บทที่ 2
ในเช้าวันถัดมา เกิดความยุ่งเหยิงชวนสับสนขึ้นในกรุงปารีสอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กองทัพเยอรมันหลากหลายหน่วยนำกำลังทั้งนายทหารและยานพาหนะชนิดต่างๆเข้ามาประจำการยังจุดต่างๆในเมือง จตุรัสเต็มไปด้วยรถขนทหาร รถถังขนาดเล็ก* กองทหารเยอรมันประจำการตามจุดต่างๆในมุมถนนและเดินขวักไขว่ตรวจตราอยู่ตามถนนทุกสาย และยังมีเครื่องบินรบอีกหลายลำจากลุฟวาฟเฟอ**แล่นไปมาอยู่บนน่านฟ้าส่งเสียงครืนๆของเครื่องจักรประสานกันชวนให้รู้สึกไม่สบายใจนักเมื่อได้สดับฟัง
ณ ตอนนี้กรุงปารีสไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ธงสวัสติกะและธงชาตินาซีเยอรมันถูกทยอยติดตามอาคารต่างๆที่เดิมเคยเป็นของรัฐบาลฝรั่งเศส เสียงประกาศต่างๆของพวกทหารดังออกมาจากลำโพงกระจายเสียงและกึกก้องอื้ออึงไปทั่วทั้งเมือง ที่เสาไฟส่องถนนบางต้นถูกติดด้วยใบปลิวเชิญชวนอาสาสมัครทหารต่างชาติชาวฝรั่งเศสเพื่อเข้าร่วมกับกองทัพเยอรมัน ผนังของอาคารต่างๆหลากสีสันไปด้วยภาพวาดของโปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อที่ถูกติดเอาไว้ด้วยเช่นกัน ริมถนนช่วงเช้าที่ปกติแล้วต้องเนืองแน่นไปด้วยชาวปารีเซียนที่ใช้สัญจรไปมา ในตอนนี้กลับดูบางตาลงอย่างน่าตกใจ สิ่งเดียวที่เห็นได้ชัดคือทหารเยอรมันที่เด่นด้วยเครื่องแบบโทนสีเขียว ดำและน้ำเงินเดินปะปนอยู่กับชาวเมืองตามถนนสายต่างๆ ความรู้สึกนึกคิดที่เหล่าชาวเมืองมีต่อนายทหารเหล่านี้คือความหวาดกลัว ความไม่พอใจและความสับสนปนเปผสมกันอยู่ในสีหน้าของพวกเขา เด็กเล็กๆต่างเกาะติดผู้เป็นพ่อและแม่แน่นด้วยความหวาดกลัวขณะเดินอยู่บนถนนสายหนึ่ง พี่น้องหญิงสาวคู่หนึ่งเหลือบมองนายทหารที่เดินสวนกันด้วยสายตาเกลียดชังก่อนจะพากันเดินเลี้ยวเข้าไปในจัตุรัส เจ้าของร้านค้าต่างง่วนอยู่กับการคัดแยกสินค้าที่เพิ่งส่งมาถึงร้านของตน พวกเขาคัดแยกสินค้าที่คุณภาพดีที่สุดออกไปก่อน และจัดแจงจัดเรียงสินค้าเหล่านั้นใส่ลงในลังไม้ซึ่งมีตราประทับของกองทัพเยอรมันพร้อมป้ายที่เขียนไว้ว่า "Für Soldaten" ที่แปลว่า "สำหรับนายทหาร" ซึ่งจากคำสั่งนี้ ทำให้ร้านค้าต่างๆต้องเปิดร้านสายกว่าปกติ ไม่มีเจ้าของร้านคนไหนพอใจในคำสั่งนี้ ทั้งที่พวกทหารบังคับเอาของดีๆจากร้านพวกเขาไป แต่พวกเขาก็ได้เงินเทียบเท่าราคาสินค้าคุณภาพปกติเท่านั้น แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากก้มหน้าทำตามคำสั่งต่อไป
ถัดออกมาที่ถนนเส้นทางสัญจรต่างๆในกรุงปารีส เนื่องจากสภาวะขาดแคลนน้ำมันและเชื้อเพลิงของรถยนต์ ชาวเมืองจึงจำเป็นต้องคิดหายานพาหนะชนิดอื่นที่สามารถนำมาใช้แทนรถยนต์ได้ ทำให้ในตอนนี้ บนถนนจึงมีชาวเมืองนำรถม้า รถสามล้อ เกวียนลากและรถเทียมสัตว์ต่างๆกลับมาใช้สัญจรแทนที่รถยนต์ รวมทั้งจักรยานก็กลายมาเป็นที่นิยมของทุกครัวเรือนอีกครั้งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดธุรกิจรถสามล้อรับส่งและจักรยานแท็กซี่ขึ้นมาตอบสนองความต้องการเป็นจำนวนมาก ทำให้ชาวปารีเซียนสัญจรไปยังที่ต่างๆได้สะดวกยิ่งขึ้น
หลังยามเช้าตรู่ผ่านไป กรุงปารีสก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้งในช่วงสายก่อนเที่ยงวัน ชาวปารีเซียนเดินสัญจรไปมาท่ามกลางเหล่าทหารที่เดินลาดตระเวนปะปนเป็นกลุ่มๆ มาถึงตอนนี้ฝ่ายผู้ยึดครองส่วนมากพอจะเริ่มคุ้นเคยกับกรุงปารีสบ้างแล้ว ในตอนนี้จึงสามารถเห็นพวกเขาพูดทักทายชาวเมืองหรือหยอกเย้าเล่นกับเหล่าหญิงสาวที่เดินผ่านไปมา บ้างนั่งพักผ่อนสังสรรค์อยู่ตามร้านคาเฟ่ริมถนน หรือพากันนั่งพักผ่อนอยู่ริมฟุตบาทของจัตุรัสในเมือง หากแต่เหล่าผู้เป็นฝ่ายถูกยึดครองนั้นยังคงไม่ยอมรับในพวกเขาเป็นส่วนใหญ่ เหล่าหญิงสาวต่างมีท่าทางเย็นชาและบึ้งตึงเมื่อโดนนายทหารเยอรมันพูดหยอกเย้า ในขณะที่บางส่วนพยายามบังคับตัวเองให้เดินต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขากำลังข่มอารมณ์หวาดกลัวเอาไว้อยู่ภายใน เช่นเดียวกับชาวเมืองคนอื่นๆที่ต่างตั้งหน้าตั้งตาสัญจรต่อไปยังจุดหมายของตนโดยพยายามไม่สนใจต่อนายทหารที่เดินสวนกันไปมา แต่ในขณะเดียวกัน หญิงสาวคนหนึ่งที่เดินสวนออกมาจากหัวมุมถนนสายหนึ่งกลับแสดงท่าทางเขินอายและยิ้มตอบรับคำทักทายหยอกเย้า ซึ่งเมื่อดูจากเครื่องแต่งกายของเธอทั้งชุดเดรสสีน้ำเงินเข้มที่คอเสื้อรูปหัวใจประดับลายเถาลูกไม้ถูกคว้านลึกจนเผยให้เห็นเนินอกผิวขาวผุดผ่องเป็นยองใย ทั้งถุงมือกำมะหยี่ยาวถึงข้อศอกสีดำและรองเท้าส้นสูงสีเข้ม ตลอดจนใบหน้าคมสวยที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันจัดจ้านตามแบบสมัยนิยมและเส้นผมสีบลอนด์ยาวประบ่าที่ถูกจัดทรงดัดเป็นลอนป้ายข้างปิดตาข้างขวานั้นก็เดาได้ไม่ยากว่าเธอคนนี้เป็นผู้หญิงที่ทำอาชีพสายบันเทิงในยามราตรีตามสถานที่ต่างๆ แต่ก็ไม่แน่ชัดว่าเธอทำอะไร บางทีเธออาจเป็นนักร้องที่เล่นดนตรีตามร้านรวงต่างๆในยามค่ำคืน หรืออาจเป็นอะไรที่หมายความมากกว่านั้นก็ได้ และบุคลิกปกติที่หญิงสาวส่วนมากที่ประกอบอาชีพนี้เป็นนั่นคือ พวกเธอมักจะมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มและยั่วยวน แต่ในขณะเดียวกันพวกเธอก็เป็นเหมือนความพิศวงที่ลึกลับได้เช่นกัน เพราะนอกจากเวลางานแล้ว ก็ยากที่จะสามารถเข้าถึงตัวตนหรือชีวิตส่วนตัวของพวกเธอได้อีก และการที่หญิงสาวผู้นี้ส่งยิ้มตอบรับนายทหารผู้เป็นศัตรูนั้น ก็มิอาจคาดเดาถึงความคิดเธอได้ อาจเพราะเธอไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องสงครามมากนักจึงไม่คิดมากอะไรกับการต้อนรับผู้คน หรือบางที..รอยยิ้มนั้นคือสิ่งที่เธอใช้เป็นหน้ากากในการเสแสร้งก็เป็นได้
ริมถนนสายต่างๆมีผู้คนเดินผ่านไปมามากกว่าช่วงอื่นๆในช่วงเที่ยงวัน เหล่าทหารทั้งระดับพลทหารธรรมดาไปจนถึงเหล่าผู้บัญชาการระดับสูงต่างออกมาเดินหามื้อเที่ยงกินตามร้านรวงต่างๆ บ้างเลือกรับประทานอาหารไปพร้อมๆกับจิบเบียร์ในภัตตาคารหรู บ้างพอใจกับการหาอาหารเบาๆทานตามร้านคาเฟ่เล็กๆที่อยู่ริมถนนไปพร้อมกับชมบรรยากาศกลางแจ้งของเมืองปารีสภายใต้แสงแดดของเที่ยงวัน ส่วนชาวปารีเซียนส่วนมากนั้นเลือกที่จะซื้อวัตถุดิบตามร้านค้ากลับไปประกอบอาหารกันเองที่บ้านมากกว่า พวกเขารู้ดีว่าในภาวะสงครามเช่นนี้ ข้าวของทุกอย่างมีราคาสูงขึ้นมากกว่าปกติ ซ้ำบางอย่างยังขาดแคลนและมีจำนวนจำกัด ยิ่งทำให้ทางเลือกของพวกเขาน้อยลงไปอีก
เมื่อเวลาที่รอคอยมาถึง ทุกคนต่างมีความสุขกับมื้ออาหารของตน ในร้านคาเฟ่และภัตตาคารต่างๆเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของเหล่าทหารแข่งกับเสียงกระทบกันระหว่างช้อมส้อมและจานชาม รวมทั้งเสียงเชียร์ที่มาพร้อมเสียงชนแก้วไวน์และแก้วเบียร์ดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณ บรรยากาศแต่ละโต๊ะเต็มไปด้วยหลากสีสัน นายทหารพูดคุยกับเพื่อนร่วมโต๊ะของตนอย่างออกรสสนุกสนานและเป็นกันเอง ในยามพักกลางวันกับเพื่อนฝูงเช่นนี้ ทหารหลายคนจึงปล่อยตัวตามสบาย เครื่องแบบทหารสีเขียวขี้ม้าที่เคยเรียบร้อยในเวลาทำงาน ตอนนี้แขนเสื้อของบางคนถูกถกร่นขึ้นมาพ้นข้อมือเพื่อความสะดวกในการทานอาหารและดื่มสังสรรค์ ผมที่เคยถูกหวีเสยเปิดหน้าผากและใส่น้ำมันจัดแต่งตามแบบทรงทหาร ตอนนี้กลับมีปอยผมตกลงมาปรกหน้าผากเป็นหย่อมๆจากการถอดหมวก อาวุธปืนคู่กายชนิดต่างๆถูกพักไว้ในที่ๆเหมาะสมกับชนิดของมัน ปืนยาวถูกวางพิงไว้ข้างเก้าอี้นั่งของผู้เป็นเจ้าของ ปืนสั้นและปืนพกพาก็ล้วนนิ่งสงบอยู่ภายในปลอกหนังเก็บปืนที่ถูกเหน็บไว้คู่กับเข็มขัดรัดเอว สีหน้าที่เคยนิ่งเฉยเงียบขรึมในเวลาทำงานก็กลับปรากฏให้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะขึ้นมาเมื่อได้พูดคุยกับเพื่อนฝูงและผู้ร่วมงาน ถึงแม้ทุกคนจะปล่อยตัวเองให้เพลิดเพลินและดูสนุกสนานในช่วงเวลานี้ แต่ถ้าหากสังเกตจากบทสนทนาของพวกเขาซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องครอบครัวและเรื่องบ้านเกิดของตนเองแทบทั้งสิ้น ก็เดาได้ว่าลึกๆในใจพวกเขานั้นไม่ได้มีความสุขดังที่แสดงออกสักเท่าใด ทุกคนต่างหวังไว้ลึกๆว่าขอให้ได้มีโอกาสกลับบ้านไปเยี่ยมเยียนครอบครัวและคนรักได้สักครั้งก็ยังดี
ในที่สุด งานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา เมื่อช่วงเวลาพักได้จบสิ้นลง เหล่าทหารต่างจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนพากันแยกย้ายกลับไปทำงานตามหน้าที่ของตนเช่นเดียวกับชาวปารีเซียนที่แยกย้ายทำกิจวัตรของตนก่อนจะถึงเวลาเย็นเช่นเดียวกับหญิงสาวชาวปารีเซียนคนหนึ่งที่กำลังเดินสัญจรอยู่บนถนนสายหนึ่งแถวจตุรัสกลางเมือง ขาเรียวสวยเดินก้าวไปข้างหน้าอย่างกระฉับกระเฉงในรองเท้าส้นสูงทรงคลาสสิคสีดำที่ส่งเสียงดังก๊อกๆเมื่อกระทบกับพื้นทางเท้า ผมสีน้ำตาลช็อกโกแลตของเธอที่ดัดลอนตามแบบสมัยนิยมปลิวสลวยไปตามความเร็วที่เจ้าของก้าวเดินเช่นเดียวกับชุดกระโปรงสีแดงเบอร์กันดีที่เธอสวมใส่ ดวงตาสีน้ำผึ้งที่อยู่ภายใต้การบดบังของตาข่ายจากหมวกกำมะหยี่ใบเล็กสีดำจับจ้องไปยังเส้นทางข้างหน้า ยามใดที่เธอเห็นเหล่าทหารเยอรมันเดินสัญจรผ่านไปมา ดวงตาคู่นั้นก็กลับฉายแววแข็งกร้าวขึ้น และริมฝีปากรูปสวยที่ถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีแดงเข้มก็เม้มเข้าหากันแน่นด้วยความไม่พอใจ และเมื่อมีนายทหารทักทายแซวตัวเธอมากขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงหลีกเลี่ยงโดยการเปลี่ยนสายตาให้จับจ้องมองลงพื้นข้างล่างแทน แต่กระนั้นเธอก็ยังรู้สึกได้ว่ายังคงมีบางคนจ้องมองเธอในขณะที่เดินสวนกันไปอยู่ดี ท้ายที่สุดเธอจึงแสร้งทำเป็นไม่สนใจและสาวเท้าก้าวเดินให้เร็วยิ่งขึ้น
เมื่อถึงจุดหมาย เธอเดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านตึกแถวกำแพงสีครีมล็อตหนึ่ง มือเรียวสวยที่เล็บถูกแต่งแต้มด้วยสีชมพูโอลโรสเปิดตู้จดหมายที่ตั้งอยู่ข้างๆบันไดทางขึ้นบ้าน เธอหยิบจดหมายทั้งหมดในตู้ซึ่งมีอยู่ราวๆสามฉบับออกมาดูผ่านๆ สองฉบับแรกส่งมาจากพ่อแม่ของเธอที่อยู่อีกเมืองถัดไปจากกรุงปารีส แต่ทว่าจดหมายฉบับสุดท้ายนั้นทำให้เธอหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นทันที ซองจดหมายฉบับนี้ถูกประทับตรารูปนกอินทรีกางปีกที่กำลังจับมาลัยดอกไม้ และตรงกลางของมาลัยนั้นก็มีสัญลักษณ์สวัสติกะอยู่ตรงกลาง แสตมป์บนหัวจดหมายนั้นก็ยังเป็นรูปนกอินทรีแบบเดียวกัน แต่มีภาษาเยอรมันเขียนอยู่ใต้เท้าว่า "Deutsche Feldpost"* ข้างล่างของจดหมายจ่าหน้าไว้ว่า
'ถึง คุณเฟลิเซีย ดาร์ลีน
12/18 ถนนสายห้า บ้านเลขที่ 26
ปารีส,ฝรั่งเศส'
และเมื่อเธอพลิกกลับมาดูอีกด้านหนึ่ง มือเรียวของหญิงสาวก็เผลอสั่นระริกด้วยความโกรธโดยไม่รู้ตัว
เพราะในส่วนของผู้ส่งนั้นระบุว่า
'ส่งจาก สำนักงานใหญ่กองทัพเยอรมัน
23/49 ถนนสายหก สำนักงานเลขที่ 8
ปารีส,ฝรั่งเศส'
แม้จดหมายจะยังไม่ได้เปิดอ่าน แต่หญิงสาวก็พอจะคาดเดาได้ว่าเนื้อหาข้างในน่าจะเป็นเรื่องอะไร และมันก็เป็นเรื่องที่ทำให้เธอไม่สบอารมณ์และหงุดหงิดมากที่สุดซะด้วย เธอกำจดหมายทุกฉบับไว้ในมือแน่นก่อนจะเดินกระทืบเท้าขึ้นบันไดไปตามทางขึ้นบ้านด้วยความไม่พอใจ เธอบิดลูกบิดประตูทองเหลืองหัวกลมของประตูไม้สีน้ำตาลเข้มและเปิดเข้าไปภายในบ้าน เธอโยนกองจดหมายลงบนโต๊ะไม้เล็กๆที่ตั้งอยู่ข้างตู้วางรองเท้าก่อนจะหันหลังกลับไปปิดประตูพร้อมลงกลอน ทิ้งโลกที่เปลี่ยนไปไว้เบื้องหลังประตูบานนั้น
ไกลออกไปนอกชานเมือง ชาวปารีเซียนหลายครัวเรือนกำลังเร่งทำงานของตนให้เสร็จก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน โดยเฉพาะครอบครัวที่เอื้อเฟื้อที่พักให้กับนายทหารเพราะพวกเขาต้องง่วนอยู่กับการทำความสะอาดและจัดเตรียมห้องให้พร้อมก่อนที่ผู้อาศัยจะกลับจากงาน ในฟาร์มเลี้ยงไก่เล็กๆของครอบครัวคอร์เน็ตต์ ฟาร์มของครอบครัวนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ด้านในสุดของที่ดินขนาดกลางนั้นมีบ้านเล็กๆหลังหนึ่งตั้งอยู่
บ้านหลังนี้มีหลังคาที่ปูกระเบื้องสีน้ำตาลแดงซึ่งบัดนี้ได้หม่นลงไปตามกาลเวลาจนเกือบเป็นสีช็อกโกแลต
และมีผนังบ้านซึ่งฉาบด้วยปูนสีครีมเข้ากันดีกับประตูและหน้าต่างที่ทำจากไม้สีน้ำตาลอ่อน
ที่ดินสองฝั่งซ้ายขวาของบ้านที่เหลือถูกจัดเป็นพื้นที่สำหรับทำฟาร์มและปลูกผักสวนครัว
ฝั่งซ้ายมีรั้วไม้ยาวกั้นเรียงเป็นแนวบรรจบไปกับรั้วไม้ที่อยู่ติดกับทางเดินหน้าบ้าน
และมีประตูไม้ติดอยู่กับรั้วไม้เป็นทางเข้า
ภายในรั้วฝั่งนี้คละไปด้วยสัตว์ชนิดต่างๆในฟาร์ม ทั้งวัว หมู
ฝูงไก่และเป็ดขนาดย่อม
ส่วนพื้นที่ภายในรั้วฝั่งขวานั้นถูกไถและพรวนให้เป็นพื้นที่ท้องร่องสำหรับปลูกผักเป็นแถวๆ
ทั้งแครอท กะหล่ำปลี ผักกาด ต้นมะเขือเทศที่ออกลูกสีแดงสดเต็มต้นไปตลอดทั้งแถว
ทำให้ทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยสีสันต่างๆของผักแต่ละชนิด ณ บริเวณพื้นที่หน้าบ้านระหว่างพื้นที่ฟาร์มทั้งสองฝั่งถูกปล่อยโล่งสำหรับใช้เป็นทางเดินและพื้นที่ในการตากผ้า ที่นั่น มาดามฟลอเรนซ์กำลังเก็บเสื้อผ้าต่างๆจากราวตากผ้ากลับลงมาใส่ในตระกร้าไม้สานใบหนึ่ง
ภายในห้องนั่งเล่นผนังติดวอลเปเปอร์พื้นสีเขียวพาสเทลหม่นลายเถาเดซี่ บนโซฟาสีน้ำเงินเข้มตัวเก่า เมอร์ซิเออร์เบอร์นาร์ดสามีของเธอกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันด้วยความไม่สบอารมณ์ และแววตาของเขาก็ฉายแววโกรธขึ้งฉุนเฉียวและดูออกเลยว่าใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับหนังสือในมือเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อมาดามฟลอเรนซ์กลับเข้ามาเห็นสีหน้าอันบูดบึ้งของสามี เธอก็วางตระกร้าผ้าลงกับพื้น ลงมือพับเสื้อผ้าทีละชิ้นพร้อมพูดกับสามีด้วยความใจเย็น ถึงแม้ว่าสีหน้าของเธอนั้นจะมีความไม่พอใจแฝงอยู่เล็กน้อยเหมือนกันก็ตาม
" เอาเถอะค่ะเบอร์นาร์ด คุณทำอารมณ์ฉุนเฉียวบูดบึ้งแค่ไหนก็ไม่ทำให้พ่อหนุ่มทหารคนนั้นย้ายออกไปหรอกค่ะ มันเป็นคำสั่งของทางกองทัพเยอรมัน ตัวเราจะไปขัดแย้งอะไรไม่ได้หรอกนะคะ"
คำพูดของมาดามทำให้เมอร์ซิเออร์อดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจออกมาพรืดนึงด้วยความหงุดหงิดก่อนเปล่งคำสบถออกมา
" ขัดแย้งรึ!? พับผ่าเถอะ!บ้านก็บ้านเรา ประเทศก็ประเทศเรา พวกมันนั่นแหละเป็นใครมาจากไหนกันฮึ! ถ้าเผื่อเธอไม่ได้สังเกตนะฟลอเรนซ์ ชีวิตพวกเราร่วงลงมาถึงจุดนี้ตั้งแต่พวกนั้นรุกเข้ามายึด ลูกชายเสี่ยงตายกลางสนามรบแล้วก็ยังไม่วายตกไปเป็นเชลยของฝ่ายมัน แล้วนี่อยู่ดีๆก็ต้องมาแบ่งบ้านให้ศัตรูมาอยู่ด้วยอีก...ให้ตายเถอะ!!นี่พระเจ้าล้อฉันเล่นหรือยังไงนะ"
มาดามรู้ดีว่าในยามที่เมอร์ซิเออร์กำลังโมโหหรืออยู่ในอารมณ์หงุดหงิดนั้น ยากที่จะทำให้เขาใจเย็นหรือสงบลงได้ด้วยคำพูดปลอบโยน เธอจึงทำได้เพียงยิ้มอ่อนๆให้กับสามีแทนคำตอบ จริงอยู่ที่เธอเองก็รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเช่นกันที่ต้องอ้าแขนรับฝ่ายตรงข้ามให้มาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน แต่ในวินาทีแรกที่เธอเห็นชุทซ์*แม็กซ์ เคอร์ทิส เธอก็สามารถบอกได้เลยว่า เขาดูเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาที่ดูแล้วไม่น่ามีอายุมากไปกว่าสิบเก้าปี หรือบางทีอาจจะเด็กกว่านั้นเสียอีกด้วยซ้ำ นัยน์ตาสีฟ้าออกเทาหม่นของเขานั้นมีประกายความขี้เล่นปะปนอยู่แถมยังฉายแววถึงความเป็นมิตรแบบเด็กๆแทนที่จะเป็นความดุดันหรือแข็งกร้าว
และจากท่าทางที่ดูประหม่านิดๆของเขานั้น
มาดามก็คาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าเด็กหนุ่มคนนี้เพิ่งจะถูกเกณฑ์ตัวเข้ามาใหม่ๆ เธอคิดว่าเขาช่างดูอ่อนต่อโลกและใสซื่อ และพ่อหนุ่มแม็กซ์คนนี้ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะในเวลามื้อค่ำของเมื่อวานและเป็นมื้อแรกที่พ่อหนุ่มเข้ามาร่วมโต๊ะกับเธอและสามี แม้เขาจะดูมีท่าทีที่ประหม่าและเขินอายซึ่งอาจเป็นเพราะเขายังไม่คุ้นชินกับที่อยู่แห่งใหม่ หรือเพราะรู้สึกไม่ดีกับท่าทางของเมอร์ซิเออร์ที่แสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจนกับการมาของเขาและสาเหตุอะไรอื่นอีกหลายประการ แต่ตลอดเวลาบนโต๊ะอาหาร เขาพยายามหาเรื่องต่างๆมาพูดคุยกับทั้งตัวเธอและสามี เขาเล่าถึงชีวิตวัยเด็กของเขาที่เยอรมัน เล่าถึงบุคลิกที่ชอบผจญภัยและความฝันของเขาที่ฝันอยากจะเดินทางไปเที่ยวยังที่ต่างๆ เล่าถึงชีวิตการเข้ามาเกณฑ์เป็นนายทหาร และแม้กระทั่งเล่าถึงความรู้สึกว่าเขาทั้งตื่นเต้นและกังวลมากเพียงใดที่ต้องเดินทางมาอาศัยอยู่ต่างแดนที่ห่างไกลบ้านเกิด
มาดามยังจำได้ดีถึงน้ำเสียงของเขาที่แสดงความไร้เดียงสาแบบวัยแรกรุ่นหนุ่มสาว แม้เธอไม่อาจรู้ได้ว่าที่พ่อหนุ่มคนนี้พยายามหาเรื่องต่างๆมาพูดคุยนั้นคือการกลบซ่อนความประหม่าในแบบของเขาหรือเพราะอยากจะสานสัมพันธ์มิตรภาพกับครอบครัวของเธอ แต่อย่างน้อยจากเธอก็พอจะมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่านายทหารคนนี้ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไรในแบบที่เมอร์ซิเออร์สบถด่าออกมาซะทีเดียว แต่แล้วเธอก็ทำได้เพียงคิดเช่นนี้อยู่เงียบๆในใจ เธอรู้ดีว่าขืนเอ่ยออกไปก็รังแต่จะเป็นการไปราดน้ำมันลงกองไฟของสามีซะเปล่าๆ เธอจึงรับฟังเขาอยู่เงียบๆก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ลุกขึ้น และหอบผ้าที่พับไว้อย่างเรียบร้อยไว้ในอ้อมแขนก่อนจะเดินขึ้นบันไดไม้เชอร์รี่เก่าๆเพื่อเอาผ้าไปเก็บไว้ในลิ้นชักต่างๆของแต่ละห้อง
เธอนำเสื้อผ้าของเธอและสามีเข้าไปเก็บในลิ้นชักตู้ไม้โอ้คสีซีดในห้องนอนพวกเขาซึ่งอยู่ทางซ้ายก่อน ห้องนอนห้องนี้ถึงแม้จะเก่าแก่และดูทรุดโทรมแต่ในขณะเดียวกันมันกลับอบอวลไปด้วยความทรงจำดีๆที่อยู่คู่กับเจ้าของบ้าน ทั้งผนังห้องสีน้ำเงินเข้มที่ตอนนี้สีได้ซีดลงและหม่นหมองตามกาลเวลา แต่มันมักจะทำให้มาดามหวนระลึกถึงช่วงเวลาเมื่อครั้งวันวานที่เธอและเมอร์ซิเออร์ช่วยกันทาสีร่วมกันอย่างสนุกสนานตอนทั้งคู่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ เตียงนอนหลังเดิมที่ได้รับเป็นของขวัญจากน้องสาวของเธอ นาฬิกาปลุกเงินสลักลายขัดเงาเรือนสวยที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กข้างเตียงและของตกแต่งอื่นๆที่ได้รับเป็นของขวัญวันแต่งงานจากคนใกล้ชิด และเครื่องเรือนเก่าๆที่เต็มไปด้วยความทรงจำดีๆในวันวานทำให้มาดามอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาด้วยความสุขเมื่อนึกถึงวันเหล่านั้น เธอนำเสื้อผ้าเก็บเรียงเข้าตู้ลิ้นชักไม้โอ๊คก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
เธอเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนที่อยู่ตรงข้ามกัน ห้องนี้เป็นห้องที่เธอและเมอร์ซิเออร์ตัดสินใจยกให้ชุทซ์เคอร์ทิสใช้พักอาศัย ซึ่งห้องนี้จัดได้ว่าเป็นห้องที่ใหม่เอี่ยมและค่อนข้างสวยทีเดียวเมื่อเทียบกับห้องนอนของเธอและสามี ห้องนี้มีผนังติดวอลเปเปอร์สีชานวลสวย เครื่องเรือนที่ดูใหม่และสะอาดสะอ้าน ทั้งเตียงนอนที่ปูด้วยผ้าปูสีขาวควบคู่กับผ้าห่มสีน้ำตาลเข้ม สิ่งเดียวที่สร้างความโดดเด่นและความแปลกใหม่ในห้องนี้คือหีบไม้สำหรับใส่สัมภาระใบใหญ่ที่วางชิดอยู่ที่มุมห้องซึ่งขณะนีี้เปิดอ้าอยู่จึงเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในซึ่งแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ภายในหีบเต็มไปข้าวของ เสื้อผ้าอื่นๆและเครื่องแต่งกายสำหรับทหาร โดยซีกซ้ายของหีบเต็มไปด้วยของใช้ต่างๆ ทั้งจดหมายที่ส่งมาให้ชุทซ์เคอร์ทิสจากครอบครัวของเขาที่เบอร์ลิน ของใช้ส่วนตัวอื่นๆของเขาที่ถูกจัดวางเป็นระเบียบ และรูปถ่ายเล็กๆของหญิงสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งที่ใส่อยู่ในกรอบไม้แบบพกพาซึ่งมาดามเดาว่าเธอคงจะเป็นคนรักของพ่อหนุ่มคนนั้น รองเท้าบูทคอมแบ็ตหนังขัดเงาคู่ใจของเขาวางเคียงข้างหีบใบนั้น มาดามเดินผ่านโต๊ะเครื่องแป้งที่มีหวีสีดำอันเล็กและกระปุกน้ำมันใส่ผมของนายทหารไปจนถึงตู้ลิ้นชักใส่เสื้อผ้าที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของห้องข้างๆกับเตียงนอน เธอบรรจงจัดแจงเรียงเสื้อผ้าของชุทซ์เก็บเข้าลิ้นชักอย่างเป็นระเบียบก่อนจะเดินกลับลงไปชั้นล่าง
จริงๆแล้วมาดามอยากจะสะสางงานบ้านอื่นๆด้วยเพื่อที่อย่างน้อยเธอจะได้พักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์บ้าง
เพราะเธอไม่อยากใช้เวลาในช่วงสายของวันเสาร์ไปกับการทำความสะอาดเล้าสัตว์ทั้งฟาร์ม
หรือหมดเวลาในเช้าวันอาทิตย์ไปกับการซักผ้ากองโตของสมาชิกในบ้าน
และเธอก็ต้องเก็บกวาดและจัดห้องนอนของแม็กซ์ผู้ที่กลับมาบ้านพร้อมเครื่องแบบทหารที่ชุ่มเหงื่อเสมอ นอกจากนี้เขามักจะเพลิดเพลินกับช่วงเวลาหลังเลิกงานของตนเองด้วยการดื่มไปพร้อมๆกับสูบบุหรี่เยอรมันยี่ห้อโปรดของเขา
นั่นทำให้พื้นห้องมีเศษขี้บุหรี่เปรอะเปื้อนเป็นจุดๆทำให้เธอต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองชั่วโมงเป็นอย่างต่ำในการทำความสะอาดทั้งหมด แต่เมื่อเธอหันมาดูเวลาจากนาฬิกาทรงโบราณที่แขวนอยู่เหนือเตาผิงแล้ว
เธอก็ต้องถอนใจด้วยความผิดหวัง...ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงกว่าแล้ว นั่นหมายความว่าเธอไม่มีเวลาเหลือมากพอจะทำงานอะไรอื่นอีกแล้วนอกจากเตรียมอาหารเย็นและจัดโต๊ะอาหารให้พร้อมสำหรับสามีและชุทซ์แม็กซ์ที่กำลังจะกลับมาถึงบ้านราวๆห้าโมงครึ่งตามเวลาเลิกงานปกติถ้าไม่ได้ติดงานอื่นนอกเวลาตามที่เขาได้แจ้งกับเธอไว้ในตอนเช้า
เธอเดินเลี้ยวผ่านห้องนั่งเล่นที่เมอร์ซิเออร์เบอร์นาร์ดยังคงนั่งสูบไปป์ไปพร้อมกับอ่านหนังสือเล่มโปรดอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมเข้าไปในห้องครัวที่เป็นระเบียบเรียบร้อย เธอเปิดตู้เย็นขนาดกลางที่ตั้งอยู่มุมห้อง หยิบวัตถุดิบชนิดต่างๆออกมาวางรวมกันบนเคาน์เตอร์ไม้ข้างๆอ่างล้างและเริ่มลงมือ ปกติแล้ว เวลาทำอาหารเป็นช่วงเวลาที่มาดามฟลอเรนซ์โปรดปรานที่สุด เพราะการทำอาหารทไให้จิตใจของเธอสงบ เพลิดเพลินและลืมปัญหาต่างๆที่ทำให้เธอเหนื่อยใจ แต่ในวันนี้กลับแตกต่างออกไป แม้มือของเธอจะลงมือทำอาหารอยู่ ภายในห้วงความคิดของเธอยังคงเต็มไปด้วยวังวนของสงครามที่นำพาความวุ่นวายต่างๆเข้ามาวนเวียนอยู่ในชีวิตของเธออีกครั้ง เธอรู้ดีว่าทุกๆสงครามจบลงด้วยการแลกมาซึ่งความสูญเสียและเศร้าโศก แต่ในที่สุดเธอก็จำเป็นต้องทำในสิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้ภายใต้สถานการณ์ในขณะนี้ นั่นคือพยายามขจัดความกังวลทั้งหมดทั้งมวลทิ้งไปจากจิตใจและเดินหน้าต่อไปตราบเท่าที่เธอจะสามารถไปต่อได้
เสียงเครื่องจักรของเหล่าอินทรีเหล็กบนท้องฟ้าสงบเงียบลงมากกว่าเดิมเมื่อย่ำสนธยามาถึง คาเฟ่และร้านรวงยามค่ำคืนเริ่มทยอยเปิดเพื่อดึงดูดนักท่องราตรี ซึ่งโดยส่วนมากคือพวกนายทหารที่แสวงหาสิ่งบันเทิงใจหลังเวลาเลิกงาน พวกเขาพอใจในการนั่งจิบเบียร์ไปพร้อมๆกับดูการแสดงตามร้านต่างๆเพื่อพักผ่อนหลังจากงานในช่วงกลางวัน ทำให้บริเวณย่านร้านอาหารมีเสียงดนตรี เสียงหัวเราะและเสียงชนแก้วดังลอดออกมาแลดูครื้นเครง ส่วนชาวปารีเซียนส่วนมากทยอยกลับบ้านไปตั้งแต่ตอนบ่ายๆแล้ว เวลานี้จึงเหลือเพียงผู้ที่เป็นเจ้าของร้านค้าเท่านั้นที่ยังคงให้ความสุขและความเพลิดเพลินแก่เหล่าทหารไปจนกว่าวันนี้จะสิ้นสุดลง
รถถังเยอรมันราวสี่คัน รถส่วนตัวนายทหารชั้นผู้ใหญ่สีดำขลับและรถขนทหารอีกจำนวนหนึ่งแล่นโดดเด่นอยู่ในความมืดที่มีเพียงแสงไฟจากรถยนตร์และแสงจากโคมไฟในเขตพรมแดนฝรั่งเศสก่อนจะผ่านเข้ามาในเขตเข้าเมืองซึ่งมีทหารเยอรมันกะกลางคืนประจำการอยู่นายหนึ่งเปิดประตูให้กลุ่มของพวกเขาผ่านเข้าไป เมื่อรถทุกคันแล่นเข้ามาถึงค่ายทหารของกองทัพเยอรมันหน้ากรุงปารีสแล้ว นายทหารที่อยู่บนรถขนทหารและรถถังก็ทยอยลงมาจากรถพร้อมผู้ขับขี่ ในรถสีดำขลับ นายทหารหนุ่มคนหนึ่งผละตัวลงมาจากรถก่อนจะมองไปยังบรรยากาศของเมืองที่อยู่ข้างหน้าตนด้วยนัยน์ตาสีเขียวมรกตที่ฉายแววครุ่นคิด
"นี่สินะปารีส...ดูแตกต่างจากที่คิดไว้เยอะทีเดียว"
เขาเอ่ยกับตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปพักผ่อนหลังจากการเดินทางมาตลอดวันในค่ายทหารร่วมกับคนอื่นๆในกลุ่ม เขาใช้เวลาเพียงชั่วขณะเดียวก่อนจะข่มตาหลับลง ปล่อยให้ร่างกายอันเหนื่อยล้าได้หลับไหลผ่อนคลายไปพร้อมกับยามรัตติกาลก่อนจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเมื่อยามรุ่งอรุณมาถึง
.......................................................................................................................................................................................
*Light tank รถถังขนาดเล็ก
*Luftwaffe ชื่อเรียกกองทัพอากาศเยอรมันในสมัยนั้น
*Deutsche Feldpost ชื่อเรียกบริษัทไปรษณีย์ของเยอรมันในขณะนั้น
*Schütz เทียบได้กับตำแหน่งไพรเวท(Private)หรือพลทหาร
หมายเหตุเพิ่มเติม
ข้อมูลเหตุการ์ณบางส่วนอ้างอิงมาจากบทความ https://en.wikipedia.org/wiki/Paris_in_World_War_II
ความคิดเห็น