึง เธอกวาดตาดูราคาของเนื้อหมูค่อนข้างซีดที่มีอยู่เพียงสามสี่ก้อนพลางสั่นหัวน้อยๆ แพงจริง..เอาไว้คิดดูก่อนแล้วกัน เธอคิดพลางผละสายตาไปพบกับป้ายกระดาษเก่าเหลืองซีดเล็กๆที่เขียนด้วยลายมือแปะไว้บนชั้น
' เนื้อวัวขาดตลาด '
นั่นทำให้เธอถึงกับผ่อนลมออกมาอีกครั้งอย่างหมดหวังก่อนจะพาตัวเองกลับมายังชั้นวางเนื้อหมู
ไม่มีทางเลือกแล้วสิ...เย็นนี้ทำสตูง่ายๆละกัน เธอคิดพลางเอื้อมมือหยิบเนื้อหมูขนาดย่อมมาใส่ในตะกร้าก่อนจะสาวเท้าต่อไปยังชั้นขายผักซึ่งมีลูกค้ายืนมุงกันหนาแน่นที่สุด เธอค่อยๆแทรกตัวผ่านผู้คนเข้าไปด้านใน และเมื่อมาถึงชั้นวางเธอก็ไม่รอช้าที่จะคว้ามันฝรั่งเล็กๆสองหัว แครอทผอมๆหนึ่งหัว และหอมหัวใหญ่ลีบเล็กมาอย่างรวดเร็วก่อนจะตรงไปยังโต๊ะคิดเงินที่มีชายชราเจ้าของร้านยืนส่งยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร เขาตรวจเช็กของในตะกร้าของเธอและหันไปกดปุ่มเครื่องคิดเงินเหล็กปอนๆเครื่องเล็กด้วยนิ้วที่ผอมแห้งและเหี่ยวย่นทว่าคล่องแคล่ว เขากดปุ่มเหล็กต่างๆบนแผงอยู่สองสามทีก่อนจะหันมารับเงินจากมือของเธอไปตรวจนับก่อนจะบิดคันโยกบนเครื่องให้ลิ้นชักสำหรับเก็บเงินเปิดออก ใส่ธนบัตรใบนั้นลงไปและหยิบเหรียญออกมาจำนวนหนึ่งทอนให้ เธอรับตะกร้าจากเขาพลางเอ่ยขอบคุณก่อนเดินออกจากร้าน
รองเท้าบูธคอมแบตที่วางปนอยู่กับรองเท้าคู่อื่นในบริเวณหน้าบ้านเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าผู้อยู่อาศัยนั้นได้กลับมาแล้ว เธอเดินผ่านห้องนั่งเล่นตรงไปยังห้องครัวโดยไม่สนใจร่างสูงที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ ป้าโคเล็ตต์เตรียมอุปกรณ์เครื่องครัวต่างๆพร้อมแล้วในขณะที่เธอนำของทั้งหมดออกมาวางลงบนโต๊ะ ดังนั้นทั้งสองจึงสามารถเริ่มลงมือได้ทันทีโดยไม่เสียเวลามากนัก
ปกติแล้วเวลาทำอาหารมักจะเป็นช่วงเวลาที่ดึงให้หัวสมองของเธอปลอดโปร่งขึ้น แต่ในวันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เธอใจลอยเพราะเอาแต่คิดถึงความเปลี่ยนแปลงอันน่าหวาดหวั่นที่เจอมาตลอดทั้งวันในขณะลงมือหั่นแครอทกับมันฝรั่ง และนั่นก็เกือบจะทำให้เธอหั่นโดนนิ้วของตัวเองแล้วถ้าป้าโคเล็ตต์ไม่เรียกชื่อดึงสติเธอขึ้นมาซะก่อน จากนั้นเธอก็พยายามนึกถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้นต่อไปข้างหน้าในตอนที่กำลังคนสตูว์ข้นสีน้ำตาลเข้มส่งกลิ่นหอมกรุ่นอยู่ในหม้อขนาดกลาง จนกระทั่งเสียงปุดๆของสตูว์ที่เดือดพล่านล้นหม้อได้ทำให้เธอสะดุ้งและรีบหมุนปุ่มเตาเพื่อหรี่ไฟให้อ่อนลง
ทำไมฉันถึงใจลอยอย่างนี้นะ..แย่จริง เธอคิดพลางปิดเตาและรับชามสามใบที่ป้าโคเล็ตต์หยิบออกมาจากตู้ เธอใช้ทัพพีตักสตูแบ่งใส่ลงชามสามใบโดยมีป้าคอยช่วยนำไปวางเรียงจัดบนโต๊ะอาหาร แล้วการเตรียมมื้อเย็นก็เสร็จสิ้นลงพร้อมๆกับดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆหายลับขอบฟ้าไป
เฟลิเซียนึกกล่าวโทษร่างสูงที่ตอนนี้นั่งประจำอยู่หัวโต๊ะว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้บรรยากาศมื้อค่ำกร่อยและไม่สุขใจเท่าที่ควรจะเป็น เธอเหลือบตามองเขาตักสตูว์เข้าปากด้วยสายตาแข็งกร้าวและเยือกเย็น เธอรู้สึกว่าเขาช่างดูขัดหูขัดตาและน่ารำคาญเสียเหลือเกิน เธอบอกได้เลยว่านี่เป็นมื้อเย็นที่แย่ที่สุดในชีวิตของเธอเลยก็ว่าได้ เธอตักอาหารแต่ละคำเข้าปากด้วยท่าทางที่เกร็งและอึดอัด เมื่อเธอชำเลืองตามองไปยังป้าโคเล็ตต์ เธอก็เห็นว่าป้าเองก็มีอาการเดียวกันกับเธอเช่นกัน หลายครั้งที่ป้าเหลือบมองชายผู้นั่งอยู่หัวโต๊ะพลางอ้าปากราวกับจะชวนพูดคุย แต่แล้วก็เปลี่ยนใจหันกลับมาสนใจอาหารตรงหน้าต่อดังเดิม ส่วนฝ่ายชายที่ว่าถึงจะมีท่าทางสงบนิ่งเรียบเฉยเหมือนปกติ แต่เธอก็สามารถเห็นแววของความประหม่าฉายอยู่ในตาสีมรกตของเขาได้อย่างชัดเจน เธอไม่เคยรู้สึกอยากให้มื้อเย็นจบลงเร็วขนาดนี้มาก่อน เธออยากผละไปจากบรรยากาศแบบนี้ อยากอาบน้ำจากฝักบัวหรืออ่างน้ำอุ่นๆเพื่อคลายความเหนื่อยล้า หรือใช้เวลาอันแสนสงบช่วงสุดท้ายของวันอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้แสนสบายหรือเตียงนุ่มๆในห้องนอน ว่าแล้วภาพที่เธอกำลังวาดไว้ก็หยุดลงเมื่อเสียงทุ้มลึกของผู้นั่งหัวโต๊ะแทรกทำลายความเงียบขึ้นมา
" พรุ่งนี้ผมอาจจะกลับมืดหน่อยนะครับ พอดีผมต้องอบรมลูกน้องที่อยู่ประจำกะดึก "
เขาเอ่ยขึ้นมาเรียบๆโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับใครพร้อมหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากด้วยท่าทีที่มาดนิ่งก่อนลุกจากโต๊ะ เผยให้เห็นชามว่างเปล่าที่เคยมีสตูว์อยู่เกือบเต็ม ส่วนป้าโคเล็ตต์เมื่อได้ฟังก็วางช้อนลงพยักหน้าทีหนึ่งก่อนจะตอบนิ่งๆด้วยเสียงนุ่มนวลตามแบบของเธอ
" งั้นฉันจะยังไม่ล็อกประตูจนกว่าคุณจะกลับมาก็แล้วกัน "
เขาเพียงแค่พยักหน้าตอบรับน้อยๆก่อนจะเดินออกจากห้องไป ป้าโคเล็ตต์จึงลุกขึ้นเก็บถ้วยชามของเธอและของผู้ที่เพิ่งจะลุกออกไปกองรวมกันยังอ่างล้างจาน เมื่อเห็นดังนั้น เธอจึงลุกขึ้นเก็บชามไปช่วยสมทบป้าที่ตอนนี้กำลังเริ่มลงมือล้างจานอยู่ที่อ่าง คำกล่าวของผู้ชายคนนั้นก่อลูกตุ้มเหล็กน้อยๆขึ้นมาหน่วงไว้ให้ใจของเธอเกิดคำถามขึ้นมา เธอเหลียวหลังเพื่อให้แน่ใจว่าเขาคนนั้นจะไม่บังเอิญเข้ามาได้ยินถ้อยคำหรือบทสนาใดๆ
" ที่เขาบอกเราเมื่อกี้นี้ก็หมายความว่าเราห้ามนอนจนกว่าเขาจะกลับมาเพื่อรอล็อกบ้านเนี่ยนะคะ"
เธอกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ป้าโคเล็ตต์เงียบไปสักครู่ก่อนจะถอนใจเบาๆก่อนกระซิบตอบ
"ใช่จ้ะ ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละ แต่ไม่ต้องอยู่รอพร้อมกันสองคนก็ได้จ้ะ เดี๋ยวป้าอยู่รอเขาเอง "
ประโยคนี้ทำเอาความฉุนเฉียวของเธอก่อตัวปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
" ป้าไม่จำเป็นจะต้องอยู่เลยนี่คะ บ้านก็บ้านเรา ไม่ใช่บ้านเขาสักหน่อย ไม่เห็นต้องไปอะไรกับเขาเลยด้วยซ้ำ กลับดึกก็ไปนอนที่อื่นสิคะ ไม่ก็ปล่อยให้นอนตรงหน้าบ้านเลยก็ดี "
รอยยิ้มน้อยๆเกิดขึ้นมาบนใบหน้าของป้าขณะวางชามใบสุดท้ายที่เช็ดเสร็จพักไว้ที่ชั้นก่อนจะหันมาจิ้มหน้าผากเธอเล่นทีหนึ่ง
" จริงๆเลยนะเรา หัวดื้อเหมือนเดิม เพราะป้ารู้ว่าหนูจะไม่ยอมอยู่แน่ๆน่ะสิ อีกอย่าง ป้าเองก็ไม่อยากให้หนูอยู่หรอก มันอันตราย "
ประโยคหลังทำให้ริมฝีปากของเธอคลี่ยิ้มออกมาและโผเข้ากอดคนตรงหน้า สัมผัสมือของป้าที่ลูบเส้นผมขึ้นลงกับไออุ่นที่ทำให้เธอยังคงรู้สึกปลอดภัยเสมอตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กเล็กๆ เมื่อเธอผละออกจากอ้อมแขนนั้นก็พอดีกับที่เสียงตึงๆจากน้ำหนักของการลงฝีเท้าดังมาจากบันไดก่อนที่เสียงจะค่อยๆแผ่วเบาลงและหายเงียบไปที่ชั้นสอง ป้าเอามือตบไหล่เธอเบาๆทีหนึ่ง เอ่ยราตรีสวัสดิ์กับเธอก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนปอนๆลายดอกเดซี่ผืนเก่งกลับไปแขวนไว้ที่ราวริมผนังตามเดิมและออกจากห้องครัวไป เหลือเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่ชั้นล่าง เธอตรวจสอบความเรียบร้อยของห้องทุกห้องในชั้นล่าง เมื่อแน่ใจว่าประตูบ้านลงกุญแจล็อกกลอนไว้แล้ว เตาผิงในห้องนั่งเล่นถูกขี้เถ้ากลบดับลง หรือไฟทุกดวงปิดสนิทเรียบร้อยหมดแล้ว เธอจึงเอื้อมมือปิดไฟดวงสุดท้ายที่อยู่ตรงทางขึ้นบันไดก่อนจะเดินขึ้นห้องนอนชั้นบนเตรียมตัวอาบน้ำก่อนจะเข้านอน แต่ในตอนที่เธอกำลังหอบข้าวของกำลังจะเข้าไปในห้องน้ำตรงสุดทางเดิน เสียงแกร๊กๆของลูกบิดก็ดังขึ้นมาและประตูห้องน้ำก็พลันเปิดออกมาพอดีพร้อมกับร่างสูงของนายทหารเบื้องหลังประตูบานนั้น เขาอยู่ในเสื้อแขนยาวผ้าฝ้ายสีขาวกับกางเกงผ้าลินินทรงตรงสีน้ำตาลแก่ ตามแขนและใบหน้าผิวสีแทนยังคงมีหยดน้ำเล็กๆหลงเหลือจากการอาบน้ำเกาะอยู่ และที่ลำคอของเขาก็มีผ้าขนหนูสีครีมผืนหนึ่งพาดยาวลงมาตามช่วงไหล่กว้าง เขาดูอึ้งนิดหน่อยเมื่อเปิดออกมาพบเธอ แต่แล้วเขาก็กระแอมขึ้นมาทีหนึ่งและเอ่ยกับเธอด้วยเสียงที่เบาจนเกือบจะกลมกลืนไปกับเสียงยามค่ำคืนที่เธอแทบไม่ได้ยิน
" ราตรีสวัสดิ์.. "
แล้วเขาก็พยักหน้าให้เธอทีหนึ่งก่อนจะเดินเลี้ยวกลับเข้าห้องของเขาไป เธอเชิดริมฝีปากขึ้นที่หนึ่งพลางเปิดประตูเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัวของตัวเอง ไม่กี่อึดใจ เธอก็ได้หลับตาพริ้มดื่มด่ำความสบายจากน้ำในอ่างที่อุ่นกำลังดีท่ามกลางความเงียบสงบในยามค่ำคืน
เธอยังคงนั่งอ่านหนังสือเล่มโปรดอยู่บนเตียงแม้จะผ่านมาชั่วโมงกว่าแล้วตั้งแต่เธอกลับเข้ามาหลังอาบน้ำเสร็จ ชุดนอนกระโปรงผ้าซาตินสีฟ้าตุ่นส่งเสียงสวบสาบทุกครั้งยามที่เธอขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถ เธออ่านต่อไปอีกครู่หนึ่งจนจบบทก่อนจะเอี้ยวตัวหยิบดอกดาวเรืองแห้งบนโต๊ะไม้เล็กๆข้างเตียงมาคั่นหน้ากระดาษ วางหนังสือพักไว้บนตักพลางเหลือบมองไปยังหน้าต่างข้างเตียง ภายนอกเกือบจะมืดสนิทแล้วถ้าไม่มีแสงจากไฟส่องถนนให้เห็นเป็นดวงเล็กๆดูคล้ายกับหิ่งห้อยประดับประดาขับให้เมืองปารีสดูอ่อนโยนและสวยงาม แต่แล้วเมื่อเธอได้ยินเสียงดังครืนๆของเครื่องบินลาดตระเวนดังอยู่ไกลๆ ความหวั่นวิตกก็กลายเป็นชั้นบรรยากาศที่วกกลับมาปกคลุมเมืองเช่นเดิม
เมื่อเธอละสายตามองมายังเบื้องล่าง บนถนนเหลือเพียงเหล่าทหารเยอรมันกะดึกเดินตรวจไปตามจุดต่างๆทั่วเมือง เสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่ลาดตระเวนบนถนนสายต่างๆขับให้เธอตาสว่างมากยิ่งขึ้น เธอเท้าคางริมหน้าต่างมองดูวิวทิวทัศน์ภายนอกนั้นไปเรื่อยราวกับเป็นหนังสักเรื่องหนึ่ง สำหรับเธอแล้วค่ำคืนนี้ดูแสนจะยาวนาน ยาวนานเช่นเดียวกับฝันร้ายที่อยู่เบื้องล่างความมืดในยามกลางคืนที่ครอบงำชีวิตของเธอกับทุกคนที่นี่ไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย
ความคิดเห็น