คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 02 :: bad behaviour
“จำได้บ้างมั้ย?”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นหลังจากเกิดเดทแอร์ไปราวๆร่วมนาทีหลังจากที่คิมจงอินพาโอเซฮุนท่องเวลาเสร็จ คนเมาค้างสะดุ้งเล็กน้อย เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากไปมาก่อนจะค่อยๆช้อนตามองเจ้าของซากโมเดลที่นั่งอยู่ข้างๆ เซฮุนไม่ได้โง่ขนาดนั้น ถึงจงอินจะไม่ได้บอกเขาตรงๆว่า ‘ก็เพราะอ้วกมึงไงโมเดลกูเลยย่อยยับไม่เป็นชิ้นดีแบบนี้’ แต่เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าตัวเองได้ทำเรื่องชิบหายอันใหญ่หลวงลงไปแล้ว
เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่ทำให้รูมเมทหลั่งน้ำตาได้เลยล่ะ
“คือฉัน....”
“ว่า?”
“นั่นน่ะ...ฉ..ฉันอ้วกใส่เหรอ?”
“รู้มั้ยว่านายแม่นมากเลยนะ ถังขยะวางอยู่ข้างๆแท้ๆ” พูดแบบนี้ด่ากันเลยดีกว่า จงอินยังคงพูดอย่างสบายๆ หมอนี่ใจเย็นชะมัด พนันได้เลยว่าถ้าเหตุการณ์กลับกันโดยมีเขาเป็นฝ่ายถูกกระทำล่ะก็โอเซฮุนคงโวยวายหอแตกไปแล้ว
“นาย..ต้องส่งงานเมื่อไร?”
“ส่งหรอ? พรุ่งนี้”
“.....” ฉับพลันคำว่า “ชิบหายแล้ว” ได้หล่นทับเด็กนิเทศเข้าให้อย่างจัง ตาเรียวค่อยๆแอบชำเลืองมองเจ้าของโมเดลที่ยังคงนั่งกระดิกเท้าแบบชิวๆ ไอ้ที่ชิวนี่หลอกให้ตายใจหรือเปล่าไม่ใช่กายละเอียดมันกำลังซ้อมเขาอยู่หรอกนะ เอาไงดีวะ....
“ฉันควรโกรธนายดีมั้ยนะ?” อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงที่คาดเดาไม่ออกว่ารู้สึกยังไง แต่ที่แน่ๆเซฮุนน่ะเริ่มรู้สึกอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
เสียฟอร์ม....
“จะด่าฉันก็ด่าเลยเถอะ งานนี้ฉันผิดเต็มๆ” เด็กนิเทศพูดพร้อมกับเสยผมขึ้นไปลวกๆด้วยอารมณ์ที่เริ่มขุ่นมัว
“ฉันจะด่าไปทำไม” เสียงทุ้มพูดพร้อมกับยิ้มบางๆ “มันเป็นอุบัติเหตุนี่นา นายคงไม่ได้จงใจจะเล็งเป้าใส่โมเดลฉันหรอกใช่มั้ยล่ะ?”
“.....” โอเซฮุนนั่งกัดปากด้วยความกังวลใจ คิมจงอินนี่เป็นคนประเภทไหนกัน? งานพังทั้งชิ้นแต่กลับไม่โมโหเลยเนี่ยนะ? เอาสิ...ยิ่งเป็นแบบนี้ความรู้สึกผิดมันยิ่งติดลบเข้าไปกันใหญ่ แต่จะให้พูดว่าขอโทษออกมานั้นมันก็ดูจะแสนลำบากสำหรับคุณหนูเอาแต่ใจผู้ไม่เคยก้มหัวให้ใคร
“วันนี้ฉันไม่มีเรียน นั่งทำตั้งแต่ตอนนี้ก็ทัน”
“อ่อ...งั้นเหรอ” ‘แค่คำว่าขอโทษมันพูดยากนักรึยังไง?’ นี่คือคำถามจากจิตใต้สำนึกฝ่ายดีของโอเซฮุน แต่ฝ่ายเดวิลก็ดูเหมือนจะชนะไปด้วยการทำหูทวนลมอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ใช่พูดยาก ยากมาก ยากที่สุด ชีวิตนี้เกิดมาไม่เคยทำอะไรน่าอับอายแบบนี้และไม่เคยต้องมาขอโทษใครด้วย
จงอินยิ้มให้บางๆก่อนจะหันไปหยิบโมเดลอ้วกโยนใส่ถุงดำ ถึงจะโดนน้ำย่อยของคุณหนูโอพิฆาตจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้วแต่เซฮุนก็รู้สึกว่ามันต้องเป็นโมเดลที่อลังการและดูท่าทางว่าอีกฝ่ายจะทำเสร็จแล้วด้วยซ้ำ
ความรู้สึกผิดติดลบอินฟินิตี้....
“ฉัน....” ไวกว่าความคิด มือขาวเอื้อมไปจิกชายเสื้อกล้ามของคนตัวสูงที่กำลังง่วนอยู่กับการเก็บกวาด จงอินชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร
“ฉัน...” ขอโทษ!! พูดไปสิวะเซฮุน! เรื่องง่ายๆแค่นี้จะมาอึกๆอักๆทำเผือกอะไร แค่พูดไปซะจะได้จบๆไม่ต้องมารู้สึกผิดแบบนี้อีก
“หืม?” ร่างสูงผิวสีแทนทำหน้าสงสัยมากกว่าเดิม เด็กสถาปัตย์ปรายตามองมือเรียวที่กำเสื้อเขาเอาไว้เสียแน่นสลับกับมองดวงหน้าขาวของอีกฝ่าย คิ้วหนาขมวดเข้าหากันจนเป็นปมแน่นเมื่อเห็นท่าทางที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ร่างสูงอาจจะกำลังคิดในใจว่าโอเซฮุนอยากจะปล่อยก๊อกสองก็เป็นได้
“ฉัน....คือ...”
“?”
“ฉัน...ฉันไปโทรหาแบคฮยอนก่อนนะ!”
ร่างบางลุกพรวดขึ้นมาจากโซฟาอย่างรวดเร็วโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย เด็กนิเทศประคองร่างพังๆของตัวเองเข้าไปในห้องนอนก่อนจะปิดประตูแล้วเอามือขยี้ผมตัวเองอย่างหัวเสีย เขาเกลียดคนขี้ขลาดและตอนนี้เขากำลังเป็นแบบนั้นอยู่ โอเซฮุนไม่ใช่พวกชอบหนีปัญหาแต่ก็นะ....จะให้พูดขอโทษมันก็ดูจะยากเหลือเกินสำหรับคุณหนูโอที่ไม่เคยจะยอมลงให้ใคร ใช่ มันคือนิสัยเสียข้อใหญ่ของเซฮุนที่เขาแก้ไม่ได้และไม่เคยคิดจะแก้มันด้วย ร่างบางถอนหายใจออกมาด้วยความฉุนเฉียวก่อนจะหยิบเอามือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงตั้งแต่เมื่อคืนออกมา ....265 ข้อความจากไลน์ และ 45 มิสคอล...... สาบานได้เลยว่าตอนนี้ไอ้เพื่อนเตี้ยนั่นมันต้องกำลังด่าเขาอยู่แน่ๆ
[โอ้โหหหห ซ้อมตายเหรอมึงโทรไปไม่รับเลย]
“มึงช่วยเบาเสียงลงหน่อยได้มั้ย” อย่างที่คิดไว้ เพื่อนสนิทรับสายด้วยน้ำเสียงสะท้านโลกาจนหัวสมองปวดตุ๊บไปหมด
[จ้ะ... ว่าไง แฮงก์เหรอคุณหนู?]
“มาก เลยจะโทรมาบอกว่าวันนี้โดดนะ”
[ลำยองมากเลยนะลูก]
“เออมึง...” เขาเบาเสียงลงจนกลายเป็นกระซิบกับมือถือ “ญาติมึงเรียน’ถาปัดใช่ป่ะ?”
[หา? ไอ้แทฮยองอ่ะนะ?]
“เออ”
[ถามทำไมวะ]
“โมเดลชิ้นนึงนี่...ใช้เวลาทำกันนานมั้ย”
[อืม...แล้วแต่เดทไลน์ด้วยแหละ กูเห็นแทฮยองแม่งโต้รุ่งตลอดคืนเดียวเสร็จยังมีเลยนะ มึงไม่เคยได้ยินเด็กถาปัดพูดกันเหรอ ถึงแม้กรุงโรมจะไม่ได้สร้างภายในวันเดียวแต่ถ้าอาจารย์จะเอากรุงโรมพรุ่งนี้วันนี้มึงต้องทำให้เสร็จ]
“อ่อ...”
[ถามทำไมวะ]
“อยากรู้เฉยๆ”
[อยากรู้ก็ไปถามรูมเมทมึงสิ ไอ้บ้านั่นอ่ะตัวปั่นงานเลย ดองๆไว้จนหนอนไชพอไฟลนก้นก็ปั่นข้ามวันข้ามคืน นี่ล่าสุดกูเห็นมันเพิ่งทำโปรเจคบ้านในฝันห่าอะไรเนี่ย นั่งหลังขดหลังแข็งอดหลับอดนอนตั้งสองคืน ...เออ ตอนนั้นกูหวิดจะทำงานมันพังแล้วด้วย ดีนะยั้งตีนทันไม่งั้นเหยียบเละไปละ]
“อ่า...” จึ๊ก....เซฮุนรู้สึกเหมือนโดนจี้ใจดำเข้าอย่างจัง คุณพยอนแค่เกือบพังแต่คุณหนูโอน่ะพังไปแล้ว...เรื่องนี้จะให้เพื่อนสเมิร์ฟรู้ไม่ได้เป็นอันขาด ถ้ามันรู้มีหวังโดนล้อแน่ทั้งเรื่องอ้วกและเรื่องพังโมเดลด้วย “งั้นแค่นี้ก่อนนะ”
เด็กนิเทศกดตัดสายจากเพื่อนสนิททันที ขายาวเดินวนไปวนมาในห้องซักพักก่อนที่เจ้าตัวจะแอบแง้มประตูออกเล็กน้อย ตาเรียวหรี่ลงเพื่อสังเกตการเคลื่อนไหวของรูมเมทที่อยู่อีกฟากกำแพงกั้น คิมจงอินกำลังหยิบกระดาษมาวางกองเอาไว้บนพื้นที่เพิ่งเคลียร์เสร็จ ท่าทางคงจะกำลังเริ่มทำโมเดลใหม่แน่ๆ
เอาไงดีวะ....
เดินจงกลมในห้องอีกซักสี่ห้ารอบจนเริ่มเวียนหัวเด็กหนุ่มจึงรู้ว่ามันไม่ได้ช่วยให้คำตอบอะไร อันที่จริงก็อยากจะปล่อยเซอร์ไม่สนใจความผิดที่ตัวเองทำหรอก แต่จิตใต้สำนึกมันกำลังบอกว่า ‘ไม่ได้!’ แบบรัวๆ ริมฝีปากสึชมพูอ่อนถูกกัดด้วยความเครียดจนแทบจะขึ้นเป็นห้อเลือด ร่างโปร่งพ่นลมหายใจออกยาวๆหนึ่งทีก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูออกไปเยี่ยงคนไม่รู้สติแล้วพูดในสิ่งที่ตัวของเขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน
“จงอิน!”
“หืม?”
“ด..เดี๋ยวฉันช่วยทำเอง!”
“นายแน่ใจนะว่าตัดได้?”
“ก็บอกว่าตัดได้ก็ต้องได้ดิ ทำไมต้องเซ้าซี้”
เด็กนิเทศเผลอพูดเสียงเขียวใส่เจ้าของโมเดลอ้วก เป็นเพราะปากเจ้ากรรมและความคิดที่ขาดสติแท้ๆเจ้าตัวถึงได้มานั่งจมกองกระดาษอยู่แบบนี้ มือเรียวถือกรรไกรอันใหญ่ค้างกลางอากาศประมาณร่วมนาทีเห็นจะได้ ข้อมูลอีกอย่างนึงของโอเซฮุนคือเขาเป็นบุคคลที่มีความรู้ติดลบทางด้านศิลปะ อย่าว่าแต่ตัดกระดาษเแค่ลากเส้นให้มันตรงๆเขายังทำไม่ได้เลย
แล้วยังจะมีหน้าเสนอตัวมาช่วยเขาอีก
อยากจะตบปากตัวเอง...
“อ่ะๆ ถ้าตัดได้ก็ไม่ว่าอะไร” จงอินแบมือสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้ก่อนจะหันไปหยิบมีดคัตเตอร์อีกอันที่วางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล “แต่ตัดโมฯน่ะ...เค้าใช้คัตเตอร์กันนะ”
“….” หน้าแหกหมอไปรับเย็บเลยทีเดียว แต่ว่าคนอย่างโอเซฮุนมีหรือที่จะยอมเสียฟอร์ม เจ้าตัวรีบวางกรรไกรลงอย่างลวกๆพร้อมกับคว้ามีดคัตเตอร์นั่นมาไว้โดยเร็ว “ระ..เรื่องแบบนั้นใครๆก็รู้หรอก..”
“เฮ้ ทำไมดูไม่ค่อยมั่นใจเลย?” จงอินถามพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ ฉันทำเองคนเดียวก็ทัน”
“ก็บอกว่าจะช่วยยังไงล่ะ” ร่างบางเผลอทำเสียงขึ้นจมูกใส่โดยไม่รู้ตัวตามประสาคนเอาแต่ใจ
“แน่ใจนะ?”
“ถ้านายถามอีกคำฉันเอาคัตเตอร์จิ้มแน่” เอาสิ...กิตติมศักดิ์กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ทำงานเขาพังแล้วยังจะมีหน้าไปขู่กรรโชกเจ้าของงานอีก โอเซฮุนนี่มันโอเซฮุนจริงๆ
นี่แหละคือด้านดาร์คของคุณหนูโอเขาล่ะ
“ถ้าเซฮุนอยากช่วยก็..เอาแบบนั้นก็ได้นะ” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าอีกฝ่ายดูไม่ค่อยไว้ใจเขาเลย จงอินเอาแต่มองมาทางเขาด้วยแววตาขันๆราวกับกำลังกลั้นหัวเราะเอาไว้อยู่ตลอดเวลา อะไรวะ... แค่ตัดกระดาษเองใครๆก็ทำได้ ร่างบางจับคัตเตอร์มั่นก่อนจะค่อยๆตัดไปตามรูปทรงโมเดลที่อีกฝ่ายทำเอาไว้ มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลยเพราะไอ้กระดาษนี่มันทั้งหนาและตัดยากชิบหาย
กลับลำตอนนี้ทันมั้ย?
“นี่...” เสียงแผ่วเรียกอีกคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรบางอย่างอยู่ “งานนี้ส่งพรุ่งนี้จริงเหรอ?”
“อ่าฮะ” จงอินตอบทั้งๆที่ยังใจจดใจจ่อกับการทากาวติดโมเดล “ทำไมเหรอ?”
“เปล่า...” ปากกระจับเบะออกจนเหมือนเป็ดก่อนจะหันไปลงมือตัดโมเดลชิ้นเดิมต่อ มันจะไปยากอะไร แค่จับไว้ให้มั่นแล้วก็กรีดลงไปลึกๆ...
“โอ๊ย!”
“เป็นอะไร?!” เสียงร้องเมื่อครู่ดึงความสนใจของเด็กสถาปัตย์ได้ทันที เซฮุนไม่ตอบอะไรเพียงแต่บีบมือตัวเองไว้แล้วก้มตัวลงไปจนหน้าแทบติดพื้น มือเรียวปล่อยคัตเตอร์ลงโดยอัตโนมัติเมื่อความเจ็บปวดแล่นเข้ามาสู่ปลายประสาท ของเหลวสีชาดกำลังเอ่อไหลออกมาจากปลายนิ้วสวยซึ่งดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นแผลใหญ่แน่นอน
บ้าชะมัด...
“กดแผลเอาไว้นะ เดี๋ยวฉันมา” ร่างสูงผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งไปยังห้องนอนของเจ้าตัวโดยเร็ว เซฮุนได้ยินเสียงกุกกักไม่ถึงนาทีคิมจงอินก็โผล่กลับมาพร้อมกับกล่องสีใสที่บรรจุอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเอาไว้ “ส่งมือมาสิ”
“อ..อืม….” มือขาวยื่นออกไปอย่างอ้อยอิ่ง
“ดีนะไม่โดนลึกมาก ไม่งั้นนายได้เย็บนิ้วแน่เลย” น้ำเสียงนุ่มพูดต่อระหว่างที่กำลังจัดการกับแผล ห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง จะมีเสียงแอบซี๊ดปากของคนเจ็บปากดีบ้างเป็นระยะตอนที่ถูกแอลกอฮอล์เช็ดแผล ตาเรียวปรายมองบุรุษพยาบาลจำเป็นที่กำลังทำแผลให้อย่างแข็งขันด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร
จำเป็นต้องดีถึงขนาดนี้เลยเหรอ?
เพราะถ้าสถานะของเขาทั้งสองตอนนี้สลับกันล่ะก็ เซฮุนคงกำลังแหกปากโวยวายใส่เด็กสถาปัตย์แน่ๆ ไม่สิ...พวกเขาทั้งสองอาจจะไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำเพราะเซฮุนคงไล่ตะเพิดอีกฝ่ายออกจากห้องไปตั้งแต่ตอนที่เห็นจงอินอ้วกใส่โมเดล
“จริงๆฉันทำเองก็ได้นะ” จงอินพูดระหว่างใส่ยาให้กับนิ้วเรียว “ทำแปปเดียวก็เสร็จ”
“แต่ฉันทำงานนายพัง...” เด็กนิเทศพูดเสียงอ่อยพลางก้มหน้ามองพื้นกระเบื้อง
“นิ้วเป็นแบบนี้ตัดโมไม่ได้หรอก มันทำไม่ถนัดนะ”
“แต่ฉันเป็นคนพังโมเดลนาย...”
“อ่ะๆ ถ้านายอยากจะช่วยล่ะก็ช่วยเก็บพวกกระดาษที่ฉันตัดๆทิ้งไว้แล้วกัน” ร่างสูงลุกขึ้นยืนหลังจากแปะพลาสเตอร์ให้เสร็จ เด็กสถาปัตย์ชี้ไปยังพวกกองกระดาษชานอ้อยที่ถูกตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นห้อง ร่างโปร่งย่นจมูกด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยถึงปานกลาง นี่จงอินเป็นห่วงสุขภาพนิ้วมือเขาหรือไม่ไว้ใจให้ช่วยทำงานกันแน่? แต่ก็เอาเถอะ อุตส่าห์เสนอตัวจะช่วยแต่ให้ทำแค่เก็บกวาดก็ดีเหมือนกัน ไม่เหนื่อยไม่เปลืองแรง
เขาลุกขึ้นตามจงอินและเดินไปหยิบถุงดำใบใหญ่ที่วางอยู่มุมห้องมา ระหว่างนั้นก็แอบปรายตามองอีกฝ่ายที่หันกลับไปตัดโมเดลอย่างแข็งขันก่อนจะเบ้ปากแล้วแลบลิ้นใส่ด้วยความหมั่นไส้ใน...อะไรก็ไม่รู้ เซฮุนแค่รู้สึกว่ารูมเมทของเขาแม่งทำตัวดีจนน่าใจหายเกินไป มันคงเป็นธรรมชาติของมนุษย์ล่ะมั้ง...พอเจอคนไม่ดีก็ด่า เจอคนดีกว่าก็หมั่นไส้ โลกเรามันอยู่ยากนักแหละ...
มือข้างที่ไม่โดนคัตเตอร์บาดโกยเศษไม้และกระดาษเข้าไปในถุงดำอย่างแข็งขัน หมอนี่ทำห้องรกอีกแล้ว เพราะแบบนี้ไงเขาเลยไม่ชอบการอาศัยร่วมกับคนอื่น โอเซฮุนเป็นคนเจ้าระเบียบมากจนถึงขั้นน่ารักคาญ เขามักจะจู้จี้จุกจิกกับเรื่องไม่เป็นเรื่องและจะทนไม่ได้ถ้าเห็นอะไรที่มันขวางหูขวางตา
หรือส่ิงที่ควรจะจับยัดใส่ถุงดำเป็นอย่างแรกคือไอ้คนที่นั่งตัดกระดาษอยู่?
เซฮุนถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะหันไปเก็บเศษกระดาษที่อยู่บนโซฟาก่อนโดยที่สายตาก็แอบลอบมองไปที่จงอินเป็นระยะๆ หมอนั่นกำลังติดกาวกับกระดาษที่ตัดไว้เพื่อประกอบให้เป็นรูปร่างอะไรซักอย่าง มือขาวกวาดขยะที่วางรกอยู่ใส่ถุงดำจนหมดก่อนจะมัดปากถุงและเอาไปวางไว้ตรงมุมห้อง
“ฉันเก็บส่วนที่รกๆตรงนั้นไปก่อนนะ กระดาษที่นายกำลังตัดเดี๋ยวค่อยเก็บทีหลัง”
“อื้ม ขอบใจมากนะ” รับคำเสียงเรียบทั้งๆที่สายตายังจดจ้องอยู่กับกระดาษตรงหน้า เซฮุนพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดก่อนจะพาตัวเองมานั่งกอดเข่ามองอีกฝ่ายอยู่ข้างๆ
“นี่....”
“หืม?”
“จะไม่ให้ฉันตัดกระดาษจริงๆเหรอ?” บอกแล้วว่าโอเซฮุนน่ะดื้อ ทำก็ไม่เป็นหรอกแต่ถ้าลองอยากทำแล้วใครหน้าไหนก็ห้ามไม่อยู่ทั้งนั้นแหละ
“อยากนิ้วขาดหรอ?” ร่างสูงหันมาถามอย่างขันๆ “เมื่อกี้ไม่เข็ดรึไง?”
“มันเป็นอุบัติเหตุ”
“แต่อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นอีกได้”
“นายกลัวฉันทำงานนายพังล่ะสิ”
“อืม...กลัวหรอ? ก็คงงั้นมั้ง” จงอินยิ้มออกมาแบบไม่เก็บอาการ
“แล้ว...นายไม่โมโหที่ฉัน...”
“พังโมเดล?”
“อืม....นั่นแหละ ไม่โกรธรึไง?”
“ไม่นะ...” ลากเสียงยาวตอบพลางหยิบกระดาษขึ้นมาติดกาวเข้ากับฐาน “นายเมาและไม่ได้ตั้งใจ จะให้ไปโมโหใส่เพื่ออะไร”
“สาบานเลยว่าถ้าฉันเป็นนายล่ะก็คงคว้าคัตเตอร์นั่นมาปาดคอฉันเเล้วแน่ๆ”
“คิดไปคิดมา...รู้งี้เมื่อกี้ก็น่าจะปล่อยให้เลือดไหลจนหมดตัวนะ”
“เอ้า ไหนว่าไม่โกรธ?”
“ล้อเล่นน่า ฮ่ะๆ” ปากอิ่มยกยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติก่อนจะวางอุปกรณ์แล้วหันมาจ้องหน้าเซฮุนแบบตรงๆ “ไง เก็บเศษกระดาษเสร็จแล้วเหรอ?”
“อ..อื้อ” เพราะจู่ๆอีกฝ่ายหันมาจ้องโดยไม่ทันตั้งตัวเด็กนิเทศเลยผงะไปครู่หนึ่ง เมื่อกี้มันเหมือนมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวหมอนี่เลย พอได้สบตากันจังๆเซฮุนรู้สึกว่านัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่ดูง่วงๆนั่นมันดูมีเสน่ห์แบบบอกไม่ถูก
นี่เขากำลังชมไอ้หมอนี่อยู่งั้นเหรอ?
“นายไปอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยมาเก็บต่อ” จงอินเอ่ยปากไล่กรายๆจนเขาต้องก้มมองดูสภาพตัวเองในตอนนี้ ชุดเสื้อโปโลสีน้ำเงินเข้มตัวเมื่อวานที่เปรอะน้ำอาเจียนนิดหน่อยมันส่งกลิ่นเหม็นใช้ได้เลยทีเดียว ไหนจะผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิงนี่อีก....โอเซฮุนขอกลับคำ...สิ่งที่ควรจะเก็บใส่ถุงดำเป็นอย่างแรกเลยคือตัวเขาเองต่างหาก! สกปรกชิบ!!!
“งั้นฉันไปอาบน้ำก่อน”
เด็กนิเทศผุดลุกขึ้นมาแล้ววิ่งเข้าห้องตัวเองไปด้วยความอับอาย มาวันเดียวเขาก็โชว์ภาพลักษณ์ที่ทุเรศๆให้อีกฝ่ายเห็นแล้วงั้นเหรอ?เด็กหนุ่มคว้าผ้าเช็ดตัวผืนขาวที่พาดอยู่ขึ้นมาพาดบ่าก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว
หลังจากที่สายน้ำช่วยชำระล้างร่างกายที่พังยับเยินไปแล้วโอเซฮุนก็กลับมาสดใสอีกครั้ง ร่างขาวบางอยู่ในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาวสกรีนลายกราฟฟิกเรียบๆกับกางเกงสามส่วน กลิ่นสดชื่นของโคโลญจ์และอาฟเตอร์เชฟแบรนด์เนมหรูนั่นทำให้เขารู้สึกรีเฟรชเอามากๆ มือขาวเช็ดผมลวกๆสองสามทีพร้อมกับตรวจดูสภาพความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกอีกรอบ เซฮุนกะว่าเขาจะออกไปกินข้าวและคิดว่าจะชวนไอ้คนที่กำลังนั่งตัดโมนั่นไปด้วย อย่างน้อยก็ถือว่าให้ได้เลี้ยงข้าวชดเชยความผิดกันไปก็เเล้วกันดีกว่าปล่อยเซอร์ไม่ยอมทำอะไรเลย เมื่อพอใจในลุคส์ของตัวเองวันนี้แล้วคุณหนูโอจึงเปิดประตูห้องออกไปอย่างอารมณ์ดี ขายาวเดินมายังบริเวณที่อีกฝ่ายกำลังก้มหน้าก้มตาตัดโมเดลอย่างตั้งใจ เข้าไปอาบน้ำครึ่งชั่วโมงกลับออกมาคิมจงอินก็ยังนั่งอยู่ท่าเดิม...แทบัก
“นี่”
“หืม?” ตาคมช้อนมองมาที่เขา “มีอะไรเหรอ?”
“ไปกินข้าวกัน ฉันเลี้ยง” โอเซฮุนชักชวนด้วยน้ำเสียงร่าเริงแต่...
“อ้อ เมื่อกี้ตอนนายอาบน้ำฉันเพิ่งกินนั่นไปเอง” นิ้วชี้ชี้ไปยังซองเปล่าขนมปังไส้ถั่วแดงที่วางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลและนมอีกหนึ่งกล่อง ไม่สิ! คิมจงอินควรจะดีใจที่เขาชวนไปกินข้าวไม่ใช่มาทำเมินใส่แบบนี้
ชีวิตนี้ไม่เคยมีใครปฏิเสธโอเซฮุนเลยนะ!
“แต่ฉันยังไม่ได้กิน” เซฮุนพูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกเป็นสัญญาณบอกถึงความไม่พอใจ “ไปกินข้าวกัน”
“หา?”
“ลุกสิ” ไม่พูดเปล่าหากแต่ยังส่งสายตาดุๆใส่เจ้าของโมเดลอีก จงอินที่เห็นท่าทางฉุนเฉียวของอีกฝ่ายจึงยอมวางมือจากงานตรงหน้า “อ่ะๆ ไปก็ไป ขอเปลี่ยนเสื้อแปปนะ”
เด็กสถาปัตย์เดินเข้าห้องของเขาไปอย่างงงๆในอารมณ์ที่ขึ้นลงเหมือนคลื่นใต้น้ำของคุณหนูโอ เชื่อเลยว่าจงอินยังต้องเจอแบบนี้อีกเยอะแน่นอน เซฮุนทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟายาวก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาไถฆ่าเวลา ฉับพลันตาเรียวก็ไปสะดุดกับโมเดลที่จงอินทำเมื่อครู่เริ่มเป็นเค้าโครงขึ้นมาหน่อยแล้ว ไม่รู้ว่าเขาอาบน้ำนานหรือว่าอีกฝ่ายทำเร็วกันแน่ อาจจะจริงอย่างที่แบคฮยอนบอกก็ได้ว่าการปั่นงานให้เสร็จภายในคืนเดียวนี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เด็กสถาปัตย์ทุกคนต้องทำให้ได้
กระดิกเท้ารอรูมเมทได้ไม่นานจงอินก็เดินออกมาจากห้องในชุดเสื้อยืดสีดำกับกางเกงสามส่วนที่ดูธรรมดาแต่ไม่นับว่าน่าเกลียดเท่าเสื้อกล้ามบ๊อกเซอร์เมื่อกี้ เด็กนิเทศพยักหน้าเบาๆด้วยความพอใจก่อนจะคว้ากุญแจรถแล้วเดินนำออกจากห้องไปทิ้งให้ร่างสูงผิวแทนเดินตามอย่างงงๆ
ร้านอาหารที่เซฮุนพาจงอินมานั้นเป็นร้านประจำของเขาและแบคฮยอนซึ่งอยู่ไม่ห่างจากหอของเขามากนัก นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งสองคนพบเจอเพื่อนเตี้ยที่กำลังนั่งกินข้าวด้วยใบหน้าอันบูดบึ้งอยู่คนเดียว เม่ือพยอนแบคฮยอนเห็นเขาและจงอินเดินมาด้วยกันจึงไม่รีรอที่จะยกจานข้าวของตัวเองย้ายมานั่งโต๊ะเดียวกันพร้อมกับเริ่มพร่ังพรูความในใจที่อัดอั้นออกมา
“คือมึงเข้าใจป้ะ ใครๆเค้าก็อยากจะมีความมุ้งมิ้งกับแฟน มีชื่อเรียกกันน่ารักๆอะไรแบบนี้อ่ะ”
“เคี้ยวข้าวให้หมดก่อนค่อยพูด สกปรก” มือขาวยันปากของเพื่อนสนิทออกไปเพราะเกรงว่าเม็ดข้าวจะกระเด็นหล่นจากปากใส่จนของตน
“นี่กูไม่ได้เข้าคลาสเรียนมารยาทอยู่นะครับคุณหนู ไม่คุยกับมึงละ...จงอิน คือมึงเข้าใจกูใช่ป่าววะ?” คุณพยอนเปลี่ยนทาเก็ตหันไปหาเพื่อนสนิทสมัยมัธยมแทน เด็กสถาปัตย์ที่กำลังนั่งละเลียดเม็ดข้าวอยู่จึงเงยหน้าขึ้นมาสบตา เซฮุนเลยหันไปสนใจข้าวตรงหน้าต่อปล่อยให้สองเพื่อนซี้คุยกันไปเองดีกว่า
“อืมๆ เข้าใจ” ร่างสูงรับคำ
“ใช่ป้ะล่ะ แล้วคำว่าอ้วนมันน่าเกลียดตรงไหนวะ กูแค่เรียกเค้าว่า ‘อ้วนน้อยมาหาพี่หน่อยเร็ว’ แค่เนี่ยยยย งอนกูเดินนำก้นโด่งไปเลยครับ คือกูก็ไม่ได้ด่าว่าอ้วนไงถึงน้องมันจะอ้วนจริงๆก็เหอะ เรียกว่าอ้วนน้อยนี่มันน่ารักนะเว้ย คิวท์ๆจะตายห่า”
“งั้น...ถ้ากูเรียกมึงเชี่ยอ้วนมึงก็ไม่โกรธ?” จงอินถามขึ้น
“เอ้า โกรธสิวะสัส! กูไม่อ้วนเว้ย!!” คุณพยอนหยิบส้อมขึ้นมาชี้หน้าคาดโทษ
“เห็นมั้ยล่ะ มึงยังโกรธเลยแล้วนับประสาอะไรกับแฟนมึง”
“แต่กูไม่ได้เรียกเค้าว่าเชี่ยอ้วนกูเรียกเค้าว่าอ้วนน้อยไม่ก็น้องอ้วน”
“แล้วมันหมายความว่าอ้วนรึเปล่าล่ะ?”
“โอ้ย นี่มึงเป็นเมียกูเหรอมาตั้งคำถามแทนเนี่ย” แบคฮยอนขยี้ผมอย่างหัวเสียก่อนจะหันมาเอาความจากเซฮุนต่อ “มึงว่าไงคุณหนู?”
“มึงอ้วน”
“หลงประเด็นละ” มือสวยฟาดเข้าให้ที่แขนของคุณหนูโอ “หมายถึงมึงคิดว่ากูผิดมั้ย”
“ไม่รู้” เซฮุนขี้เกียจยุ่งเรื่องหมาแมวทะเลาะกัน เขาไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านซักเท่าไรโดยเฉพาะเรื่องของเพื่อนสนิทตัววุ่นคนนี้ ร่างบางโบกมือไล่พร้อมกับเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“แม่ง...ดำคือกูผิดใช่ป่ะ?”
“เฮ้อ...คือที่กูจะบอกเนี่ยคือแม้แต่ตัวมึงยังไม่ชอบให้ใครมาเรียกแบบนี้เลยแล้วน้องเค้าจะชอบเหรอ?”
“แต่กูเรียกด้วยความเอ็นดู...”
“กูก็เรียกมึงด้วยความเอ็นดูนะ เชี่ยอ้วน อ้วนน้อย...แบบนี้”
“แต่กูฟังแล้วไม่รื่นหูเลยว่ะเพื่อน”
“แฟนมึงก็คงรู้สึกแบบนั้นแหละ น้องเค้าคงกังวลเรื่ืองนี้อยู่แล้วมึงก็ดันไปตอกย้ำปมเค้าอีกมันก็ต้องโกรธกันบ้างเป็นธรรมดา”
“เห้ย แต่กูแค่พูดเล่นป่ะ คนรักกันก็น่าจะเข้าใจดิ”
“ใช่ คนรักกันก็น่าจะเข้าใจ เพราะฉะนั้นมึงก็น่าจะต้องเข้าใจเขาก่อนว่าเขาไม่ชอบให้เรียกแบบนั้น”
“…..” เพื่อนพยอนรับประทานจุดเลยครับ ณ จุดๆนี้คนที่ครองสปอร์ตไลท์ของโต๊ะเป็นคิมจงอินแบบไม่ต้องสงสัย แม้แต่เซฮุนที่เมื่อกี้เบือนหน้าหนีทอปปิคนี้ยังต้องแอบหันกลับมาแอบฟังด้วยความสนใจเบาๆ หมอนี่ต้องเก่งพอควรแหละถึงทำให้ไอ้เตี้ยนี่เงิบได้ นอกจากจะจิตใจดีแล้วยังเข้าอกเข้าใจคนอื่นอีกงั้นเหรอ...นี่มันเทพบุตรเดินดินรึยังไงกัน? แปลกชะมัด...
“เข้าใจรึยัง คำว่าอ้วนมันเซนซิทีฟนะ ได้ยินเข้าบ่อยๆใครก็ไม่ชอบเหมือนกันนั่นแหละ”
“ที่มึงพูดมามันก็...ถูกแหละ” ยอมรับเสียงอ่อยพร้อมกับทำคอตก “งั้นกูต้องไปง้อสินะ”
“เรื่องนั้นกูคงไม่ต้องบอกมั้ง?” คิ้วหนาเลิกขึ้นด้วยความยียวนก่อนจะเอาช้อนเคาะหัวบีเกิ้ลพยอนไปทีนึง “ทีหลังจะพูดอะไรก็อย่านึกแต่สนุกปาก คิดถึงหัวอกคนอื่นบ้าง เข้าใจมั้ย?”
“เชี่ย! เคาะมาได้ สกปรก...แต่กูก็เรียกมึงดำนะมึงยังไม่เห็นโกรธกูเลย?”
“เพราะกูรู้สันดานมึงไง กูเป็นเพื่อนไม่ใช่แฟนเลยไม่มีอะไรจะต้องงอนขนาดนั้น แล้วมันจะมีซักกี่คนที่เข้าใจแล้วรับได้กัน?”
“….” ออลคิลรอบสองครับ แบคฮยอนรูดซิปปิดปากเงียบไปเลย “เออๆๆ กูยอมก็ได้ มึงนี่แม่งชอบสวมบทบาทหลวงมาเทศน์กูตลอดเลย...คุณหนูโอระวังนะอย่าไปทำอะไรให้มันเคืองล่ะไม่งั้นแม่งเทศน์มึงยับแน่”
“!!!!” เหมือนถูกเข็มจิ้มเข้าให้อย่างจังกลางลำตัว เซฮุนที่กำลังนั่งสังเกตการณ์อยู่เงียบๆสะดุ้งโหยงขึ้นมาหลังจากเพื่อนสนิทเมนชั่นชื่อของเขาในบทสนทนา
ทำโมเดลพังนี่...ถือว่าเป็นการทำให้เคืองรึเปล่า?
“กูไม่ใช่มึงซักหน่อย ดูตัวเองก่อนเถอะ” เสียงเป็ดๆพูดพร้อมกับเชิดหน้าขึ้น
“จ้าๆ ...เออ เดี๋ยวนะ ละนี่ไปไงมาไงถึงออกมากินข้าวด้วยกันได้ ปกติมึงไม่ชอบออกมากินข้าวข้างนอกนิดำ?”
“กูชวนจงอินออกมาเอง ทำไม?” รีบพูดตัดหน้าก่อนที่เจ้าของชื่อจะได้ตอบอะไรออกไป
“อื้ม เซฮุนชวนกูออกมา” และจงอินเองก็ให้ความร่วมมืออย่างดีอีกด้วย ฟู่ว....
“นี่อย่าบอกนะว่าตั้งแต่ฟื้นขึ้นมายังไม่ได้แดกอะไรเลย?”
“เออดิ” อ้วกแตกขนาดนั้นจะให้ไปยัดอะไรลงล่ะ
“อ้าว แล้วดำมึงทำงานเสร็จแล้วเหรอถึงออกมาแดกข้าวได้เนี่ย?”
“มึงจะถามอะไรนัก” คุณหนูโอพูดเสียงขุ่น
“เอ้า นั่นเพื่อนกูครับ กูถามมันตั้งแต่มอสี่แล้วครับคุณหนู....เออว่าไงมึงสรุปยังไง?”
“ยังไม่เสร็จ แต่เซฮุนชวนมากินข้าวก่อน” เด็กสถาปัตย์ตอบแบบสบายๆพลางดันจานข้าวไปให้เพื่อนตัวเตี้ย “กินป้ะ กูอิ่มแล้ว”
“กินทิ้งกินขว้างแบบนี้ชาวนาต้องร้องไห้แน่ๆ แดกห่าไรเนี่ยแค่ครึ่งจาน ไดเอทหรอ?” แบคฮยอนยังคงบ่นอุบอิบไปเรื่อยๆโดยมีโอเซฮุนนั่งลุ้นอยู่ในใจเงียบๆ เขากลัวเหลือเกินว่าคิมจงอินจะเล่าวีรกรรมกระหน่ำโลกของเขาให้แบคฮยอนฟัง เมื่อกี้ตอนอยู่ในรถก็ว่าจะเตี๊ยมเอาไว้แล้วเชียวแต่ใครจะไปคิดล่ะว่าจะได้เจอเพื่อนเตี้ยนั่นตอนนี้
ซวยแท้ๆ
“ก็เมื่อกี้กูกินขนมปังกับนมมาแล้ว”
“อ้าว ยังไงเนี่ย? โดนคุณหนูโอลากออกมาใช่มั้ยสรุป? เพื่อนกูแม่งเงี้ยแหละเข้าใจมันหน่อยนะ เป็นโรคประหลาดแดกข้าวคนเดียวไม่ได้”
“พูดมากว่ะ...” ร่างบางค้านขึ้นมาเสียงเบาๆ ในใจก็เฝ้าภาวนาให้ไอ้เพื่อนสเมิร์ฟนี่หยุดสอบปากคำเสียที
“แล้วมึงจะทำงานเสร็จทันเหรอดำ? พรุ่งนี้ส่งใช่ป่ะ?” นั่นไง...ในที่สุดก็วกเข้ามาในเรื่องที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุดแล้ว...
“ทันดิ โต้รุ่งเอาก็เสร็จ” จงอินตอบ “นี่ก็ทำไปได้ประมาณยี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้ว”
“อาจารย์คณะมึงนี่โหดสัสรัสเซียเลยว่ะ” แบคฮยอนพูดพร้อมทำขนลุก
“กูชินละ”
“ว่าแล้วก็ขอสารภาพเลยนะตอนนั้นกูเคยเกือบพังโมเดลมึงละรู้ป้ะ?” จะสารภาพทำเผือกอะไรวะ....เซฮุนคิดในใจพร้อมเอามือปิดหน้าอย่างเป็นกังวล
“ทำไม?”
“วันนั้นเดินแชทไลน์ป้อแฟนกูอยู่อ่ะแหละแล้วมึงวางโมเดลไว้ตรงพื้นไง ดีนะง้างตีนทันไม่งั้นกูได้เป็นแบคซิลล่าถล่มบ้านในฝันมึงไปแล้ว...”
“จะกลับกันได้รึยัง?” จู่ๆร่างโปร่งก็ผุดลุกขึ้นมาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงๆจนเพื่อนทั้งสองหันมองหน้ากันแบบงงๆ “ยุงจะหามอยู่แล้วพูดมากอยู่ได้”
“อ้าว นี่กูผิดเหรอคุณหนูโอ?”
“โตแล้วคิดเองสิ” เซฮุนพูดก่อนจะตั้งท่าเดินไปยังลานจอดรถแล้วทิ้งท้ายไว้สั้นๆกับรูมเมท "ฉันจะไปรอในรถ รีบตามมา"
“เอ้า? เออดีเว้ยเพื่อน ทำตัวยังกับวัยทอง อารมณ์ขึ้นลงเหลือเกิน” คุณพยอนยืนเกาหัวอย่างงงๆโดยมีร่างสูงผิวแทนยืนอมยิ้มอยู่ข้างๆ จงอินยืนมองภาพตรงหน้าอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเพื่อนตัวเตี้ยขึ้นมา
“เซฮุนปกติก็เป็นคนแบบนี้เหรอ?”
“เป็นยิ่งกว่านี้อีกครับ มึงอย่าไปถือสามันนะถ้าเกิดแม่งเผลอปากไวพูดจาไม่เข้าหูอ่ะ นิสัยแม่งดูเหมือนจะแย่แต่จริงๆมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นหรอก มันแค่ไม่รู้จักวิธีผูกมิตรและยอมลงให้กับคนอื่นซักเท่าไรน่ะ แถมยังดื้อชิบหายอีกต่างหาก”
“อืม...เรื่องนั้นก็พอรู้นะ”
“ก็นั่นแหละ...เดี๋ยว! แล้วมึงไปรู้นิสัยเพื่อนกูได้ไง?” ตาตี่ตวัดมองเพื่อนตัวสูงด้วยความเคลือบแคลงใจ เพิ่งรู้จักกันวันเดียวมันเจอฤทธิ์เดชคุณหนูโอไปแล้วเหรอวะ?
“กูรู้แล้วกัน” ร่างสูงทำเพียงแค่ตอบแบบยิ้มๆก่อนจะตบบ่าเพื่อนสนิทเบาๆ “มึงก็รีบไปเคลียร์เรื่องตัวเองเถอะ”
“จะบอกว่าอย่าเสือกก็พูดไม่ต้องอ้อมค้อม”
“คำพูดกูดูเป็นแบบนั้นเหรอ?”
“หืมม ไอ้เสือ ขอกูเตะทีดิ๊กวนเท้าชิบ” ว่าแล้วขาป้อมๆก็เตะเข้าให้ที่บั้นท้ายของเพื่อนตัวสูง “รีบกลับไปเลยไป ไม่งั้นกูแช่งให้งานส่งไม่ทัน”
“ปากหมาสมฉายาเลยนะบีเกิ้ล”
“พูดความจริงเว้ย” แบคฮยอนพูด “โดนสั่งให้ทำใหม่ทั้งหมดแบบนั้นถ้าตอนนี้มึงยังไม่รับกลับไปทำล่ะก็ไม่เสร็จแน่ๆ”
“ขอบคุณที่ตอกย้ำนะเตี้ย” มือใหญ่ขยี้ผมทรงนกหัวขวานที่ถูกเซ็ตมาอย่างดีด้วยความหมั่นไส้
“เห้ยๆๆ อย่าเล่นหัวพี่นะครับน้องจงอิน” แบคฮยอนสะบัดตัวหนี “เออแต่จะว่าไปกูก็ว่าบ้านมึงที่ส่งไปเมื่อวานมันก็สวยแล้วนะ ทำไมถึงไม่ผ่านวะ”
“มันไม่แข็งแรงพอ กูสะเพร่าเองแหละ”
“เสียดายแทนว่ะ งั้นมึงก็เก็บอันนั้นไว้เป็นที่ระทึกแทนก็แล้วกัน”
“ระลึกพอมั้ย?” จบคำพูดเจ้าตัวก็ผุดยิ้มขึ้นมาโดยอัตโนมัติเมื่อนึกถึงสภาพโมเดลอันนั้นที่ตอนนี้นอนนิ่งอยู่ในถุงดำ
อันที่จริงคำว่าที่ระทึกก็ถูกแล้วแหละ...
ปิ๊น ปิ๊นน~
“ไปละๆ เดี๋ยวเซฮุนไม่รอ” พูดพร้อมกับปรายตามองไปที่บีเอ็มดับบลิวคันขาวที่กำลังบีบแตรเป็นจังหวะสลับกับตบไฟสูงรัวๆเป็นการเร่งทางอ้อม
“เออๆ ขอให้สนุกกับการปรนนิบัติคุณหนูนะ กูฝากเพื่อนกูด้วย ช่วยดูมันหน่อย” จงอินหันไปโบกมือลาเพื่อนตัวเตี้ยก่อนที่ขายาวจะก้าวออกมาจากร้านอาหาร ตาคมแอบสังเกตเห็นใบหน้าบูดบึ้งของเจ้าของรถคันหรูผ่านกระจกหน้าแล้วก็ต้องยิ้มออกมาอีกรอบ ท่าทางแบบนั้นมันเหมือนกับราฮีหลานสาวของเขาเวลาที่เขาทำอะไรไม่ถูกใจเธอไม่มีผิด ริมฝีปากบางเบะลงเล็กน้อยพร้อมกับกลอกตาไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เหมือน copy + paste กันมาไม่มีผิด ไหนจะนิสัยเอาแต่ใจอะไรนั่นอีกล่ะ
เพราะฉะนั้นเรื่องโมเดลอ้วกที่มันเป็นงานที่ใช้ไม่ได้แล้วนั่น......จงอินจะเก็บเป็นความลับสุดยอดแล้วกัน
ดัดนิสัยให้คุณหนูรู้สึกผิดไปอีกซักพักคงไม่ถือว่าใจร้ายหรอกนะ :)
_______________________________________________________________
คุณหนูโดนต้มแล้วค่ะ 555555555 งานมันเสียอยู่แล้วไงโดนเด็กถาปัดแกล้งเข้าให้แล้ววว สมมม
เป็นยังไงบ้างคะ คุณหนูโอเหวี่ยงและวีนมากมั้ย? แต่งเองยังสัมผัสได้ถึงความน่าหมั่นไส้เลยค่ะ ถ้าไม่น่ารักนี่โดนถีบแน่นอน 555555555
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และเฟบนะคะ เราดีใจมากๆเลยที่มีคนอ่านและชอบเรื่อง #วอวดคฮ ของเราด้วย ขอบคุณจริงๆค่ะ TT^TT
เราจะพยายามพัฒนาฝีมือการแต่งให้ดีกว่าเดิมค่ะ หวังว่าทุกคนคงจะสนุกกับตอนนี้นะคะ รู้สึกยังไงคอมเม้นท์บอกกันน้าหรือจะติดแท็ก #วอวดคฮ ในทวิตเตอร์ก็เอาเลย เราจะไปแอบส่อง! :)
@bubblemilktea92
ความคิดเห็น