คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3 ชายหนุ่มผู้มาเยือน
"ไง..ตกลงจะไปด้วยกันไหมเพื่อน"
แม้ว่านี่จะเป็นไอเดียที่ออกมาจากปากของเพื่อนผู้ที่เป็นทั้งยอดนักรักและยอดนักท่องราตรี แต่มันก็ดูเป็นความคิดทีน่าสนใจทีเดียว เพราะเขาเองก็สนุกกับการทานอาหารไปพร้อมๆกับฟังดนตรีเพราะๆที่ชวนให้เพลิดเพลินได้ไม่เบื่อเช่นกัน
" เออๆ ไปก็ไป ไหนๆวันแรกๆฉันยังไม่ต้องทำงานอะไรอยู่แล้ว"
ฟรานซ์ก็ฉีกยิ้มกว้างออกมาทันทีที่ได้ฟังคำตอบของเขา
" ต้องยังงี้สิ! ตอนเย็นๆไปด้อมๆมองๆหาพวกฉันแถวๆจัตุรัสละกัน เลิกงานแล้วเดี๋ยวจะพาไป"
ฟรานซ์เอ่ยพร้อมยักคิ้วให้เขาทีหนึ่งก่อนจะลุกจากที่นั่ง
"เจอกัน"
วิลไฮล์พยักหน้าให้เขาขณะเอามือเสยผมสีดำชะเอมให้เรียบร้อยก่อนสวมหมวกทับลงไป ทั้งสองลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินมาตบบ่าเขา เก็บข้าวของๆตนเองและเดินไปยังถนนข้างหน้า
" เฮ้ พวกนายจะไปไหนกัน? "
วิลไฮล์นั้นเดินนำไปไกลถึงอีกฝั่งถนนแล้วจึงไม่ได้ยินเสียงเขา ส่วนฟรานซ์ที่ยังเดินเอ้อระเหยอยู่ในละแวกใกล้ๆจึงหันมาตะโกนบอก
" กลับไปทำงานสิเพื่อน!เจอกันตอนเย็น! "
เขาโบกมือลาเกอร์ฮาร์ดก่อนจะเร่งฝีเท้าตามวิลไฮล์ให้ทัน ไม่นานนักทั้งสองก็หายลับไปจากสายตาเขาเข้าไปในฝูงชนที่เดินผ่านไปมา
หลังเสร็จจากมื้ออาหาร เขาก็จ่ายเงินและเดินออกจากร้านเข้าสู่ช่วงถนน เขาเดินชมตึกรามบ้านช่องต่างๆสไตล์ยุคโรแมนติกแบบฝรั่งเศสพลางดื่มด่ำกับบรรยากาศทั้งสองข้างทาง ในสองวันแรกนั้นเขายังไม่ได้รับมอบหมายงานใดๆจึงมีเวลาเหลือเฟือในการเดินเที่ยวและชมไปตามที่ต่างๆ
เที่ยงวันยามเมื่อแสงแดดส่องสว่างเจิดจ้าอยู่เหนือกรุงปารีสและอากาศเริ่มร้อน
เกอร์ฮาร์ดคิดว่าเขาอยากไปเดินเล่นอยู่ตามสวนสาธารณะสักที่ที่พอจะมีต้นไม้ร่มรื่นเพื่อหลบร้อน
เขายังไม่อยากกลับไปที่ค่ายเพราะรู้ดีว่าอากาศภายในเต็นท์นั้นอบอ้าวยิ่งกว่าอยู่ข้างนอกเสียอีก
ท้ายสุดแล้ว เขาก็เลือกที่จะนั่งพักอยู่บนพื้นหญ้าใต้ร่มเงาต้นไม้ในจัตุรัส
ด้วยท้องที่อิ่มประกอบกับอากาศที่อบอุ่นกำลังพอดีก็ทำให้เขาค่อยๆเอนตัวลงนอนระนาบไปกับผืนหญ้าอันอ่อนนุ่ม
เขาถอดหมวกของเครื่องแบบออกเผยให้เห็นเส้นผมสีน้ำตาลคาราเมลเหลือบบลอนด์ที่ตอนนี้ส่องประกายสีทองจากแสงแดด
เขาวางหมวกลงข้างกายก่อนจะเอามือประสานกันไว้ใต้ศีรษะแทนหมอน แหงนมองวิวที่อยู่ข้างหน้าไปด้วยความเพลิดเพลินพลางปล่อยความคิดให้ไหลไปตามสายลมอ่อนๆที่พัดมาเป็นระยะๆ
แต่เรื่องหนึ่งที่เขายังคงอดสลัดทิ้งไปไม่ได้คือเรื่องของเหล่าชาวเมืองที่ฟรานซ์พูดเมื่อตอนนั่งอยู่ด้วยกัน
ถ้าเพื่อนของเขาสองคนต่างก็เจอมาคนละรูปแบบกัน แล้วตัวเขาล่ะ
เขาจะได้อยู่กับครอบครัวแบบไหนกันนะ จะเจอแบบที่ดีกับเขา
หรือจะแย่กว่าที่เพื่อนๆของเขาได้เจอมา
ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งทำให้เขาไม่สบายใจเอาซะเลย แต่สุดท้าย
ความเหนื่อยก็ได้แทรกแซงมาแทนที่และความรู้สึกสบายจากสถานที่นั้นก็ทำให้เปลือกตาทั้งสองข้างของเขาค่อยๆปิดลง
เป็นเวลาเกือบบ่ายพอดีในตอนที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะเสียงดังจากสภาพแวดล้อมรอบๆตัว เขาค่อยๆลืมตาอย่างช้าๆด้วยความงัวเงียและพบว่าแสงแดดยังคงส่องจ้าอยู่ แต่ก็อ่อนเบาลงมากกว่าเมื่อตอนเที่ยงพอสมควร มือหนาคลำหาหมวกของตนเองที่วางไว้ข้างๆ เมื่อคว้าได้แล้วเขาก็ยกตัวลุกกลับขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง เขาพบว่าเสียงรอบข้างที่ดังจนเป็นเหตุให้เขาต้องตื่นนั้นมาจากบรรดาทหารที่กำลังใช้เวลาพักผ่อนในช่วงพักเที่ยงนั่นเอง บ่อน้ำบาดาลสาธารณะกลางจัตุรัสในตอนนี้รายล้อมไปด้วยนายทหารที่มาล้างหน้าล้างตาเพื่อคลายความร้อนและดื่มแก้กระหาย เสียงคุยจอแจจากทหารที่เดินคุยกันเป็นกลุ่มๆอยู่ตามท้องถนน และทหารเด็กๆกลุ่มเล็กๆอีกกลุ่มที่กำลังนั่งแซวหญิงสาวที่เดินผ่านไปมาอยู่ไม่ไกลจากเขา
เกอร์ฮาร์ดจำได้ว่าเขามีนัดมาเจอกับเพื่อนๆเขาที่นี่ในอีกสามสี่ชั่วโมงข้างหน้า
เขาคิดว่าเขาควรจะกลับไปที่ค่ายเพื่อล้างเนื้อตัวและเปลี่ยนเครื่องแบบพอเป็นพิธีสักหน่อย
ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นและจัดเครื่องแบบของตนเองให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย
เอามือเสยผมที่ยุ่งเหยิงจากการนอนไปไว้ข้างหลังก่อนปิดท้ายด้วยการใส่หมวกทับ ทันทีที่เขากลับถึงค่ายในเขตเข้าเมือง
เขาก็ไม่รอช้าที่จะจัดการธุระส่วนตัวทุกอย่างจนหมด
ในตอนแรกเขาคิดว่าจะออกไปเดินเล่นตามบริเวณนอกเมืองเสียหน่อย
แต่พอเขาได้ล้างเนื้อตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว
เขาก็เปลี่ยนใจหันมานั่งพักอยู่ในเต็นท์ของตัวเองแทน
เขาเอามือล้วงกระเป๋าเดินทางหนังสีน้ำตาลของตัวเองและดึงสมุดโน้ตที่เขาพกติดตัวมาจากเยอรมันขึ้นมา
เขาเปิดสมุดนั้นไล่ไปเรื่อยๆ
แต่ละหน้านั้นมีภาพวาดและภาพสเก็ตช์ต่างๆถูกเขียนอย่างประณีตอยู่บนหน้ากระดาษ
ทั้งภาพสเก็ตช์ตลาดของกรุงเบอร์ลินในวันหยุด
ภาพของชายหาดในยามพระอาทิตย์ตกดินและภาพอื่นๆอีกหลายภาพซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นผลงานของเขาทั้งสิ้น
การวาดภาพคืองานอดิเรกของเขามาตั้งแต่ตอนเขายังเป็นเด็กชายตัวน้อยในค่ายยุวชน* เขารู้สึกว่าการวาดภาพทำให้เขาผ่อนคลายและสร้างความทรงจำดีๆที่ทำให้มีความสุขทุกครั้งที่ได้ย้อนกลับมาดูมัน
เมื่อเปิดไปถึงหน้าล่าสุด
เขาก็วางสมุดนั้นกางลงบนตักและเอื้อมมือล้วงเอาดินสอออกมาจากกระเป๋าที่มีกางเขนเหล็ก*และเข็มตรายศต่างๆติดประดับอยู่ก่อนจะเริ่มลงมือขีดเขียนลงหน้าต่อไปของสมุดเล่มนั้น
เขาวาดทั้งช่วงถนนที่เงียบสงบในยามเช้า
วาดร้านคาเฟ่ที่เขาได้ไปนั่งทานอาหารและจัตุรัสกลางเมืองภายใต้แสงแดดสีทองในตอนเที่ยงวัน หลังจากวางมือเสร็จจากผลงานทั้งสามก็ดูเหมือนว่าเขาจะยังเหลือเวลาอีกราวๆชั่วโมงกว่าๆก่อนจะถึงเวลานัด
เขารู้ดีว่าระยะทางจากค่ายไปถึงนั้นใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบนาทีในการเดินเข้าไปยังใจกลางเมือง
เขาจึงจัดการเก็บสมุดเข้าลงกระเป๋าของเขาให้เรียบร้อยก่อนจะออกจากค่ายและมุ่งหน้าไปยังสถานที่นัด
ไม่ยากเลยที่จะมองหาเพื่อนๆของเขาท่ามกลางนายทหารมากมายที่เดินตรวจลาดตระเวนอยู่ในพืนที่บริเวณนั้น เพราะทั้งฟรานซ์และวิลไฮล์มนั้นปลีกตัวเดินออกมาหาเขาทันทีที่เห็นเขาเดินป้วนเปี้ยนไปมาแถวๆนั้น เมื่อทั้งสองเดินมาถึงตัวเขา ทั้งคู่ก็กอดคอนำพาเขาไปยังเส้นทางสู่ร้านประจำตามที่นัดไว้ ในครั้งนี้เขาก็ได้เข้ามาสัมผัสบรรยากาศยามเย็นเข้าค่ำของกรุงปารีสอย่างแท้จริงจากคืนแรกที่เขาได้แต่มองดูอยู่ภายนอกเท่านั้น ย่านเดิมที่ร้านต่างๆปิดในตอนเช้าที่เขามานั้นบัดนี้กลับพากันเปิดไฟสว่างไสวดึงดูดผู้คน ไฟสีนวลออกส้มอ่อนๆจากเสาไฟส่องถนนขับให้เมืองในยามค่ำคืนดูสวยงามมากยิ่งขึ้น ยิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าใดก็ยิ่งได้ยินเสียงคุยเสียงหัวเราะยิ่งขึ้นเท่านั้น
ทั้งสองพาเขาเดินลัดเลาะผู้คนไปตามถนนจนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าตรอกแห่งหนึ่งซึ่งดูแล้วเป็นย่านที่ครึกครื้นที่สุดเท่าที่เขาเดินผ่านมา เกือบทุกร้านมีเสียงดนตรีและเสียงขับขานบทเพลงจากนักร้องดังลอยออกมาภคลอกันอยู่ภายนอกขับให้บรรยากาศดูครื้นเครงยิ่งขึ้น เขาคงจะแสดงสีหน้าออกมาชัดเจนมากไปหน่อย เพราะฟรานซ์หันมาถองเขา และถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะเริ่มมืดลงแล้ว แต่แสงไฟจากเสาและร้านรวงต่างๆก็ทำให้เขาสามารถเห็นสีหน้ายิ้มแย้มอันกรุ้มกริ่มของเพื่อน
" ฮั่นแน่~ ตื่นตาล่ะสินาย"
ว่าแล้วก็หันไปยุ่งยิ่งเพื่อนอีกคนที่กำลังมองวิวข้างทางไปเรื่อยเปื่อย
" เห็นไหมวิล ฉันบอกนายแล้วว่าหมอนี่ต้องชอบ เป็นความดีความชอบของฉันแท้ๆที่เจอตรอกนี่เนอะว่าไหม ฮ่าๆๆๆ "
และเหมือนเดิมอีกเช่นเคย แสงไฟสลัวๆจากรอบข้างทำให้เขาเห็นได้อย่างง่ายดายว่าเพื่อนผู้มีบุคลิกเงียบขรึมกำลังทำท่ากลอกตาใส่อีกคนด้วยความเอือมระอา
เขาจำได้ว่าเดินมาหยุดอยู่หน้าร้านหนึ่งที่อยู่เกือบจะสุดตรอก ถึงร้านนี้จะอยู่ลึกเกือบ แต่ก็เป็นร้านที่นิยมเมื่อดูจากพื้นที่ที่โอ่โถงและเสียงคุยเสียงหัวเราะของบรรดาลูกค้าที่ดังกว่าร้านแห่งอื่น เมื่อผลักประตูเข้าไป เสียงดนตรีและเสียงขับร้องก็ลอยเข้ามาให้เขาได้สดับฟัง เขากวาดตามองสำรวจไปรอบๆ ภายในร้านตกแต่งด้วยแชนเดอเลียร์สีทองแขวนเด่นอยู่กลางเพดานส่องสว่างอยู่เบื้องบน ผนังติดด้วยวอลเปเปอร์สีแดงไวน์ดูหรูหรามีลวดลายวิจิตรสีทองรูปเถาไม้เลื้อย พื้นทั้งหมดถูกปูด้วยพรมขนสั้นสีน้ำตาลเข้มเข้ากับบรรยากาศ ชุดโต๊ะไม้ขัดเงาปูด้วยผ้าปูโต๊ะลินินสีขาวสะอาดและเก้าอี้ไม้ขัดเงาทรงยุโรปโบราณบุด้วยเบาะกำมะหยี่สีครีมปักดิ้นลายสีเงินยิ่งเพิ่มความสวยงามให้กับสถานที่ ซอกหลืบทางด้านซ้ายที่นำไปสู่ห้องสุขา ด้านในสุดของร้านเป็นเวทีซึ่งพื้นที่ล่างด้านข้างถูกจัดไปด้วยวงดนตรี เครื่องดนตรีชนิดต่างๆบรรเลงร่วมกันอย่างลงตัวประสานไปกับเปียโนสีดำขลับอีกหนึ่งหลังที่อยู่บนเวทีเคียงข้างกับนักร้องสาวคนสวยในชุดราตรีสีเงินประดับเลื่อมแวววาวที่กำลังขับขานเพลงโอ้ ดอนน่า คลาร่าด้วยท่าทางอันเย้ายวนและเสียงอันหวานใสชวนให้เคลิบเคลิ้ม ลูกค้าที่อยู่ในร้านมีทั้งนายทหารและชาวปารีเซียนปะปนกัน ทุกคนล้วนมีสีหน้าปริ่มสุขกับการดื่มด่ำบรรยากาศพร้อมเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรี เพียงเท่านี้เกอร์ฮาร์ดก็ยอมรับว่าเขาหลงรักสถานที่แห่งนี้เสียแล้ว พวกเขายืนมองอยู่ไม่นานก็หาที่นั่งได้ในโต๊ะหนึ่งตรงกลางที่อยู่เยื้องมาทางขวาเล็กน้อย เมื่อพนักงานสาวเดินมาต้อนรับ เขาและเพื่อนก็เริ่มสั่งอาหาร เขาและวิลไฮล์มสั่งซุปข้าวโพดครีมข้นคู่กับมันฝรั่งบดและไวน์ ส่วนฟรานซ์ผู้ชอบของหนักนั้นสั่งสเต๊กและมันฝรั่งทอดพร้อมเบียร์ขวดใหญ่ ระหว่างรออาหาร พวกเขาก็ปล่อยตัวให้เพลิดเพลินสนุกสนานไปกับการแสดงต่างๆบนเวที แต่เขาสังเกตว่าฟรานซ์ที่ปกติแล้วจะไม่มีทางละสายตาจากนักร้องสวยๆบนเวทีเด็ดขาดนั้นตอนนี้กลับดูวอกแวกและกระวนกระวาย เขาหันมองซ้ายขวาและก้มดูนาฬิกาข้อมือเป็นระยะๆราวกับกำลังรอคอยใครสักคนอยู่ และดูเหมือนวิลไฮล์มเองก็คงสังเกตท่าทางนั้นเช่นกัน เพราะเขาเหลือบมองมาที่เกอร์ฮาร์ดและส่งสายตาเป็นเชิงคำถาม เขาได้แต่ยักไหล่ตอบไปเพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ในใจนั้นเขาแอบเดาว่าเพื่อนคนนี้คงจะไม่พ้นเรื่องผู้หญิงอีกเป็นแน่แท้
และก็จริงอย่างที่เขาว่า อีกราวสิบกว่านาทีให้หลัง มีหญิงสาวผมสีน้ำตาลแดงดัดลอนเงางามรูปร่างสะโอดสะองในชุดเดรสสีน้ำตาลคนหนึ่งเดินตรงมาที่โต๊ะของพวกเขา ทันทีที่ฟรานซ์เห็นเธอ เขาก็ลุกเดินไปรับมานั่งร่วมโต๊ะทันทีด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข เมื่อนั้นที่เขาได้เห็นใบหน้าของเธอชัดๆ เธอมีนัยน์ตาสีเทาอ่อนเปล่งประกายทรงเสน่ห์บนรูปหน้าเรียวมนที่ผ่านการแต่งหน้าสวยงามครบเครื่อง และเครื่องประดับที่สวมใส่นั้นยิ่งขับให้เธอดูงดงามยิ่งขึ้น แต่ยังไม่ทันจะได้พูดพร่ำทำเพลงอะไร เพื่อนตัวดีของเขาก็เริ่มจับมือเรียวของเธอและพรมจูบก่อนจะโอบกอดเธอไว้และเริ่มโปรยสารพัดคำหวานให้เจ้าตัวต้องก้มหน้ายิ้มปริ่มเพราะความขวยเขิน แต่ก่อนที่เกอร์ฮาร์ดจะได้ทันเอ่ยปากถามอะไร วิลไฮล์มก็ชิงกล่าวขึ้นมาซะก่อน
" ว่าแล้วว่าท่าทางนายเหมือนรออะไรอยู่ กะแล้วเชียวว่าต้องไม่พ้นเรื่องนี้ นี่ใครอีกล่ะ"
เจ้าตัวที่ถูกเอ่ยถึงก็ตอบกลับมาด้วยเสียงที่ดูหงุดหงิดเพราะถูกขัดจังหวะ
" ก็คนสวยของฉันคืนนี้สิเว้ย เธอชื่ออิซาแบล สวยใช่ไหมล่ะ ฉันไปเจอเธออยู่แถวๆถนนใหญ่เลยขอมาเดทน่ะ"
ว่าแล้วฟรานซ์ก็หันไปดึงตัวเธอมาหอมแก้มฟอดเสียหนึ่งฟอด
"เพื่อนผมอิจฉาผมล่ะอิซซี คุณน่ะสวยสุดๆเลยนะที่รัก"
คำเยินยอนั้นทำให้เธอหลุดหัวเราะคิกคักออกมาเสียยกใหญ่ก่อนจะหันไปจิบไวน์ที่พ่อหนุ่มของเธอสั่งมาให้ แต่เขาเองก็ยังสงสัยถึงตัวคู่ขาคนสวยของเพื่อนเขาอยู่ดี เธอคนนี้ก็เป็นชาวเมืองนี่นา แต่ทำไมไม่มีท่าทีรังเกียจหรือไม่พอใจพวกเขาเลนแม้แต่คนเดียว สุดท้ายความสงสัยก็ชนะทุกอย่าง เขาเอนตัวไปกระซิบถามเพื่อนนักรักในขณะที่อิซาแบลกำลังเพลินกับการชมนักเต้นที่กำลังแสดงอยู่บนเวที
"เห้ยฟรานซ์ นายไปขอเขาเดทยังไงวะนั่น ฉันว่าเธอดูเป็นมิตรแปลกๆอยู่นา"
ฟรานซ์ส่งยิ้มแหยๆมาให้เขาพลางหันกลับไปมองเพื่อให้แน่ใจว่าอิซาแบลไม่ได้กำลังสนใจพวกเขาก่อนจะเอ่ย
"อย่าเอ็ดไปเชียว..ฉันบอกได้แค่ว่าจ่ายไปแพงอยู่"
คำตอบเพียงเท่านั้นทำให้เขาถึงกับเผลอทำตาโตด้วยความตกใจ
" อะไรนะ งั้นแสดงว่าผู้หญิงคนนี้.."
" เออ ตามนั้นแหละพวก "
ฟรานซ์ยักไหล่ให้เขาทีหนึ่งก่อนจะเริ่มทำเสียงอ่อนออดอ้อนเจ้าหล่อนอีกระลอก เขาส่ายหัวกับนิสัยเดิมๆที่ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียวของเพื่อนผู้มากรัก เขาหวังว่าสักวันหนึ่งเพื่อนผู้เนื้อหอมคนนี้จะยอมสลัดคราบนักรักและลงหลักปักฐานกับใครสักคนแบบจริงจังได้สักที
หลังจากนั้นไม่นานนักอาหารก็มาเสิร์ฟถึงที่โต๊ะ เพียงชิมไปแค่คำแรก เกอร์ฮาร์ดก็ถึงกับต้องยกนิ้วให้เป็นหนึ่งในร้านที่อาหารอร่อยที่สุดสำหรับเขานอกเหนือจากร้านออสวอลด์ นาค ร้านโปรดในกรุงเบอร์ลินที่เขามักจะไปอุดหนุนเป็นประจำหลังเลิกงาน และดูเหมือนวิลไฮล์มเองก็คิดแบบเดียวกันเพราะเกอร์ฮาร์ดสังเกตว่าเขาตั้งหน้าตั้งตากินด้วยท่าทางที่เอร็ดอร่อยขัดกับบุคลิกที่จุกจิกเรื่องการกิน ส่วนอีกคนนั้นก็กำลังมีโลกส่วนตัวอันหวานแหววกับคู่ขาของตัวเองอยู่จึงไม่ได้ให้ความสนใจกับอาหารสักเท่าไหร่นัก
มื้อค่ำยังคงดำเนินไปตามปกติ แต่เมื่อดนตรีได้เปลี่ยนมาเป็นบรรเลงเพลงวอลท์ บรรดาลูกค้าผู้มารับประทานอาหารหลายโต๊ะก็ได้ดึงความสนใจของทั้งเขาและเพื่อนโดยการจับคู่ชายหญิงพากันเดินไปที่ฟลอร์หน้าเวทีและเริ่มเต้นรำตามจังหวะเพลงอย่างช้าๆ อ่อนช้อยและนุ่มนวล เช่นเคย ทันทีที่เพื่อนผู้เนื้อหอมของเขาได้แลเห็นภาพนั้น ฟรานซ์ก็หันมากล่าวกับเขาและวิลไฮล์มด้วยท่าทางเริงร่า
" เห้ยพวกนาย วันนี้กลับกันไปก่อนได้เลยนะ ไม่ต้องรอ เดี๋ยวฉันจะพาอิซซีไปต่อ~ คืนนี้ท่าจะเป็นคืนที่ยาวนานสำหรับเราสองคน..จริงไหมที่รัก"
เธอไม่ได้ตอบอะไรหากแต่เขย่งตัวขึ้นไปมอบจุมพิตแนบกับแก้มทั้งสองข้างของเพื่อนเขาก่อนจะส่งยิ้มให้อย่างมีเลศนัย และภาพสุดท้ายที่เขาและวิลไฮล์มได้เห็นนั่นคือ ภาพของฟรานซ์ที่โน้มตัวลงไปมอบจุมพิตแก่ริมฝีปากที่แต่งแต้มด้วยลิปสติกสีแดงแสดของอิซาแบลอย่างเร่าร้อนก่อนจะใช้มือหนาอันแข็งแกร่งโอบตัวเธอไว้แนบชิดและหายเข้าไปในฟลอร์รวมกับกลุ่มผู้ที่กำลังเต้นรำ เขาและวิลไฮล์มจึงนั่งดื่มสังสรรค์กันต่อที่โต๊ะก่อนจะแยกย้ายกันกลับตอนสองทุ่มกว่าๆเพื่อไปพักผ่อน
ทันทีที่เกอร์ฮาร์ดกลับมาถึงเต็นท์ของเขาในค่าย เขาก็จัดแจงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาใส่เพียงแค่เสื้อกล้ามสีขาวที่เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแขนอันแข็งแกร่งแบบทหารและกางเกงลำลองสีกากีเพิ่มความสบายตัว จากนั้นเขาเตรียมเครื่องแบบชุดใหม่ให้พร้อมสำหรับวันรุ่งขึ้น คือเสื้อกล้ามและเชิ้ตสีขาวซึ่งเป็นเสื้อชั้นในกับเสื้อนอกทหารสีเขียวที่บรรจงติดเข็มตราต่างๆไว้ครบถ้วนเรียบร้อย และกางเกงทหารสีเขียวกับสายเอี๊ยมพร้อมด้วยเข็มขัดที่มีกระเป๋าใส่ปืนพกขนาดเล็ก เขาพับทุกอย่างวางไว้บนโต๊ะที่อยู่ปลายเตียงอย่างเรียบร้อยก่อนจะหยิบเอารองเท้าบูทคอมแบททหารมาเช็ดทำความสะอาดและขัดด้วยน้ำยาให้ขึ้นเงา เขาวางรองเท้านั้นพิงไปกับขาโต๊ะที่วางเครื่องแบบ และในตอนที่เขาล้มตัวลงบนที่นอน ความวิตกกังวลเมื่อกลางวันนั้นก็วนกลับมารบกวนจิตใจเขาอีกครั้งหนึ่ง พรุ่งนี้แล้วสินะ ที่เขาจะได้ย้ายเข้าไปอยู่ร่วมกับครอบครัวของชาวเมือง..เขาจะเข้ากันได้กับเหล่าเจ้าของบ้านได้ไหมนะ แต่แล้วเขาก็ยังไม่สามารถจินตนาการภาพเหล่านั้นออกมาได้ ท้ายที่สุดเขาจึงสรุปว่าคงมีแต่ต้องพบเจอด้วยตนเองในวันพรุ่งนี้ถึงจะได้คำตอบสำหรับคำถามเจ้าปัญหานี้ เขาจึงเลิกคิดถึงมันและหลับตาลงท่ามกลางแสงเรืองสลัวอันอบอุ่นของตะเกียงที่จุดอยู่ตามทางเดินภายนอก
บรรยากาศภายในบ้านเลขที่ยี่สิบหก บนถนนสายห้าเต็มไปด้วยความอึมครึม ภายในบ้านซึ่งในยามดึกเช่นนี้หลายห้องล้วนปิดไฟมืดสนิทเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคนในบ้านกำลังจะเตรียมตัวเข้านอน แต่ที่โดดเด่นคือห้องนั่งเล่นที่ยังคงสว่างไสวอยู่ห้องเดียวในบ้านจากแสงโคมไฟตัวเล็กๆที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างโซฟาผ้าสีน้ำตาลปักลายดอกไม้สีครีม ร่างของหญิงสาวในชุดนอนผ้าซาตินลูกไม้สีขาวที่กำลังนั่งอยู่นั้นกำลังอยู่ในอารมณ์หงุดหงิดเมื่อดูจากท่าทางการกอดอกและสีหน้าบูดบึ้งของเจ้าหล่อนภายใต้แสงจากโคมไฟ มือเรียวของเธอกำจดหมายอันคุ้นตาที่ตอนนี้มีรอยยับอยู่หลายที่ราวกับมันเคยถูกขยำมาก่อนหน้านี้ไม่นานนัก นัยน์ตาสีน้ำผึ้งของเธอกวาดตาอ่านจดหมายฉบับนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็มิอาจนับได้ เธอเพียงแค่อยากจะทำให้ตัวเองแน่ใจว่าเธอไม่ได้ฝันไป ฝันร้ายนี้จะเข้าถึงชีวิตของเธอในวันรุ่งขึ้นและนั่นก็เป็นเหตุให้เธอวิตกกังวลจนไม่อาจข่มตาหลับได้ ประกอบกับความแค้นใจและความโกรธก็ทำให้เธอไม่อาจห้ามมิให้นัยน์ตาสวยมีหยาดน้ำตารื้นขึ้นมาได้ ในตอนนั้นเองที่เสียงเดินลงบันไดและเสียงเรียกได้ดึงความสนใจของเธอออกจากฝันร้ายนั้นชั่วขณะ
" เฟลิเซีย..หนูไม่เป็นไรนะ"
เมื่อหันไปมองเจ้าของเสียง มาดามโคเล็ตต์ผู้เป็นป้าของเธอกำลังมองมาด้วยสายตาเป็นห่วง
"ค่ะ..เดี๋ยวหนูขึ้นไปนอนนะคะ"
ได้ยินดังนั้น มาดามจึงได้แต่พยักหน้าโดยไม่ได้เซ้าซี้อะไรก่อนจะเดินกลับขึ้นไปยังห้องของตนเอง เธอรู้ดีว่าไม่จำเป็นต้องไปถามไถ่อะไรให้มากความเพราะหลานสาวของเธอนำจดหมายมาให้เธออ่านทันทีที่เธอกลับมาถึงบ้านหลังจากไปซื้อของที่ชานเมือง และตลอดบ่ายวันนั้นเธอก็หมดเวลาไปกับการเตรียมห้องนอนอีกห้องหนึ่งที่เหลืออยู่บนชั้นสองให้พร้อม สำหรับตัวเธอนั้นเธอคิดเอาไว้ตั้งแต่สงครามเกิดแล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึงในสักวันหนึ่ง แต่สำหรับหลานสาวของเธอแล้วดูจะรับไม่ได้เอาเสียเลยไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม แล้วมาดามก็หยุดคิดเพียงเท่านั้นเมื่อเธอได้ยินเสียงเดินขึ้นบันไดดังใกล้เข้ามาก่อนจะแผ่วลงและหายไปตามเสียงปิดประตูห้องนอนฝั่งตรงข้าม เธอจึงปิดโคมไฟที่หัวเตียงเพื่อเข้านอนบ้าง จนในที่สุด บ้านหลังนี้ก็มืดสนิทกลมกลืนและหลับใหลไปพร้อมกับความมืดแห่งยามรัตติกาลภายนอกท่ามกลางดวงดาวที่สุกสกาวอยู่เบื้องบน
ความคิดเห็น