ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    warm and windy | ❥kaihun

    ลำดับตอนที่ #6 : 05 :: no.5

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.ย. 58


     

     

     

    วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนตอนนี้เซฮุนก็ย้ายมาอยู่หอเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์แล้วนับจากเปิดเทอมซึ่งนั่นถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกเนื่องจากเขาสามารถถ่ายทำหนังสั้นได้อย่างสะดวกสบายไม่ต้องกลัวดึก จนตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ไม่กี่ฉากเท่านั้นก็สามารถเอาไปให้อาจารย์เช็คก่อนจะเอามาแก้งานได้แล้ว

     

    เมื่อศุกร์ที่ผ่านมาคุณหนูโอแวะกลับบ้านตามคำขอของคุณแม่ที่อุตส่าห์ส่งคนขับรถขับมารับถึงที่ แต่ก็นั่นแหละพอกลับบ้านไปคุณนายโอแทบจะไม่อยากปล่อยตัวลูกชายกลับมาเลย ตอนแรกคุณนายจะตามมาที่หอเพื่อมาดูความเป็นอยู่ลูกชายด้วยแล้วแต่โชคดีที่ดันมีประชุมสำคัญกับลูกค้าต่างประเทศเสียก่อน ไม่งั้นล่ะก็คุณนายแม่ต้องช๊อคแน่ถ้ารู้ว่าเขามาอาศัยอยู่กับชายโฉดในสภาพห้องที่มีปีเตอร์ด้วยแบบนี้

     

    แต่หลังจากวันนั้นที่ไปซื้อของกันมาเซฮุนก็รู้สึกว่าห้องหับมันดูเข้าที่เข้าทางมากขึ้นด้วยเพราะอีกฝ่ายจัดเก็บของให้เป็นระเบียบ พื้นห้องที่ไม่ได้ถูมาเนิ่นนานก็ถูกสั่งให้ถูโดยคุณหนูโอทำให้ตอนนี้บรรยากาศในห้องดูดีขึ้นราวๆยี่สิบเปอร์เซ็นต์เลยก็ว่าได้ หากแต่....

     

    “งิ๊งง~”

     

    ใช่ มงกูยังอยู่ที่เดิมเพิ่มเติมคือความสนิทสนมที่มีให้หมานี่ราวๆ 0.0000000091% อย่างน้อยตอนนี้เซฮุนก็กล้าใช้มือสัมผัสเจ้านี่แทนการใช้เท้าเขี่ยเหมือนวันแรกๆที่มงกูมาอยู่ที่นี่ล่ะนะ ก็เหมือนเดิมแหละ เด็กนี่ยังคงตามติดโอเซฮุนแจราวกับว่าเขาคือเจ้าของของมัน ทั้งอ้อน นัวเนีย เดินตาม สารพัดจนจงอินถึงกับบอกเลยว่ามงกูไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะ

     

    กลุ้มใจ...กับหมายังเสน่ห์แรงเลย

     

     

    วันนี้เขาเลิกเรียนตามปกติ ไม่มีการถ่ายหนังหรืองานใดๆเพราะวันนี้ทุกคนในกลุ่มต่างติดธุระพวกเขาเลยนัดกันถ่ายสองสามฉากที่เหลืออีกทีอาทิตย์หน้าเลย มือเรียวบิดประตูห้องเข้ามาก็พบกับเจ้ามงกูขนฟูกำลังนั่งรอต้อนรับเขาอยู่ที่หน้าประตู มันกระดิกหางไปมาอย่างดีใจราวกับว่าได้เจอพ่อของมัน

     

    “ถอยไปเลย อย่านะ! ห้ามเลีย!!” เดินแทรกตัวเข้าไปในห้องแล้วรีบิดประตูโดยเร็ว สายตามองหาเจ้าของหมาที่ปล่อยให้ลูกชายตัวเองออกมาเพ่นพ่านแบบนี้ กระแอ่มไอเล็กน้อยพอเป็นพิธีเพื่อเตรียมตัวบ่นแต่แล้วหางตาก็ดันไปสะดุดกับกระดาษสีเขียวมะนาวที่แปะไว้ตรงหน้าห้องนอนของตัวเอง

     

     

     

     

    วันนี้มีงานที่คณะ ไม่เอามือถือไป กลับดึกๆเลยนะ ฝากให้ข้าวมงกูด้วย

    - จงอิน -

     

     

     

     

    “เฮอะ” เด็กนิเทศย่นจมูกใส่ด้วยท่าทีติดไปทางรังเกียจ สรุปคือวันนี้เขาต้องมาเป็นพี่เลี้ยงเจ้าขนฟูนี่อีกแล้วสินะ ทำแบบนี้มันมัดมือชกกันชัดๆ ลำพังมือถือสองจีนั่นก็แชทหาไม่ได้แล้วนี่ยังเล่นไม่เอามือถือไปอีก ซื้อนกฮูกมาเลี้ยงไว้ซักตัวอาจจะเป็นความคิดที่ดี เป็นแบบนี้เหมือนสถานการณ์บังคับให้เขาทดลองเป็นแฮร์รี่พอตเตอร์เลย ไม่เข้าใจว่าแค่มือถือเครื่องเดียวทำไมไม่ยอมพก สายตาปรายมองรุ่นฝาพับกลางเก่ากลางใหม่สีน้ำเงินสดใสที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนโต๊ะรับแขกก่อนหัวทุยจะส่ายไปมาอย่างไม่เข้าใจ


     

    “งิ๊งง~ งิ๊งง~”

     

    “อะไร? หิวข้าวแล้ว?” ร่างบางย่อตัวนั่งลงคุยกับเจ้าตูบขนฟู มงกูแลบลิ้นแพล่บเลียปากอย่างแสดงอาการว่าหิวอย่างที่มนุษย์เกลียดหมาเข้าใจ เซฮุนมองภาพตรงหน้าด้วยความชั่งใจอยู่ซักครู่ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

     

    “จะกินก่อนคนได้ไง ตลก รอก่อนแล้วกัน”  นี่แหละโอเซฮุน ไม่มีทางที่จะมาหาข้าวให้หมาชาวบ้านกินทั้งๆที่ท้องตัวเองยังว่างหรอก เด็กนิเทศเดินตรงดิ่งไปที่ตู้เย็น มือขาวหยิบเอาสลัดแซลม่อนรมควันที่ป้าแม่บ้านทำมาให้เป็นเเสบียงออกมา เดินไปนั่งจุ้มปุ้กอยู่ที่โซฟากลางห้องแล้วจิ้มทานอย่างเอร็ดอร่อย

     

    “บ๊อก! บ๊อก!”

     

    “มีปัญหา? นายด่าฉันเรอะ?”

     

    “บ๊อกๆ!!”

     

    “นายนี่ไร้มารยาทจริงๆ เห็นทีพ่อแกต้องสอนให้รู้จักการรอคอยหน่อยแล้วมั้ง?” นักศึกษาโอบ่นกระปอดกระแปดไปตามประสาคนขี้บ่น ใช้หลังเท้าเตะเข้ากกหูลูกรักของรูมเมทไปเบาๆหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะขยับตัวไปตรงห้องครัว

     

    “แล้ว...อันไหนคืออาหารหมาวะ?”

     

    เสียงแหบบ่นงุ้งงิ้งๆกับตัวเอง เพราะไม่เคยเลี้ยงสัตว์มาก่อนเขาเลยไม่รู้อะไรพวกนี้เลยและถึงจะเลี้ยงก็เถอะแต่ยังไงแม่บ้านชเวก็คงเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดนี่ให้อยู่แล้ว

     

    “อันนี้ล่ะมั้ง? รสปลาซะด้วย” มือคว้าเอากระป๋องอาหารขนาดพอเหมาะขึ้นมา เปิดฝากระป๋องออกแล้วจัดการเทใส่ชามข้าวที่วางอยู่ข้างกำแพง 

     

    “กินไปเยอะๆเลยนะจะได้ไม่ต้องมาร้องหิวอีก”

     

    เด็กนิเทศเทอาหารกระป๋องที่ว่านั่นจนเกลี้ยงส่วนเจ้าของชามข้าวก็ไม่รอช้ารีบวิ่งเข้ามาจัดการอย่างเอร็ดอร่อยในทันใด 

     

    “อยู่เพื่อกินจริงๆ ไร้ประโยชน์ชะมัดสัตว์เลี้ยงเนี่ย” คุณหนูโอยังไม่วายหันไปค่อนแคะเจ้าพุดเดิ้ลอีกหนึ่งดอก ในเมื่อจัดการให้อาหารหมาเรียบร้อยตามที่อีกคนฝากเอาไว้แล้วเห็นทีคงจะได้เวลาทำการบ้านของเขาบ้างซะแล้ว แต่พอนึกถึงการบ้านที่จะต้องทำใบหน้าขาวผ่องก็ต้องหงิกลงในทันใด ไม่รอช้าเจ้าตัวเลยกดโทรศัพท์ต่อสายหาเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เพิ่งแยกจากกันเมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เวลานี้เขาต้องการแบคฮยอน พยอนแบคฮยอนตัวแสบที่ชวนเขาลงวิชาเศรษฐศาสตร์บ้าๆนี่เป็นวิชาเลือกเพียงเพราะเพื่อนตัวดีต้องการได้ใกล้ชิดกับแฟน

     

    “อยู่ไหน” ปากสีชมพูอ่อนขยับถามเมื่อปลายสายกดรับ

     

    [อยู่ในใจคยองซู~]

     

    “อยากตายเหรอ”

     

    [โอ้ย กูจะหวานให้แฟนชื่นใจก็ไม่ได้เลย ขัดลาภ] เสียงแหลมโวยวายอย่างไม่สบอารมณ์จนเดือนนิเทศถึงกับยกมือถือออกห่างจากหู “กูอยู่กับแฟนครับ มีอะไรเหรอ?”

     

    “มี เพิ่งนึกออกว่าตอนแรกมึงบอกว่าจะมาสอนการบ้านเศรษฐศาสตร์กู”

     

    [อุ๊ปส์....]

     

    “ลืม?”

     

    [ไม่ได้ลืมเว้ย...แค่จำไม่ได้]

     

    “ดีเนอะ...” คิดไว้ไม่มีผิด คำว่าเพื่อนแท้นี่มันแพ้คำว่ารักจริงๆ เขาไม่อยากจะไปว่าอะไรเพื่อนสนิทมากหรอกนะ เข้าใจว่าแรกๆใหม่ๆใครๆก็เห่อกันทั้งนั้น แต่บางทีไอ้เพื่อนคนนี้ก็ทำตัวติดแฟนมากเกินไปจนน่าหมั่นไส้ “เดี๋ยวทำเองก็ได้”

     

    [ง่ะ..งอนกูป้ะเนี่ยยยย]

     

    “ไร้สาระ” เซฮุนตอบแบบปัดๆ “แต่ถ้ามึงอยู่ข้างๆล่ะก็กูจะถีบติดกำแพงเลย”

     

    [อย่าโหดจิคุณหนู....เอางี้ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจไลน์ถามกูได้ตลอดเลยนะ]

     

    “แหม..ทำเป็นใส่ใจ”

     

    [น่า...วันนี้กูดันไปสัญญาจะพาน้องเค้าไปกินข้าวอ่ะ]

     

    “บาย” และบทสนทนาก็ยุติลงแค่นั้น เซฮุนตัดสายใส่เพื่อนร่วมคณะอย่างไร้เยื่อใยและแน่นอนว่าอีกฝ่ายมันก็คงไม่ได้แคร์อะไรเท่าไรซึ่งถ้ามันจะงอนเขาก็คงจะไม่ตามง้อหรอกนะ โอเซฮุนโยนมือถือของตัวเองทิ้งลงบนโซฟาอย่างลวกๆ หันไปหยิบชามสลัดมาหมายจะจิ้มเข้าปากต่อหากแต่

     

    กริ๊งงงงงง กริ๊งงงงง~

     

    เสียงริงโทนที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นจนคิ้วที่เรียงตัวสวยนั่นถึงกับขมวดเป็นปมยุ่ง ไม่ใช่มาจากมือถือของเขาแน่นอนเพราะนั่นไม่ใช่ท่อนฮุคของเพลง Lay it down ที่เขาใช้เป็นเสียงเรียกเข้านั่นจึงทำให้สายตาของเขาหันไปจับจ้องที่มือถือฝาพับสีฟ้าที่กำลังสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่บนโต๊ะ

     

    “ใช้มือถือโบราณแล้วต้องใช้เสียงเรียกเข้าโบราณตามด้วยรึไง?” ตั้งคำถามกับตัวเองคนเดียวเพราะรู้ว่ายังไงเจ้าของมือถือก็คงตอบคำถามเขาตอนนี้ไม่ได้ เซฮุนวางชามสลัดลงเป็นรอบที่สองก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดรับแทน ไม่ได้อยากจะยุ่งหรอกนะแต่ก็ควรจะบอกปลายสายเอาไว้ว่าเจ้าของเครื่องไม่อยู่ มันถือเป็นมารยาทที่พึงกระทำ

     

    “ฮัลโหล”

     

    [จงอินอปป้า~ ทำอะไรอยู่คะเนี่ย?] เสียงหวานใสแจ๋วชวนแสบแก้วหูของหญิงสาวปลายทำเอาคนรับสายคิ้วกระตุกไปเบาๆ

     

    “ขอโทษนะที่ต้องดับฝันแต่นี่ไม่ใช่จงอิน จงอินไปทำงานในมอ” กรอกเสียงตอบกลับแบบนิ่งๆ

     

    [อ้าว...แล้ว...แล้วๆ อปป้าเป็นเพื่อนของจงอินอปป้าเหรอคะ?]

     

    “เป็นรูมเมท”

     

    [รูมเมท? แบคฮยอนอปป้าเหรอคะ?] บางทีหญิงสาวคนนี้อาจจะมีบุพการีเป็นน้ำยาฟอกผ้าขาว ถามอะไรนักวะเนี่ย ....เซฮุนได้แต่คิดในใจก่อนจะตอบกลับไปแบบเรียบๆตามเคย

     

    “ไม่ใช่แบคฮยอน”

     

    [เอ๋? แต่่รูมเมทจงอินอปป้าคือแบคฮยอนอปป้านี่คะ? แล้วอปป้าเป็นใครเหรอคะ? รึจงอินอปป้าย้ายหอ? หรือว่า...]

     

    “แค่นี้นะ จงอินกลับดึกๆ โทรมาใหม่แล้วกัน”

     

    และก็เป็นรอบที่สองของวันที่เขาตัดสายโทรศัพท์ ไม่บ่อยนักที่เซฮุนจะทำตัวไร้มารยาทแบบนี้แต่ขอโทษทีเถอะนะ โอเซฮุนเป็นคนขี้รำคาญเป็นทุนเดิมและจะรำคาญมากยิ่งๆๆขึ้นไปอีกถ้ามีคนมาเซ้าซี้ถามนู่นนี่นั่นด้วยเสียงแสบแก้วหู ขอโทษแล้วกันนะคิมจงอิน ถือว่าเป็นโชคร้ายของอีกฝ่ายแล้วกันที่ดันทิ้งมือถือไว้ที่ห้อง ไม่รู้เหมือนกันว่าปลายสายเป็นใคร อาจจะเป็นแฟนสาวของอีกฝ่ายก็เป็นไปได้เพราะคุณหนูโอเองก็ไม่เคยถามอีกฝ่ายเหมือนกันว่ามีแฟนแล้วหรือยังเพราะนั่นมันไม่ใช่เรื่องที่เขาควรรู้ 

     

    แต่...ดูจากสภาพแล้วก็ไม่น่าจะมีนะ

     

    เซฮุนคิดกับตัวเองก่อนจะเลิกสนใจแล้วหันไปจัดการกับสลัดปลาแซลม่อนรมควันของเขาต่อ กินเสร็จอะไรเสร็จจะได้ทำการบ้านที่คั่งค้างให้เสร็จๆไปซักทีก่อนที่เจ้ามงกูที่กำลังกินอย่างสงบจะกลับมารบกวนเขาอีก 

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ทะเลาะกับมงกูเหรอ?” แว่วเสียงไถ่ถามด้วยความหวังดีจากรูมเมทผิวสีแทน จงอินกลับมาถึงหอในเวลาห้าทุ่มครึ่งในสภาพหน้าง่วงเฉกเช่นทุกครั้ง เปิดประตูห้องเข้ามาก็พบกับรูมเมทตัวขาวที่กำลังนั่งดูรายการวาไรตี้ที่แสนสุดฮาอย่างรันนิ่งแมนหากแต่ใบหน้าของฝ่ายนั้นกลับไม่ได้ร่วมเฮฮาไปกับภารกิจสุดขำของเหล่าพิธีกร คุณหนูโอนั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับหนำซ้ำยังจับเจ้าลูกชายแสนรักของคิมจงอินไปเก็บไว้ในคอกอีกต่างหาก

     

    “หึ” เด็กนิเทศแค่นหัวเราะใส่พร้อมกับปรายตาไปยังมือถือสองจีที่วางอยู่บนโต๊ะในสภาพแยกร่าง แบตเตอรี่ไปทางเครื่องไปอีกทาง จงอินขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความงุนงงและโอเซฮุนก็ไม่ปล่อยให้เขาสงสัยนาน “มันดังไม่หยุดตั้งแต่ห้าโมงยันทุ่มนึง ต้องขอบคุณความใจเย็นของฉันที่ยังหลงเหลืออยู่นะ ไม่งั้นล่ะก็นายได้บอกลาลูกรักนายแน่”

     

    “ฮ่าๆ งั้นเหรอ” ร่างหนาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “แล้วใครโทรมาล่ะ?”

     

    “ไม่รู้สิ มีแต่ผู้หญิง” เดือนนิเทศจอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจพร้อมกลับตวัดสายตาจากหน้าจอทีวีมาที่ใบหน้าคมได้รูป หลังจากที่เขารับสายของน้องเสียงแจ๋วเบอร์หนึ่งไปนั้น เบอร์สองสามสี่ห้าและหกเจ็ดแปดก็ตามมาติดๆไม่ขาดสายโดยแต่ละคนที่พูดขึ้นต้นประโยคมาก็มีไดอะลอคเหมือนกันเด๊ะๆเลยคือ “แล้วอปป้าเป็นใคร? จงอินอปป้าอยู่ไหนคะ?” แบบนี้ ไม่ต้องถามเลยว่าคุณหนูโอรู้สึกประสาทเสียแค่ไหนที่ต้องยับยั้งช่ังใจตัวเองไม่ให้เผลอตวาดใส่ปลายสายออกไป ส่วนเจ้าตัวแสบขนฟูนั่นเพราะความรำคาญบวกพาลเซฮุนเลยจับมันขังคอกเสียเลย

     

    “ฮ่ะๆ...สงสัยไปเอาเบอร์มาจากจุนมยอนแน่เลย”

     

    “ตลกมากรึไง?”

     

    “ไม่ตลกก็ได้” ตาสระอิที่มาจากยิ้มกว้างๆเมื่อครู่นี้ก้มหลุบต่ำเมื่อถูกอีกฝ่ายทำเสียงดุใส่ “ว่าแต่..โทรมาเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ?”

     

    “เห็นสภาพมือถือตัวเองเป็นแบบนั้นแล้วนายคิดว่าไง?” 

     

    “ก็...คงเยอะ” เด็กสถาปัตย์ก้มหน้ามองเท้าตัวเอง “โทษทีนะ”

     

    “ช่างเถอะ รีบโทรไปเคลียร์กับสาวๆของนายก่อนละกัน” เซฮุนถอนหายใจใส่พร้อมกับพูดตัดบท เพราะถ้าบรรดาสาวพวกนั้นเป็นกิ๊กของจงอินล่ะก็เขาอาจจะกำลังทำให้รูมเมทของเขาชวดสาวๆไป กลับกันร่างสูงผิวแทนเอาแต่ส่ายหัวไปมาเบาๆก่อนจะถามออกมาแบบยิ้มๆ

     

    “นายด่าพวกเค้าไปเหรอ”

     

    “เรียกว่าด่าเลยเหรอ แรงไปมั้ง?” ปากบางยื่นออกจนเหมือนลูกเป็ด ตาตี่จ้องมาที่ใบหน้าคมด้วยแววตาขวางๆ “ฉันก็แค่บอกเขาไปว่านายไม่อยู่”

     

    “เหรอ?” 

     

    “อืม เออ...แล้วก็บอกว่าให้พวกสาวๆโทรมาใหม่ แค่นั้น”

     

    “อ้อ...”

     

    “มีปัญหารึไง?” เริ่มจะไม่สบอารมณ์อีกแล้วเมื่อเห็นจงอินมองมาทางเขาด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ อะไร? คิดว่าเขาเป็นใคร? นี่คือคุณหนูโอผู้รู้จักมารยาทนะ คิดว่าเขาจะไปด่าคนที่โทรมาพวกนั้นรึยังไง?

     

    “เปล่าหนิ” ไหล่แกร่งไหวขึ้นลงเบาๆ เขาเดินไปหาลูกรักที่กำลังนอนแผ่พุงอยู่ตรงชามข้าวหมาแล้วลูบหัวมันเบาๆด้วยความเอ็นดู “ไง กินข้าวแล้วใช่มั้ยเรา?”

     

    “ถามฉันสิ ถามหมามันจะตอบอะไรได้” คนให้อาหารนั่งหัวโด่ทนโท่อยู่นี่ทำไมไม่ถาม? ถามหมาหมามันจะตอบมั้ย? เด็กนิเทศไม่เข้าใจความคิดของพวกทาสหมาเลยจริงๆ

     

    “อ่ะๆ” เด็กสถาปัตย์รีบหมุนตัวกลับมาอย่างเร็ว “ถามนายก็ได้ ให้ข้าวมงกูรึยัง?”

     

    “ให้แล้ว”

     

    “อ่าฮะ...ขอบคุณนะที่เป็นธุระให้”

     

    “นายนี่ก็รู้บุญคุณคนเหมือนกันนะ” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจก่อนจะถามต่อเมื่อเห็นสิ่งแปลกปลอมที่อีกฝ่ายหิ้วอยู่กับมือ “นั่นมัน...ถุงกระดาษที่ฉันเอาไปทิ้งแล้วนี่?”

     

    “หืม? อ้อ! ใช่ นายเองใช่มั้ยที่เป็นคนเอาไปทิ้ง” เด็กสถาปัตย์ตบมือดังเป๊าะเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก “ดีนะที่ฉันออกไปรื้อขยะทัน รู้มั้ยว่าฉันเกือบชวดกระเป๋าตังค์กับกุญแจบ้านไปแล้วนะ”

     

    “หา?” รู้สึกเหมือนมีเควชชั่นมาร์กลอยอยู่บนหน้าผากของตัวเองอีกครั้ง ถุงกระดาษสีน้ำตาลมอซอๆนี่เขาเพิ่งเก็บไปทิ้งเมื่อวันที่เราทำความสะอาดห้องกัน จำได้แม่นเลยล่ะเพราะเขาเป็นคนทิ้งมันไปกับมือเลยไง “นายลืมกระเป๋าตังค์กับกุญแจบ้านไว้ในนั้น?”

     

    “ลืมเหรอ? ไม่นะ นี่มันกระเป๋าของฉันต่างหาก”

     

    “ห๊ะ?” 

     

    “กระเป๋าไง เหมือนแอร์เมสสีน้ำตาลของนายที่วางอยู่เนี่ย” ไม่พูดเปล่าแถมยังชี้ไปที่กระเป๋าเรือนแสนที่วางแอ้งแม้งบนโซฟาด้วย

     

    “นายเรียกเจ้านี่ว่ากระเป๋างั้นเหรอ?” แฟชั่นใหม่หรือยังไงกัน? หรือเป็นกระแสของเด็กสถาปัตย์? 

     

    “พอดีว่าเมื่อก่อนฉันชอบทำกระเป๋าหายบ่อยๆฉันก็เลยใช้ถุงกระดาษแทน อย่างน้อยถ้าจะหายก็ไม่เสียดายถูกมั้ย?”

     

    “อ..อืม ก็จริง” แล้วทำไมไม่รักษาของดีๆล่ะ...นี่คือสิ่งที่เด็กนิเทศคิดแต่ก็เอาเถอะ เขาคงอินดี้ไม่พอที่จะเข้าใจไลฟ์สไตล์และแนวคิดประหลาดๆนี่ “ว่าแต่..โทรไปเคลียร์กับสาวๆเมื่อกี้ซะเถอะก่อนที่พวกหล่อนจะอันตรธานหายไป”

     

    “ก็ช่างสิ” จงอินพูดแบบไม่แคร์ 

     

    “อ้าว? ทำไม..”

     

    “เธอพวกนั้นเป็นใครฉันยังไม่รู้จักเลย ฉันไม่เคยให้เบอร์โทรกับผู้หญิงที่ไหนซักหน่อย” 

     

    “เห็นพวกเธอเรียกนายกันว่าอปป้า”

     

    “พวกรุ่นน้องที่ชมรมล่ะมั้ง คงเอาเบอร์มาจากที่ซุ้มชมรม เพื่อนฉันมันแกล้งน่ะ”

     

    “คนแบบนายมีชมรมด้วยเหรอ?” ขอโทษที่ต้องถามแบบไร้มารยาทแต่มันดูเป็นแบบนั้นจริงๆ มนุษย์งานยุ่งที่ดูรังเกียจสังคมแบบนี้มีชมรมกับเขาด้วยเหรอ ที่มหาวิทยาลัยของพวกเขาจะมีชมรมต่างๆจัดขึ้นโดยนักศึกษากันเองเพื่อทำกิจกรรมร่วมกันอย่างเช่นออกค่ายต่างจังหวัดหรือสังสรรค์กันบ้าง

     

    “ฮ่าๆ..คนแบบฉันนี่มันแบบไหนกัน” เสียงทุ้มหัวเราะลั่นด้วยความขบขันก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆคุณหนูโอ “เพื่อนฉันลากเข้าชมรมตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วแต่ก็เหมือนอยู่แค่ในนามนั่นแหละ งานเยอะขนาดนี้จะมีเวลาเข้าชมรมได้ไงล่ะ”

     

    “ก็ว่างั้น” พยักหน้าเอออออย่างเห็นด้วย “อยู่ชมรมอะไรล่ะ? รีไซเคิลคลับหรือนิยมของเก่า?”

     

    “นายแอบเกลียดฉันรึเปล่า?” จงอินถามขึ้นมาอย่างขำๆ “มหาลัยเรามีชมรมแบบนั้นซะทีไหนล่ะ”

     

    “เผื่อนายอาจจะเป็นผู้ก่อตั้ง”

     

    “ว้าว ให้เกียรติฉันเป็นถึงประธานชมรมเลยเหรอ” 

     

    “แล้วสรุปอยู่ชมรมอะไร?”

     

    “ฟุตบอล”

     

    “ไม่ได้อำกันเล่นใช่มั้ย? นาย..เตะบอลได้เหรอ?”

     

    “ฉันว่านายเกลียดฉันแล้วแน่ๆ” แล้วอีกฝ่ายก็หัวเราะออกมาอีกครั้งจนตาเป็นสระอิ “ตอนมัธยมฉันเล่นบอลทุกวันหลังเลิกเรียน มีตำแหน่งเป็นถึงกองหน้าตัวเต็งเชียว”

     

    “อันนี้เริ่มอวดละ” ปากบางเบ้ลงแบบไม่เก็บอาการ “เอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องสุดเซอร์ไพร์สประจำวันนี้เลย ลุคส์นายดูไม่ให้กับฟุตบอล”

     

    “งั้น..ลุคส์ฉันให้กับอะไรเหรอ? ช่วยพิจารณาทีซิ” ร่างสูงผิวสีน้ำผึ้งเอียงคอถามด้วยความสงสัย เซฮุนปรายตาหันกลับไปพิจารณารูปลักษณ์ของคนตรงหน้าตามที่อีกฝ่ายต้องการซึ่งมันก็เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้มองหน้ารูมเมทคนนี้ชัดๆ มือหยาบเสยผมของตัวเองขึ้นไปลวกๆพร้อมกับนั่งนิ่งๆให้คุณหนูโอพิจารณาใบหน้า 

     

    “ลุคส์ของนายงั้นเหรอ...” ตาเรียวไล่มองทุกองค์ประกอบบนใบหน้าอย่างละเอียด กรอบหน้าคมเข้มด้วยแนวกรามที่ฉายเห็นเด่นชัด คิ้วหนาเรียงตัวสวย นัยน์์ตาสีเข้ม จมูกปลายทู่และริมฝีปากอิ่ม เดิมทีเขาไม่เคยคิดว่าผู้ชายลักษณะแบบนี้หล่อเลยซักนิดแต่ไม่รู้ทำไมครั้งนี้เซฮุนถึงรู้สึกว่าคนตรงหน้าดูหล่อ...ไม่สิ เรียกว่ามีเสน่ห์จะเหมาะกว่า ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เขาเคยปรามาสเอาไว้ในใจเงียบๆว่ามันดูเหมือนแววตาของพวกคนอดหลับอดนอนกลับดูเปล่งประกายแบบบอกไม่ถูก 

     

    เมื่อกี้เขาบอกว่าหมอนี่มีเสน่ห์งั้นเหรอ?

     

    เป็นไปไม่ได้....

     

    “คิดนานจัง” เสียงเนือยๆตามแบบฉบับของอีกฝ่ายดังขึ้นทำให้เซฮุนหลุดออกจากภวังค์ เด็กนิเทศเบนสายตาไปอีกทางก่อนจะตอบกลับโดยเร็ว

     

    “นายเหมาะกับการนอนเฉยๆอยู่ที่ห้อง”

     

    “แสดงว่าฉันมีลุคส์แบบ..หนุ่มขี้เซา?”

     

    “อันที่จริงควรจะเรียกว่าซอมบี้มากกว่า ใต้ตาแบบว่าโคตรดำ”

     

    “โอเค งั้นขอซอมบี้กลับหลุมก่อนนะ” เด็กสถาปัตย์ตบมุขกลับแถมยังทิ้งท้ายไปด้วยเสียงหัวเราะทุ้มๆก่อนจะเดินอุ้มลูกชายเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง เซฮุนมองภาพของคนคลั่งหมาที่หอมหัวฟูๆนั่นด้วยความรักแล้วก็แอบเบ้ปากออกมาอย่างนึกรังเกียจ เมื่อกี้เขาแอบเอาเท้ายันหัวเจ้านั่นไปตั้งหลายรอบ หวังว่าจงอินคงจะไม่รู้สึกว่ามีกลิ่นอะไรแปลกปลอมแอบแฝงอยู่บนขนเจ้าพุดเดิ้ลเพศชายนั่นหรอกนะ.... เอาล่ะถึงเวลาเริ่มทำการบ้านกันจริงจังเสียที

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ในที่สุดเด็กนิเทศก็ได้เริ่มลงมือทำการบ้าน แต่มันก็ดูจะไม่คืบหน้าเสียเลยเพราะเขาเอาแต่ติดอยู่ที่หน้าเดิมข้อเดิมมาตั้งแต่แรกเริ่ม การลงเรียนวิชานี้ทำให้เขาได้ข้อสรุปว่าหัวสมองของเขาไม่เปิดรับสูตรคำนวณใดๆทั้งสิ้น ตัวแปรตัวย่อบ้าบออะไรนี่มันคืออะไรแล้วแทนอะไรได้บ้าง ทำไมโลกนี้ต้องยุ่งยากกับการใช้สูตรคิดคำนวณในเมื่อเราต่างก็มีเครื่องคิดเลขกันหมดและเขาคงจะไม่เดินไปตัดสูทของคริสเตียนดิออร์แล้วบอกให้พนักงานแก้สมการเพื่อหาสัดส่วนของเขาหรอก

     

    “สูตรของ GDP คือ C + I + G + X - M...แล้วมันคืออะไรวะ?” เกาหัวตัวเองเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ด้วยความงงงวย ยังไงก็ไม่เข้าใจ...ให้ตายก็ไม่เข้าใจ ทำไมเขาต้องเอาเกรดปลายภาคของตัวเองมาเสี่ยงบนเส้นด้ายเพียงเพราะเพื่อนต้องการจะอยู่กับแฟนด้วย? ได้หมามาไม่ว่าถ้าเกิดปลามาเมื่อไรนี่หายนะเลยนะ การติดเอฟไม่ใช่เรื่องตลกประกอบกับด้วยเหตุผลที่ว่าเทอมหน้าจะเป็นเทอมสุดท้ายของการเรียนแล้ว ถ้าเกิดเขาไม่ผ่านวิชานี้ล่ะก็เทอมหน้ามีหวังได้อัดเรียนเจ็ดตัวแน่ๆ

     

    แค่คิดก็เครียด....

     

    พยอนแบคฮยอน..เป็นเพราะไอ้เตี้ยนั่นคนเดียว

     

    “ทำการบ้านยังไม่เสร็จเหรอ” 

     

    “นายเห็นว่ายังไงล่ะ” มือเรียวเขวี้ยงปากกาลงบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิดพร้อมกับหันไปตอบรูมเมทที่ฟื้นคืนชีพจากหลุม จงอินหายเข้าไปนอนตั้งแต่เมื่อกี้ที่หมอนั่นบอกว่าขอตัวจนตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบตีหนึ่งแล้ว ร่างโปร่งเดินอุ้มลูกชายออกมาจากห้องในสภาพงัวเงีย มือหนาปล่อยเจ้ามงกูให้ลงไปวิ่งที่พื้นส่วนเจ้าตัวก็เดินไปหยิบโค้กกระป๋องออกมา

     

    “ดูเหมือนนายยังไม่ได้เริ่ม” เด็กสถาปัตย์พูด

     

    “ก็เพราะเริ่มไม่ได้ยังไงล่ะ” 

     

    “พักก่อนสิ นายขมวดคิ้วจนหน้ายู่ไปหมดแล้ว” ไม่พูดเปล่าจงอินยังเลียนแบบหน้าตาของเด็กนิเทศตอนนี้อีกด้วย “ตอนนี้หน้านายเป็นแบบนี้”

     

    “ตลกละ นั่นหมาปั๊กแล้วมั้ง ฉันไม่ย่นขนาดนั้นซักหน่อย” ปากบางเบ้ใส่คนที่ทำอะไรเวอร์เกินจริง “พักก่อนก็ดี เบื่อจะแย่”

     

    “อ่ะ” จงอินส่งโค้กกระป๋องเมื่อกี้ให้อีกฝ่าย “น้ำตาลจะทำให้สดชื่นขึ้นนะ”

     

    “จุดนี้ต่อให้น้ำตาลมาทั้งถุงฉันก็คงไม่หรรษาด้วยหรอก” ปากก็บ่นแต่มือก็ยื่นออกไปหยิบน้ำอัดลมกระป๋องแล้วเปิดดื่มทันที รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของร่างสูงก่อนเจ้าตัวจะหายกลับเข้าไปในห้องครู่หนึ่งแล้วกลับมาใหม่พร้อมของในมือ

     

    “งั้น..ลองฟังเพลงดูมั้ย ดนตรีบำบัดช่วยได้นะ” 

     

    “ไม่แปลกใจที่นายยังใช้เอ็มพีสาม” วัตถุในมือของอีกฝ่ายคือโซนี่วอล์คแมนรุ่นสมัยที่เขายังเป็นวัยว้าวุ่นที่เสียงเริ่มแตก “ตอนแรกคิดไว้ว่าใช้ซาวน์เบาท์ซะอีก”

     

    “ฮ่าๆ...นั่นสินะ” จงอินไม่พูดอะไรต่อหากแต่ส่งวอล์คแมนและหูฟังให้อีกฝ่าย แต่ก็ต้องชะงักมือไว้“แต่ก็ไม่รู้ว่านายจะชอบฟังเพลงแนวไหน”

     

    “ขอแค่ไม่ใช่พวกเฮฟวี่เมทัล ที่เหลือฉันโอเค”

     

    “โอเค งั้นผ่าน” เด็กสถาปัตย์ทำท่าโล่งอกก่อนจะยื่นวอล์คแมนให้อีกรอบ “ลองเลือกๆฟังดูนะ”

     

    “อืม” เซฮุนหยิบหูฟังขึ้นมาใส่ ก้านนิ้วเลื่อนไปทางซ้ายทีขวาอย่างไม่คล่องตัว นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้สัมผัสกับเทคโนโลยีสมัยวัยแตกเนื้อหนุ่มมันก็ต้องมีสับสนบ้างเป็นธรรมดา กดปุ่มนั้นปุ่มนี้อยู่สองสามทีจนในที่สุดเพลงก็ดังขึ้นมาเป็นเพลงบัลลาดสากลนุ่มๆ นั่นถือเป็นเรื่องดีที่รูมเมทของเขาก็มีรสนิยมที่ดีในการฟังเพลง

     

    “นายชอบเพลงบัลลาดเหรอ”

     

    “หืม? ก็ชอบนะ” เจ้าของเครื่องวอล์คแมนหันมาตอบ “จริงๆฉันชอบอาร์แอนด์บีมากกว่า”

     

    “อาร์แอนด์บีก็ดี...ฉันชอบ Chris Brown”

     

    “เพลงของ Christ Brown ฉันก็มีนะ เดี๋ยวหาให้” จงอินดึงวอล์คแมนจากมือของคุณหนูโอไปกดไล่หาเพลงด้วยความช่ำชอง กดเลื่อนไปเรื่อยๆจนเสียงกีต้าร์หวานๆดังขึ้นมา

     

    “With you  งั้นเหรอ?”

     

    “จะบ่นว่าเพลงน้ำเน่า?”

     

    “เปล่านิ ฉันก็ชอบเพลงนี้” 

     

    “เหลือเชื่อ” เด็กสถาปัตย์มองด้วยสายตาทึ่งๆ “ฉันนึกว่านายจะไม่ชอบฟังเพลงรัก”

     

    “นายคิดว่าฉันเป็นไอ้บ้าสังคมรังเกียจที่มีความเลือดเย็นอยู่ในตัวสูงรึไง?”

     

    “ก็...มั้ง”

     

    “เฮ้ นายควรโกหกเพื่อรักษาน้ำใจคนสิ!” เซฮุนแหวเสียงดัง “เพลงรักฉันก็ชอบตราบใดที่มันไม่หวานเลี่ยนจนเกินไปในทำนองแบบเกิดใหม่อีกกี่สิบชาติก็จะขอรักแต่เธออะไรแบบนี้”

     

    “ฮ่ะๆ แล้วไม่ดีเหรอ?”

     

    “ดีอะไร ชาติหน้ามีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ รักแค่ชาตินี้ก็พอ ไม่ต้องมาน้ำเน่า”

     

    “นายนี่ไม่โรแมนติกเอาซะเลยนะ” ร่างสูงผิวแทนขำเบาๆอีกครั้งก่อนจะนั่งลงบนพื้น มือใหญ่หยิบชีทแบบฝึกหัดของรูมเมทตัวขาวขึ้นมาพลิกไปมาอย่างถือวิสาสะแต่เซฮุนก็ไม่ได้ว่าอะไร “นิเทศต้องเรียนเศรษฐศาสตร์ด้วยเหรอ”

     

    “วิชาเลือก ลงกับแบคเพราะมันจะเรียนกับแฟน”

     

    “แย่เลยสิแบบนี้”

     

    “โคตรแย่” ถอนหายใจยาวเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นิ้วเรียวกดเลื่อนๆหาเพลงต่อก่อนจะหันไปถามเจ้าของเครื่อง “มีเพลงอะไรเพราะๆอีกมั้ย?”

     

    “มีสิ” ริมฝีปากหนาคลี่ยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นก่อนจะเอื้อมมือมาจับวอล์คแมนเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เด็กนิเทศยังคงถือมันค้างเอาไว้อยู่จึงทำให้มือของทั้งสองคนสัมผัสกันในลักษณะที่ว่าคิมจงอินกำลังกุมมือของคุณหนูโออยู่ คนตัวขาวสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจแต่ก็ไม่ได้สะบัดมือออกแต่อย่างใด ชั่วครู่หนึ่งความรู้สึกประหลาดได้แล่นเข้ามาในห้วงอารมณ์ 

     

    มันอบอุ่น....

     

    “เพลงนี้..เพลงโปรดฉันเลยนะ” มือหนาละออกจากการกอบกุมหลังจากเลือกเพลงเสร็จแล้วหันไปสนใจชีทการบ้านของคุณหนูโอต่อ เซฮุนพยักหน้ารับคำนิ่งๆก่อนจะตั้งใจฟังเพลงที่อีกฝ่ายเลือกมาให้ มันคือเพลง Back at one ของ Brian McKnight เพลงนี้เก่ามากๆตั้งแต่สมัยเซฮุนยังอายุแค่เจ็ดแปดขวบ แต่มันก็ดังมากเช่นกันชนิดที่ว่าเด็กยุคเก้าศูนย์ที่ชอบฟังเพลงสากลคลาสสิคต้องรู้จักเพลงนี้แน่ๆ เซฮุนเคยได้ยินผ่านๆมาอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้โฟกัสตั้งใจฟังอะไรมากนัก

     

    “เฮอะ...ฟังเพลงบอกอายุเลย”

     

    “คลาสสิคจะตายไป” แววตาสุกใสจ้องมาทางเด็กนิเทศแบบไม่วางตาจนเซฮุนเผลอกัดปากด้วยความประหม่า อีกแล้ว...ทำไมแววตาง่วงๆนั่นมันถึงดูเปล่งประกายมีเสน่ห์ขึ้นมาได้กัน? เขาเลิกให้ความสนใจกับคิมจงอินแล้วหันมาตั้งใจฟังเพลงแทน มือเรียวหยิบหูฟังอีกข้างที่ไม่ได้ใส่ตั้งแต่แรกขึ้นมาใส่ เขาควรจะเลิกคุยกับหมอนี่เเล้วหันมาฟังเพลงผ่อนคลาย ไม่ใช่มานั่งพะว้าพะวงกับสายตาเป็นประกายนั่น

     

    “ตอนนี้ฉันกำลังจะเริ่มทำข้อห้า”

     

    “หา? เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ?” เป็นเพราะเปิดเสียงไม่ดังมากนักเสียงทุ้มๆของอีกฝ่ายถึงได้เล็ดลอดเข้าไป เซฮุนไม่แน่ใจกับสารที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อจึงถามย้ำกลับด้วยสีหน้างุนงง “ข้อห้า?”

     

    “อ่าฮะ” ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มออกจนเห็นฟันขาวเรียงตัวสวย “ฉันว่าฉันทำได้นะ”

     

    “นาย...หมายถึงไอ้นั่นน่ะเหรอ?” ชี้มือไปยังชีทการบ้านที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย แว่บหนึ่งจงอินชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน

     

    “ฮ่าๆๆ”

     

    “ข..ขำบ้าอะไร?”

     

    “เอาเป็นว่าฉันขอตัวไปทำการบ้านบ้างดีกว่า ฟังเสร็จแล้วก็วางไว้บนโต๊ะนะ” เด็กสถาปัตย์ไม่ได้ตอบคำถาม เจ้าตัววางชีทการบ้านวิชาเศรษฐศาสตร์ลงแล้วชิ่งหนีกลับเข้าห้องไปโดยไม่ลืมที่จะอุ้มลูกรักแนบอกเข้าห้องไปด้วย “สู้ๆนะเซฮุน ฉันเองก็จะสู้ด้วยเหมือนกัน”

     

    “อ...เออ อืม สู้ๆ...” งงจนไม่รู้จะบรรยายเป็นคำพูดยังไงแล้ว เด็กนิเทศกด PAUSE เพลงเอาไว้ก่อนแล้วดึงชีทการบ้านที่เมื่อกี้จงอินเอาไปถือขึ้นมาดู ตาเรียวกวาดสายตาไล่หาโจทย์ข้อห้าแต่ก็ไม่ปรากฎ

     

    บ้ารึไง...การบ้านมันมีแค่สามข้อ

     

    แล้วไอ้ข้อห้าเมื่อกี้....มันหมายความว่ายังไงกันวะ?

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    _______________________________________________________________________

     

     

    แล้วข้อห้าของคิมจงอินมันคืออะไรกันล่ะคะเนี่ยยยยยย? เด็กนิเทศงงแรงนะพูดเลอ 555555555  โผล่มาอัพอีกแล้วค่ะหลังจากหายไปหนึ่งอาทิตย์ - - ดีใจมากๆเลยที่มีทั้งแฮชแทคและคอมเม้นท์ในฟิค ขอบคุณที่ชอบนะคะ >< 

     

    เห็นมีคนถามว่าเราเรียนคณะอะไร เราไม่ใช่ทั้งเด็กถาปัดหรือเด็กนิเทศหรอก เราเด็ก arts eng 5555555 (คนละทางเลย) รายละเอียดพวกวิชาการเรียนหรืองานอะไรพวกนี้เราก็จำๆมาจากเพื่อนๆของเราที่เรียนทิเทศกับถาปัดแหละค่ะ อาจจะไม่ได้ครบถ้วนหรือมีบกพร่องไปบ้างก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ  แต่เราจะพยายามเก็บทุกรายละเอียดให้ดีที่สุด ^^

     

     

    เขียนมาห้าตอนแล้วก็ลืมบอก เราชื่อมิลค์ อายุ23 นะคะ เรียกพี่เรียกน้องได้ตามสบายเบย~

     

    เราคิดว่าตอนนี้หลายๆคนน่าจะข้องใจเรื่องข้อห้า แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ เฉลยมันจะตามมาทีหลังแน่ๆ หรือจะลองทายกันดูก็ได้นะคะ คำใบ้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล 555555555

     

    ขอบคุณรีดเดอร์ที่น่ารักที่ชอบฟิคของเรานะคะ คอมเม้นท์+แฮชแทคเป็นกำลังใจชั้นเยี่ยมสำหรับเราเลย เราชอบอ่านเม้นท์และแทค #วอวดคฮ น้า~ <3




    @bubblemilktea92

     

     

     

     

     



     


          


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×