ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    warm and windy | ❥kaihun

    ลำดับตอนที่ #2 : 01 :: first day

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.ย. 58






     

     


     

     

              วันรุ่งขึ้นโอเซฮุนก็มุ่งหน้ามายังหอพักเก่าของแบคฮยอนเพื่อย้ายของเข้าหอโดยลำพัง อ่านไม่ผิดหรอกว่าโดยลำพัง นั่นก็เพราะว่าแบคฮยอนมันชิ่งเขาไปหาแฟนป้ายแดงแล้วยังไงล่ะ! ตอนแรกก็สัญญากันซะดิบดีว่าจะมาช่วยขนของแถมยังเอาแต่พร่ำบอกว่าเป็นห่วงนักเป็นห่วงหนา แต่พอสุดที่รักของคุณพยอนไลน์มาบอกว่าให้ไปหาเดี๋ยวนี้เท่านั้นแหละแบคฮยอนสุดคูลก็กลายร่างเป็นบีเกิ้ลน้อยพร้อมกระดิกหางวิ่งไปหาเจ้านายอย่างเชื่องๆเลย
     

              โอเซฮุนจอดรถอยู่หน้าหอของว่าที่รูมเมท เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย...ไม่สิ อึดอัดมากๆเลยต่างหาก คนไม่รู้จักมักจี่กันมาก่อนแต่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเลยมันก็ดูจะแปลกไปซะหน่อย ทั้งๆที่เมื่อวานตอนเย็นแบคฮยอนมันก็อุตส่าห์พามาหาที่หอแล้วแท้ๆแต่ว่ารูมเมทคนนี้ดันติดพรีเซนท์งาน โชคดีที่ห้องของแบคฮยอนเป็นแบบสองห้องนอนเลยปลอดภัยหายห่วงเรื่องต้องนอนสูดอากาศร่วมห้องกันกับรูมเมท แบคฮยอนช่วยเขาทำความสะอาดห้องจนไร้ฝุ่นวันนี้คนตัวขาวเลยสามารถลากกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้สบายๆเลยยังไงล่ะ

    ถึงเพื่อนตัวเตี้ยจะชิ่งหายไปแต่ก็ยังนับว่าดีที่เพื่อนยังไม่ลืมสัญญาเรื่องที่จะฝากฝังเขาไว้กับอดีตรูมเมท แบคฮยอนกดเลขสิบหลักเมมฯใส่มือถือของเขาก่อนที่จะออกไปรับแฟนเด็กของมัน ตอนนี้ร่างบางยืนอยู่หน้าหอพักเก่าของเพื่อนสนิทแล้วและกำลังโทรหาว่าที่รูมเมทอยู่แต่ทว่า...
     

              ตู๊ด...ตู๊ด......ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก....@#!$#^%#^%$%
     

              เบอร์มาผิดรึเปล่าวะ?
     

              นิ้วเรียวกดเข้าไปในโปรแกรมแชทสีเขียวและกดเข้าไปในห้องสนทนาล่าสุดที่ใช้ชื่อว่า byunnim ก่อนจะพิมพ์ถามอีกฝ่าย
     

     

     

                                                                                                                                PM 15.45     มึง 
     

                                                                                                   PM 15.45     ให้เบอร์มาผิดเปล่าวะ?

     

     

     

     

              นั่งเคาะนิ้วรอไม่ถึงสองนาทีเพื่อนสนิทก็ตอบกลับมา
     


     

              ไม่ผิดดิ    PM 15.46
     

              080-880-94XX   PM 15.46
     

              ใช่ป้ะ?   PM 15.47

     

     

              ตาไล่อ่านหมายเลขโทรศัพท์ทีละตัวอย่างระมัดระวังแถมยังทวนซ้ำอีกสองรอบกันการผิดพลาด...ก็ถูกแล้วนี่

     

                                                                                                                      PM 15.48    ติดต่อไม่ได้
     

                                                                                          PM 15.49   เอาไลน์ไอดีมาดิ๊ ขี้เกียจโทรแล้ว




     

               แอดไลน์ไม่ได้ๆ  PM 15.51
     

               มึงขึ้นไปเคาะเลยแล้วกัน มันอยู่ห้อง ตอนเที่ยงกูโทรหามันแล้วรอบนึง PM 15.51
     

               จำได้ใช่ป้ะห้องไหน 1412 นะ  PM 15.51

     

     

               เซฮุนขมวดคิ้วเข้าหากันอีกครั้ง ทำไมถึงให้ไอดีไม่ได้วะ? นี่แบคฮยอนมันกำลังคิดว่าเขาจะไปจีบเพื่อนมันรึยังไง? แล้วคือยังไงอีกหน่อยอยู่ห้องเดียวกันก็ต้องมีไลน์กันรึเปล่า? แม่ง...
     

              เก็บความขุ่นเคืองเอาไว้ในใจก่อนแล้วกัน ขายาวๆลากกระเป๋าแบรนด์เนมล้อลากสุดหรูก้าวเข้ามาในลิฟท์ กล่องสี่เหลี่ยมค่อยๆเคลื่อนตัวมาจนถึงชั้นสี่ที่เป็นจุดหมาย โอเซฮุนกระแอ่มไอเล็กน้อยพลันหัวสมองก็คิดถึงบทสนทนาที่ควรจะพูดคุยกับว่าที่รูมเมท เขาไม่ใช่พวกมนุษยสัมพันธ์ดีหรือเข้ากับคนอื่นได้ง่ายแบบแบคฮยอน บวกกับหน้านิ่งๆและบุคลิกหยิ่งๆของเขาด้วยนั้นมันเลยอาจจะทำให้ผิดใจกับเพื่อนใหม่ตั้งแต่แรกเจอเลยก็เป็นได้ ร่างบางสูดลมหายใจเข้าลึกๆพร้อมกับยื่นมือออกไปเคาะเบาๆสองสามทีที่ประตูห้อง 1412

     

               ก๊อก ก๊อก ก๊อก
     

               …….
     

               เงียบเชียบ.....
     

               ก๊อกๆๆๆ
     

               …….
     

               โครม! ตึง!! เคร้ง!!
     

               !!!!!
     

              ระหว่างที่กำลังจะรัวมือเคาะอีกรอบเสียงอึกทึกภายในห้องก็ทำให้เด็กนิเทศชะงักไป เซฮุนเอาหูไปแนบกับประตูเยี่ยงคนไร้มารยาท ได้ยินเสียงกุกๆกักๆอีกสองสามทีก่อนที่จะได้ยินเสียงปลดล๊อคกลอนประตู เขาจึงรีบกระเด้งตัวออกจากประตูแล้วแสร้งทำเป็นเกาหัวแก้เก้อ

     

              “หวะ...นาย...โอเคนะ?” คนตัวขาวกลืนคำทักทายลงคอไปเปลี่ยนเป็นถามอาการของว่าที่รูมเมทแทนหลังจากเห็นอีกฝ่ายกำลังกระโดดกระหย่องกระแหย่งไปมาพร้อมกับเอามือลูบข้อเท้า ตาคมอาศัยจังหวะนี้ลอบมองลักษณะทางกายภาพของรูมเมทในอนาคต ร่างกายที่ดูกำยำได้สัดส่วน ผิวบ่มแดดและส่วนสูงที่น่าจะไม่ต่างจากเขามากนักมันทำให้คนตรงหน้าดูดีไม่ใช่น้อย ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับเสยผมแบบลวกๆ พนันได้เลยว่าร้อยทั้งร้อยหมอนี่ต้องเพิ่งตื่นแน่ๆ เพราะใบหน้ายังไม่เซตตัวกับอาการงัวเงียนั่นเป็นตัวบ่งบอกได้ดี นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองแขกผู้มาเยือนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ตาปรือๆนั่นจะเบิกโตขึ้นเล็กน้อยราวกับเพิ่งนึกอะไรออก
     

              “เพื่อนแบคฮยอนใช่มั้ย?”
     

              “อือ”
     

              “เข้ามาก่อนๆ” ร่างสูงผิวแทนเปิดประตูออกกว้างพร้อมกับผายมือเชิญอีกฝ่าย เซฮุนพยักหน้าเบาๆพร้อมกับหันไปหยิบกระเป๋าล้อลากที่อยู่ด้านหลังแต่ทว่ากลับโดนแย่งไปเสียก่อน
     

              “ฉันช่วยเอง”
     

              “อ้อ...อืม ขอบใจนะ” ก็บอกแล้วว่าโอเซฮุนน่ะมนุษยสัมพันธ์ติดลบ ร่างโปร่งได้แต่อือๆอาๆไปตามเรื่องเหมือนคนโง่ เขาไม่ค่อยชอบการทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ไม่อย่างนั้นคงไม่มีแบคฮยอนเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในรั้วมหาลัยหรอก ขายาวก้าวเข้ามาในห้องอย่างกล้าๆกลัวๆ รูมเมทของเขาลากกระเป๋ามายังส่วนของห้องนั่งเล่นก่อนจะตบมือเบาๆบนโซฟา “นั่งก่อนเลย”
     

              “อ..อืม” เกร็งชะมัด...
     

               “ฉันชื่อจงอินนะ คิมจงอิน ....แบคฮยอนคงจะแนะนำไปแล้วล่ะมั้ง?” เสียงทุ้มแนะนำตัวเองอย่างเป็นกันเอง เซฮุนจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงเรียบๆ “ฉันโอเซฮุน”
     

               “เมื่อวานนายมาจัดห้องแล้วใช่มั้ย”
     

               “อื้ม มากับแบคฮยอนแต่..นายติดพรีเซนท์?”
     

               “ใช่ เมื่อวานฉันต้องไปส่งเจ้านั่นน่ะ” นิ้วเรียวชี้ไปยังโมเดลอะไรซักอย่างที่วางอยู่ไม่ไกลนัก “โทษทีนะห้องรกไปหน่อย พอดีเมื่อคืนฉันนั่งปั่นงานทั้งคืนเลย”
     

              “อ่า...เด็กสถาปัตย์สินะ..” เซฮุนอยากจะบอกเหลือเกินว่ามันรกชิบหาย เศษกระดาษแข็งและเศษไม้เกลื่อนกลาดปกคลุมพื้นห้องจนแทบจะมองไม่เห็นกระเบื้องสีขาว ไหนจะอุปกรณ์อย่างกรรไกร กาว คัตเตอร์ที่กระจัดกระจายไปทั่วทุกมุมนั่นอีก.....
     

              “นายต้องกำลังด่าฉันอยู่ในใจแน่ๆเลย”
     

              “หะ..หา?” 
     

              “ฮ่ะๆ ใช่จริงๆด้วยสินะ” อีกฝ่ายหัวเราะอย่างขันๆก่อนจะพูดต่อ “สายตานายมันเหมือนมีคำว่า ‘ไอ้บ้านี่สกปรกชะมัด’ ลอยอยู่แบบนั้นเลย”
     

              “ก็...ประมาณนั้นมั้ง” เซฮุนเลียริมฝีปากด้วยนิสัยเคยชินยามที่เขากำลังเก้อเขิน มือขาวเผลอท้าวเบาะโซฟาไปอย่างไม่รู้ตัวจนเขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างและหยิบมันขึ้นมาดูตามนิสัยอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ 

     

              นี่มัน...
     

              กางเกงใน......
     

              “ชิบ!” รูมเมทผิวแทนสบถลั่นก่อนจะรีบเข้ามาคว้าวัตถุต้องห้ามไปจากมือขาวๆนั่น  
     

              “ตรงนี้คือตู้เสื้อผ้าของนายงั้นเหรอ?” ร่างบางค่อนขอดอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงดูแคลน เขาเพิ่งสังเกตเมื่อตอนนี้นี่แหละว่านอกจากกางเกงในแล้วยังมีเสื้อนักศึกษา กางเกง และบลาๆวางเกลื่อนอยู่เต็มโซฟาเลย
     

              “ฮ่ะๆ ใจเย็นน่า...ไม่ต้องทำหน้ายี๋แบบนั้นก็ได้ พวกนี้เป็นเสื้อผ้าที่ซักแล้วนะ”
     

              “แน่ใจ?” เซฮุนเผลอย่นจมูกใส่ด้วยท่าทางรังเกียจเบาๆ ไม่ได้ไม่มีมารยาทนะแต่...ถ้าจับถูกกางเกงในที่ยังไม่ซักมันไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
     

              “พูดแบบนี้นายดูถูกน้ำยาปรับผ้านุ่มร้านข้างล่างหอนะ กลิ่นหอมออกขนาดนี้” ไม่พูดเปล่าแต่กลับดมเสื้อยืดโชว์อีกต่างหาก โชคดีแค่ไหนแล้วที่อีกฝ่ายไม่สูดกางเกงในเป็นการพิสูจน์

     

               พิลึกคน

     

              “งั้น...ฉันเอาของเข้าไปเก็บในห้องนอนก่อนนะ”
     

              “ตามสบายเลย เดี๋ยวเก็บตรงนี้ให้” จงอินพยักหน้าให้เบาๆแล้วหันไปทำความสะอาดเศษกระดาษบนพื้นต่อ ร่างบางจึงเดินลากกระเป๋าเข้าห้องไปอย่างมึนๆ คิมจงอินดูเป็นไอ้ซกมกที่มีนิสัยประหลาดเบาๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปใส่ใจอะไร ก็แค่เพื่อนร่วมห้องที่แชร์ค่าห้องกันเฉยๆ ต่างคนต่างอยู่ก็ได้ไม่เห็นจำเป็นต้องมานั่งเข้าใจอีกฝ่ายเลยซักหน่อย โอเซฮุนได้แต่คิดแบบนี้ก่อนจะเริ่มอันแพ็คข้าวของตัวเองแล้วจัดขึ้นชั้นให้เข้าที่เข้าทาง 

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     




     

     

     

     

              “เพราะงี้นายก็เลยมาอยู่หอสินะ”
     

              “อืม”
     

               หลังจากเก็บของเสร็จ เซฮุนก็พาตัวเองออกมายังห้องนั่งเล่น จริงๆห้องนี้มันก็ไม่ได้หรูหราอะไรมากนัก มันเป็นพื้นที่ขนาดพอประมาณที่สามารถวางทีวีและโซฟาตัวยาวได้ ถัดไปทางซ้ายมือมีครัวเล็กๆกับตู้เย็นที่เมื่อกี้เปิดดูแล้วมีแต่น้ำเปล่ากับเบียร์ ดูๆไปแล้วภายในห้องก็ไม่ถึงกับรกมากจนน่ารังเกียจแต่ก็ไม่ได้สะอาดจนน่าพอใจ เด็กนิเทศเดินออกมาดูบริเวณรอบๆห้องก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตัวยาวตามคำชวนของอีกฝ่าย คิมจงอินที่เก็บกวาดกองกระดาษพวกนั้นเสร็จแล้วก็หันมาสัมภาษณ์เขาทันทีอย่างสนอกสนใจ 
     

              “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอก นายไม่ใช่คนเดียวที่โดนไอ้เตี้ยนั่นลอยลำ” จงอินแซวเมื่อเห็นร่างขาวนั่งทำหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก “แบคฮยอนมันก็ย้ายออกไม่บอกฉันเหมือนกัน”
     

              “แย่ชะมัด..”
     

              “นายด่าได้น่ารักจัง สาบานได้ว่าฉันสวดใส่มันยับกว่านี้อีก” รูมเมทตัวสูงหัวเราะเบาๆพร้อมกับหยิบปากกาขึ้นมาควงเล่น “ทำตัวตามสบายเลยนะ ปกติแล้วฉันก็อยู่แต่ในห้องนั่นแหละ จะดูทีวีหรือจะทำอะไรก็เอาเลย”
     

              “มันจะไม่รบกวนนายรึไง?”
     

              “ปกติฉันเปิดเพลงฟังในห้องอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก”
     

              “อ่อ...” ร่างบางนั่งหลังตรงอย่างเกร็งๆ เขาส่งเสียงในลำคอพลางกลอกตาไปทางซ้ายทีขวาที เซฮุนไม่เก่งกับการเริ่มบทสนทนากับคนแปลกหน้าเลยจึงรู้สึกอึดอัดกับเดทแอร์ที่น่ากระอักกระอ่วนนี่ ต่างกับคิมจงอินที่นั่งพิงเบาะอย่างสบายๆพลางจดอะไรบางอย่างใส่หนังสือเล่มเล็กไปด้วย เขาเลยตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมาไถไปมาเล่นๆแก้เก้อเหมือนที่หลายๆคนชอบทำ กดเข้าแอพนู้นออกแอพนี้ทั้งๆที่ไม่ได้มีอะไรหรอก
     

              “ติดโซเชียลสินะ”
     

              “ห..หา?”
     

              “นายนั่งกดแต่มือถือตลอด”
     

              “ก็...เช็คนู่นนี่ไปเรื่อย ตอบแชทอีก”
     

              “ไม่น่าแปลก ก็นายออกจะป็อป”
     

              “ฉัน? ฉันเนี่ยนะป็อป?” 
     

              “เป็นถึงเดือนนิเทศนี่เรียกว่าป็อปได้ใช่มั้ย?”
     

              “นายรู้?”
     

              “แบคฮยอนแทบจะเล่าชีวประวัติของนายให้ฉันฟังเลยด้วยซ้ำ” อ่า....เป็นแบบนี้นี่เอง ขายขี้หน้าชะมัดเลยแฮะ.. โอเซฮุนกำลังรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กสามขวบที่เข้าเรียนอนุบาลวันแรกโดยมีพยอนแบคฮยอนเป็นคุณแม่คอยฝากฝังเขาไว้กลับคุณครูอนุบาลเลย

     

              นี่มันเล่าอะไรไปบ้างวะเนี่ย?

     

              “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ...แบคฮยอนไม่ได้เล่าเรื่องตลกๆของนายหรอกนะ วางใจได้” จงอินรีบพูดต่อเมื่อเห็นว่าเซฮุนนิ่งไป “มันแค่บอกว่านายเป็นเดือนนิเทศแล้วก็...”
     

              “แล้วก็?”
     

              “ไม่ค่อยเป็นมิตรกับสังคมซักเท่าไร” ร่างสูงพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
     

              “คงงั้นมั้ง ฉันมันประเภทสังคมรังเกียจ” ว่าไปตามตรงก่อนจะเป็นฝ่ายพูดต่อบ้าง “แต่ดูนายจะไม่ใช่”
     

              “ฉันเหรอ?” จงอินทวนคำพูด “อืม...ถ้านายเป็นพวกสังคมรังเกียจฉันก็คงเป็นพวกรังเกียจสังคมล่ะมั้ง? ฮ่ะๆ”
     

              “นาย...เข้ากับคนอื่นยากเหรอ?” ถ้าตอบว่าใช่ล่ะก็โอเซฮุนจะขอเถียงสุดใจขาดดิ้นเลยเพราะตั้งแต่เข้าห้องมานี่เป็นจงอินต่างหากที่ชวนเขาคุยอยู่ฝ่ายเดียว ดูยังไงหมอนี่ก็ดูเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีเป็นเลิศค่อนไปทางพูดมากชัดๆ
     

              “สำหรับโลกออนไลน์น่ะใช่ เพราะฉันไม่เล่นโซเชียลอะไรเลย”
     

              “หา??...จริงดิ”
     

              “อ่าฮะ”
     

              “แบบ...ไลน์ คาทก เฟสบุค ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม อะไรแบบนี้?”
     

              “นายคิดว่ามือถือสองจีแบบนี้จะเล่นไอ้พวกที่นายพูดมานั่นได้มั้ย?” จงอินชูโทรศัพท์ของเขาให้เซฮุนดูชัดๆ มันคือรุ่นฝาพับสีน้ำเงินที่ร่างบางเคยเห็นตั้งแต่สมัยอยู่มอปลายปีหนึ่ง สมัยที่มือถือยังเป็นแรร์ไอเท็มสำหรับเด็กมัธยมซึ่งตอนนี้รุ่นนี้มันควรจะหายสาบสูญไปจากโลกสุดไฮเทคได้แล้วแต่มันกลับยังอยู่ในอุ้งมือของรูมเมทของเขาได้ แถมยังอยู่ในสภาพดีเหมือนใหม่เลยอีกต่างหาก
     

              “งั้น..ฉันก็ต้องเมสเสจหานายอย่างเดียวเลย?”
     

              “อ่าฮะ...แต่ว่าปกติแล้วฉันก็ไม่ค่อยพกมือถือหรอกนะ”
     

              “แล้วฉันจะติดต่อกับนายได้ยังไง?”
     

              “ก็...ปกติถ้าไม่มีเรียนฉันก็อยู่ห้องตลอดนั่นแหละ ถ้านายมีอะไรไม่ด่วนมากก็...” อีกฝ่ายลากเสียงยาวพลางคุ้ยหาอะไรบางอย่างบนโต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะหยิบกระดาษโพสต์อิทสีต่างๆขึ้นมาพร้อมกับปากกา “แปะไอ้เจ้านี่ไว้ที่หน้าห้องไม่ก็ตรงโต๊ะเขียนหนังสือก็ได้”
     

              “ซีเรียส? อำกันรึเปล่า?”
     

              “ฉันจะทำแบบนั้นเพื่ออะไรล่ะ?” รูมเมทผิวสีพูดอย่างยิ้มๆ “ฉันมันประเภทไม่ถูกกับเทคโนโลยีเท่าไร จำได้ว่าล่าสุดที่เคยใช้โปรแกรมอะไรพวกนี้ก็....สมัยเอ็มเอสเอ็น...มั้ง?”
     

              “นี่ฉันต้องไปซื้อนกพิราบมาผูกจดหมายติดขาส่งไปให้นายรึเปล่า?”  นี่มันเกินไปแล้ว เซฮุนเข้าใจแล้วว่าทำไมแบคฮยอนถึงให้ไอดีไลน์ของเพื่อนสมัยมัธยมกับเขาไม่ได้ ไม่ใช่เพราะมันหวงเพื่อนแต่เพราะเพื่อนมันคนนี้ไม่เล่นบ้าอะไรเลยซักอย่าง! นี่เกิดยุค 90 หรือ 09 กันแน่วะเนี่ย? ขนาดแม่บ้านชเวที่บ้านของเขายังแชทไลน์ได้ไถทวิตเตอร์เป็นเลยนะ
     

              “ส่งสัญญาณควันก็ได้นะ ถ้าไม่กลัวห้องไฟไหม้” จงอินตอบกลับแบบขำๆ “ฉันไม่ชอบอะไรที่มันยุ่งยากน่ะ”
     

              “ถามจริงมาจากศตวรรษที่สิบแปดรึเปล่า? สมัยที่ใช้โทรเลขอะไรแบบนี้?” 
     

              “นายไม่ใช่คนแรกที่ค่อนขอดฉันแบบนี้หรอก” เด็กสถาปัตย์ยิ้มบางๆก่อนจะพูดต่อ “เอาเป็นว่าฉันจะพยายามพกมือถือเเล้วกันนะ”
     

              “นายไม่ได้ล้อเล่นจริงๆสินะ...” เซฮุนทวนคำพูดกับตัวเองเบาๆ เดือนนิเทศไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเด็กยุค 90 อย่างพวกเขาจะมีใครที่ทำตัวเชยเป็นลุงแบบนี้อยู่อีก จริงอยู่เพื่อนที่เขารู้จักบางคนอาจไม่ได้เล่นพวกแอพอะไรพวกนี้หมดทุกอย่างแต่โปรแกรมแชทมันถือว่าเป็นสิ่งสำคัญนะเว้ย!
     

              คิมจงอินนี่มีชีวิตรอดอยู่ในยุคดิจิตอลได้ยังไงกัน?
     

              “ฉันแปลกสินะ” เสียงทุ้มถามอย่างอารมณ์ดี
     

              “มาก...มากถึงมากที่สุด 
     

              “ฮ่ะๆ ไม่คิดจะโกหกกันเลยสินะ”
     

              “แล้วแบบ...เวลาว่างๆถ้าไม่มีมือถือให้เล่นนายทำอะไรอ่ะ” สงสัยจริงๆเพราะปกติเวลาว่างของเซฮุนคือการนอนไถมือถือไปเรื่อยๆ บ้างก็นอนหัวเราะท้องคัดท้องแข็งไปกับรูปภาพหรือทวิตฯฮาๆหรือไม่ก็อัพรูปลงไอจีให้แฟนคลับได้กดไลค์กันตามสไตล์คนชิค
     

              “อ่านหนังสือ..มั้ง?”
     

              “งั้นเหรอ...” อ่านหนังสือ...กิจกรรมที่เซฮุนเกลียดมากที่สุดรองจากการเรียน เขาไม่ถูกกับพวกตัวหนังสือและกลิ่นหมึกที่ติดอยู่บนกระดาษซักเท่าไร อ่านไปสองสามหน้าก็หลับคาหนังสือแล้ว
     

               ดูท่าทางเขากับคิมจงอินจะคนละขั้วกันเลยจริงๆ
     

              “ยังไงนายจะทำอะไรก็ตามสบายเลยนะ ฉันไปนอนต่อละ” พูดจบคนตัวสูงก็ลุกขึ้นมาพร้อมกับหาวหวอดใหญ่อย่างไม่ปกปิดอาการ มือใหญ่ขยี้เส้นผมสีน้ำตาลเข้มจนมันฟูยุ่งเหยิงไม่เป็นทิศเป็นทางก่อนจะเดินเข้าห้องนอนไปอย่างมึนๆ 

     

              พิลึกคนมากๆ

     

              เป็นคำเดียวที่น่าจะนิยามให้กับเพื่อนร่วมห้องคนนี้ได้ ร่างบางส่ายหัวไปมาและหยิบมือถือออกมาดู ชิบหาย...นี่มันหกโมงครึ่งแล้ว! เขานัดกับพวกกลุ่มไว้ว่าจะไปถ่ายหนังตอนหกโมงครึ่งและแบคฮยอนก็ทั้งโทรและไลน์มาตามเข้านับสิบรอบแล้วแต่ว่าเจ้าตัวดันปิดเสียงปิดสั่นเอาไว้ เซฮุนรีบกระเด้งตัวขึ้นจากโซฟา ขายาววิ่งกลับเข้าไปในห้องนอนหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถก่อนจะรีบพาตัวเองไปยังหอในซึ่งเป็นสถานที่นัดหมาย ป่านนี้โดนด่าพ่อล่อแม่ไปจนไม่ได้ผุดได้เกิดแล้วมั้ง
     

              ไม่น่านั่งคุยกับไอ้หมอนั่นเลย แม่ง.....

     

     

     












     

     

     

     

     

     

              เป็นไปตามคาด เซฮุนมาถึงหอในสายไปสิบนาทีและเขาก็ถูกไอ้หวงจื่อเทานั่นจิกกัดตลอดการถ่ายทำ ละครสั้นของพวกเขามีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับหญิงสาวที่ถูกแฟนหนุ่มละเลย ความรักที่บ่มเพาะกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมันเจือจางไปเพราะฝ่ายแฟนหนุ่มได้พบกับโลกใหม่ในชีวิตทำงาน ทั้งบ้างาน แสงสี และสังคมทำให้ความเอาใจใส่ที่มีต่อตัวแฟนสาวลดลงจนเธอตัดสินใจทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกร้องความสนใจากคนรัก ฟังดูก็เป็นพลอตเบสิคทั่วๆไปหากแต่มันสะท้อนถึงเรื่องจริงในโลกเราได้ดีนักแหละ 

     

              โดยเรื่องนี้ก็มีโอเซฮุนรับบทเป็นพระเอกผู้บ้างานและติดสังคมจนลืมเอาใจใส่จินอา ซึ่งรับบทเป็นคนรักของเขา  ฉากที่วันนี้ถ่ายทำกันคือฉากทะเลาะกันของทั้งคู่โดยทั้งสองก็สามารถตีบทแตกได้ยังกับคนเป็นแฟนกันจริงๆจนผู้กำกับอย่างพยอนแบคฮยอนถึงกับเอ่ยปากชมไม่ขาด จะมีเสียงแขวะจากไอ้คนหน้าเขียวแต่ชื่อเทานั่นบ้างแต่มันก็ไม่ได้ทำให้โอเซฮุนอารมณ์บูดแต่อย่างไร อยากเห่าก็เห่าไปช่างแม่งเถอะ...
     

              “โอเค พอแค่นี้แหละ ฉากนี้ผ่าน” ทันทีที่เพื่อนสเมิร์ฟของเขาพูดผ่านโทรโข่งสมาชิกในกลุ่มต่างก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเพราะนี่พวกเขาก็ถ่ายกันมาได้สองชั่วโมงกว่าแล้วถ้าเกิดยังไม่ถูกใจแบคฮยอนอีกล่ะก็ได้อยู่กันยาวแน่
     

              หลังจากกล่าวลาเพื่อนร่วมกลุ่มแล้วแบคฮยอนก็เดินเลี่ยงออกมานั่งลงบนขั้นบันไดข้างตึก มือเรียวหยิบนิโคตินอัดแท่งขึ้นมาจุดสูบก่อนจะปล่อยควันสีหม่นให้ล่องลอยไปตามอากาศอย่างอ้อยอิ่ง ไม่นานนักโอเซฮุนก็เดินมาสมทบ
     

              “ขอตัว”
     

              “ขอตัวก็กลับหอไปสิครับคุณหนู” 
     

              “กวนตีน..” เคาะหัวเพื่อนตัวเตี้ยเบาๆ เขาแค่อยากจะกวนประสาทแบคฮยอนเล่นไปแบบนั้นแหละ โอเซฮุนไม่ใช่สิงห์อมควันซักหน่อย แถมยังเป็นเขาอีกนั่นแหละที่คอยพร่ำบอกให้ไอ้เพื่อนเตี้ยนี่เลิกบุหรี่ ลำพังตัวก็แคระแกนอยู่แล้วยังจะขยันทำลายสุขภาพอีก ร่างบางย่นจมูกเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆพลางเอามือปัดควันสีหม่นที่ลอยอยู่ให้ไปอีกทาง
     

              “เออ แล้วเป็นไงบัางวะ?”
     

              “หืม? ก็ดี จินอาเล่นดีมากจำบทแม่นเป๊ะเลยไม่มีอะไรน่าหงุดหงิด”
     

              “ไม่ใช่” เพื่อนเตี้ยทำหน้าเอือมใส่ เอ้า จู่ๆมาถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยใครมันจะไปรู้ล่ะว่าหมายถึงเรื่องอะไร

              “กูหมายถึงเรื่องรูมเมท กับจงอินอ่ะโอเคมั้ย?”

     

              “กูจะโอเคกว่านี้ถ้าเพื่อนมึงมีช่องทางการติดต่อที่มันสะดวกมากกว่าที่เป็นและไม่ซกมก” 
     

              “ฮ่าๆ กูบอกแล้วว่ามันอินดี้” แบคฮยอนหัวเราะร่า “แต่มันนิสัยดีนะเว้ยถึงบางมุมจะดูกากๆไปบ้างก็เถอะ”
     

              “ก็ดู...เฟรนด์ลี่ดีมั้ง”
     

              “อยู่ไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ชินน่า...” เพื่อนสนิทตาโตขึ้นมาหลังจากที่พ่นควันนิโคตินออกราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ “เอ้อ วันนี้ไปแดกเหล้ากันป้ะ?”
     

             “ออกได้เหรอ ทูนหัวไม่ว่ารึไง?” ขอกัดหน่อยเถอะ รู้สึกตั้งแต่มีแฟนนี่ตัวติดกันเหลือเกิน แล้วยังจะมาซ่าชวนชาวบ้านไปกินเหล้าอีก
     

              “แหม ระดับไหนแล้วครับช่วยดูด้วย” เพื่อนสนิทยืดอกอย่างภาคภูมิใจ “เดี๋ยวแฟนกูออกมานั่งกินด้วยครับ”
     

             “เฮอะ!” ไอ้เราก็นึกว่าจะแน่ซักแค่ไหนกันเชียว “ไหนบอกแฟนมึงไม่ชอบไปร้านเหล้า”
     

             “คือ..ไม่ใช่อะไรหรอกนะ แฟนกูเค้าอยากเจอมึงอ่ะ” 
     

             “เจอกู?” 
     

              “เออ ก็แม่งไม่รู้มีใครหน้าไหนไปลือกันให้แซ่ดเลยว่ากูกะมึงอ่ะเป็นแฟนกัน”
     

              “ก็...ไม่แปลกนะ” เรื่องพรรค์นี้เซฮุนได้ยินมาบ่อยแล้วล่ะ อาจะเพราะตัวเราติดกันมากคนเลยชอบเอาไปเม้าท์กันให้สนุกปากว่าเขาสองคนน่ะเป็นแฟนกัน “แล้วมึงอธิบายกับแฟนมึงไปว่าไง?”
     

              “ก็บอกไปว่า ถึงมึงจะเอวบางขาวหมวยแต่ว่าสเปคกูไม่ใช่นางแบบวิคตอเรียซีเครท กูชอบแบบแบ๊วๆไซส์กระทัดรัดแบบพวกนางแบบเอสคาวาอี้มากกว่า” 
     

              “โห กูก็ไม่นิยมสเมิร์ฟวะ” ให้ลองนึกภาพดูเล่นๆ ถ้าเขาซึ่งสูงถึงร้อยแปดสิบกว่าๆเป็นแฟนกับคุณพยอนเจ้าของส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบสี่จริงๆล่ะก็......อย่านึกภาพเลยเถอะ จริงๆถ้าให้เขาเป็นฝ่ายรุกมันก็ยังจะพอสมเหตุสมผลอยู่บ้างถ้าเมะจะเป็นฝ่ายสูงกว่าแต่แบบไอ้เตี้ยนั่นมันดันมั่นเหนียงในความมาดแมนของมันไง เห้อ....
     

              “โอ๋....งอนหรอสุดสวยของป๋า”
     

              “ป๋าหน้ามึงสิ ทำตัวแบบนี้ไงคนเลยเข้าใจผิดกัน” สะบัดมือไม้เลื้อยของเพื่อนสนิทออกพร้อมกับขู่ใส่มัน

    “แหม ทำหวงเนื้อหวงตัวนะคุณหนู” แบคฮยอนบ่น “เดี๋ยวขับรถไปรับแฟนกูที่หอหน่อยนะ จะได้ไม่ต้องเอารถออกมาหลายคัน”

              "แล้วมีใครไปกินบ้าง?"

              "ก็มีแค่เนี้ย กู แฟนกู มึง...ตอนแรกว่าจะให้มึงชวนจงอินมาด้วยแต่เห็นมันทำโปรเจคจนเช้ามาหลายวันสงสัยป่านนี้นอนตายอยู่"

     

              “อืมๆ วันนี้กินเบาๆพอนะ พรุ่งนี้เรียนเช้าไม่อยากไปนั่งแฮงค์คาบจุนมยอน” ลำพังเสียงง้องแง้งๆของอาจารย์นั่นก็น่าปวดหัวอยู่แล้วขืนยังเมาค้างไปเรียนอีกล่ะก็ต้องมีการระเบิดสมองกลางคาบแน่ๆ
     

              “กูอ่ะเบาอยู่แล้วครับมีคนมาคุม แต่มึงอ่ะเกรงว่าจะไม่เคยเบา เดี๋ยวได้กอดโถส้วมหลับอีกหรอกเด็กน้อย”
     

              “กูรู้ลิมิตตัวเองเถอะ” ดวงหน้าขาวอมลมแก้มป่องด้วยความไม่พอใจ รำคาญชะมัดเวลาที่ไอ้เตี้ยนี่ชอบมาหาว่าเขาเด็กอย่างนั้นอ่อนอย่างนี้ทั้งๆที่ตัวมันเองก็ไม่ได้โตไปกว่าเขาซักเท่าไรเล๊ย ไม่ได้พูดถึงเรื่องส่วนสูงอย่างเดียวนะแต่หมายถึงลักษณะนิสัยอะไรแบบนี้ด้วย
     

              “เดี๋ยวก็รู้ครับว่าจะเป็นอย่างที่กูบอกมั้ย” แบคฮยอนยักคิ้วกวนๆให้หนึ่งทีก่อนจะฉุดเพื่อนตัวบางให้ลุกขึ้นมา สองคนเดินไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแล้วจึงขับออกไปเพื่อไปรับแฟนเด็กของแบคฮยอนและพร้อมไปทำลายตับกันที่ร้านเหล้า

     

     

     



     








     

     

     

     

     


     

     

              คำว่า “เบาๆพอนะ” แม่งไม่เคยมีอยู่จริงในพจนานุกรมร้านเหล้า
     

              ใช่ เพราะไม่ว่าเมื่อไรก็ตามที่คุณตั้งใจจะดื่มแค่พอเป็นกระษัยให้ร่างกายได้รับยีสต์หมักอ่อนๆบ้างวันนั้นคุณจะต้องเมาเหมือนหมาแน่นอน โอเซฮุนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขาไปหิวเหล้ามาจากไหนรู้แต่ว่าพอได้นั่งลงโต๊ะปุ๊บก็ชงเหล้ากระดกเอาๆราวกับน้ำเปล่า แล้วยิ่งพอได้รู้จักกับแฟนเด็กของเเบคฮยอนอีกยิ่งเหมือนได้คู่หูใหม่ในการดื่ม แฟนของแบคฮยอนชื่อคยองซูผู้แดกเหล้าโหดมาก โหดแบบ....ยอมตับเลยอ่ะ จากตอนแรกที่ไอ้เตี้ยพยอนนั่นบอกให้เขาลองมอมแฟนมันดูเพราะคืนนี้มันอยากจะหงุงหงิงกับแฟนแบบกรึ่มๆแต่กลับกลายเป็นว่าคนเมาคือเจ้าตัวเดือนนิเทศเสียเอง 
     

              “มึงแน่ใจนะว่าไหว?” แบคฮยอนชะโงกหัวออกมาถามจากรถของเซฮุน ใช่ เพราะเจ้าของรถมันหมดสภาพไปแล้วหน้าที่ขับรถจึงเป็นของแบคฮยอนแทน เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยขับมาคืนมันก็แล้วกัน ร่างขาวโปร่งกำลังยืนทะเลาะกับระบบสแกนนิ้วหน้าประตูอยู่ลำบากถึงแบคฮนอนต้องรีบวิ่งลงมาช่วยจากบนรถ 
     

              “เอ้ออ...ไหวน่า..”
     

              “ไหวหน้ามึงน่ะสิเอานิ้วก้อยแปะสแกนแบบนี้จะได้เข้ามั้ยหออ่ะ” เพื่อนสนิทพูดพร้อมกับจับหัวแม่โป้งของเดือนนิเทศกดไปยังเครื่องสแกน “เดี๋ยวกูไปส่งที่ห้อง"
     

              “ไม่ๆ มึงพาแฟนมึงกลับหอไปเหอะ กูโอเคน่า...”
     

              “หืม...พ่อตบกะโหลกแยกมั้ย? เมื่อกี้มึงกับกูเพิ่งไปส่งอ้วนกลับห้องก่อนแล้วกูค่อยมาส่งมึงเนี่ย....โอ้ยย ชิบ..” แบคฮยอนบ่นงึมงำกับตัวเอง เอาไงดีใจจริงก็อยากจะแบกพามันขึ้นไปส่งถึงห้องอยู่หรอกนะ แต่แบบส่วนสูงป๋าไม่เอื้อไง จะอุ้มมันพาดบ่าก็เกรงว่าขายาวๆนั่นจะลากพื้นจนหัวแม่เท้าส้น จะอุ้มท่าเจ้าสาวก็แบบ..อย่าเลยดีกว่า 

     

              เอ้อออออออ ลืมได้ไงวะ

     

              ป๋าพยอนรีบหยิบมือถือออกมากดเรียกอดีตรูมเมทของตัวเองให้ลงมาช่วยกู้ศพ รอสายไม่นานจงอินก็รับด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นมัวเหมือนสีผิว ไม่บอกก็รู้ว่ามันต้องยังนอนอยู่แน่ๆ อดีตรูมเมทอืออาสองสามคำก่อนจะวางสายไป แบคฮยอนยืนตบยุงตบหน้าเพื่อนสนิทตัวบางไม่ให้หลับคาพรมเช็ดเท้าหน้าตึก กระดิกเท้ารอประมาณไม่ถึงห้านาทีเพื่อนสนิทสมัยมัธยมก็ลงมาในชุดเสื้อกล้ามกับบ็อกเซอร์เก่าๆ
     

              “ไง นอนอยู่ล่ะสิมึงอ่ะ” 
     

              “อืม” ร่างสูงผิวสีน้ำผึ้งตอบพร้อมกับหาวโชว์

              "นี่ส่งโปรเจคไปยัง?"

              "ส่งแล้วเมื่อวาน ลากเลือดชิบโดนแก้ด้วย" จงอินบ่นงึมงำในคอก่อนจะสังเกตเห็นคนตัวขาวที่นอนพิงกระจกอยู่ “อ้าว แล้วทำไมรูมเมทกูเป็นแบบนั้นวะ?”

     

              “มันทำตัวเอง” ปากบางเบ้ลงเป็นกราฟพาลาโบล่าก่อนจะยกแขนขาวๆไปพาดไว้ที่คอของเพื่อนตัวสูง

              “อ่ะ ฝากมันด้วย รับช่วงต่อกูที”

              "อืมๆ"

              "แล้วอย่าปล้ำเพื่อนกูนะไอ้เสือ เห็นขาวๆหมวยๆอย่าหื่นออกล่ะ"

              "นี่กูดูกามมากงั้นสิ?" จงอินยื่นมือไปตบหัวเพื่อนเบาๆทีนึง "กูมีมารยาทนะ"

              "ครับบบ พ่อคนดี~ ...เคอ่ะ งั้นกูไปก่อนล่ะ"

     

              “จะรีบกลับไปอยู่กับแฟนอ่ะดิ”
     

              “อ่ะ พูดถูก”
     

              “มึงนี่มันจริงๆเลยนะไอ้เตี้ย” จงอินส่ายหัวไปมา “เออๆ เดี๋ยวกูดูแลเอง รูมเมทคนเดียวกูทิ้งไม่ได้หรอก ไม่เหมือนคนใจหมาแถวนี้”
     

              “โหยยยยย งอนเลาเหรอนีนี่~” มือเล็กแกล้งบีบคางเพื่อนรักเบาๆจนจงอินเป็นฝ่ายสะบัดหน้าหนีแล้วหัวเราะออกมาในความปัญญาอ่อนของอีกฝ่าย กล่าวคำร่ำลากันสองสามคำก่อนจะแยกย้ายกันไป จงอินหันมามองคนเมาที่ทิ้งตัวยืนหลับพิงเขาจนคอหักไปอีกด้านแล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ ร่างสูงจับแขนของอีกฝ่ายมาล๊อคกับบ่าแกร่งไว้ให้มั่นแล้วจึงพารูมเมทตัวบางนี่ขึ้นลิฟท์ไปยังห้อง มนุษย์เมาที่มีสติเหลืออยู่น้อยนิดปรือตามองหน้าของผู้กู้ศพเขาแล้วยิ้มออกมาเบาๆก่อนที่ภาพทุกอย่างจะตัดเป็นสีดำสนิท

     

     

     







     

     

     




     

              สัมผัสเย็นๆของลมจากเครื่องปรับอากาศที่ต้องผิวร่างขาวทำให้เจ้าตัวส่งเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ มือเรียวควานหาผ้าห่มไปมั่วซั่วแต่ก็ไม่พบจนตาเรียวต้องหรี่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพดานสีขาวคือสิ่งแรกที่สายตามองเห็นหลังจากปรับโฟกัสได้ ถัดมาคือความรู้สึกปวดหัวตึ๊บราวกับมีคนเอาค้อนปอนด์มาฟาด เซฮุนรู้สึกได้ถึงเส้นเลือดในสมองที่กำลังเต้นตุ๊บๆอย่างไม่ปราณีราวกับต้องการจะลงโทษที่เขาขี้เมาแบบนี้

     

              เมื่อคืนกลับมาได้ยังไงวะ?

     

              ฟันเฟืองในสมองกำลังประมวลผลอย่างเชื่องช้า ....ไปกินเหล้ากับแบคฮยอน แฟนแบคฮยอน...ชื่อคยองซู ...ดวลเหล้ากัน คยองซูแม่งคอแข็งชิบ....แบคมาส่งที่หอ....
     

              “แล้วไงต่อวะ...ขึ้นห้องมาเองเหรอ?”
     

              “ตื่นแล้วเหรอขี้เมา”
     

              “อ...อ้าว....จงอิน” เซฮุนหรี่ตามองรูมเมทผิวแทนที่เดินเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ๆเขาก่อนจะนั่งลงบนพื้น ร่างบางหยัดตัวขึ้นมาอย่างยากลำบากและตอนนั้นเองเซฮุนถึงเพิ่งค้นพบว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาเขาหลับบนโซฟาตัวยาวนี่ “โอย...ปวดหัวชะมัด”
     

              “กินนี่สิ” จงอินส่งแก้วเซรามิคที่บรรจุกาแฟดำหอมๆให้ คนเมาค้างก็ไม่ปฏิเสธน้ำใจยื่นมือออกไปรับพร้อมกับยกขึ้นมาจิบ
     

              “ทำไม...ฉันถึงมานอนตรงนี้?” 
     

              “นี่จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจ
     

              “เดี๋ยวนะ...” เซฮุนกัดปากล่างอย่างคนใช้ความคิด “คือฉันจำได้แค่ว่าไอ้แบคมันมาส่งข้างล่างแล้วก็.....ใช่! นายลงไปรับฉัน?”
     

              “อ่าฮะ แล้วไงต่อ” 
     

              “อืม....จำไม่ได้แล้วอ่ะ”
     

              “โอเซฮุนนิสัยไม่ดีเลย”
     

               “หา?” เด็กนิเทศกำลังงงอย่างมาก เขาเนี่ยนะนิสัยไม่ดี? กล่าวหาอะไรกันลอยๆแบบนี้ได้ยังไง จงอินไม่ยอมพูดอะไรต่อหากแต่นั่งอมยิ้มมันอยู่อย่างนั้นซึ่งมันทำให้เซฮุนรู้สึกหงุดหงิดมาก อะไรวะเนี่ย?
     

              “ยังจะมาทำปากเป็ดใส่อีก นายควรขอบคุณและขอโทษฉันนะขี้เมา”
     

              “แล้วฉันไปทำอะไรให้นายเล่า” เผลอพูดเสียงเขียวใส่ด้วยความหงุดหงิด เด็กสถาปัตย์เห็นอย่างนั้นก็ส่งยิ้มบางๆให้ก่อนจะก้มลงไปหยิบซากอะไรบางอย่างขึ้นมาจากพื้น มันคือซากกระดาษเเข็งที่ดูเปื่อยยุ่ยไม่เป็นรูปทรง สภาพเละเทะอย่าบอกใครแถมยังมีเศษซากอะไรเปรอะเต็มไปหมดอีกต่างหาก เหม็นชิบ... เซฮุนรีบเอามืออุดจมูกไว้ก่อนจะขยับตัวหนีสิ่งแปลกปลอมนี่ด้วยท่าทางรังเกียจ “นี่คืออะไร?”
     

              “อดีตบ้านในฝันของฉัน”
     

              “หืม? นี่โมเดลเหรอ?” ลองเพ่งมองดูดีๆมันคือโมเดลบ้านนี่เอง เซฮุนเคยเห็นพวกเด็กสถาปัตย์ทำอยู่บ่อยๆ ที่ว่าต้องนั่งตัดโมฯประกอบส่งงานอาจารย์เป็นโปรเจคๆไปอะไรแบบนี้ แต่แบบ...ทำไมมันถึงได้ยู่ยี่เปื่อยยุ่ยแบบนี้ล่ะ
     

              “ใช่เลย”
     

              “ล..แล้ว?”
     

              “แล้ว?”
     

              “ให้ฉันดูทำไม”
     

              “อืม...” ร่างสูงวางซากโมเดลนั่นลงก่อนจะทิ้งตัวนั่งข้างๆเซฮุนก่อนจะพูดแบบยิ้มๆ “ถ้านึกไม่ออกจริงๆฉันจะพานายย้อนเวลาไปเองแล้วกัน” 

     

     

     

     

     

     

     





     

     

     

     

               เมื่อคืนวานนี้

     

     

              “อือออออ” มนุษย์เมาส่งเสียงอืออาในลำคอทันทีที่ร่างสูงวางตัวบางๆนั่นลงบนโซฟา เซฮุนดิ้นพล่านไปทั่วเหมือนปลาโดนน้ำร้อนลวกแถมยังโวยวายอะไรก็ไม่รู้ไม่ได้ใจความ
     

              “กินน้ำก่อนเซฮุน” มือใหญ่ส่งแก้วน้ำให้ คนเมาลุกขึ้นมาปรือตาแบบมึนๆก่อนจะรับแก้วนั่นมาถือไว้นิ่งๆ
     

              “อ้าววว ฮายย จงอินนน” แขนยาวโบกไปมาอย่างร่าเริงจนฝ่ายหน่วยกู้ชีพคิมหัวเราะออกมา
     

              “ฮาย เซฮุน~” เล่นกับคนเมาก็สนุกดีล่ะนะ จงอินคิดแบบนี้ “กินน้ำก่อนเร็ว”
     

              “โอเคคคคค” เดือนนิเทศลากเสียงยาวก่อนจะเทแก้วน้ำใส่ปากตัวเองจนสำลักตัวโยน ร้อนถึงรูมเมทอีกนั่นแหละที่ต้องมานั่งลูบหลังให้ตามระเบียบ
     

              “ไม่เป็นไรนะ?”
     

              “แค่กๆๆ...แม่ง เลี่ยนเหล้าชิบ..” ปากกระจับบ่นงุบงิบไม่ได้ศัพท์ก่อนจะเอนหลังพิงไปกับพนักโซฟา “ฮ่าาาา นายทำไรอ่ะ?”
     

              “หืม? กำลังเคลียร์ที่ให้นายไง” เล่นยกขาพาดขึ้นมาแบบนั้นถ้าไม่เก็บอะไรเลยจงอินก็เกรงว่างานของเขาจะพังไม่เป็นท่าเสียก่อน คนเมาที่ตอนนี้แผ่กินที่เต็มโซฟาหันมาหยิบโมเดลบ้านที่อีกฝ่ายเพิ่งเอาไปส่งอาจารย์มาเมื่อวานขึ้นมาดูอย่างสนใจ
     

              “นี่อะไร?”
     

              “โมเดลบ้านไงครับ”
     

              “สวยอ่ะะะ” เซฮุนยิ้มเหมือนเด็กๆจนตาคู่สวยนั่นกลายเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวทำเอาจงอินยิ้มตามไปโดยไม่รู้ตัว
     

              “ชอบเหรอเด็กนิเทศ?”
     

              “อืออ สวยดี เราช๊อบชออบบบ” เสียงแหบๆลากยาวพร้อมกับอ้าแขนออกเหมือนเด็กๆ แต่ก่อนที่จะได้ยิ้มอะไรไปมากกว่านี้โอเซฮุนก็กระเด้งตัวขึ้นมานั่งพร้อมกับทำหน้านิ่งจนจงอินสงสัย
     

              “เฮ้...เป็นอะไร?”
     

              “ขึ้น...”
     

              “หา?” เสียงเหมือนแมวพูดอยู่ในคอได้ยินไม่ค่อยชัดนักทำให้จงอินขยับเข้าไปใกล้ๆอีกฝ่าย
     

              “ม..มันขึ้นมาแล้ว...”
     

              “อะไรขะ.....เฮ้ยยย!!!!”
     

              “โอ๊กกกกกกกกก!”



















     

    __________________________________________________

    วันแรกก็เอาซะแล้วววว เด็กนิเทศพังโมเดลบ้านในฝันของพี่จงอินไปแล้วค่ะ555555
    ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์มากๆๆๆเลยนะคะ ไม่นึกเลยว่าลงไปแล้วจะมีคนเม้นท์ด้วยดีใจมากๆเลย *ตื้นตัน*  ดีใจที่มีคนชอบนะคะ ><  ไม่รู้จะขอบคุณยังไงจริงๆเราพูดไม่ค่อยเก่งเท่าไร แหะๆ...ถ้าชอบหรืออยากบอกอะไรก็เม้นท์+ติดแฮชแทค #วอวดคฮ ได้เลยน้าา


    @bubblemilktea92

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×