ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Bel Ami คุณคือที่รัก

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3 ชายหนุ่มผู้มาเยือน

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.ค. 61


    บทที่ 3









            ไม่มีอะไรทำให้ร้อยเอก เกอร์ฮาร์ด ฮอฟฟ์ครีคหงุดหงิดใจไปมากกว่าการที่ต้องเดินเบียดเสียดเหล่าเพื่อนทหารและลูกน้องระดับล่างที่ยืนออกันอยู่หน้าอาคารสีขาวหลังหนึ่งตั้งแต่เวลาเช้าตรู่ เขาก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือข้างขวาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงที่เขาต่อแถวอยู่หน้าอาคารสำนักงานใหญ่สีขาวเพื่อลงชื่อเข้าที่พักตามที่ทางกองทัพจัดสรรให้ กองทหารหลักเดินทางมาถึงกรุงปารีสตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนกันหมดแล้ว แต่กองทหารของเขาซึ่งเป็นกองกำลังเสริมเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมื่อคืนตามคำสั่งขอความสนับสนุนกะทันหันของทางกองทัพ คำสั่งนี้ถูกประกาศเมื่อตอนบ่ายสามโมงของวันที่เขาเดินทางมา ด้วยเหตุนี้ มันก็ทำให้เขามีเวลาอันน้อยนิดในการจัดการสัมภาระข้าวของของตนเองและธุระด้านอื่นๆให้พร้อมรวมถึงบัญชาการและจัดการเตรียมลูกน้องทุกคนในกองให้พร้อมสำหรับการเดินทาง ซึ่งเป็นอะไรที่ทำให้เขาหัวเสียสุดๆ บ่อยครั้งที่พวกผู้บัญชาการชั้นผู้ใหญ่ให้คำสั่งแบบเร่งด่วนหรือมาแบบกะทันหันโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ทำให้ตัวเขาที่เป็นทหารชั้นกลางไปจนถึงพวกลูกน้องระดับล่างต้องคอยวิ่งวุ่นจัดการสะสางธุระงานการเหล่านั้นให้เสร็จ ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งนั้นสร้างความลำบากในการทำงานให้พวกเขาเป็นอย่างมาก อย่างเช่นวันโลกาวินาศวันหนึ่งที่เขากับลูกน้องต้องอดหลับอดนอนเพียงแค่เพราะผู้ใหญ่ท่านหนึ่งต้องการกำลังเสริมในการลาดตระเวนค้นหาและจับกุมชาวยิวที่ยังหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองรอบๆกรุงเบอร์ลิน คืนนั้นเป็นคืนในฤดูหนาวของต้นเดือนธันวาคมและหิมะก็ตกลงมาอย่างไม่ขาดสายตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ในวันนั้นกองทหารของเขากลับมาถึงกองทัพราวๆเกือบตีสองด้วยร่างกายที่อ่อนล้าจากการลาดตระเวนไปรอบเมืองท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ เขากับลูกน้องจึงตัดสินใจตกลงกันว่าหากแยกย้ายกันกลับไปพักที่บ้านนั้นจะเป็นการเสียเวลาไปอย่างไร้ประโยชน์ซะเปล่าๆ ทุกคนจึงพากันไปค้างคืนในบ้านพักสำหรับทหารในกองทัพ เขาจำได้ไม่ลืมว่าคืนนั้นเขาผล็อยหลับไปทันทีที่ตัวของเขาสัมผัสกับพื้นผิวของเตียงนอน และในวันรุ่งขึ้นเขาก็เข้าทำงานต่อโดยมีสภาพไม่ต่างอะไรจากตุ๊กตาที่ไร้ชีวิตเพราะได้นอนเพียงแค่สามชั่วโมงเท่านั้น...


            ตอนนั้นเองที่เสียงเรียกชื่อจากทหารนายหนึ่งดึงให้เกอร์ฮาร์ดหลุดออกมาจากห้วงภวังค์ เขาเดินตรงเข้าไปประชิดกับโต๊ะขัดเงาขนาดกลางตัวหนึ่งที่มีนายทหารชั้นผู้น้อยนั่งประจำอยู่ เมื่อเห็นเขา นายทหารผู้นั้นก็ลุกขึ้นมาทำความเคารพเขาก่อนจะนั่งลงและเปิดหนังสือเล่มหนาที่กางอยู่บนโต๊ะ นายทหารคนนั้นเอานิ้วไล้ดูไปตามรายชื่อต่างๆทีละหน้ากระดาษก่อนจะหยุดอยู่ที่ชื่อหนึ่ง ก้มลงอ่านสักพัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาบอกกับเขาด้วยสีหน้าเจื่อนๆและท่าทีที่ดูยำเกรง หรือพูดง่ายๆว่ากลัวโดนเขาว่านั่นเอง 

    อ่า...ผมต้องขออภัยจริงๆครับท่าน คือพวกผมจัดการส่งจดหมายขอเอื้อเฟื้อที่พักไปที่ครอบครัวหนึ่งของชาวเมืองให้แล้วครับ แต่พอดีเรื่องยังไม่เรียบร้อยเลยครับท่าน ต้องรอให้ท่านผู้บัญชาการใหญ่ยืนยันเรื่องมาก่อน ถ้าจัดการได้แล้ว ผมจะให้ลูกน้องรีบไปแจ้งท่าน รับรองได้ภายในวันพรุ่งนี้แน่นอนครับ " 

    คำบอกของลูกน้องทำให้เขาอดขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไม่ได้ 

            " หมายความว่าฉันต้องไปพักที่บ้านของชาวเมืองงั้นรึ แล้วพวกโรงแรมทั่วเมืองล่ะ เมื่อคืนตอนกองทหารฉันมาถึงฉันก็เห็นมันเปิดอยู่เยอะแยะ " 

    สีหน้าของนายทหารคนนั้นยิ่งสลดลงไปกว่าเดิมเมื่อเขาถามเช่นนั้น
            " คือว่าโรงแรมทุกที่เต็มหมดแล้วครับท่าน ส่วนมากถูกสงวนสิทธ์ไว้ให้กับนายทหารระดับสูงกับพวกผู้บัญชาการใหญ่ๆ...พวกคุณท่านที่ปกสีแดงๆน่ะครับ" 

            เมื่อได้ยินคำตอบนี้ เขาก็ถึงกับต้องกลอกตาด้วยความหงุดหงิด ถึงเขาจะมีตำแหน่งในระดับนึง แต่ก็ไม่ได้มากมายถึงขนาดเรียกได้ว่าระดับสูงหรือผู้บัญชาการใหญ่ สุดท้ายเขาจึงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน วันนี้มีหลายเรื่องให้เขาหงุดหงิดมากพอแล้ว เขาไม่อยากจะหัวเสียไปมากกว่านี้อีก และเขาเองก็ไม่อยากจะหาเรื่องกับนายทหารคนอื่นเพราะเรื่องเล็กๆแค่นี้ด้วย 

    เอาเถอะ..แล้วที่เธอบอกว่าฉันจะได้ที่พักภายในวันพรุ่งนี้นี่มั่นใจแล้วใช่ไหมว่าได้แน่ๆ?"

    " ครับผม "

    " งั้นคืนนี้ฉันก็ต้องนอนที่ค่ายอีกคืนนึงสินะ"

    " อ่า..เกรงว่าคงต้องเป็นเช่นนั้นครับท่าน"

    " เฮ้อ..เอาเถอะ ฉันไม่อยากมีปัญหากับพวกหัวหน้าใหญ่หรอก "

    ว่าแล้วเขาก็จัดแจงเซ็นเอกสารยืนยันตัวตนตามที่นายทหารคนนั้นยื่นให้

           เมื่อเกอร์ฮาร์ดเดินออกมาปะทะกับความอบอุ่นของแสงแดดหลังเสร็จธุระจากอาคารแห่งนั้นก็พบว่าเป็นเวลากว่าแปดโมงแล้ว และพอเขารู้สึกถึงความปั่นป่วนแปลกๆจากภายในร่างกายก็ทำให้เขาระลึกได้ว่ามื้อล่าสุดที่เขาได้กินอาหารไปนั้นคือเมื่อช่วงบ่ายสี่โมงของวันที่ผ่านมาก่อนเขาจะออกเดินทางมาที่นี่ เขาจึงเดินเข้าไปในย่านการค้าตามถนนสายหลักเพื่อหาร้านอาหารสำหรับทานมื้อเช้าที่ยังเปิดอยู่ เขาเดินไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อนภายใต้บรรยากาศยามสายที่ผู้คนเริ่มสัญจรกันขวักไขว่ แต่เพราะส่วนใหญ่มักมีแต่ทหารจากประเทศของเขาทำให้ตลอดเส้นทางเขาต้องคอยตอบรับคำทักทายจากหัวหน้าและพยักหน้ารับเมื่อลูกน้องหรือทหารผู้น้อยทำความเคารพ แต่กับชาวปารีเซียนนั้น สิ่งที่เขาได้รับกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ชายชราผู้หนึ่งเหลียวหลังกลับมาจ้องในขณะที่เขากำลังยืนอ่านป้ายหน้าคาเฟ่แห่งหนึ่ง แม้จะมองเห็นแค่ทางหางตา แต่เขาก็ยังคงสามารถเห็นสีหน้าอันโกรธขึ้งที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจของชายชราผู้นั้นได้ หรือหญิงแม่ลูกอ่อนคู่หนึ่งที่เดินสวนกับเขาตรงบริเวณร้านขายหนังสือ ซึ่งทันทีที่หญิงคนนั้นเห็นเขา เธอก็โอบกอดทารกตัวน้อยเอาไว้แนบอกอย่างหวงแหนด้วยอ้อมแขนทั้งสองข้างพร้อมกับส่งสายตาที่ดูประสงค์ร้ายมาให้เขาราวกับว่าเขาเป็นปีศาจที่น่ารังเกียจหรือตัวเชื้อโรคน่าขยะแขยงสักตัวที่ไม่น่าเข้าใกล้ และหญิงสาวคนสวยในชุดพื้นเมืองสีคาราเมลหม่นของฝรั่งเศสที่กำลังยืนตักน้ำบาดาลจากบ่อสาธารณะเมื่อเขาเดินผ่านจัตุรัสกลางเมือง เธอเงยหน้าขึ้นมาชายตามองค้อนเขาแวบหนึ่งก่อนจะหิ้วถังน้ำไว้ในมือสองข้างและรีบเดินหนีจากไป แต่ตัวเขาเองไม่ได้รู้สึกอะไรกับปฏิกิริยาจากคนเหล่านั้น แต่ตัวเขาเองก็พอจะเตรียมใจมาบ้างแล้วจึงไม่ได้รู้สึกแย่มากเท่าไหร่นัก อีกอย่าง เขารู้ดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะไปโกรธพวกเขา เพราะหากคิดในทางกลับกัน เขาก็คงจะรู้สึกโกรธไม่ใช่น้อยเหมือนกันหากบ้านเกิดของเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เขาเองก็อยากช่วยชาวเมืองบ้างเหมือนกันถ้าหากมีอะไรที่เขาพอจะสามารถทำให้ได้ แต่ความคิดของเกอร์ฮาร์ดก็ต้องหยุดอยู่เพียงเท่านั้นเมื่อเขาพบว่าตนเองได้เดินเข้ามาสู่ถนนสายหลักของย่านการค้าแล้ว แต่เมื่อเดินเข้าไปข้างในเขาก็นึกเกลียดความโชคร้ายชั่วขณะของตัวเองเพราะไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็ดูท่าว่าแต่ละร้านน่าจะปิดกันไปตั้งแต่ช่วงตีสองตีสามแล้ว ประตูเรียบหรูในแบบร้านอาหารต่างถูกล็อกกลอนปิดสนิทหรือไม่ก็ถูกคล้องไว้ด้วยโซ่เส้นหนาพร้อมกับแม่กุญแจ และเมื่อเขาเดินมาเกือบจะสุดถนนซึ่งมีร้านคาเฟ่เล็กๆแห่งหนึ่งเปิดไฟอยู่พร้อมๆกับมีชายวัยกลางคนซึ่งเขาเดาว่าคงจะเป็นเจ้าของร้านยืนหันหลังอยู่หลังเคาน์เตอร์สำหรับสั่งเครื่องดื่ม เขาก็ไม่รอช้าที่จะตรงดิ่งไปยังร้านแห่งนั้น แต่แล้วเมื่อเข้าไปสอบถามเขาก็ต้องผิดหวังเมื่อเขาพบว่าเจ้าของร้านแค่กำลังยืนเช็ดแก้วเครื่องดื่มเท่านั้น ส่วนร้านนั้นจะเริ่มเปิดในตอนเที่ยง 


           เขาจึงต้องจำใจเดินออกมาหาร้านอื่น ความรู้สึกปั่นป่วนภายในร่างกายนั้นรุนแรงขึ้นพาให้เขาเร่งฝีเท้ามากยิ่งขึ้น จนในที่สุด เขาก็ต้องใจชื้นขึ้นมาเมื่อพบร้านคาเฟ่ที่อยู่หน้าทางเข้าตรอกอพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่งกำลังอื้ออึงไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงกระทบกันของภาชนะ เพราะว่าร้านนี้ตั้งอยู่บนถนนใหญ่และมีพื้นที่ฟุตบาทที่กว้างขวาง บริเวณด้านหน้าร้านจึงถูกดัดแปลงให้เป็นที่สำหรับนั่งกลางแจ้ง ยิ่งเขาเดินเข้าไปใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งได้กลิ่นร้อนๆของอาหารหลากชนิดล่องลอยอบอวลอยู่ในอากาศ ทั้งกลิ่นแป้งหวานๆของแพนเค้กร้อนๆที่ถูกราดด้วยน้ำผึ้งและเนยอย่างลงตัวเข้ากันได้ดี กลิ่นของขนมปังและเบเกอรี่ต่างๆที่เพิ่งถูกนำออกมาจากเตาอบ และกลิ่นหอมอ่อนๆชวนให้ผ่อนคลายจากชา กาแฟและเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ เขาเดินเข้าไปภายในร้านและกวาดสายตามองหาที่นั่งเพื่อจะสั่งอาหาร มีทั้งนายทหารหลายหน่วยและชาวปารีเซียนนั่งปะปนกันแน่นขนัดแลดูครื้นเครง แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ดูเหมือนว่าที่นั่งทุกโต๊ะจะถูกจับจองกันหมดแล้ว เขาจึงออกมาเลือกนั่งตรงที่นั่งกลางแจ้งหน้าร้านแทน เมื่อหญิงเจ้าของร้านออกมาต้อนรับ เขาก็บอกรายการอาหารที่ต้องการแก่เธอก่อนจะนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้รออาหารของตนเอง เขามองวิวทิวทัศน์รอบๆไปเรื่อยเพื่อแก้เบื่อระหว่างการรอ เขาคิดว่าร้านแห่งนี้ถือว่ามีบรรยากาศที่ดีทีเดียว เพราะเมื่อเขามองตรงออกไปด้านหน้า เขาก็สามารถเห็นจัตุรัสกลางเมืองอยู่ไม่ไกลท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆในยามสายและอากาศอบอุ่นในท้องฟ้าของกรุงปารีส เมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งศิลปะอันสวยงาม หอไอเฟลที่ตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่นอยู่ถัดออกไปอีกช่วงหนึ่งของจัตุรัสยิ่งขับให้บรรยากาศดูสวยงามยิ่งขึ้นไปอีก ผู้คนหลากหลายที่สัญจรไปมาทั้งสองข้างถนนแลดูเพลินตาประกอบกับมีชีวิตชีวาในเวลาเดียวกัน แต่รถถังและยานยนตร์ต่างๆของกองทัพเยอรมันและเสียงเครื่องบินที่ดังครืนๆอยู่ไกลๆบนท้องฟ้ากลับสร้างอีกความรู้สึกปั่นป่วนแปลกๆให้กับเกอร์ฮาร์ดอย่างที่เขาไม่สามารถอธิบายได้ 


           เมื่ออาหารของเขาซึ่งมีทั้งแพนเค้กชิ้นโตสามแผ่นราดน้ำเชื่อมพร้อมเนย สลัดไก่เย็นในชามเซรามิคและกาแฟเอสเปรสโซอีกหนึ่งแก้วมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ในตอนที่เขากำลังจะเริ่มลงมือนั้นเอง เขาก็สังเกตเห็นนายทหารที่ดูคุ้นตาคู่หนึ่งในเครื่องแบบทหารบกเช่นเดียวกับเขาพากันเดินออกมาจากภายในร้านด้วยกัน และในตอนนั้นเองเขาก็จำได้ว่านายทหารคนนั้นคือร้อยเอกฟรานซ์ วิตต์เซล และร้อยเอกวิลไฮล์ ฮาร์ทลิง สองเพื่อนสนิทของเขานั่นเอง ก่อนที่เขาจะทันเอ่ยปากทักทายก็พอดีกับที่นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนของฟรานซ์หันมาเห็นเขาซะก่อน ในตอนแรกเขาดูงงงวยและสับสนอยู่เล็กน้อย แต่แวบเดียวเขาก็คลี่ยิ้มออกมาก่อนจะรีบหันไปคว้าวิลไฮล์ที่เดินอยู่ข้างๆให้หยุดลงพร้อมชี้มาทางเกอร์ฮาร์ด เพียงครู่เดียวเขาก็ยิ้มออกมาเช่นกัน เกอร์ฮาร์ดกวักมือเรียกนายทหารทั้งสองให้มานั่งด้วยกัน ทั้งวิลไฮล์มและฟรานซ์นั้นเป็นเพื่อนกับเขามาตั้งแต่สมัยที่ทั้งสามยังเป็นนักเรียนทหารฝึกหัด พวกเขาเล่าให้ฟังว่าทั้งสองคนสังกัดอยู่ในกองทหารหลักตอนที่เดินทางมาฝรั่งเศส และนั่นก็ทำให้เกอร์ฮาร์ดหมดความสงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงได้เจอเพื่อนๆของเขาที่นี่ บทสนทนานั้นเต็มไปด้วยความสนุกสนานเพราะต่างคนต่างก็มีเรื่องราวหลากหลายมาเล่าสู่กันฟัง ฟรานซ์และวิลไฮล์มเล่าให้เขาฟังหลายเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาพบเจอเมื่ออยู่ที่นี่มาตลอดวันสองวันที่ผ่านมา

    บอกอะไรให้นะเกิร์ด ถ้านายคิดว่าค้างคืนในค่ายทหารมันแย่แล้วล่ะก็ รอให้นายเข้ามาอยู่บ้านกับพวกชาวเมืองซะก่อนเถอะแล้วจะรู้ว่ามันเป็นยิ่งกว่าฝันร้ายเลยล่ะ" 

            ทันทีที่ได้ยินคำบอกเล่าเช่นนี้ เกอร์ฮาร์ดก็ถึงกับไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยินมา หรือว่าเพื่อนตัวดีคนนี้แค่อยากจะแกล้งยุแหย่ให้เขาหัวเสียเล่นๆหรือว่าหมายความตามที่พูดจริงๆกันนะ 

    เมารึเปล่าฟรานซ์ ค่ายทหารเนี่ยนะจะสบายกว่าบ้านคน ตลกละ " 

             ส่วนคนถูกว่านั้นกลับมีท่าทางขำขันคำพูดของเขา ฟรานซ์คีบบุหรี่ออกจากปากพลางพ่นควันออกมาอีกพรืดหนึ่งก่อนจะไขความกระจ่างให้เขา 

    เอ้าเห้ย! ฉันพูดจริงนะเพื่อน แต่ฉันหมายความถึงว่า...เออมันยากจะอธิบายน่ะ เรื่องมันยาว เออใช่!...เห้ยวิล..นายนิยามมันว่าอะไรนะ" 

              ฝ่ายเจ้าของชื่อนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์ 

    สบายกายแต่ไม่สบายใจ " 

    "โอ้! ใช่แล้ว ตามนั้นนั่นแหละเพื่อนเกิร์ด " 

    ฟรานซ์ดีดนิ้วดังเปาะแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ยกขาขึ้นมาไขว่ห้างก่อนจะเอ่ยต่อ 

            " คือสุขสบายน่ะใช่ มีโต๊ะมีเตียง มีห้องของตัวเอง แต่นายก็จะรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินตลอดเวลา อย่างฉันเนี่ยไปอยู่บ้านคู่สามีภรรยาแก่ๆคู่หนึ่ง แล้วรู้อะไรไหมพวก พวกเขาเรียกฉันว่าไอ้เบียร์สกปรกแหละ แล้วก็ดูเหมือนว่าฉันน่ะทำอะไรก็ดูน่าโมโหไปซะหมด..."

            ในตอนนั้นวิลไฮล์มเองก็ละจากหนังสือพิมพ์เข้ามาร่วมวงสนทนา 

    ก็พอกันกับนายล่ะ มาดามเจ้าของบ้านที่ฉันอยู่ก็หงุดหงิดตลอดเวลาที่ฉันอยู่บ้านเหมือนกัน" 

           ฟรานซ์พยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจก่อนจะหันมาทางเขา 

    ฉันว่าอย่างน้อยนายก็น่าจะพอรู้บ้างแล้วนะเกิร์ด ว่าพวกเราน่ะ.." 

            ถึงตรงนี้ ฟรานซ์หรี่เสียงพูดให้เบาลงจนเกือบจะเป็นเสียงกระซิบก็ว่าได้ สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมและจริงจังกว่าปกติ 

    "..เราไม่เป็นที่ต้อนรับของที่นี่.." 

        ประโยคสั้นๆเพียงแค่ประโยคเดียวหากแต่สามารถสื่อความหมายได้ครบถ้วนสมบูรณ์ เกอร์ฮาร์ดทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าเงียบๆอย่างเข้าใจ แต่แล้วบทสนทนาอันเคร่งเครียดก็ได้จบไปอย่างรวดเร็วเมื่อฟรานซ์เปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นปกติก่อนจะหันไปจุดบุหรี่มวนใหม่และวิลไฮล์มวางหนังสือพิมพ์ลงและหันมาถามเขา 

            " ว่าแต่นาย..มาเมื่อคืนใช่ไหม แล้วนอนที่ไหนล่ะคืนนี้? " 

    คำถามของวิลทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย 

            " นอนค่ายอีกคืนน่ะสิ.. " 
       
           สิ้นคำตอบ วิลไฮล์ก็หยักยิ้มน้อยๆพลางส่ายหัวกับท่าทางที่ดูเซ็งของเขา ส่วนฟรานซ์นั้นปล่อยหัวเราะออกมาและเอาศอกถองเขาอย่างยุแหย่ 

    ฮ่าๆๆๆ! เพื่อนฉันนี่หน้าเซ็งยังกะอะไรดี เอ้าๆ เอางี้ คืนนี้ไปเที่ยวกันไหมล่ะ? ฉันกับวิลเจอร้านดีๆร้านนึงเลยไปอีกสักช่วงสองช่วงถนนเอง อาหารอร่อย เพลงเพราะ และที่สำคัญ..." 

           ฟรานซ์หยุดพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้ๆเขา หรี่ตาลงด้วยท่าทีทะเล้นตามแบบของเขาและทำท่ายักคิ้วอย่างมีเลศนัยก่อนจะกลับมานั่งที่ วิลไฮล์มถึงกับหลุดหัวเราะออกมากับท่าทางกวนๆนั้น 

    หมอนี่ไปอยู่ไหนก็เหมือนเดิมแหละเกิร์ด บ้าผู้หญิงไปเรื่อย "

          ริมฝีปากของเกอร์ฮาร์ดอดคลี่ยิ้มออกมาด้วยความขำไม่ได้ เขาส่ายหัวน้อยๆให้เพื่อนทั้งสองก่อนจะเอื้อมมือไปรับบุหรี่ที่ฟรานซ์ส่งให้แล้วจุดสูบ

    "ไง..ตกลงจะไปด้วยกันไหมเพื่อน" 

         แม้ว่านี่จะเป็นไอเดียที่ออกมาจากปากของเพื่อนผู้ที่เป็นทั้งยอดนักรักและยอดนักท่องราตรี แต่มันก็ดูเป็นความคิดทีน่าสนใจทีเดียว เพราะเขาเองก็สนุกกับการทานอาหารไปพร้อมๆกับฟังดนตรีเพราะๆที่ชวนให้เพลิดเพลินได้ไม่เบื่อเช่นกัน 

    เออๆ ไปก็ไป ไหนๆวันแรกๆฉันยังไม่ต้องทำงานอะไรอยู่แล้ว" 

          ฟรานซ์ก็ฉีกยิ้มกว้างออกมาทันทีที่ได้ฟังคำตอบของเขา 

    " ต้องยังงี้สิ! ตอนเย็นๆไปด้อมๆมองๆหาพวกฉันแถวๆจัตุรัสละกัน เลิกงานแล้วเดี๋ยวจะพาไป" 

          ฟรานซ์เอ่ยพร้อมยักคิ้วให้เขาทีหนึ่งก่อนจะลุกจากที่นั่ง 

    "เจอกัน" 

          วิลไฮล์พยักหน้าให้เขาขณะเอามือเสยผมสีดำชะเอมให้เรียบร้อยก่อนสวมหมวกทับลงไป ทั้งสองลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินมาตบบ่าเขา เก็บข้าวของๆตนเองและเดินไปยังถนนข้างหน้า 

    เฮ้ พวกนายจะไปไหนกัน? " 

          วิลไฮล์นั้นเดินนำไปไกลถึงอีกฝั่งถนนแล้วจึงไม่ได้ยินเสียงเขา ส่วนฟรานซ์ที่ยังเดินเอ้อระเหยอยู่ในละแวกใกล้ๆจึงหันมาตะโกนบอก 

    กลับไปทำงานสิเพื่อน!เจอกันตอนเย็น! " 

          เขาโบกมือลาเกอร์ฮาร์ดก่อนจะเร่งฝีเท้าตามวิลไฮล์ให้ทัน ไม่นานนักทั้งสองก็หายลับไปจากสายตาเขาเข้าไปในฝูงชนที่เดินผ่านไปมา 


              หลังเสร็จจากมื้ออาหาร เขาก็จ่ายเงินและเดินออกจากร้านเข้าสู่ช่วงถนน เขาเดินชมตึกรามบ้านช่องต่างๆสไตล์ยุคโรแมนติกแบบฝรั่งเศสพลางดื่มด่ำกับบรรยากาศทั้งสองข้างทาง ในสองวันแรกนั้นเขายังไม่ได้รับมอบหมายงานใดๆจึงมีเวลาเหลือเฟือในการเดินเที่ยวและชมไปตามที่ต่างๆ 


            เที่ยงวันยามเมื่อแสงแดดส่องสว่างเจิดจ้าอยู่เหนือกรุงปารีสและอากาศเริ่มร้อน เกอร์ฮาร์ดคิดว่าเขาอยากไปเดินเล่นอยู่ตามสวนสาธารณะสักที่ที่พอจะมีต้นไม้ร่มรื่นเพื่อหลบร้อน เขายังไม่อยากกลับไปที่ค่ายเพราะรู้ดีว่าอากาศภายในเต็นท์นั้นอบอ้าวยิ่งกว่าอยู่ข้างนอกเสียอีก ท้ายสุดแล้ว เขาก็เลือกที่จะนั่งพักอยู่บนพื้นหญ้าใต้ร่มเงาต้นไม้ในจัตุรัส ด้วยท้องที่อิ่มประกอบกับอากาศที่อบอุ่นกำลังพอดีก็ทำให้เขาค่อยๆเอนตัวลงนอนระนาบไปกับผืนหญ้าอันอ่อนนุ่ม เขาถอดหมวกของเครื่องแบบออกเผยให้เห็นเส้นผมสีน้ำตาลคาราเมลเหลือบบลอนด์ที่ตอนนี้ส่องประกายสีทองจากแสงแดด เขาวางหมวกลงข้างกายก่อนจะเอามือประสานกันไว้ใต้ศีรษะแทนหมอน แหงนมองวิวที่อยู่ข้างหน้าไปด้วยความเพลิดเพลินพลางปล่อยความคิดให้ไหลไปตามสายลมอ่อนๆที่พัดมาเป็นระยะๆ แต่เรื่องหนึ่งที่เขายังคงอดสลัดทิ้งไปไม่ได้คือเรื่องของเหล่าชาวเมืองที่ฟรานซ์พูดเมื่อตอนนั่งอยู่ด้วยกัน ถ้าเพื่อนของเขาสองคนต่างก็เจอมาคนละรูปแบบกัน แล้วตัวเขาล่ะ เขาจะได้อยู่กับครอบครัวแบบไหนกันนะ จะเจอแบบที่ดีกับเขา หรือจะแย่กว่าที่เพื่อนๆของเขาได้เจอมา ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งทำให้เขาไม่สบายใจเอาซะเลย แต่สุดท้าย ความเหนื่อยก็ได้แทรกแซงมาแทนที่และความรู้สึกสบายจากสถานที่นั้นก็ทำให้เปลือกตาทั้งสองข้างของเขาค่อยๆปิดลง


            เป็นเวลาเกือบบ่ายพอดีในตอนที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะเสียงดังจากสภาพแวดล้อมรอบๆตัว เขาค่อยๆลืมตาอย่างช้าๆด้วยความงัวเงียและพบว่าแสงแดดยังคงส่องจ้าอยู่ แต่ก็อ่อนเบาลงมากกว่าเมื่อตอนเที่ยงพอสมควร มือหนาคลำหาหมวกของตนเองที่วางไว้ข้างๆ เมื่อคว้าได้แล้วเขาก็ยกตัวลุกกลับขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง เขาพบว่าเสียงรอบข้างที่ดังจนเป็นเหตุให้เขาต้องตื่นนั้นมาจากบรรดาทหารที่กำลังใช้เวลาพักผ่อนในช่วงพักเที่ยงนั่นเอง บ่อน้ำบาดาลสาธารณะกลางจัตุรัสในตอนนี้รายล้อมไปด้วยนายทหารที่มาล้างหน้าล้างตาเพื่อคลายความร้อนและดื่มแก้กระหาย เสียงคุยจอแจจากทหารที่เดินคุยกันเป็นกลุ่มๆอยู่ตามท้องถนน และทหารเด็กๆกลุ่มเล็กๆอีกกลุ่มที่กำลังนั่งแซวหญิงสาวที่เดินผ่านไปมาอยู่ไม่ไกลจากเขา 


           เกอร์ฮาร์ดจำได้ว่าเขามีนัดมาเจอกับเพื่อนๆเขาที่นี่ในอีกสามสี่ชั่วโมงข้างหน้า เขาคิดว่าเขาควรจะกลับไปที่ค่ายเพื่อล้างเนื้อตัวและเปลี่ยนเครื่องแบบพอเป็นพิธีสักหน่อย ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นและจัดเครื่องแบบของตนเองให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย เอามือเสยผมที่ยุ่งเหยิงจากการนอนไปไว้ข้างหลังก่อนปิดท้ายด้วยการใส่หมวกทับ ทันทีที่เขากลับถึงค่ายในเขตเข้าเมือง เขาก็ไม่รอช้าที่จะจัดการธุระส่วนตัวทุกอย่างจนหมด ในตอนแรกเขาคิดว่าจะออกไปเดินเล่นตามบริเวณนอกเมืองเสียหน่อย แต่พอเขาได้ล้างเนื้อตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เขาก็เปลี่ยนใจหันมานั่งพักอยู่ในเต็นท์ของตัวเองแทน เขาเอามือล้วงกระเป๋าเดินทางหนังสีน้ำตาลของตัวเองและดึงสมุดโน้ตที่เขาพกติดตัวมาจากเยอรมันขึ้นมา เขาเปิดสมุดนั้นไล่ไปเรื่อยๆ แต่ละหน้านั้นมีภาพวาดและภาพสเก็ตช์ต่างๆถูกเขียนอย่างประณีตอยู่บนหน้ากระดาษ ทั้งภาพสเก็ตช์ตลาดของกรุงเบอร์ลินในวันหยุด ภาพของชายหาดในยามพระอาทิตย์ตกดินและภาพอื่นๆอีกหลายภาพซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นผลงานของเขาทั้งสิ้น การวาดภาพคืองานอดิเรกของเขามาตั้งแต่ตอนเขายังเป็นเด็กชายตัวน้อยในค่ายยุวชน* เขารู้สึกว่าการวาดภาพทำให้เขาผ่อนคลายและสร้างความทรงจำดีๆที่ทำให้มีความสุขทุกครั้งที่ได้ย้อนกลับมาดูมัน เมื่อเปิดไปถึงหน้าล่าสุด เขาก็วางสมุดนั้นกางลงบนตักและเอื้อมมือล้วงเอาดินสอออกมาจากกระเป๋าที่มีกางเขนเหล็ก*และเข็มตรายศต่างๆติดประดับอยู่ก่อนจะเริ่มลงมือขีดเขียนลงหน้าต่อไปของสมุดเล่มนั้น เขาวาดทั้งช่วงถนนที่เงียบสงบในยามเช้า วาดร้านคาเฟ่ที่เขาได้ไปนั่งทานอาหารและจัตุรัสกลางเมืองภายใต้แสงแดดสีทองในตอนเที่ยงวัน หลังจากวางมือเสร็จจากผลงานทั้งสามก็ดูเหมือนว่าเขาจะยังเหลือเวลาอีกราวๆชั่วโมงกว่าๆก่อนจะถึงเวลานัด เขารู้ดีว่าระยะทางจากค่ายไปถึงนั้นใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบนาทีในการเดินเข้าไปยังใจกลางเมือง เขาจึงจัดการเก็บสมุดเข้าลงกระเป๋าของเขาให้เรียบร้อยก่อนจะออกจากค่ายและมุ่งหน้าไปยังสถานที่นัด


           ไม่ยากเลยที่จะมองหาเพื่อนๆของเขาท่ามกลางนายทหารมากมายที่เดินตรวจลาดตระเวนอยู่ในพืนที่บริเวณนั้น เพราะทั้งฟรานซ์และวิลไฮล์มนั้นปลีกตัวเดินออกมาหาเขาทันทีที่เห็นเขาเดินป้วนเปี้ยนไปมาแถวๆนั้น เมื่อทั้งสองเดินมาถึงตัวเขา ทั้งคู่ก็กอดคอนำพาเขาไปยังเส้นทางสู่ร้านประจำตามที่นัดไว้ ในครั้งนี้เขาก็ได้เข้ามาสัมผัสบรรยากาศยามเย็นเข้าค่ำของกรุงปารีสอย่างแท้จริงจากคืนแรกที่เขาได้แต่มองดูอยู่ภายนอกเท่านั้น ย่านเดิมที่ร้านต่างๆปิดในตอนเช้าที่เขามานั้นบัดนี้กลับพากันเปิดไฟสว่างไสวดึงดูดผู้คน ไฟสีนวลออกส้มอ่อนๆจากเสาไฟส่องถนนขับให้เมืองในยามค่ำคืนดูสวยงามมากยิ่งขึ้น ยิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าใดก็ยิ่งได้ยินเสียงคุยเสียงหัวเราะยิ่งขึ้นเท่านั้น 


            ทั้งสองพาเขาเดินลัดเลาะผู้คนไปตามถนนจนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าตรอกแห่งหนึ่งซึ่งดูแล้วเป็นย่านที่ครึกครื้นที่สุดเท่าที่เขาเดินผ่านมา เกือบทุกร้านมีเสียงดนตรีและเสียงขับขานบทเพลงจากนักร้องดังลอยออกมาภคลอกันอยู่ภายนอกขับให้บรรยากาศดูครื้นเครงยิ่งขึ้น เขาคงจะแสดงสีหน้าออกมาชัดเจนมากไปหน่อย เพราะฟรานซ์หันมาถองเขา และถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะเริ่มมืดลงแล้ว แต่แสงไฟจากเสาและร้านรวงต่างๆก็ทำให้เขาสามารถเห็นสีหน้ายิ้มแย้มอันกรุ้มกริ่มของเพื่อน 

    ฮั่นแน่~ ตื่นตาล่ะสินาย"

           ว่าแล้วก็หันไปยุ่งยิ่งเพื่อนอีกคนที่กำลังมองวิวข้างทางไปเรื่อยเปื่อย 

    เห็นไหมวิล ฉันบอกนายแล้วว่าหมอนี่ต้องชอบ เป็นความดีความชอบของฉันแท้ๆที่เจอตรอกนี่เนอะว่าไหม ฮ่าๆๆๆ " 

           และเหมือนเดิมอีกเช่นเคย แสงไฟสลัวๆจากรอบข้างทำให้เขาเห็นได้อย่างง่ายดายว่าเพื่อนผู้มีบุคลิกเงียบขรึมกำลังทำท่ากลอกตาใส่อีกคนด้วยความเอือมระอา 

           เขาจำได้ว่าเดินมาหยุดอยู่หน้าร้านหนึ่งที่อยู่เกือบจะสุดตรอก ถึงร้านนี้จะอยู่ลึกเกือบ แต่ก็เป็นร้านที่นิยมเมื่อดูจากพื้นที่ที่โอ่โถงและเสียงคุยเสียงหัวเราะของบรรดาลูกค้าที่ดังกว่าร้านแห่งอื่น เมื่อผลักประตูเข้าไป เสียงดนตรีและเสียงขับร้องก็ลอยเข้ามาให้เขาได้สดับฟัง เขากวาดตามองสำรวจไปรอบๆ ภายในร้านตกแต่งด้วยแชนเดอเลียร์สีทองแขวนเด่นอยู่กลางเพดานส่องสว่างอยู่เบื้องบน ผนังติดด้วยวอลเปเปอร์สีแดงไวน์ดูหรูหรามีลวดลายวิจิตรสีทองรูปเถาไม้เลื้อย พื้นทั้งหมดถูกปูด้วยพรมขนสั้นสีน้ำตาลเข้มเข้ากับบรรยากาศ ชุดโต๊ะไม้ขัดเงาปูด้วยผ้าปูโต๊ะลินินสีขาวสะอาดและเก้าอี้ไม้ขัดเงาทรงยุโรปโบราณบุด้วยเบาะกำมะหยี่สีครีมปักดิ้นลายสีเงินยิ่งเพิ่มความสวยงามให้กับสถานที่ ซอกหลืบทางด้านซ้ายที่นำไปสู่ห้องสุขา ด้านในสุดของร้านเป็นเวทีซึ่งพื้นที่ล่างด้านข้างถูกจัดไปด้วยวงดนตรี เครื่องดนตรีชนิดต่างๆบรรเลงร่วมกันอย่างลงตัวประสานไปกับเปียโนสีดำขลับอีกหนึ่งหลังที่อยู่บนเวทีเคียงข้างกับนักร้องสาวคนสวยในชุดราตรีสีเงินประดับเลื่อมแวววาวที่กำลังขับขานเพลงโอ้ ดอนน่า คลาร่าด้วยท่าทางอันเย้ายวนและเสียงอันหวานใสชวนให้เคลิบเคลิ้ม ลูกค้าที่อยู่ในร้านมีทั้งนายทหารและชาวปารีเซียนปะปนกัน ทุกคนล้วนมีสีหน้าปริ่มสุขกับการดื่มด่ำบรรยากาศพร้อมเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรี เพียงเท่านี้เกอร์ฮาร์ดก็ยอมรับว่าเขาหลงรักสถานที่แห่งนี้เสียแล้ว พวกเขายืนมองอยู่ไม่นานก็หาที่นั่งได้ในโต๊ะหนึ่งตรงกลางที่อยู่เยื้องมาทางขวาเล็กน้อย เมื่อพนักงานสาวเดินมาต้อนรับ เขาและเพื่อนก็เริ่มสั่งอาหาร เขาและวิลไฮล์มสั่งซุปข้าวโพดครีมข้นคู่กับมันฝรั่งบดและไวน์ ส่วนฟรานซ์ผู้ชอบของหนักนั้นสั่งสเต๊กและมันฝรั่งทอดพร้อมเบียร์ขวดใหญ่ ระหว่างรออาหาร พวกเขาก็ปล่อยตัวให้เพลิดเพลินสนุกสนานไปกับการแสดงต่างๆบนเวที แต่เขาสังเกตว่าฟรานซ์ที่ปกติแล้วจะไม่มีทางละสายตาจากนักร้องสวยๆบนเวทีเด็ดขาดนั้นตอนนี้กลับดูวอกแวกและกระวนกระวาย เขาหันมองซ้ายขวาและก้มดูนาฬิกาข้อมือเป็นระยะๆราวกับกำลังรอคอยใครสักคนอยู่ และดูเหมือนวิลไฮล์มเองก็คงสังเกตท่าทางนั้นเช่นกัน เพราะเขาเหลือบมองมาที่เกอร์ฮาร์ดและส่งสายตาเป็นเชิงคำถาม เขาได้แต่ยักไหล่ตอบไปเพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ในใจนั้นเขาแอบเดาว่าเพื่อนคนนี้คงจะไม่พ้นเรื่องผู้หญิงอีกเป็นแน่แท้


          และก็จริงอย่างที่เขาว่า อีกราวสิบกว่านาทีให้หลัง มีหญิงสาวผมสีน้ำตาลแดงดัดลอนเงางามรูปร่างสะโอดสะองในชุดเดรสสีน้ำตาลคนหนึ่งเดินตรงมาที่โต๊ะของพวกเขา ทันทีที่ฟรานซ์เห็นเธอ เขาก็ลุกเดินไปรับมานั่งร่วมโต๊ะทันทีด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข เมื่อนั้นที่เขาได้เห็นใบหน้าของเธอชัดๆ เธอมีนัยน์ตาสีเทาอ่อนเปล่งประกายทรงเสน่ห์บนรูปหน้าเรียวมนที่ผ่านการแต่งหน้าสวยงามครบเครื่อง และเครื่องประดับที่สวมใส่นั้นยิ่งขับให้เธอดูงดงามยิ่งขึ้น แต่ยังไม่ทันจะได้พูดพร่ำทำเพลงอะไร เพื่อนตัวดีของเขาก็เริ่มจับมือเรียวของเธอและพรมจูบก่อนจะโอบกอดเธอไว้และเริ่มโปรยสารพัดคำหวานให้เจ้าตัวต้องก้มหน้ายิ้มปริ่มเพราะความขวยเขิน แต่ก่อนที่เกอร์ฮาร์ดจะได้ทันเอ่ยปากถามอะไร วิลไฮล์มก็ชิงกล่าวขึ้นมาซะก่อน 

     " ว่าแล้วว่าท่าทางนายเหมือนรออะไรอยู่ กะแล้วเชียวว่าต้องไม่พ้นเรื่องนี้ นี่ใครอีกล่ะ"

            เจ้าตัวที่ถูกเอ่ยถึงก็ตอบกลับมาด้วยเสียงที่ดูหงุดหงิดเพราะถูกขัดจังหวะ 

    ก็คนสวยของฉันคืนนี้สิเว้ย เธอชื่ออิซาแบล สวยใช่ไหมล่ะ ฉันไปเจอเธออยู่แถวๆถนนใหญ่เลยขอมาเดทน่ะ" 

            ว่าแล้วฟรานซ์ก็หันไปดึงตัวเธอมาหอมแก้มฟอดเสียหนึ่งฟอด 

    "เพื่อนผมอิจฉาผมล่ะอิซซี คุณน่ะสวยสุดๆเลยนะที่รัก"

           คำเยินยอนั้นทำให้เธอหลุดหัวเราะคิกคักออกมาเสียยกใหญ่ก่อนจะหันไปจิบไวน์ที่พ่อหนุ่มของเธอสั่งมาให้ แต่เขาเองก็ยังสงสัยถึงตัวคู่ขาคนสวยของเพื่อนเขาอยู่ดี เธอคนนี้ก็เป็นชาวเมืองนี่นา แต่ทำไมไม่มีท่าทีรังเกียจหรือไม่พอใจพวกเขาเลนแม้แต่คนเดียว สุดท้ายความสงสัยก็ชนะทุกอย่าง เขาเอนตัวไปกระซิบถามเพื่อนนักรักในขณะที่อิซาแบลกำลังเพลินกับการชมนักเต้นที่กำลังแสดงอยู่บนเวที 


    "เห้ยฟรานซ์ นายไปขอเขาเดทยังไงวะนั่น ฉันว่าเธอดูเป็นมิตรแปลกๆอยู่นา"

            ฟรานซ์ส่งยิ้มแหยๆมาให้เขาพลางหันกลับไปมองเพื่อให้แน่ใจว่าอิซาแบลไม่ได้กำลังสนใจพวกเขาก่อนจะเอ่ย 

    "อย่าเอ็ดไปเชียว..ฉันบอกได้แค่ว่าจ่ายไปแพงอยู่"

           คำตอบเพียงเท่านั้นทำให้เขาถึงกับเผลอทำตาโตด้วยความตกใจ 

    อะไรนะ งั้นแสดงว่าผู้หญิงคนนี้.." 

    เออ ตามนั้นแหละพวก " 


            ฟรานซ์ยักไหล่ให้เขาทีหนึ่งก่อนจะเริ่มทำเสียงอ่อนออดอ้อนเจ้าหล่อนอีกระลอก เขาส่ายหัวกับนิสัยเดิมๆที่ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียวของเพื่อนผู้มากรัก เขาหวังว่าสักวันหนึ่งเพื่อนผู้เนื้อหอมคนนี้จะยอมสลัดคราบนักรักและลงหลักปักฐานกับใครสักคนแบบจริงจังได้สักที 


            หลังจากนั้นไม่นานนักอาหารก็มาเสิร์ฟถึงที่โต๊ะ เพียงชิมไปแค่คำแรก เกอร์ฮาร์ดก็ถึงกับต้องยกนิ้วให้เป็นหนึ่งในร้านที่อาหารอร่อยที่สุดสำหรับเขานอกเหนือจากร้านออสวอลด์ นาค ร้านโปรดในกรุงเบอร์ลินที่เขามักจะไปอุดหนุนเป็นประจำหลังเลิกงาน และดูเหมือนวิลไฮล์มเองก็คิดแบบเดียวกันเพราะเกอร์ฮาร์ดสังเกตว่าเขาตั้งหน้าตั้งตากินด้วยท่าทางที่เอร็ดอร่อยขัดกับบุคลิกที่จุกจิกเรื่องการกิน ส่วนอีกคนนั้นก็กำลังมีโลกส่วนตัวอันหวานแหววกับคู่ขาของตัวเองอยู่จึงไม่ได้ให้ความสนใจกับอาหารสักเท่าไหร่นัก 

            มื้อค่ำยังคงดำเนินไปตามปกติ แต่เมื่อดนตรีได้เปลี่ยนมาเป็นบรรเลงเพลงวอลท์ บรรดาลูกค้าผู้มารับประทานอาหารหลายโต๊ะก็ได้ดึงความสนใจของทั้งเขาและเพื่อนโดยการจับคู่ชายหญิงพากันเดินไปที่ฟลอร์หน้าเวทีและเริ่มเต้นรำตามจังหวะเพลงอย่างช้าๆ อ่อนช้อยและนุ่มนวล เช่นเคย ทันทีที่เพื่อนผู้เนื้อหอมของเขาได้แลเห็นภาพนั้น ฟรานซ์ก็หันมากล่าวกับเขาและวิลไฮล์มด้วยท่าทางเริงร่า 

    เห้ยพวกนาย วันนี้กลับกันไปก่อนได้เลยนะ ไม่ต้องรอ เดี๋ยวฉันจะพาอิซซีไปต่อ~ คืนนี้ท่าจะเป็นคืนที่ยาวนานสำหรับเราสองคน..จริงไหมที่รัก"

           เธอไม่ได้ตอบอะไรหากแต่เขย่งตัวขึ้นไปมอบจุมพิตแนบกับแก้มทั้งสองข้างของเพื่อนเขาก่อนจะส่งยิ้มให้อย่างมีเลศนัย และภาพสุดท้ายที่เขาและวิลไฮล์มได้เห็นนั่นคือ ภาพของฟรานซ์ที่โน้มตัวลงไปมอบจุมพิตแก่ริมฝีปากที่แต่งแต้มด้วยลิปสติกสีแดงแสดของอิซาแบลอย่างเร่าร้อนก่อนจะใช้มือหนาอันแข็งแกร่งโอบตัวเธอไว้แนบชิดและหายเข้าไปในฟลอร์รวมกับกลุ่มผู้ที่กำลังเต้นรำ เขาและวิลไฮล์มจึงนั่งดื่มสังสรรค์กันต่อที่โต๊ะก่อนจะแยกย้ายกันกลับตอนสองทุ่มกว่าๆเพื่อไปพักผ่อน 


           ทันทีที่เกอร์ฮาร์ดกลับมาถึงเต็นท์ของเขาในค่าย เขาก็จัดแจงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาใส่เพียงแค่เสื้อกล้ามสีขาวที่เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแขนอันแข็งแกร่งแบบทหารและกางเกงลำลองสีกากีเพิ่มความสบายตัว จากนั้นเขาเตรียมเครื่องแบบชุดใหม่ให้พร้อมสำหรับวันรุ่งขึ้น คือเสื้อกล้ามและเชิ้ตสีขาวซึ่งเป็นเสื้อชั้นในกับเสื้อนอกทหารสีเขียวที่บรรจงติดเข็มตราต่างๆไว้ครบถ้วนเรียบร้อย และกางเกงทหารสีเขียวกับสายเอี๊ยมพร้อมด้วยเข็มขัดที่มีกระเป๋าใส่ปืนพกขนาดเล็ก เขาพับทุกอย่างวางไว้บนโต๊ะที่อยู่ปลายเตียงอย่างเรียบร้อยก่อนจะหยิบเอารองเท้าบูทคอมแบททหารมาเช็ดทำความสะอาดและขัดด้วยน้ำยาให้ขึ้นเงา เขาวางรองเท้านั้นพิงไปกับขาโต๊ะที่วางเครื่องแบบ และในตอนที่เขาล้มตัวลงบนที่นอน ความวิตกกังวลเมื่อกลางวันนั้นก็วนกลับมารบกวนจิตใจเขาอีกครั้งหนึ่ง พรุ่งนี้แล้วสินะ ที่เขาจะได้ย้ายเข้าไปอยู่ร่วมกับครอบครัวของชาวเมือง..เขาจะเข้ากันได้กับเหล่าเจ้าของบ้านได้ไหมนะ แต่แล้วเขาก็ยังไม่สามารถจินตนาการภาพเหล่านั้นออกมาได้ ท้ายที่สุดเขาจึงสรุปว่าคงมีแต่ต้องพบเจอด้วยตนเองในวันพรุ่งนี้ถึงจะได้คำตอบสำหรับคำถามเจ้าปัญหานี้ เขาจึงเลิกคิดถึงมันและหลับตาลงท่ามกลางแสงเรืองสลัวอันอบอุ่นของตะเกียงที่จุดอยู่ตามทางเดินภายนอก 


            บรรยากาศภายในบ้านเลขที่ยี่สิบหก บนถนนสายห้าเต็มไปด้วยความอึมครึม ภายในบ้านซึ่งในยามดึกเช่นนี้หลายห้องล้วนปิดไฟมืดสนิทเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคนในบ้านกำลังจะเตรียมตัวเข้านอน แต่ที่โดดเด่นคือห้องนั่งเล่นที่ยังคงสว่างไสวอยู่ห้องเดียวในบ้านจากแสงโคมไฟตัวเล็กๆที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างโซฟาผ้าสีน้ำตาลปักลายดอกไม้สีครีม ร่างของหญิงสาวในชุดนอนผ้าซาตินลูกไม้สีขาวที่กำลังนั่งอยู่นั้นกำลังอยู่ในอารมณ์หงุดหงิดเมื่อดูจากท่าทางการกอดอกและสีหน้าบูดบึ้งของเจ้าหล่อนภายใต้แสงจากโคมไฟ มือเรียวของเธอกำจดหมายอันคุ้นตาที่ตอนนี้มีรอยยับอยู่หลายที่ราวกับมันเคยถูกขยำมาก่อนหน้านี้ไม่นานนัก นัยน์ตาสีน้ำผึ้งของเธอกวาดตาอ่านจดหมายฉบับนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็มิอาจนับได้ เธอเพียงแค่อยากจะทำให้ตัวเองแน่ใจว่าเธอไม่ได้ฝันไป ฝันร้ายนี้จะเข้าถึงชีวิตของเธอในวันรุ่งขึ้นและนั่นก็เป็นเหตุให้เธอวิตกกังวลจนไม่อาจข่มตาหลับได้ ประกอบกับความแค้นใจและความโกรธก็ทำให้เธอไม่อาจห้ามมิให้นัยน์ตาสวยมีหยาดน้ำตารื้นขึ้นมาได้ ในตอนนั้นเองที่เสียงเดินลงบันไดและเสียงเรียกได้ดึงความสนใจของเธอออกจากฝันร้ายนั้นชั่วขณะ 


    เฟลิเซีย..หนูไม่เป็นไรนะ" 

            

          เมื่อหันไปมองเจ้าของเสียง มาดามโคเล็ตต์ผู้เป็นป้าของเธอกำลังมองมาด้วยสายตาเป็นห่วง 


    "ค่ะ..เดี๋ยวหนูขึ้นไปนอนนะคะ" 

            ได้ยินดังนั้น มาดามจึงได้แต่พยักหน้าโดยไม่ได้เซ้าซี้อะไรก่อนจะเดินกลับขึ้นไปยังห้องของตนเอง เธอรู้ดีว่าไม่จำเป็นต้องไปถามไถ่อะไรให้มากความเพราะหลานสาวของเธอนำจดหมายมาให้เธออ่านทันทีที่เธอกลับมาถึงบ้านหลังจากไปซื้อของที่ชานเมือง และตลอดบ่ายวันนั้นเธอก็หมดเวลาไปกับการเตรียมห้องนอนอีกห้องหนึ่งที่เหลืออยู่บนชั้นสองให้พร้อม สำหรับตัวเธอนั้นเธอคิดเอาไว้ตั้งแต่สงครามเกิดแล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึงในสักวันหนึ่ง แต่สำหรับหลานสาวของเธอแล้วดูจะรับไม่ได้เอาเสียเลยไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม แล้วมาดามก็หยุดคิดเพียงเท่านั้นเมื่อเธอได้ยินเสียงเดินขึ้นบันไดดังใกล้เข้ามาก่อนจะแผ่วลงและหายไปตามเสียงปิดประตูห้องนอนฝั่งตรงข้าม เธอจึงปิดโคมไฟที่หัวเตียงเพื่อเข้านอนบ้าง จนในที่สุด บ้านหลังนี้ก็มืดสนิทกลมกลืนและหลับใหลไปพร้อมกับความมืดแห่งยามรัตติกาลภายนอกท่ามกลางดวงดาวที่สุกสกาวอยู่เบื้องบน

     


    ..................................................................................................................................................
    *ค่ายยุวชน หรือ ยุวชนฮิตเลอร์ หลักสูตรภาคบังคับที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ตั้งขึ้นให้เด็กๆชาวเยอรมัน มีรูปแบบคล้ายลูก   เสือแต่จะเน้นการอบรมและปลูกฝังอุดมการณ์ของนาซีให้กับเด็กๆ
    *กางเขนเหล็ก(iron cross) เหรียญกล้าหาญที่มอบให้เป็นรางวัลสำหรับนายทหารเยอรมัน



    ถึงผู้อ่านที่รักทุกคน

    ตอนนี้เรื่องก็มาถึงบทที่3แล้วเนอะ ยอมรับว่าดีใจมากที่เอาชนะความชอบดองและนิสัยเดิมๆได้สักที(แม้ว่าก่อนหน้านี้จะแอบดองไปบ้างแล้วก็เถอะ...) แต่ตอนนี้เสียใจมากที่ต้องบอกว่าพรุ่งนี้ไรต์เปิดเทอมแล้ว(เศร้า T-T) ไรต์เลยมาคิดๆดูว่าถ้าเกิดเขียนตอนนึงเสร็จแล้วค่อยอัพตู้มไปทีเดียวเหมือนที่ผ่านๆมานี่ท่าทางไม่น่าโอเคแล้วเพราะคงต้องใช้เวลาเขียนนานกว่าเดิม(ซึ่งเดิมทีมันก็นานมากอยู่แล้ว...)แล้วไรต์กลัวว่ามันจะช้าและร้างมากเกินก็เลยคิดว่าเปลี่ยนมาทยอยอัพเป็นตอนๆท่อนๆไปน่าจะโอเคมากกว่า อย่างน้อยมีอะไรอ่านนิดนึงดีกว่าปล่อยให้ร้างระหว่างรอตอนใหม่เนอะ

                                                                                                                         
                                                                                                                                                                                 รักทุกคนจ้า
                                                                                                                           
                                                                                                                                                                                    S.c.eip
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×